ตอนที่ 39 จ่ายตลาด
“นี่เป็นข้อเสนอจากทางข้า ด้วยฐานะที่เป็นพันธมิตรต่อกัน ข้าหวังว่าจะได้สิทธิ์ซื้อสินค้า 30 ชนิดตามรายการนี้ในราคาตลาด นอกจากนี้ ข้ายังหวังให้พ่อค้า(แม่ค้า)ชาวเอลฟ์สามารถเข้าออกเมืองของพวกเจ้าได้อย่างเสรี”
ณ ห้องประชุมอันกว้างขวาง ความหรูหราสุรุ่ยสุร่ายของเหล่าเอลฟ์ยังสามารถพบเห็นได้ที่นี่เช่นกัน ดูจากโต๊ะที่แม้แต่ตรงขอบก็ยังโดนแกะสลักเป็นรูปเอลฟ์รำดาบ ซึ่ง ณ ตอนนี้ ตัวข้าที่กำลังนั่งฟังทั้งสองฝ่ายเจรจากันไปมา ก็เบื่อจนแทบจะผล็อยหลับไปได้ทุกเมื่อ
“แอนนี่จะเป็นคนรับผิดชอบเจรจาในเรื่องทางการทหาร ส่วนมากาเร็ตนั้นจะรับผิดชอบช่วยแอนนี่เจรจาในเรื่องข้อตกลงทางการค้า ซึ่งดูท่าแล้วที่นี่คงไม่มีอะไรให้ข้าทำ ในเมื่อข้าไม่มีอะไรให้ทำ ข้าก็ต้องหาเรื่องสนุกๆทำแก้เบื่อเสียหน่อย”
“...ตามรายการของทางท่าน 23 อย่างเป็นสินค้าที่พบเห็นได้ทั่วไปในท้องตลาดของเมืองเรา ซึ่งทางเราสามารถขายให้ท่านในราคาตลาดได้อย่างไม่มีปัญหา แต่สินค้าอีก 7 ชนิดที่เหลืออาทิเช่น ปรอท พิษมังกร กำมะถันเหลวนั้นต่างเป็นสินค้าควบคุมหรือต้องห้ามของเมืองเราทั้งสิ้น เช่นนี้ ทางเราจึงไม่สามารถขายสินค้าเหล่านี้ให้กับท่านได้ นอกเสียจากทางท่านจะยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนสินค้าเหล่านี้กับสินค้าเฉพาะของทางท่านที่อยู่ในรายการข้อเสนอที่ทางเรายื่นให้กับท่านไป แล้วก็ตราบใดที่พ่อค้าดาร์ดเอลฟ์ที่มาเยือนนครของเราเป็นพ่อค้าจริงๆ มิใช่มือสังหารหรือสายลับที่ปลอมตัวมาในคราบของพ่อค้า ท่านก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องเกรงกลัวการตรวจสอบจากทางเรานิ” อิลิซ่าที่กล่าวตอบกลับไป พร้อมกับดันแว่นของนางขึ้น
“...นี่พี่สาว แค่แตงกวาจำนวนเล็กน้อยเท่านี้ ทำไมต้องต่อหนักกันแบบนี้ด้วย? ก็ได้ ทั้งหมดนี่ 25 เหรียญก็ได้ แต่ พี่สาวต้องช่วยข้า ซื้อมะเขือเทศพวกนี้ไปด้วยล่ะ ไม่ต้องกลัวๆ ทั้งหมดนี่เป็นของสดใหม่ทั้งนั้น”
“เหเห นี่แม่หนูน้อย ก็อย่างที่เจ้าว่ามานั้นแหละ ไว้พวกเราค่อยกลับมาหารือเรื่องสินค้ากันไปทีละชิ้น ทีละชิ้นละกัน แต่เอาความจริงเลยนะ ไอ้เรื่องการค้าที่พวกเราคุยกับมาทั้งหมดนี่ ก็แค่น้ำจิ้มไว้ใช้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างเราเท่านั้นแหละ เอาล่ะ ต่อจากนี้ เรามาเข้าเรื่อง คุยกันเรื่องที่เราอยากคุยกันจริงๆ ดีกว่า อย่างเช่น เรื่องพลังแห่งกฎหมายของทางเจ้าน่ะ” คาจาร์ที่กล่าวกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
“เหเห นี่แม่หนูน้อย เอาแบบนี้ละกัน ป้าน่ะไม่คิดมากเรื่องเงินจำนวนเล็กน้อยเท่านี้หรอกนะ ว่าแต่ ปลาจวดสีเหลืองตรงนั้นน่ะขายยังไงเหรอ?”
พอมาครั้งนี้ อิลิซ่าที่ใบหน้าเริ่มมุ่ยขึ้น ก็หันไปหาทางแอนนี่แทนที่ตัวนางจะพูดตอบคาจาร์กลับไป
“อืม พี่อิลิซ่าไม่เป็นไร เดี่ยวเรื่องนี้พี่ปล่อยให้แอนนี่จัดการเอง ถ้าเกิด พวกท่าน เหล่าดาร์ดเอลฟ์นึกอยากเรียนรู้มีความสนใจในพลังแห่งกฎหมายขึ้นมาจริงๆล่ะก็ ท่านก็เชิญส่งคนของท่านมาร่ำเรียนที่นครภูผาหลิวฮวงได้เลย แต่ก่อนอื่น คนที่ท่านส่งมาทุกคนจะต้องสาบานกันในชื่อของราชินีแมงมุมก่อนนะว่า พวกท่านจะไม่ทำร้ายประชาชนในเมืองของเรา แล้วตัวท่านเองก็ต้องสาบานด้วยนะว่า ท่านน่ะจะเลิกส่งมือสังหารมาตามฆ่าดาร์ดเอลฟ์ในนครภูผาหลิวฮวงสักที”
“อืม ปลาจวดสีเหลืองตัวนั้นน่ะเหรอ ถ้าท่านอยากได้ ก็ 12 เหรียญต่อชั่ง นี่ข้าคิดราคาพิเศษให้เลยนะ ปลาจวดตัวนี้สดใหม่เพิ่งขึ้นมาจากทะเลเลยล่ะ ถ้าท่านเอาไปทำอาหารรสชาติที่ออกมาต้องไร้ที่ติอย่างแน่นอน แต่ว่านะ ถ้าท่านตกลงรับซื้อปลาจรวดตัวนี้ไปในราคานี้ ท่านจะต้องเลิกเอาเรื่อง เรื่องเงินที่ข้าติดค้างท่านค่ามันฝรั่ง”
ตัวคาจาร์ที่ได้ยินคำตอบจากแอนนี่ ก็ส่ายหน้าของนางไปมา
“พระประสงค์ขององค์ราชินีแมงมุมมิอาจบ่ายเบี่ยง คนทรยศจักต้องถูกกำจัด เอาเถอะไงซะ พวกเราเหล่าเอลฟ์ก็มีอายุขัยยืนยาว แค่รอสักนิด สักหน่อย จะเป็นไรไป เช่นนั้น ข้าก็ขอปล่อยให้พวกนางคนทรยศทั้งหลายได้ใช้ชีวิตเริงร่า นับรอวันตายไปอีกสักพักละกัน... เอาล่ะ เรามาเลิกคุยเรื่องที่ไม่รื่นหูเช่นนี้ แล้วหันมาคุยเรื่องที่สำคัญกว่ากันเถอะ อย่างเช่นเรื่อง การมาจับมือเป็นพันธมิตรทางการทหารเพื่อต่อกรกับฝ่ายที่คุณก็รู้ว่าใคร และแน่นอนว่า การตกลงกันในครั้งนี้ จะไม่ได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรหรอกนะ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หัวหน้าโรงอาหารของพวกเราน่ะเข้มงวดเรื่องหนี้สิน เงินค้างมากเลยนะ เงินที่เจ้าติดค้างค่ามันฝรั่งน่ะ เจ้าจะต้องชดใช้จ่ายคืนมาให้ครบ... เอาเถอะ ข้าว่าเรามาคุยกันเรื่องอื่นกันเถอะ อย่างเช่นเรื่อง ว่าพวกเราจะไปดักตีหัวไอ้อ้วนที่ชอบรังแกคนอื่นนั้นเมื่อไหร่กันดี และแน่นอนว่า ถ้าแผนของพวกเราเกิดแตกขึ้นมาเสียก่อน ข้าจะทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เห็นไม่เกี่ยวอะไรด้วยทั้งนั้น”
แน่นอนล่ะว่า การเจรจาที่ทั้งสองฝ่ายคุยกันไปก่อนหน้าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่น้ำจิ้มไว้เกริ่นนำ ก่อนเข้าเรื่องหลักเพียงเท่านั้น ข้อเสนอพันธมิตรทางการทหารที่พวกนางจะเริ่มคุยกันต่อจากนี้น่ะ คือ สาเหตุหลักของการมาพบปะกันแบบลับๆในวันนี้ ซึ่งตอนนี้ ตัวแอนนี่ที่กำลังลังเลกับข้อเสนอของอีกฝ่าย ได้คิ้วขมวดใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ราวกับว่าตัวนางกำลังวิตกกังวลกับเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
เฮ้อ ก็สมควรอยู่แล้วนินะ ที่ตัวนางจะเป็นกังวลน่ะ ก็การตัดสินใจในครั้งนี้ของนางจะเป็นเครื่องกำหนดชะตาชีวิตในอนาคตของผู้คนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน แต่ว่านะ ด้วยความกดดันอันมากล้นเนี่ยแหละ ที่จะทำให้พวกเจ้าทั้งคู่เติบโตขึ้น ข้าหวังกับพวกเจ้าทั้ง 2 ไว้สูงนะ อิลิซ่า แอนนี่
“...ขออภัย ดิฉันขอตัวสักประเดี่ยว” ในที่สุด อิลิซ่าที่รวบรวมความกล้า ลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผย ก่อนจะ... เดินมาหยุดตรงหน้าข้า
“นายท่าน!! นี่ท่านสนุกพอรึยังคะ? ถ้าท่านสนุกพอแล้ว ก็ช่วยหยุดพูดประโยคขายผักขายปลานี่ในหัวดิฉันสักที! คนเค้ากำลังคุยกันเรื่องสำคัญ ท่านก็ช่วยอยู่นิ่งๆ อย่ารบกวนคนอื่นเค้าจะได้ไหมค่ะ!!!”
“อ่ะ นี่ข้าเผลอหลุดปากพูดออกไปรึเนี่ย? โทษที โทษที” หลังจากที่เอ่ยปากพูดคำขอโทษที่ไม่มีแม้แต่เสี้ยวความจริงใจอยู่เลยสักนิด ข้าก็ก้มหัวลงเพื่อทำตัวจืดจางให้ได้มากที่สุด... ก็นะ การจะแกล้งกวนบาทาใครก็ต้องมีเป้าหมายให้กวนสิ ไม่งั้นก็เหมือนกับว่าข้าพูดคนเดียวน่ะสิ แบบนั้นคนอื่นเค้าไม่ว่า ข้าบ้า แย่เหรอ?
ก็นะ ในสายตาของคนอื่นแล้ว อิลิซ่านั้นเพียงแค่มายืนอยู่ตรงหน้าข้า พร้อมกับจ้องมองมาที่ข้าอย่างเงียบๆ ซึ่งในขณะเดียวกัน ตัวข้าก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรออกไปเช่นกัน ราวกับว่าข้าได้ส่งมอบอำนาจในการตัดสินใจให้กับนางแล้ว
“ขออภัยที่เสียมารยาท” หลังจากที่เอ่ยคำขอโทษ อิลิซ่าก็กลับไปนั่งที่ที่นั่งของนางตามเดิม
“ที่จริง สิ่งที่ข้าพูดไปก็ไม่ได้ผิดไปซะทีเดียวหรอกนะ ไม่ใช่ว่าการเจรจาเองก็เป็นการต่อรองต่อราคาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองให้ได้มากที่สุดหรอกเหรอ เช่นนั้น การเจรจากับการจ่ายตลาดจะต่างกันตรงไหนกัน?”
“ดิฉันกำลังใช้ความคิดอยู่ค่ะ เพราะงั้นช่วยกรุณาอยู่เงียบๆด้วย”
“ใช่ซิ ใช่ซิ เจ้ามันรู้จักแต่รังแกไอ้แก่คนนี้นี่นะ เอาแต่บ่นว่าไอ้เฒ่าคนนี้มันพูดมากน่ารำคาญ ก็ได้ งั้นไอ้แก่เฒ่าคนนี้จะออกไปเที่ยวเล่นแถวนี้แทนละกัน แค่นี้คงได้ใช่ไหม”
เอาล่ะ ถือว่าพอเหมาะพอเจาะพอดี ไหนๆ ข้าก็เริ่มเอียนกับบรรยากาศสุดน่าเบื่อในห้องเจรจานี้เต็มทนแล้ว เช่นนั้น ข้าก็ขอจรลีลี้หนีไปเที่ยวเล่นก่อนละกัน พอคิดเสร็จ ข้าก็ลุกขึ้น เตรียมตัวที่จะจากไป...
“นายท่านค่ะ ไปดีมาดี แล้วอย่ากลับดึกซะล่ะค่ะ แล้วก็ อย่าไปเก็บของแปลกๆตามพื้นมากินด้วยล่ะ เดี่ยวท่านจะปวดท้องเอา แล้ว ก็อย่าไปแกล้งเด็กจนร้องไห้มากเกินไปล่ะค่ะ เดี่ยวพ่อแม่เด็กได้ตามมาเอาเรื่องพวกเราถึงที่พักกันพอดี แล้วก็ ถ้าท่านคิดจะทำเรื่องชั่วช้าสามานย์ก่อความวอดวายให้ชาวบ้านชาวช่องเค้าล่ะก็ ท่านก็ช่วยอย่าให้โดนจับได้ล่ะค่ะ เพราะดิฉันไม่ได้รู้จักมักจี่กับคนของโรงพักที่นี่ ดิฉันเลยไม่อยากต้องไปขึ้นโรงพัก เพื่อไปประกันตัวใครบางคนออกมาน่ะค่ะ”
ให้ตายสิ หลังจากได้ยินคำบ่นจู้จี้ที่ราวกับคำบ่นที่คนเป็นแม่ใช้บ่นกับลูกชายเด็กโข่งของตนจากอีกฝ่าย ข้าก็เริ่มใคร่ครวญสงสัยขึ้นมาว่า การเลี้ยงดูสั่งสอนของข้ามันไปขาดตกบกพร่องหรือผิดพลาดตรงไหนกัน ทำไมกันน้า ทำไม เด็กสาวตัวน้อยสุดน่ารักที่กลัวความมืดกับการอยู่คนเดียวในวันวาน เด็กสาวที่มาคอยดึงแขนเสื้อข้าเพื่อขอนอนด้วยในวันที่พายุโหม ถึงได้เติบโตมาเป็นผู้หญิงปากคอเราะร้ายนิสัยบิดเบี้ยวมากด้วยพิษสง แบบนี้กัน
ซึ่งระหว่างทางขาออก ข้านั้นยังต้องทนกับสายตาเย็นชาที่อิลิซ่ามองมา แถมยังต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาเย้ายวนจากเหล่าจ้าวตระกูลชาวเอลฟ์... ช่างน่าเสียดายนัก ว่ากันว่ากระบวนท่าวิชาเรื่องบนเตียงของเหล่าดาร์ดเอลฟ์นั้นขึ้นชื่อเป็นหนึ่งใน ‘ศิลปะแสนเลอค่า’ ที่เหล่าชายฉกรรจ์ทุกผู้ทุกนายใฝ่ฝันอยากจะลิ้มลองสัมผัสดูสักครั้ง...
เอาเถอะ ถึงจะไม่มียัยสาวใช้ปากร้ายมาคอยขัด ข้าก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่ดีอะนะ แต่ว่านะ ในฐานะที่เกิดเป็นชายชาตรี ถึงจะสัมผัสไม่ได้ แต่ก็ใช้จินตนาการมโนเอาได้ใช่ไหมล่ะ ไงซะ แค่คิดก็ไม่ถือเป็นความผิดอยู่แล้วนิ จริงไหม!! ...อิลิซ่า! เจ้าเองก็ช่วยหยุดร้องเพลง ‘เป็นกงกงช่างปวดหัว’ ในหัวข้าเสียที ข้านี่ไม่น่าสอนเจ้าร้องเพลงป็อปเลยจริงๆ!! และที่สำคัญกว่านั้น ข้าไม่น่าบอกเจ้าเลยว่า กงกง คืออะไร!
“ฮึ่ม รอให้ข้าได้คืนชีพก่อนเถอะ...”
ซึ่งก่อนจะจากไป ข้าได้หันกลับไปมองแอนนี่ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเจรจาอยู่อย่างเต็มที่อีกครั้ง ข้าตั้งตารอวันที่เจ้าจะเติบโตขึ้นเป็นเจ้านครเต็มตัวอยู่นะ เพื่อที่ข้าจะได้ไปรับรางวัลจากเจ้าระบบ แล้วคืนชีพขึ้นเสียที...
ในตอนนั้น ตัวข้าไม่รู้เลยว่า เมื่อครั้งที่ข้าจากไป เหล่าจ้าวตระกูลดาร์เอลฟ์ทุกนางนั้นต่างพากันถอนหายใจโล่งอกออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“ดูท่าชุดคลุมเวทมนต์กับหน้ากากนั้นจะเป็นเครื่องสวมใส่ชั้นเทวะหมดเลยนะ ข้าล่ะสัมผัสถึงพลังหรือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของชายผู้นี้ไม่ได้เลยสักนิด”
“แถมตลอดเวลาที่เจรจากันมา อารมณ์สีหน้าท่าทางก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้เพียงนิดเดียว แม้แต่เสียงเต้นหัวใจข้าก็ยังสัมผัสไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แล้วถ้าเกิดข้าลองหลับตาดู แล้วจับสัมผัสดูล่ะก็ ข้านั้นสัมผัสได้แต่ความว่างเปล่า ราวกับว่าชายผู้นี้ไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกแล้ว นี่ชายผู้นี้เป็นตัวประหลาดประเภทใดกันแน่เนี่ย?”
“จะเป็นปิศาจ? มนุษย์? เอลฟ์? หรืออันเดดกันแน่นั้น? พวกเราไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย ว่าแต่ จากที่ดูๆ มาเนี่ย ดูท่า แม่สาวน้อยทั้งสองนางจะค่อนข้างรับฟังความเห็นของชายผู้นี้อยู่พอสมควรเลยนิ แล้วทั้งๆที่เป็นแบบนั้น ทำไมชายผู้นี้ถึงเลือกจะจากไปเสียดื้อๆ เช่นนี้ล่ะ ทำไมกันนะ? หรือว่านี่จะเป็นกลอุบายรูปแบบนึงกัน?”
ถ้าลองมองจากมุมหนึ่งดูล่ะก็ สิ่งเดียวที่คอยฉุดรั้งการเจรจาในครั้งนี้ไว้ก็คือ วูเมี้ยนเจ้อ
สำหรับเหล่าจ้าวตระกูลดาร์ดเอลฟ์ที่ใช้ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเกินกว่าจะนับปี ผู้แข็งแกร่งนั้นมิใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวนั้นคือ สิ่งที่ไม่รู้ ซึ่งตัววูเมี้ยนเจ้อเองก็ลึกลับและอันตรายเกินกว่าจะหยั่งถึง
“ด้วยฐานะที่เป็นผู้คิดค้นพลังฝ่ายกฎระเบียบชนิดใหม่ พวกเราย่อมห้ามประมาทชายผู้นี้ ถ้าพลังแห่งกฎหมายถูกชะตาฟ้ากำหนดให้กลายเป็นพลังอันแข็งแกร่งเยี่ยงแสงศักดิ์สิทธิ์ล่ะก็ บางทีในตอนนี้ พวกเราอาจกำลังเผชิญหน้าอยู่กับเทพเจ้าในอนาคตก็เป็นได้ แต่เอาเถอะยังไงซะ การจากไปของชายผู้นี้ก็เป็นเรื่องดีสำหรับทางเรา... หรือ บางที พวกเราควรจะส่ง ‘เงา’ ตามสะกดรอยชายผู้นี้ไปดี แล้วพอประสบโอกาสเหมาะๆก็ค่อย...”
จ้าวตระกูลแห่งตระกูลอันดับ 1 ประจำนครมอร์สไบลท์ ลูเซียน่า ถ้าจะให้พูด ก็คงพอจะบอกได้ว่านางนั้นเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของนครภูผาหลิวฮวง แล้วถึงแม้เรื่องที่เหล่าดาร์ดเอลฟ์นอกรีตที่หันไปนับถือในแสงศักดิ์สิทธิ์จนทรยศทอดทิ้งเผ่าพันธุ์ดาร์ดเอลฟ์ของพวกตนไป จะทำให้อดีตตระกูลอันดับ 1 ประจำนครมอร์สไบลท์สูญสิ้นความไว้เนื้อเชื่อใจและเอ็นดูจากราชินีแมงมุม จนตระกูลซีย์ฟานของลูเซียน่าได้รับช่วงต่อสืบทอดอำนาจขึ้นเป็นตระกูลอันดับ 1 แทน
แต่จะอย่างไรก็ตาม เรื่องที่ไดอาน่ากับเหล่าพ้องเพื่อนทอดทิ้งเผ่าพันธุ์ดาร์ดเอลฟ์ไป แล้วดันไปมีชีวิตที่ดีวันดีคืนดีขึ้นอยู่ที่นครอื่น ย่อมฝากรอยหลงเหลือไว้เป็นความอัปยศให้กับนครมอร์สไบลท์ ซึ่งถ้าตัวลูเซียน่าไม่รีบหาทางล้างอายความอัปยศนี้ไปล่ะก็... องค์ราชินีแมงมุม นั้นมิเคยเป็นเทพเจ้าที่ว่าด้วยเหตุผลอยู่แล้ว เสียงกรีดร้องโหยหวนของจ้าวตระกูลอันดับ 1 คนก่อนตอนโดนสาปให้กลายเป็นแมงมุมนั้นยังคงดังก้องตราตรึงอยู่ในใจดาร์ดเอลฟ์นางนี้
ในขณะนั้นเอง ตัวคาจาร์ที่กำลังพูดคุยอยู่กับแอนนี่ ก็ได้เหลือบสายตามามองที่ตัวลูเซียน่าราวกับว่าตัวนางนั้นรู้ว่าดาร์ดเอลฟ์นางนี้กำลังแอบคิดวางแผนอะไรอยู่ในใจ
“...แล้วพอประสบโอกาสเหมาะๆก็ค่อยส่งของขวัญเล็กๆน้อยๆ ไปกระชับไมตรีกับท่านผู้นั้น ถ้าพวกเราสามารถตกลงเป็นพันธมิตรกับขุมกำลังฝ่ายใหม่อย่างนครภูผาหลิวฮวงได้ล่ะก็ การต่อรองอำนาจในการสั่งการพันธมิตรโลกใต้พิภพในการประชุมที่กำลังมาถึงก็คงจะง่ายขึ้นมากนัก นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ดาร์ดเอลฟ์ทั้งเผ่าพันธุ์ ฉะนั้น พวกเจ้าอย่าได้ทำตัวหุนหันทำตามอารมณ์ตัวเองจนกระทบการณ์ใหญ่ล่ะ”
ซึ่งถึงแม้ตัวลูเซียน่าจะเปลี่ยนคำพูดของตัวเองได้อย่างทันท่วงที แต่สายตาของคาจาร์นั้นก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวนางดั่งเดิมไม่เบี่ยงเบนไปไหน ณ ตอนนี้ หัวใจของดาร์ดเอลฟ์ลูเซียน่านั้นแทบจะหยุดเต้น แผ่นหลังของนางชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นๆในทันทีทันใด
แค่ได้รับพรจากลอร์สซี่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอทำให้คาจาร์สามารถรวบรวมเผ่าพันธุ์ดาร์ดเอลฟ์มาอยู่ใต้อาณัติได้เกินกว่าครึ่งเผ่าพันธุ์หรอก ในสังคมดาร์ดเอลฟ์ที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟันหักหลังแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นนั้น องค์สังฆราชที่ใบหน้าเต็มรอยยิ้มตลอดเวลานางนี้เองก็ใช้การหลั่งเลือด(ฆ่า)เพื่อจัดการกับผู้ที่มีความคิดกระดากกระเดื่องต่อตัวนางเหมือนกัน ไม่งั้นมีหรือที่เหล่าดาร์ดเอลฟ์ที่เห็นว่าการกระดากกระเดื่องเป็นเรื่องปกติที่พึ่งกระทำ จะยอมก้มหัวรับใช้องค์สังฆราชดาร์ดเอลฟ์นางนี้
“ย่อมได้ เช่นนั้น เรื่องของขวัญที่เจ้าพูดถึง ข้าขอฝากให้เจ้า จ้าวตระกูลแห่งซีย์ฟานผู้สูงศักดิ์ เป็นผู้จัดการจัดหามาละกัน แต่ก็อย่างที่เจ้าว่านั้นแหละ สิ่งที่พวกเราต้องการในตอนนี้ก็คือ พันธมิตรที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้”
“ค่ะ นับเป็นเกียรติของข้านัก ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง”
ณ ตอนนี้ ตัว ลูเซียน่า ซีย์ฟาน นั้นไม่เหลือเรี่ยวแรงจะไปสนใจเหล่าจ้าวตระกูลดาร์ดเอลฟ์คนอื่นๆที่แอบหัวเราะเยาะนางแล้ว แค่นางมีชีวิตรอดจากคราวเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ ตัวนางก็ดีใจมากแล้ว
“เอาล่ะ เรามาตกลงเรื่องช่องทางสื่อสารระหว่างพวกเรากันเถอะ...”
ในการตกลงเป็นพันธมิตรของสองกลุ่มขั้วอำนาจนั้น ถึงแม้จะเป็นข้อตกลงพันธมิตรกลวงๆที่ทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างอยู่ แต่ทั้งสองฝั่งก็ยังจำเป็นต้องพูดคุยเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆอีกมากมาย เช่นนั้น การพบปะกันในครั้งนี้ย่อมต้องกินเวลายาวนานพอสมควรเลยล่ะ
แต่ไม่ว่าเรื่องจะเป็นเช่นไร ตัวข้าก็ไม่ได้สนใจทั้งนั้น หรือควรจะบอกว่า ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจ ดีล่ะ
ก็อย่างที่ข้าบอกอิลิซ่าไป การเจรจากันระหว่างประเทศหรือกลุ่มขั้วอำนาจนั้นมิได้ต่างจากการซื้อผักผลไม้ที่ตลาดเลย มันก็การที่เหมือนกับการที่เจ้าบอกให้อีกฝ่ายจ่ายเพิ่มอีก 2 เหรียญ แล้วเจ้าจะให้มันฝรั่งกับแครอทเพิ่มอีกอย่างล่ะหัวนั้นแหละ
ก็ในเมื่อราคาตลาดถูกกำหนดไว้ตายตัว ไม่ว่าความสามารถในการต่อราคา(เจรจา)ของเจ้าจะสูงส่งเลิศเล่อเพียงใด สุดท้ายเจ้าก็สามารถกดราคาหรือโก่งราคาขึ้นมาได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น
และเอาพูดความจริงเลยนะ โดยปกติน่ะ ผลของการเจรจาน่ะรู้ผลเสียตั้งแต่ก่อนเริ่มเจรจาด้วยซ้ำ แล้วสิ่งใดไม่สามารถได้มาผ่านสนามรบ ก็มักจะไม่สามารถได้มาผ่านโต๊ะเจรจาเช่นกัน... อืม ข้ารู้น่าว่ามันมีกรณียกเว้นอยู่ ฉะนั้น พวกเราอย่าได้ไปพูดถึงประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าอภิรมย์นั้นเลย แล้วก็นะ ในกรณีที่ตัวผู้นำนั้นดักดานจนเกินเยียวยาน่ะ ต่อให้ผลการเจรจาหรือผลสงครามออกมาดีแค่ไหน สุดท้ายทุกสิ่งก็สูญเปล่าอยู่ดี
ส่วนตรงที่ว่า ‘ราคาตลาดกำหนดผลลัพธ์การซื้อขาย’ นั้นหมายถึง สถานการณ์ก่อนเริ่มเจรจาของทั้งสองฝ่าย ว่าแต่ละฝ่ายถือครองชิปต่อรองแบบใดไว้ แล้วชิปที่มีเนี่ยเอาไปต่อรองอะไรได้บ้าง ซึ่งฝ่ายที่มีจำนวนชิปในมือน้อยกว่าก็มักจะร้อนรน จนสูญเสียความได้เปรียบในการเจรจาไปอย่างง่ายๆ แล้วในทางกลับกัน ฝ่ายที่ถือครองชิปมากกว่าเองก็มักจะได้เปรียบสามารถยื่นข้อเสนอจ่ายน้อยผลตอบแทนสูง ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
แล้วก็ต้องขอขอบคุณความพยายามของพวกเราในตลอดช่วงที่ผ่านมา ทำให้ความได้เปรียบในการเจรจาครั้งนี้ตกมาอยู่ในมือของฝั่งนครภูผาหลิวฮวง ซึ่ง ณ ตอนนี้ ตัวโชวและมอลลี่เองก็เริ่มออกเคลื่อนไหวมาได้สักพักแล้ว ส่วนตัวไอน์สเตอร์น่า เอดัวร์ กับเหล่าอสูรที่หนุนหลังอยู่ก็เป็นนกสองหัวเจ้าเล่ห์กลับกลอกไว้ใจอะไรไม่ได้ แล้วยังมีเหล่าจ้าวตระกูลดาร์ดเอลฟ์ที่ไม่รู้จักคำว่า ภักดี มาคอยจ้องจะแทงข้างหลังอีก เช่นนี้ ตัวคาจาร์ย่อมอยู่ในสถานะที่ต้องรับแรงกดดันจากรอบข้างอย่างมหาศาล
ซึ่งข้าจำได้นะว่าใน ‘ประวัติศาสตร์’ ต้นฉบับ 10 ปี ให้หลังจากสงครามครั้งใหญ่ที่กองทัพพันธมิตรโลกใต้พิภพเริ่มบุกขึ้นพื้นทวีปน่ะ หัวหน้าใหญ่ของเหล่าดาร์ดเอลฟ์คือ จ้าวตระกูลดาร์ดเอลฟ์นามว่า วิคตอเรีย... ทั้งนี้ชีวิตหลังเกษียณของดาร์ดเอลฟ์ตำแหน่งสูงๆน่ะมิเคยจะหาความสงบสุขเจอ เช่นนี้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ที่เหล่าดาร์ดเอลฟ์จะยอมทิ้งอำนาจสมัครใจเกษียณตัวเองน่ะ เพราะยังไงซะ สำหรับเหล่าดาร์ดเอลฟ์แล้ว ชีวิตหลังเกษียณนั้นมักจะเลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตายเสียด้วยซ้ำ
เช่นนี้ ไม่ว่านี่จะเพื่อตัวนางเองหรือเพื่อเผ่าพันธุ์ดาร์ดเอลฟ์ที่นางถือครอง ตัวคาจาร์ก็ต้องเร่งหาพันธมิตรที่พอไว้ใจได้มาให้ได้อย่างเร็วที่สุด
แต่สำหรับนครภูผาหลิวฮวงแล้ว ต่อการเจรจาในวันนี้ หรือแม้แต่เรื่องการหาหนังสือแนะนำเพื่อเข้าร่วมพันธมิตรโลกใต้พิภพจะล้มเหลว พวกเราก็แค่หันหลังแล้วกลับเมืองของพวกเราก็เท่านั้นเอง เพราะอย่างน้อย ก่อนที่กลลวงรวมถึงมุกตลกเล็กๆน้อยๆที่ไม่เหมาะจะบอกให้ผู้อื่นรับรู้ของข้าจะถูกเปิดโปงออกมา นครภูผาหลิวฮวงก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องลงไปเหยียบโคลนตมนี้ด้วย
ในเมื่อความได้เปรียบในการเจรจาอยู่ในมือพวกเรา แล้วยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายมีเรื่องจะขอร้องกับทางนี้อีก ซึ่งดูแล้ว ฝ่ายดาร์ดเอลฟ์คงตัดสินใจไปแล้วว่าจะต้องเจรจาเป็นพันธมิตรกับนครภูผาหลิวฮวงให้ได้ เช่นนี้ ไม่ว่าจะต้องใช้เล่ห์หรือใช้กลฝ่ายดาร์ดเอลฟ์ก็ต้องมั่นใจให้ได้ว่าการเจรจาในวันนี้ต้องสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่ในทางกลับกัน ทางฝ่ายข้านั้นไม่ได้สนใจแต่แรกแล้วว่า ผลการเจรจาในวันนี้จะออกมาเช่นไร แถมทางข้าก็ยังเหลือชิปในมือไว้ต่อรองอีกมากมาย ฉะนั้น ต่อให้การเจรจาในวันนี้ไปพูดคุยกันอีท่าไหน ผู้ที่กำชัยคนสุดท้ายก็ยังเป็นทางข้าอยู่ดี
ส่วนการที่ข้าเอาแต่ปฏิเสธไม่ยอมไปติดต่อข้องแวะกับคาจาร์และไอน์สเตอร์น่านั้นก็มีสาเหตุอยู่เหมือนกันว่าทำไม เพราะข้าต้องการให้ทั้งคู่ต้องระส่ำระสาย เป็นกังวลว่าข้าจะไปคืนดีแล้วจับมือเป็นพันธมิตรกับทางโชวและมอลลี่ จนสมดุลอำนาจในกองทัพพันธมิตรต้องเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลล่ะว่าทำไมข้าถึงพูดว่า ผลของการเจรจาน่ะรู้ผลเสียตั้งแต่ก่อนเริ่มเจรจาด้วยซ้ำ แล้วอีกอย่าง ด้วยความสามารถในการเจรจาที่เหนือชั้นกว่าคนทั่วไปของอิลิซ่า ในระหว่างที่เจรจาตอบโต้กันนั้น นางนั้นไม่มีท่าทางอาการประหม่าตกใจหรือเขินอายเลย เช่นนี้ ข้าย่อมสามารถฝากฝังให้นางดูแลที่นี่ต่อแล้วจากไปได้อย่างอุ่นใจ
ซึ่ง ณ ขณะนี้ ตัวข้าที่กำลังเดินไปตามท้องถนนของนครเวลซ์ มองดูทิวทัศน์ศิวิไลซ์อันแปลกตา ก็ตัดสินใจ เริ่มต้นแผนการเล็กๆของข้าขึ้น
“ข้า วูเมี้ยนเจ้อ โรแลนด์ ไม่ใช่คนใจบุญชอบให้อภัยคนอื่นหรอกนะ ในเมื่อพวกเจ้ากล้ามาโจมตีนครภูผาหลิวฮวง ก็แปลว่าพวกเจ้าต้องเตรียมใจจะรับการแก้แค้นจากข้าไว้แล้วสินะ โชว มอลลี่ หนี้แค้นที่พวกเจ้าทั้งสองติดค้างข้า ถึงเวลาที่ต้องชดใช้แล้ว”