บทที่ 250 นั่งในระดับเดียวกับราชา
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
ฟู่วว…
เจียงอี้ลอบถอนหายใจออกมาอย่างลับๆ ทางด้านหลิงเชียงกับหลิงเจี้ยนเองก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้ยกภูเขาออกจากอก
ใบหน้าของราชาซูตี๋หวังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม หากว่าเขาไม่ห้ามปรามบรรดาแม่ทัพของอาณาจักรต้าเซี่ยไว้ เกรงว่ากลุ่มของเจียงอี้คงจะถูกสังหารไปแล้ว
เจียงอี้ในตอนนี้ ไม่ใช่ผู้ที่ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์อีกต่อไป แต่เขาถูกจักรวรรดิมังกรเวหาแต่งตั้งให้เป็นถึงทูตตรวจการ
หากว่าเขาถูกสังหาร เกรงว่าจักรวรรดิมังกรเวหาคงจะหาทางเล่นงานพวกเขาเพื่อทวงศักดิ์ศรีคืนอย่างแน่นอน
ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในอาณาจักรบริวารแห่งอื่น ป่านนี้มันคงจบไปนานแล้ว แต่โชคร้ายนักที่สภาพของอาณาจักรต้าเซี่ยในตอนนี้ช่างอ่อนแอเหลือเกิน พวกเขาไม่มีกำลังมากพอที่จะต่อต้านอาณาจักรอื่นๆเลยแม้แต่นิดเดียว
“คุณชายนั่งก่อนสิ!”
ซูตี๋หวังกล่าวออกมาพร้อมกับผายมือเนื่องจากทำอะไรไม่ถูก ตามลำดับขั้นแล้ว ทูตตรวจการของจักรวรรดิมังกรเวหาย่อมอยู่สูงกว่าตัวเขา
ดังนั้น เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนเพราะไม่รู้ว่าจะจัดที่นั่งให้กับเจียงอี้อย่างไรดี หากจัดให้เขานั่งอยู่ในแถวแรก แล้วซูตี๋กั๋วกับเซี่ยอู๋หุ่ยจะไปนั่งที่ไหน? และยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดให้เจียงอี้นั่งอยู่ในแถวที่สอง
“จริงสิ!”
ด้วยความที่เป็นเฒ่าจิ้งจอกมาหลายปี ไม่นานนักซูตี๋หวังก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาชี้ไปยังแท่นสีทองม่วงด้านหน้าและกล่าว
“ท่านทูตเจียง ท่านก็มานั่งกับเราสิ”
“หืม?!”
ทันใดนั้นภายในโถงราชวังก็บังเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง แท่นสีทองม่วงนับว่าเป็นที่นั่งที่มีความยาวพอสมควรซึ่งสามารถนั่งได้พร้อมกันห้าถึงหกคนเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ใช่ปัญหาที่ซูตี๋หวัง, ซูรั่วเสวี่ยและเจียงอี้จะนั่งด้วยกัน
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า… การที่จะให้เจียงอี้ขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น ฐานะของเขาจะไม่ก้าวกระโดดอย่างฉับพลันหรอกหรือ?
การได้นั่งในระดับเดียวกับชนชั้นกษัตริย์นับว่าเป็นเกียรติสูงสุด แต่มันก็จะกลับกลายเป็นว่าตัวเขาก็จะมีฐานะเทียบเท่ากับราชาไปโดยปริยาย
เซี่ยอู๋หุ่ยกำหมัดแน่น ในเวลานี้เขาโมโหจนแทบจะคลุ้มคลั่ง ทางด้านของซูตี๋กั๋วก็ทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยความจนใจ
ราชาซูตี๋หวังมีนิสัยที่อ่อนแอและขี้ขลาดเกินไปซึ่งไม่เหมาะสมกับฐานะของราชาเลยแม้แต่น้อย หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานอาณจักรต้าเซี่ยจะถูกอาณาจักรอื่นๆหรือไม่ก็จักรวรรดิมังกรเวหากลืนกินเป็นแน่
“ดี!”
เจียงอี้พยักหน้าด้วยท่าทีเรียบเฉย จากนั้นเขาก็เดินขึ้นไปบนที่นั่งสีทองม่วง หลิงเชียงและหลิงเจี้ยนเองก็จ้องมองแผ่นหลังของเขาอย่างไม่วางตา สายตาของพวกเขาแฝงไปด้วยความชื่นชม จู่ๆพวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่าองค์หญิงหลิงเสวี่ยตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดยิ่งนัก
ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา จักรวรรดิมังกรเวหายังคงอยู่ในช่วงพักฟื้นและดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อที่จะรอดพ้นจากการล่มสลาย
ในสายตาของอาณาจักรบริวารทั้งหก จักรวรรดิมังกรเวหาก็เป็นเพียงแค่กระต่ายที่หุ้มหนังพยัคฆ์ แม้แต่บรรดาผู้บัญชาการที่พวกเขาส่งออกมาประจำในแต่ละอาณาจักรก็ยังมีสถานะที่ไม่แน่นอน
ความจริงแล้วแม้กระทั่งขุนนางทั่วไปบางคนก็ยังไม่สนใจพวกเขาด้วยซ้ำ หากเป็นในยามปกติ การที่ถูกเชิญมาร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว
แต่ในเวลานี้ เจียงอี้ถึงกับได้นั่งเคียงข้างองค์ราชา การกระทำของเขานับว่าเป็นการเรียกคืนศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิให้กลับคืนมา อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของจักรวรรดิที่สามารถแสดงท่าทีอันสง่าผ่าเผยซึ่งไม่ได้ปรากฏขึ้นมาหลายปีแล้ว!
ในเวลานี้ คงมีเพียงทูตพิเศษจากทั้งสี่อาณาจักรเท่านั้นที่ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงได้ สิ่งที่พวกเขาทำก็เพียงแค่อยู่เฉยๆและสนุกไปกับความเดือดร้อนของชาวบ้านก็เท่านั้น
โดยเฉพาะหยุนเฟย ดวงตาของนางโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยวและยกแก้วขึ้นเพื่อทักทายเจียงอี้จากระยะไกล
หลังจากที่ไวน์หมดไปสองสามแก้วพร้อมทั้งดนตรีที่เพลิงบรรเลงจบ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดก่อนหน้านี้ก็บรรเทาลง
อย่างน้อย เซี่ยอู๋หุ่ยก็ไม่หลงเหลือสีหน้าอันน่าเกลียดอีกต่อไป ขุนนางหลายคนก็เริ่มแลกเปลี่ยนบทสนทนาและหัวเราะออกมาอีกครั้งซึ่งทำให้บรรยากาศภายในโถงพระราชวังค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ
เจียงอี้จิบไวน์อย่างเงียบเชียบและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ ตราบเท่าที่ชายผู้นี้ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย งานเลี้ยงใหญ่ก็ยังสามารถดำเนินได้ต่อไปตามแผนที่วางไว้
ดวงตาของซูรั่วเสวี่ยยังคงเผยให้เห็นแต่ความเฉยเมย นางยังคงรักษาท่าทีอันสูงส่งในฐานะเชื้อพระวงศ์เอาไว้และไม่ยอมที่จะให้ใครได้เห็นความอ่อนแอของนางเลยแม้แต่คนเดียว
หยุนเฟยเหลือบมองนางอยู่หลายครั้ง บางครั้งก็ยังเบนสายตาไปมองเจียงอี้พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาด้วยความสงสาร
ทำไมสวรรค์ถึงได้ใจร้ายกับพวกเขานักนะ?
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงช่วงท้ายของงานเลี้ยงเสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าถึงเวลาอันสมควร เซี่ยอู๋หุ่ยก็โบกมือและสั่งให้คนของเขานำกล่องขนาดใหญ่จำนวนมาก, หนังสือรับรองและของขวัญสำหรับการหมั้นหมายซูรั่วเสวี่ยเข้ามาในห้องโถง
ของขวัญสำหรับการหมั้นหมายก่อนหน้านี้ถูกเจียงอี้ปล้นไปหมด ของพวกนี้จึงเป็นสิ่งที่ถูกจัดขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยอาณาจักรเสินหวู่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาและถูกส่งมาด้วยค่ายกลเคลื่อนย้าย
เซี่ยอู๋หุ่ยยืนขึ้นด้วยท่าทีอันสง่าผ่าเผย แหวนมิติของเขาส่องประกายพร้อมกับกล่องหยกโบราณสามใบที่ปรากฏออกมา
เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งและโค้งคำนับด้วยความเคารพขณะที่กล่าว
“ของเหล่านี้คือสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์, ศิลาสวรรค์หนึ่งก้อนและสมุนไพรสยบวิญญาณซึ่งเป็นสมบัติชั้นยอดสำหรับบ่มเพาะดวงวิญญาณ”
“แต่ถึงอย่างนั้น ของขวัญพวกนี้ก็ยังไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเมื่อเทียบกับองค์หญิงรั่วเสวี่ยผู้เลอโฉมและเป็นดั่งอัญมณีแท้จริงของอาณาจักรต้าเซี่ย”
“ของขวัญเหล่านี้คือตัวแทนความจริงใจของอู๋หุ่ยและอาณาจักรเสินหวู่ที่มีให้กับราชาซู เพื่อที่จะทำการสู่ขอธิดาของพระองค์”
“อู๋หุ่ยขอเอ่ยคำสาบานว่าจะทำอย่างเต็มที่เพียงปกป้ององค์หญิงไปตลอดชีวิตและจะรักษาความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองอาณาจักรไปอีกนับหมื่นๆปี!”
สมุนไพรสยบวิญญาณ!
ทันทีที่นามของสมุนไพรสยบวิญญาณถูกเอ่ยขึ้น แววตาของเจียงอี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา และการเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยนี้เองที่ทำให้บรรดาขันทีกับทหารหลวงต่างก็รู้สึกถึงความตึงเครียด
ทางด้านซูตี๋กั๋วเองก็พร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ หากเจียงอี้กล้าฉกฉวยสมุนไพรสยบวิญญาณในเวลานี้ เขาก็จะลงมือสังหารอีกฝ่ายในทันที
อีกด้านหนึ่ง ร่างของอันบอบบางของซูรั่วเสวี่ยถึงกับสั่นสะท้าน… มันไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นแต่เป็นเพราะนางกำลังทุกข์ใจ!
การถูกขอแต่งงานโดยชายอีกคนหนึ่งต่อหน้าชายที่ตัวเองรัก มันช่างเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายเสียเหลือเกิน ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะจินตนาการถึงความทุกข์ทรมานที่นางได้รับในตอนนี้
เจียงอี้ยังคงไม่ลงมือทำสิ่งใดและสงบลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนั้น ราชาซูตี๋หวังก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและหันมายิ้มให้กับแขกในงาน
“สำหรับตัวบุตรสาวของข้า รั่วเสวี่ย การที่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายอู๋หุ่ยนับว่าเป็นโชควาสนาของนางยิ่งนัก”
“ข้า ซูตี๋หวัง ในฐานะบิดาและราชาแห่งอาณาจักรต้าเซี่ยขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า ข้าจะสนับสนุนการแต่งงานของทั้งสองอย่างเต็มที่ซึ่งจะนำไปสู่ความปรองดองของทั้งสองอาณาจักรตลอดกาล…”
แต่ก่อนที่จะซูตี๋หวังกล่าวจบ ดวงตาที่เย็นชาของซูรั่วเสวี่ยก็เกิดการสั่นคลอน วินาทีต่อมานางก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นฉากนั้น ในที่สุดเจียงอี้ก็ไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป ใบหน้าของเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมา
ในขณะเดียวกันกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวก็ปะทุออกมาจากร่างของเขาราวกับสัตว์ร้ายที่หลับใหลมาเป็นเวลานานได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
เพล้ง!
ในจังหวะสุดท้ายที่ซูตี๋หวังกล่าวจบ เจียงอี้ก็ปาแก้วไวน์ในมือลงพื้นจนแตกละเอียด จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับระเบิดจิตสังหารออกมาและเข้าปกคลุมทั้งห้องโถงเอาไว้…