Chapter 8: สำรวจ (3)
“พวกเขาน่าจะพาคนงานของตัวเองเข้ามา, เพราะกลัวว่าความลับของพวกเขาจะถูกเปิดเผยแน่ๆ...และถ้าขืนพวกชาวบ้านรู้เข้า, พวกเขาอาจจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรมาขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวก็ได้”
เทรย์พูด
“ก็เป็นไปได้นะ แถมตั้งแต่มาที่ภูมิภาคนี้, พวกเราก็ไม่ค่อยเจอคนเลย....ผู้คนที่นี่เชื่อว่าดินแดนแห่งนี้แห้งแล้ง, พวกเขาก็เลยไม่ค่อยมาที่นี่ และต่อให้พวกเขามา, ระยะทางตั้งแต่แปลงเกษตรของพวกเขาไปจนถึงเหมืองก็ไม่ได้ใกล้ๆเลย”
ลูเซียสพูด
“นอกจากนี้ทางเข้าทางออกเมืองของเบย์มาร์ดก็ตั้งอยู่ที่ภูมิภาคตอนกลาง, ดังนั้นก็เลยไม่ค่อยมีใครคิดที่จะมาแถวนี้”
แกรี่พูดเสริม
ทุกคนเห็นด้วย
“ข้าคิดว่า, พวกขุนนางน่าจะฆ่าและเผาศพพวกคนงานในตอนที่รู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญอยู่”
แลนดอนพูด
“ถ้าคิดแบบนั้นก็จะอธิบายต้นตอของคราบเลือดกับกองขี้เถ้าที่พวกเราเจอในที่ดินทั้งสามได้สินะครับ...เพราะถึงยังไงก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าพวกคนงานจะเก็บความลับของพวกเขาไปตลอดชีวิต วิธีเดียวที่จะปกปิดความลับก็คือการทำให้พวกคนงานปิดปากเงียบอย่างถาวร”
เทรย์พูดเสริม
พวกเขามีแต่ต้องยอมทำ, เจ้าเมืองกับพวกบารอนนั้นทุ่มเทให้กับแผนการของพวกเขาอย่างมาก พวกเขาคงไม่คิดหรอกว่าจะมีวันที่พวกเขาต้องออกไปจากเบย์มาร์ดด้วยเหตุผลเช่นนี้
พวกเขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ
“ในเมื่อพวกเราเสร็จธุระที่นี่แล้ว, ถ้างั้นก็ไปที่ชายหาดกันต่อเถอะ” แลนดอนพูด
ถ้าเปรียบภูมิภาคตอนกลางเป็นจุดกึ่งกลางของเข็มทิศ, การมุ่งหน้าไปทางตะวันออกจากภูมิภาคตอนกลางก็จะไปถึงภูมิภาคตอนบนของเบย์มาร์ด และทางตะวันตกก็จะไปถึงภูมิภาคตอนล่าง
ในทำนองเดียวกัน, การมุ่งหน้าไปทางเหนือจากภูมิภาคตอนกลางก็จะไปถึงทางเข้าออกของเบย์มาร์ด และในทางใต้ก็จะเป็นทางเข้าชายฝั่งทะเล
ในตอนที่พวกเขามาถึงชายฝั่ง, แลนดอนกับคนของเขาก็เห็นชาวบ้านจำนวนมากกำลังตกปลาอยู่, ในขณะที่มีบางส่วนกำลังแบกตะกล้าปลาเอาไว้บนศรีษะของพวกเขา
พวกเขาเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้าน, ให้ความช่วยเหลือพวกเขาและออกเดินทางไปตรวจสอบกำแพงเมืองและป่าที่บริเวณทางเข้าออกของเบย์มาร์ด
ในตอนที่พวกเขาออกมานอกเบย์มาร์ด, แลนดอนก็สังเกตดูกำแพงเมืองอย่างละเอียด เขาต้องยอมรับเลยว่ากำแพงเมืองของที่นี่ค่อนข้างทนทานและยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
ในตอนที่มุ่งหน้าต่อไปยังป่าใกล้ๆ, พวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนและเสียงดาบกำลังปะทะกับอะไรบางอย่าง
“ย้ากกก”
เกร๊ง...แกร๊ง...
มีหนุ่มน้อยคนนึงที่อายุน่าจะไม่เกิน 8 ปี, พยายามฆ่าหมูป่ายักษ์อยู่ หนุ่มน้อยคนนี้มีดวงตาที่เป็นประกายสดใสและมีผมสีแดงเข้ม
ในขณะที่หมูป่ากำลังจะจัดการเขา, หนุ่มน้อยคนนี้ก็หลับตาปี๋, ราวกับว่ากำลังยอมรับความตาย
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ...เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย...
พอลืมตาออกมาดู, เขาก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นกลุ่มอัศวินและหมูป่าที่นอนตายอยู่บนพื้น
“ขอบคุณครับท่าน”
หนุ่มน้อยพูด
“เจ้าชื่ออะไร?”
แลนดอนถามด้วยรอยยิ้ม
ในตอนที่หนุ่มน้อยเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนของแลนดอน, เขาก็รู้สึกได้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นมิตร
“ข้าชือโมโม่ ไลย์ครับ...ว่าแต่พวกท่านเป็นใคร?” โมโม่ถามอย่างสงสัย
“ข้าชื่อแลนดอนเป็นราชาและลอร์ดคนใหม่ของเบย์มาร์ด”
พอได้ยินหนุ่มน้อยก็ทั้งตกใจและหวั่นเกรง
“ฝ่าบาท, ขออภัยด้วยครับที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้”
“ไม่เป็นหรอก, แต่เจ้านั่นแหล่ะที่น่าเป็นห่วงกว่านะ”
เด็กหนุ่มตกใจ
“นี่ฝ่าบาทเป็นห่วงคนอย่างข้าด้วยหรอ?...”
เขาคิด
“โมโม่, ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวหล่ะ? เจ้าไม่รู้หรอว่ามันอันตรายแค่ไหน?”
แลนดอนถาม
“ฝ่าบาท, ข้าอาศัยอยู่กับพี่สาวของข้าครับ...พ่อแม่ของเราตายไปในตอนที่ข้าอายุได้ 4 ขวบ พี่สาวบอกว่าพวกท่านตายเพราะความหนาว...และตอนนี้พี่สาวของข้าก็ล้มป่วยไปอีกคน ข้าได้ยินมาว่าถ้าอยากให้พี่อาการดีขึ้นก็ต้องให้กินเนื้อเยอะๆ, ดังนั้นข้าก็เลยออกมาล่าสัตว์ครับ”
แลนดอนกับพวกอัศวินรู้สึกเห็นใจในตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ แม้ว่าพวกเขาบางคนจะถูกรังแกในตอนที่อยู่ในเมืองหลวง, แต่ก็ไม่มีพวกเขาคนไหนที่เคยอดตายหรือเคยเห็นคนตายเพราะความหนาว
พวกเขาต่างก็สาบานกับตัวเองว่าพวกเขาจะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องประชาชนที่นี่
อันที่จริงแลนดอนรู้สึกสงสารพี่น้องคู่นี้เป็นพิเศษ ในชีวิตก่อนนั้นเขาเป็นเด็กกำพร้า, ดังนั้นพอเห็นความพยายามของโมโม่, เขาจึงรู้สึกอยากให้ความช่วยเหลือ
“นับจากนี้ไป, ข้าจะรับพวกเจ้าเป็นพี่น้องบุญธรรมของข้าและข้าจะเรียกเจ้าว่าน้องโมโม่ ข้าจะให้เจ้ากับพี่สาวคนใหม่ของข้าย้ายเข้ามาในปราสาทเดี๋ยวนี้เลย นับจากนี้ไป, ที่นั่นจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเจ้า” แลนดอนพูด
โมโม่แทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง...นี่เขาเป็นพระราชานะ ถึงแม้ว่าโมโม่จะมีอายุแค่ 8 ขวบ, แต่เขาก็รู้ได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะได้รับโอกาสแบบนี้ เขารู้สึกได้ว่าแลนดอนเป็นคนที่นิสัยดีมากๆคนนึง
แลนดอนแนะนำโมโม่ให้ลูเซียสกับพวกอัศวินคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนต่างก็เอ็นดูโมโม่, จนทำให้เขารู้สึกเขินขึ้นมา
“น้องโมโม่, ไปรับพี่สาวคนใหม่ของข้าที่บ้านเก่าของเจ้ากันเถอะ”
พวกเขาแบกหมู่ป่าและออกจากป่าไป
จากนั้นแลนดอน, โมโม่และเหล่าอัศวินก็มาถึงบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง พวกเขาได้ยินเสียงไอเบาๆดังมาจากข้างในบ้าน แลนดอนได้เข้าไปในบ้านหลังนั้นพร้อมกับโมโม่, จอร์ชและลูเซียส
“พี่ครับ, พี่ครับ ข้าเอาอาหารมาให้”
โม่โม่ตะโกนเรียกในขณะที่วิ่งเข้าไปในบ้าน ส่วนแลนดอนกับกลุ่มอัศวินนั้นได้รออยู่ที่บริเวณห้องนั่งเล่น
ในตอนที่โมโม่ก้าวเข้าไปในห้องนอน, เขาก็เห็นหญิงสาวที่อ่อนแอแต่งดงามมากๆกำลังนอนอยู่บนเตียงที่ทำจากฟาง เธอมีผมสีแดงเพลิง, และดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพร้อมกับโครงหน้าที่กระชับเข้ารูป
“พี่สาว, วันนี้มีพระราชามาหาพี่ด้วยครับ”
เกรซตกใจจนแทบจะตกเตียงในตอนที่ได้ยินสิ่งที่โมโม่พูด
“โมโม่, นี่เจ้าไปก่อเรื่องอะไรอีกเนี่ย? ทำไมจู่ๆพระราชาถึงอยากเจอข้าหล่ะ?” เกรซถามด้วยความสงสัย
จากนั้นโมโม่ก็เล่าเรื่องราวต่างๆให้เกรซฟัง
“ถ้าเป็นเช่นนั้นช่วยพาข้าไปขอบคุณฝ่าบาทหน่อยสิ” เธอพูดในขณะที่พยายามลุกขึ้น
“คือพี่ครับ, ฝ่าบาทบอกว่าถ้าพี่พร้อมเมื่อไหร่เขาจะเข้ามาเยี่ยมเองนะครับ”
เธอพยักหน้าเป็นการบอกให้พาเข้ามาแล้วโมโม่ก็รีบออกไป ไม่กี่วินาทีต่อมา, โมโม่, แลนดอน, ลูเซียสและจอร์ชก็เดินเข้ามา
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือน้องชายของข้านะคะฝ่าบาท” เธอพูดในขณะที่ก้มศรีษะให้อย่างเต็มที่
พอได้เห็นหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขา แลนดอนก็มั่นใจเลยว่าเธอน่าจะอายุประมาณ 19 ปี อันที่จริงเธอดูเหมือนกับเวอร์ชั่นย่อยของ ‘เอลซ่า สการ์เล็ต’ จากแฟรี่เทลเลย
“ทำตัวตามสบายเธอ, เพราะจากนี้ไปเจ้าก็จะเป็นพี่สาวของข้าแล้วนะ” เขาพูดอย่างอ่อนโยนด้วยรอยยิ้มบนหน้า
เกรซตกตะลึงกับคำพูดของเขา, หลังจากที่ตั้งสติได้ เธอก็เข้าใจได้ว่าสิ่งที่โมโม่พูดมานั้นเป็นความจริง
เขาก็ดูน่ารักอยู่นะ, พอเห็นดวงตากลมโตของเขาแล้วชวนให้นึกถึงน้องกระต่ายขึ้นมาเลย
เธอคิด
“ข้าชื่อแลนดอน ส่วนนี่แม่ทัพลูเซียสแล้วนี่ก็พันเอกจอร์ช ขอข้าทราบชื่อพี่สาวคนใหม่ของข้าหน่อยได้ไหม?”
ในขณะที่จอร์ชมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า, เขาก็เกือบจะลืมหายใจ แม้ว่าเธอจะป่วยอยู่, แต่เธอก็น่ารักอย่างเหลือเชื่อ ผมสีแดงและใบหน้าที่กระชับได้รูปของเธอนั้นทำให้เธอดูเหมือนภูตเลย ยิ่งเขามองเธอนานเท่าไหร่, เขาก็ยิ่งหน้าแดงขึ้นเท่านั้น
ซึ่งอาการเดียวกันนี้ก็สามารถพูดได้กับเกรซ, เธอเองก็รู้สึกเขินในตอนที่สบตากับจอร์ช
เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เธอหน้าแดงมากจนใบหน้าขาวใสของเธอแดงเป็นลูกมะเขือเทศไปแล้ว
ซึ่งก็แน่นอนว่าลูเซียสกับแลนดอนสังเกตุเห็นเรื่องทั้งหมดนี้แล้วอดหัวเราะคิกคักอยู่ในใจไม่ได้
“ข้าชื่อเกรซ ไลย์ค่ะ”
“พี่เกรซ, ในเมื่อข้านับถือพี่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวแล้ว ข้าก็ไม่สามารถทนเห็นพี่กับโมโม่อาศัยอยู่ในที่แบบนี้ได้อีก เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองคน, ช่วยย้ายไปอยู่ที่วังกับข้าเถอะ”
แลนดอนขอร้อง
“ฝ่าบาทคะ...”
“เรียกข้าว่าแลนดอนเฉยๆเถอะ”
แลนดอนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ก็ได้ค่ะ แลนดอน, ข้าจะยอมตามไปด้วย”
โมโม่ดีใจมากจนเขากระโดดขึ้นเตียงแล้วโผเข้ากอดพี่สาวของเขา
“พันเอกจอร์ช, ช่วยพี่เกรซเก็บของที่นี่นะ ส่วนข้า, แม่ทัพลูเซียส, แล้วก็น้องโมโม่จะไปเก็บของที่บริเวณห้องรับประทานอาหาร”
ไอ้เจ้าพวกนี้นี่, ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ..555 โชคดีนะที่ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัว...ไม่อย่างนั้นข้าเขินตายเลย