ตอนที่ 38 เอลฟ์และนครทองคำขาว
นครใต้พิภพเวลคาสเต็นซ์ ในภาษาของเหล่าก็อบลินนั้นมีความหมายว่า ‘นครทองคำขาว’ นครแห่งนี้มีชัยภูมิที่ตั้งที่แสนจะจำเพาะเจาะจง ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาไฟมากมายที่กำลังคุกกรุ่น ถ้าจะให้พูดนครแห่งนี้คือเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาไฟและสายธารลาวาที่ไหลเวียนอย่างไม่มีหยุดหย่อน ตัดขาดนครแห่งนี้ออกจากดินแดนที่อยู่รอบข้าง
ทั้งนี้ที่นครแห่งนี้นั้นมีตำหนักลอยฟ้าที่ตั้งอยู่เหนือนคร ซึ่งวิธีขึ้นไปบนตำหนักลอยฟ้านี้นั้นก็มีเพียงวิธีเดียวนั้นคือ บันไดวนที่ตั้งอยู่ที่ตัวเมืองด้านล่าง ฉะนั้นในยามที่นครแห่งนี้ต้องพบกับผู้รุกราน กองกำลังป้องกันของนครแห่งนี้ก็แค่จัดการปิดทางบันไดวน แล้วเทน้ำลงไปให้ท่วมหรือไม่ก็รมด้วยควันพิษ แค่นี้นครแห่งนี้ก็ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์แล้ว
ซึ่งทางด้านหลังของนครแห่งนี้ เป็นกำแพงหินผาที่มีช่องทางเดินที่พาตรงไปสู่พื้นทวีปเบื้องบน ทำให้นครแห่งนี้ผูกขาดกิจการ การค้าขายติดต่อระหว่างพื้นทวีปและโลกใต้พิภพ และที่สำคัญกว่านั้น ช่องทางเดินนี้ยังเป็นช่องทางหนีฉุกเฉินในยามคับขันอีกด้วย
ในโลกใต้พิภพนั้น ความปลอดภัยในชีวิตถือเป็นสิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใด ฉะนั้น เพียงไม่นาน นครแห่งนี้ ก็ดึงดูดเหล่าพ่อค้าแม่ขายจำนวนมากมายให้มาตั้งรกรากอยู่ที่นครแห่งนี้อย่างถาวร จนในที่สุดนครแห่งนี้ก็กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายตลอดดินแดนใกล้ไกล ซึ่งนอกจากเหล่าก็อบลินที่ยังคงยืนกรานจะใช้ชื่อดั่งเดิมของนครแห่งนี้ เหล่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ ต่างเรียกนครแห่งนี้ด้วยชื่อสั้นๆว่า เวลซ์
ด้วยชัยภูมิอันเหนือล้ำของนครเวลซ์ ทำให้นครแห่งนี้มิต่างจากป้อมปราการอันสมบูรณ์แบบ สร้างชื่อให้นครแห่งนี้กลายเป็นเมืองทองคำแห่งโลกใต้พิภพก็มิปาน เยี่ยงนี้ ชื่อเสียงและโชคลาภย่อมหลั่งไหลไปหาเหล่าก็อบลินผู้ก่อตั้งนครแห่งนี้ขึ้น... แต่ก็นะ ในโลกใต้พิภพน่ะ ผู้ที่มีสมบัติแต่ดันไม่มีพลังหรือความสามารถมากพอจะปกป้องสมบัติของตนไว้ได้นั้น นั้นแหละที่เป็นฝ่ายที่ผิด
ถึงแม้ชัยภูมิจะดี แต่กำแพงด้านหลังนครก็มิอาจปกป้องภัยอันตรายจากทางด้านหลังและลมหายใจมังกรจากเบื้องบนได้ หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวโดนเล่ห์กลอุบายไปนักต่อนัก เหล่าก็อบลินนักสำรวจผู้ก่อตั้งนครแห่งนี้ขึ้นก็ได้พากันหัวหาย สาญสูญไปกันจนหมด เหลือทิ้งไว้เพียงแต่ เมืองที่ไร้ผู้ครอง นครที่ถือสถานะเป็นกลางไร้ซึ่งเจ้านครปกครอง
ส่วนสาเหตุน่ะเหรอ? ก็เพราะสถานการณ์ขั้วอำนาจต่างๆในนครเวลซ์ มันสลับซับซ้อนเกินไปน่ะสิ ถ้าว่ากันตามตรง ทุกเจ้านครทั่วทั้งโลกใต้พิภพนั้นต่างมีคนของตัวเองแฝงเป็นขั้วอำนาจอยู่ในนครแห่งนี้ ฉะนั้น ใครก็ตามที่คิดจะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นเจ้านครแห่งนี้ คงไม่พ้นโดนลอบสังหารในวันถัดไปอย่างแน่นอน ก็ด้วยประการฉะนี้แล นครแห่งนี้ถึงได้ตกอยู่ในสภาพชวนขนลุกไร้ซึ่งผู้ครองเช่นนี้
“ปล่อยให้ที่นี่เป็นเส้นทางสู่พื้นทวีปสำหรับทุกคน เป็นสถานที่ไว้เจรจาค้าขายกับนครต่างๆ เป็นเขตแดนสำหรับการทูตที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” เหล่าเจ้านครและจ้าวแห่งโลกใต้พิภพที่ได้ลิ้มรสความหอมหวานของนครแห่งนี้ก็พากันเห็นชอบลงมติเป็นเอกฉันท์กันในเรื่องนี้
ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมนครเวลซ์ถึงถูกเลือกให้เป็นสถานที่สำหรับการเจรจาพันธมิตรโลกใต้พิภพ เพราะจะอย่างไรซะ ถ้าเจ้าเลือกไปเจรจากันในดินแดนของเหล่าดาร์ดเอลฟ์ เหล่าคนแคระเทาและเหล่ามนุษย์สัตว์ก็คงจะพากันไม่พอใจ แล้ว ถ้าเกิดเจ้าดันเลือกไปเจรจากันในเขตแดนของเหล่ามนุษย์สัตว์ เหล่าเอลฟ์ คนแคระและมนุษย์ก็คงจะพากันยอมรับไม่ได้อีก แล้ว ถ้าเจ้าเกิดอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศไปลงมติกันที่นครมังกร เช่นนั้นข้าคงต้องขอให้พวกเจ้าทุกคนมีปีกงอกกันก่อนล่ะ แล้ว ถ้าเจ้าดันสะเหล่อนัดไปคุยกันที่ดินแดนของเหล่าก็อบลิน ดินแดนที่มุ่งเน้นไปที่การค้าขาย(ทุนนิยม) ด้วยค่าเข้าเมืองระดับขูดรีดขูดเนื้อ รวมทั้งค่าครองชีพระดับสูงลิบ รับรองทุกคนคงได้ไม่พอใจกันเป็นแน่
ฉะนั้น นครเวลซ์ที่ไร้ผู้ครองจึงกลายเป็นตัวเลือกที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว
ซึ่งเมื่อราวสัปดาห์ก่อน ได้มีเหตุการณ์การเข้าเมืองอันเอิกเกริกเกิดขึ้นที่นครเวลซ์ จนข่าวเรื่องไททันโลหะยักษ์ 17 ตนอารักขาคทาหย่งเยี่ยแพร่สะพัดไปทั่วทั้งนครใต้พิภพแห่งนี้ ซึ่งชื่อเสียงเรียงนามของเจ้านครวัยเยาว์แห่งนครภูผาหลิวฮวง แอนนี่ เองก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเช่นกัน
ซึ่ง ณ ตอนนี้ ตัวข้าที่อยู่ในชุดคลุมยาวที่สวมทับด้วยผ้าคลุม ก็ออกเดินร่อนเร่ไปทั่วนครที่มีความคล้ายคลึงกับนครภูผาหลิวฮวงแห่งนี้
ที่ข้าบอกว่านครเวลซ์นั้นคล้ายคลึงกับกับนครภูผาหลิวฮวงนั้น ข้าหมายถึงเรื่องที่นครแห่งนี้มีความหลากหลายทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ไร้ซึ่งชนชั้นสูงปกครอง รวมทั้งเป็นเมืองการค้าอันมั่งคั่ง แต่ภายในสายตาของข้านั้น ถึงแม้นครทั้งสองจะคล้ายคลึง แต่ในความคล้ายคลึงนี้ก็มีความแตกต่างอยู่
นอกเสียจากเหล่าอันเดด ที่ไม่ค่อยจะมีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย เผ่าพันธุ์อื่นๆ เกือบทั้งหมดในนครภูผาหลิวฮวงต่างก็พึ่งพาอาศัย อยู่ร่วมกัน กันอย่างสันติ ไม่ว่าร้านค้าเล็กๆ หน่วยลาดตระเวน หรือช่างทำผม ต่างก็มีสมาชิกพนักงานหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ แล้วทั้งนี้ทั้งนั้น ความคิดที่ว่าทุกเผ่าพันธุ์เท่าเทียมกันนั้นได้ฝั่งรากลึกลงไปในนครภูผาหลิวฮวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น ที่นครภูผาหลิวฮวง เรื่องการค้าทาสหรืออะไรที่คล้ายคลึงกันนั้นถือเป็นสิ่งที่มิอาจจะยอมรับได้
แต่ที่นครแห่งนี้ ธุรกิจการค้าทาสนั้นอู้ฟู่ไม่เบาเลยทีเดียว ถึงขนาดที่มีตลาดและโคลอสเซียมสำหรับเหล่าทาสโดยเฉพาะ และถึงแม้ที่นครแห่งนี้จะมีความหลากหลายทางชาติเผ่าพันธุ์ แต่พื้นที่อยู่อาศัยของแต่ละเผ่าพันธุ์นั้นถูกขีดกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งถึงแม้เขตของแต่ละเผ่าพันธุ์จะถูกกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วก็ตาม แต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้งก็ยังคงเกิดขึ้นดั่งเดิม แค่เปลี่ยนจากโจ่งแจ้งไปเป็นในเงามืดแทนเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น นักรบขี่หมาป่าเผ่ามนุษย์ 2 นายที่พึ่งโดนลากเข้าไปในเขตของมนุษย์สัตว์เมื่อครู่คงจะไม่มีวันได้กลับออกมาอีกแล้ว
“...ที่นี่คงเป็นเขตของเหล่าเอลฟ์สินะ มีแต่เจ้าพวกเนี่ยเท่านั้นแหละที่ว่างพอจะทำอะไรแบบเนี่ย”
เหล่าเอลฟ์นั้นต่างเป็นที่เลื่องลือในเรื่องรสนิยมด้านวิจิตรศิลป์(ความสวยความงาม)อันเป็นอันดับ 1 ความมุมานะในการสรรค์สร้างงานศิลปะอันวิจิตรงดงามของเหล่าเอลฟ์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเหล่าดาร์ดเอลฟ์ผู้ถูกเนรเทศเองก็มิต่างกัน แล้วถ้าเจ้าคิดว่าไอ้เซ้นต์ความสวยความงานเนี่ยเอาไปให้กับแค่ ตึกรามบ้านช่อง รูปปั้นแกะสลัก และภาพวาดล่ะก็ ข้าขอบอกเลยว่า เจ้านั้นดูถูกเหล่าเอลฟ์มากเกินไปแล้ว
ที่เบื้องหน้าของข้าตอนนี้คือ ผาหินอันมหึมา ซึ่งบนยอดของผาหินนั้นได้ถูกแกะสลักเป็นรูปปั้นอันงามสง่าของสตรีผู้งดงาม ที่ใบหน้าของนางนั้นได้ประดับด้วยสีหน้าอากัปกิริยาปฏิเสธผู้คนแต่ก็เชื้อเชิญให้เข้าหา ริมฝีปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ เรือนร่างของนางนั้นช่างอุดมสมบูรณ์เสียจนมือทั้งสองข้างที่นางมีมิอาจปกปิดได้มิด นี่ช่างชวนให้ผู้พบเห็นหลงคิดไปไกลยิ่งนัก
“คุณลุงกระดูก ดูดาบนี่สิ สวยมากเลย!!”
ในเมื่อนี่เป็นการพบปะกันเป็นการส่วนตัว เช่นนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะพาคนมาด้วยไม่มาก ซึ่งด้านหลังข้า ณ ตอนนี้คือ หัวหน้าคณะทูตแต่ในนาม แอนนี่ และจิตสำนึกอันดีประจำตัวข้า อิลิซ่า ที่สวมผ้าคลุมปกปิดตัวเองเอาไว้เช่นเดียวกับข้า
ซึ่ง ณ ตอนนี้ ตัวแอนนี่นั้นกำลังเหวี่ยงดาบมิธริลเล่มบางในมือไปมา ตัวดาบเล่มนี้นั้นยาวเรียวคล้ายกับเข็ม ตรงใบดาบได้สลักภาพดอกกุหลาบสีทองลงไป และตรงส่วนด้ามจับได้แกะสลักเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ 2 นางที่ยืนสยายปีกอยู่ข้างกัน ราวกับว่าพวกนางกำลังกรีดร้องคำรามถึงสวรรค์เบื้องบน
แม้จะเห็นเช่นนี้ แต่ประกายแสงสีเขียวที่ฉาบอยู่บนใบดาบก็เป็นเครื่องบ่งชี้แล้วว่า ดาบเล่มนี้ไม่ใช่แค่ของประดับแต่เป็นอาวุธอันตรายที่ลงอาคมพิษเอาไว้ อย่างน้อยนี่ก็เป็นคำพูดที่พ่อค้าดาร์ดเอลฟ์ผิวแทนกำลังใช้หว่านล้อมเจ้านครวัยเยาว์อยู่ในตอนนี้น่ะนะ
[งานศิลปะ: ดาบนางฟ้าตกสวรรค์]
[พลังโจมตี: 0-5(+1 จากพิษ) ระดับชั้น: ชั้นยอด]
[ความสามารถพิเศษ: ไม่มี โอ๊ะ ไม่สิ นางยังมีความสามารถพิเศษอยู่นินะ อย่างน้อย นางก็ทำให้เจ้าดูรวยและโง่พอที่จะซื้อของเล่นฟุ่มเฟือยแต่ใช้การอะไรไม่ได้เช่นนี้มา บางที ถ้าเจ้าลองหยิบนางออกมารำดาบดู เจ้าอาจจะทำให้เหล่าศัตรูตาพร่างมัวจากความงามของนางก็ได้นะ ใครจะไปรู้]
[จุดอ่อน: เปราะบาง เมื่อปะทะเข้ากับอาวุธชั้นยอด มีโอกาส 70 % ที่ดาบเล่มนี้จะหักในทันที องค์เทพธิดาเอ็ชเบื้องบน! นี่เจ้าพวกเอลฟ์บ้า นี่พวกเจ้าจะห่วงสวย จนเล่นแกะดาบจนกลวงเลยเหรอ!]
[ดามเล่มนี้คือผลงานศิลปะคลาสสิคสไตล์เอลฟ์ ดีไซน์สวยงดงาม งานแกะสลักประณีตดูดี วัตถุดิบเลอค่าราคาแพง งานฝีมือสมบูรณ์แบบไร้ที่ติและที่สำคัญกว่านั้น ไร้ประโยชน์! เอาไปใช้ต่อสู้? นี่เจ้าตั้งใจจะเอางานศิลปะไปสนามรบจริงๆงั้นเหรอ? หรือว่า เจ้าอยากจะประกาศให้โลกรู้ว่า ข้าเนี่ยล่ะจิตรกร รึไง? ถ้าเจ้าอยากจะได้อาวุธล่ะก็ ก็ไปเลือกจากเหล่าคนแคระเตี้ยล่ำบึ้กซะนะ]
แล้ว ณ วินาทีนี้ ตัวข้าที่เห็นแอนนี่ที่ลองออกแรงเหวี่ยงดาบในมือไปมา ราวกับว่าตนเองกำลังจะซื้อดาบเล่มนี้อยู่รอมร่อ ตัวข้าก็พูดไม่อะไรออกไปเลยทีเดียว เจ้าดาบบ้า นี่เจ้าไปโดนอะไรมาถึงได้โดนระบบระบุว่าเป็นงานศิลปะแบบนี้ แถมยังโดนระบุว่าเป็นขยะอีกต่างหาก สินค้าจากพวกเอลฟ์เนี่ยยังทำให้ผู้พบเห็นพูดไม่ออกเหมือนเดิมเลยนะ
ถึงไอ้ความมุมานะในการสร้างสรรค์งานศิลปะนั้นจะไม่ได้ผิดอะไรก็เถอะ แต่ไอ้การเล่นทำถึงขนาดใช้โลหะลงอาคมอย่าง มิธริลมาทำตัวดาบ แล้วดันไปแกะลวดลายที่มากเกินไปจนตัวดาบเปราะเสียยิ่งกว่าอาวุธธรรมดาเนี่ย แบบนี้มันไม่เท่ากับว่าพวกเจ้าลืมวัตถุประสงค์หลักของอาวุธไปหรอกเหรอ?
เมื่อใช้วัตถุดิบเหมือนๆกันมาทำอาวุธ ช่างตีเหล็กเผ่าเอลฟ์มักจะสร้างอาวุธออกมาให้ดูสวยเลอค่า แต่ด้วยการตกแต่ง(แกะสลัก)ที่มากเกินไป ทำให้อาวุธที่ออกมานั้นสูญเสียคุณสมบัติในฐานะอาวุธไปเพื่อแลกกับความสวยงาม ด้วยนิสัยเยี่ยงนี้ ทำให้เหล่าเอลฟ์มักจะผลิตสินค้าที่ทำให้ผู้พบเห็นอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ออกมากันอยู่เสมอ อาทิเช่น ดาบเล่มบางที่อยู่ ณ ที่นี้ หรือ เกราะโซ่เอลฟ์อันโด่งดัง
เกราะโซ่เอลฟ์นั้นเป็นชุดเกราะอันโด่งดังในเรื่องสมรรถนะที่เข้ากับเหล่านักเวทย์ โดยปกติ โลหะนั้นมักจะขัดการไหลเลียนของพลังเวทย์ในยามที่ร่ายเวทมนต์ ฉะนั้น แม้แต่นักเวทย์สงครามที่มักจะต้องเดินทางไปแนวหน้าอยู่เสมอ ก็ยังเลือกที่จะใส่ชุดคลุมเวทมนต์มากกว่าชุดเกราะโลหะที่มีความสามารถในการป้องกันสูงกว่า แต่แล้ว เหล่าจอมเวทย์เผ่าเอลฟ์ก็ได้คิดค้นเกราะโซ่เอลฟ์ชนิดใหม่ ที่รู้จักกันในนามว่า ‘บทบรรเลงสอดประสาน’ ขึ้น เกราะโซ่เอลฟ์ชนิดนี้นั้นเป็นที่เลื่องลือในเรื่องการสวมใส่สบายดุจชุดคลุม และไม่ส่งผลกระทบใดๆในยามที่ร่ายเวทมนต์
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เหล่าเอลฟ์นั้นสามารถสร้างชุดเกราะสุดวิเศษนี้ออกมาได้จริงๆ อาณาจักรเอลฟ์ที่ปิติยินดีกับการคิดค้นครั้งยิ่งใหญ่นี้ ก็เร่งรีบลงทุนลงแรงผลิตชุดเกราะชนิดใหม่นี้ออกมาเป็นจำนวนมาก แต่แล้ว เหล่าเอลฟ์ก็พบว่าชุดเกราะชนิดใหม่ของพวกตนนั้นมีปัญหาเล็กๆน้อยๆอยู่ข้อนึง นั้นคือ... ความสามารถในการป้องกันของเกราะโซ่ชนิดนี้นั้นต่ำเสียยิ่งกว่าชุดคลุมธรรมดาเสียอีก!
โดยปกติ เกราะโซ่นั้นจะสร้างขึ้นจากการดัดแผ่นโลหะเข้าหากันจนเป็นชุด เพื่อให้ได้ความสามารถในการป้องกันอันน่าพึงพอใจ แต่ ‘บทบรรเลงสอดประสาน’ นั้นกลับใช้สลักโลหะกลวงๆที่แทบจะหักไปในทันทีเมื่อได้รับแรงกระแทก ในการเชื่อมโลหะแต่ละแผ่น เช่นนี้ ความสามารถในการป้องกันของชุดเกราะชนิดนี้นั้นแทบจะไม่มีเลย
บางทีแค่เจ้ากลิ้งหลบลูกธนูชุดเกราะของเจ้าก็หลุดกระจายอยู่เต็มพื้นแล้ว ซึ่งหลังจากนั้น เจ้ายังต้องเสียเวลาอีกหลายชั่วโมงมานั่งประกอบชุดเกราะที่หลุดให้กลับมาสภาพเดิม แล้วบากหน้าทำเป็นว่าทุกอย่างปกติดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เพราะจะอย่างไรซะ เหล่านายทหารยาจกทั้งหลายก็คงไม่มีปัญญาชดใช้ค่าเสียหายชุดเกราะที่มีราคา เลข 0 สี่ตัวต่อท้ายได้หรอก
โดยในเวลาต่อมา ราชสำนักของอาณาจักรเอลฟ์ก็ได้ลองศึกษาตรวจสอบแบบแปลนของชุดเกราะชนิดนี้ เพื่อหวังจะพัฒนากลบจุดด้อยที่มี แต่แล้วเหล่าเอลฟ์ก็ได้ตระหนักว่า สาเหตุที่พลังเวทย์ของเหล่าผู้ร่ายเวทย์สามารถไหลผ่านชุดเกราะ ‘บทบรรเลงสอดประสาน’ ออกไปได้นั้น ก็เพราะสลักที่ใช้เชื่อมแผ่นโลหะของชุดเกราะชนิดนี้นั้นกลวงพอที่จะให้พลังเวทย์ไหลผ่านไปได้ เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเพิ่มความสามารถในการป้องกันให้กับชุดเกราะชนิดนี้เลย เพราะถ้าใช้สลักที่หนาเกินไป ก็จะเหมือนกับชุดเกราะชนิดอื่นๆ ที่พลังเวทย์ไหลผ่านไม่ได้ ด้วยจุดหมายที่ขัดกับหลักความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ การจะไปเพิ่มสมรรถนะให้กับชุดเกราะ ‘บทบรรเลงสอดประสาน’ นั้นย่อมเป็นไม่ได้
ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น อาณาจักรเอลฟ์ที่ผลาญท้องพระคลังประเทศตัวเองไปจนหมดกับการซื้อโลหะล้ำค่ามาทำ ‘บทบรรเลงสอดประสาน’ ก็ถูกทำลายไปในภัยพิบัติอันเดด ด้วยประการฉะนี้ นับแต่นั้นมาชุดเกราะ ‘บทบรรเลงสอดประสาน’ ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สื่อถึง ความงดงามหรูหราที่เอาไปใช้งานจริงอะไรไม่ได้ของชุดเกราะและอาวุธที่เหล่าเอลฟ์สร้างขึ้น...
ซึ่งถ้าจะให้พูดกันตามตรง ตัวข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะจัดการกับเหล่าโลหะล้ำค่าที่ยึดมาได้ ซึ่งโดนปล่อยทิ้งอยู่ในห้องเก็บของข้าเช่นไรดีเหมือนกัน ด้วยการที่ผ่านการลงอาคมไปเรียบร้อยจนไม่สามารถเอาไปใช้งานต่อยอดใดๆได้อีก จนสุดท้าย ข้าก็ทำได้แต่ โยนโลหะเหล่านี้ไปให้ช่างตีเหล็กเผ่าเอลฟ์แย่งกันเอาไปผลิตเป็นงานศิลปะเท่านั้น
นี่ก็เป็นสาเหตุแหละว่า ทำไมชุดเกราะและอาวุธที่สร้างจากมือของเหล่าเอลฟ์จึงไม่เป็นที่ต้อนรับในโลกใต้พิภพ แต่กลับเป็นที่นิยมในเหล่าชนชั้นสูงเผ่ามนุษย์ จะอย่างไรซะ อาวุธยอดนิยมประจำโลกใต้พิภพก็ยังตกเป็นของอาวุธจากมือเหล่าคนแคระเทาอยู่วันยังค่ำไม่เปลี่ยนแปลง
และแน่นอนว่า เหล่าเอลฟ์นั้นไม่มีทางยอมรับความจริงในข้อนี้ พวกเอลฟ์นั้นต่างพากันคิดว่านี่น่ะเป็นเพียงคำดูแคลนเหน็บแหนมจากเหล่าเผ่าพันธุ์ที่มีอายุขัยแสนสั้น “พวกเจ้าก็แค่ริษยาในมันสมองที่มากล้นด้วยจินตนาการอันวิจิตรงดงามของพวกเราก็เท่านั้น เจ้าพวกตาต่ำโง่งม อย่างพวกเจ้าน่ะใช้ ‘แท่งเหล็กโง่ๆ’ ของเจ้าพวกคนแคระม่อต้อนั้นไปทั้งชีวิตซะไป”
ซึ่งรูปปั้นเอลฟ์หญิงขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าข้าก็เช่นกัน สำหรับผู้ที่ผ่านไปผ่านมาอาจคิดว่านี่เป็น รูปปั้นแกะสลักของเทพธิดาลอร์สซี่ หรือสื่อกลางสำหรับใช้ประกอบพิธีกรรมเวทมนต์สักพิธี แต่ถึงให้เจ้าระบบไม่บอกข้าตรงๆว่านี่คือ [รูปปั้นสาวเปลื้องผ้าในฝันของนักแกะสลักซินดี้(xin yi)] ข้าก็พอเดาได้ว่านี่น่ะเป็นผลงานจากอาการกำเริบของมันสมองที่มากล้นด้วยศิลปะของพวกเอลฟ์
Tl note : ผมไม่รู้ว่า xin yi 心怡 อ่านว่าอะไรนะครับ ในฉบับอิ้ง คนแปลใช้เป็น นักแกะสลักผู้หนึ่ง ไปเลย
ถึงแม้รูปแกะสลักสูง 100 เมตรจนต้องใช้เวทมนต์ลอยตัวเพื่อบินขึ้นไปเชยชมนี่ จะสวยงดงามสักเพียงใด จะดึงดูดสายตาผู้คนได้มากสักเท่าไร แต่ในท้ายที่สุดนี่ก็ยังเป็นแค่รูปปั้นแกะสลักอยู่วันยังค่ำ
ถ้ารูปปั้นนี่ถูกสร้างจากมือช่างฝีมือชาวมนุษย์ล่ะก็ งานนี้คงต้องใช้แรงงานช่างไม่ต่ำกว่า 400 นาย ทำงานร่วมกันประมาณ 5 ถึง 6 ปี แต่สำหรับเหล่าเอลฟ์แล้ว งานนี้อาจเกิดจากแรงบันดาลใจเล็กๆที่ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนทำให้ศิลปินเลื่องชื่อคนนึงต้องเสียเวลาหลายร้อยปีคลุกอยู่ที่นี่ เพื่อทำสิ่งที่ไร้ความหมายเช่นนี้
สำหรับเอลฟ์ที่มีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ พันปีนั้น เวลาเท่านี้อาจจะไม่ได้มากมายอะไร แต่มนุษย์เรานั้น ไม่ได้มีเวลามากมายเหลือเฟือขนาดนั้น...
ทั้งนี้ ผลการแข่งความอดทนระหว่างข้ากับบุตรีผู้ควบตำแหน่งสังฆราชแห่งลอร์สซี่ คาจาร์ นั้นได้ข้อสรุปออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ข้าจัดการทำให้คณะฑูตดาร์ดเอลฟ์ต้องกลับบ้านมือเปล่าไปเป็นคณะที่สาม นางก็ตัดสินใจให้ลูกน้องนางทิ้งจดหมาย เชื้อเชิญข้า ให้มาเจรจาหารือกันที่เขตเอลฟ์ประจำนครเวลซ์ เอาไว้ก่อนที่คณะฑูตดาร์ดเอลฟ์ของนางจะเดินทางจากนครภูผาหลิวฮวงไป
ซึ่ง ณ ขณะนี้ อิลิซ่าที่อยู่ด้านหลังข้า ก็กำลังใช้เหตุผลว่าพวกเรานั้นกำลังจะไปเจรจาหารือแบบลับๆ ฉะนั้นการติดต่อมักจี่กับคนในท้องที่ แลดูจะเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเท่าไรนัก ในการกล่อมแอนนี่ให้ยอมตัดใจเรื่องดาบ... อืม ไม่สิ เรื่องงานศิลปะ
“ท่านแอนนี่ กรุณาถือเรื่องงานมาก่อนด้วยค่ะ สำหรับเรื่องหยุมหยิมเช่นการซื้อของจ่ายตลาดเช่นนี้น่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบ่าวเยี่ยงพวกฉันเถอะค่ะ” ซึ่งน้ำเสียงของนางก็ยังคงเหมือนอย่างเคย เราะร้ายดุจยาพิษไม่มีเปลี่ยน แต่ในเมื่อแอนนี่นั้นรู้ตัวดีว่า นางนั้นไม่สามารถเถียงชนะอีกฝ่ายได้ อืม ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องที่นางสู้ไม่เคยชนะพี่สาวคนนี้ เองก็มีส่วนทำให้นางไม่กล้าเถียงเช่นกัน เช่นนี้ แอนนี่จึงเริ่มเรียนรู้ที่จะเพกเฉยต่อความเราะร้ายที่แฝงอยู่ในวาจาของอีกฝ่าย
แต่เมื่อได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ หน้าข้าก็เริ่มมุ่ยลง แอนนี่นั้นเป็นว่าที่เจ้านครคนถัดไป ส่วนอิลิซ่าเองอนาคตก็คงหนีไม่พ้นตำแหน่งหัวหน้าแห่งฝ่ายกิจการภายใน ไม่ก็ ตุลาการสูงสุด หรือไม่ก็ตำแหน่งสูงๆตำแหน่งอื่นๆ เช่นนี้ ถ้าเกิดทั้งคู่มีเรื่องไม่ลงรอยหรือบาดหมางกันขึ้นมาล่ะก็ เรื่องนี้อาจบานปลายกลายเป็นปัญหาใหญ่ให้กับนครนครภูผาหลิวฮวงในภายภาคหน้าก็เป็นได้
“ถึงตัวอิลิซ่าจะให้ความเคารพกับทุกคนในระดับนึงก็เถอะ แต่ทำไมพอเป็นแอนนี่ นางถึงได้ใจร้ายเช่นนี้กันล่ะ... ดูท่าข้าคงต้องหาโอกาสคุยเรื่องนี้กับนางแล้วสิ”
ในทันใดนั้นเอง ทหารยามเอลฟ์ที่อยู่เบื้องหน้าพวกเราก็เปิดทาง แยกออกไปยืนกะนาบข้างทั้ง 2 ฝั่ง ก่อนที่ นักบวชหญิงดาร์ดเอลฟ์จะเดินออกมาจากเงามืด ซึ่งด้านหลังของนางนั้น ได้มีสตรีดาร์ดเอลฟ์จำนวนนึง ในลักษณะอากัปกิริยายโสจองหองแต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรางดงาม...
“ในโลกใต้พิภพนั้น มีนครดาร์ดเอลฟ์อยู่ทั้งหมด 72 นคร แล้วดูท่าจ้าวตระกูลจากตระกูลระดับหนึ่งเกินกว่า 20 ชีวิตจะเดินทางมาอยู่ที่นี่กันหมด ซึ่งต่อให้ไม่นับผู้ที่ยังเดินทางมาไม่ถึงเนื่องจากระยะทางที่ไกลเกินไป ก็ยังบอกได้เลยว่ากองกำลังอย่างน้อยครึ่งนึงของฝ่ายราชินีแมงมุมลอร์สซี่รวมถึงตัวสังฆราช(ร่างทรง)ประจำตัวนางต่างมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาที่นี่กันหมด นี่คิดจะมาโชร์พาวกันรึไง?”
ใช่แล้ว นางกำลังโชว์พาวอยู่ เหล่าจ้าวตระกูลที่อยู่ที่นี่แต่ละคนนั้นต่างมีอำนาจเทียบเท่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้านครแห่งนครภูผาหลิวฮวงเลยในนครของพวกตน แต่ ณ ตอนนี้พวกนางกลับไปยืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ทางด้านหลังเยี่ยงบ่าวรับใช้ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นการขับเน้นอำนาจบารมีของคาจาร์ให้ดูเกรงขามและน่าหวาดหวั่นมากยิ่งขึ้น หรือถ้าจะให้พูด นี่เป็นการกดดันพวกเราแบบเงียบๆนั้นแหละ
“เจ้ามนุษย์ หันรู้จักเจียมตัว แล้วไปนั่งรวมกับบ่าวของข้าซะ”
แต่ข้ากลับ ยิ้มตอบกลับไป
กษัตริย์จักไม่ลงไปแข่งบารมีกับชาวนา ผู้ที่ถือครองอำนาจบารมีจริงๆ นั้นไม่จำเป็นจะต้องประดับประดาไปด้วยเครื่องราชย์มากมายเพื่อแสดงถึงบารมีที่ตนมี ที่นางลงทุนจัดฉากเช่นนี้ขึ้นมา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า นางนั้นกำลังกังวล หรืออาจถึงขั้นหวั่นเกรงพลังที่นครภูผาหลิวฮวงถือครองอยู่ ฉะนั้น นางจึงต้องหาทางสะกัดขุมกำลังดาวรุ่งฝ่ายใหม่นี้เอาไว้
“เหเห ดูท่าโชว์ ที่ข้าแสดงไปตอนเข้าเมืองจะได้ผลไม่เลวเลยทีเดียว”
ในวันนั้น วันที่พวกข้าเดินทางเข้านครแห่งนี้ หุ่นยนต์ยักษ์ซี่รี่ย์โรแลนด์ทั้ง 17 เครื่อง ต่างเดินเข้านครแห่งนี้อย่างยโสโอหัง
แล้วเมื่อครั้งที่พวกเราโดนเรียกให้หยุด พวกเราก็จัดการส่งหนึ่งในหุ่นยนต์ที่มีไปจัดการลงไม้ลงมือกับ 2 ยามมังกรดำผู้ทำหน้าที่คุ้มกันประตูเมืองจนเละเป็นโจ๊กไปทั้งคู่ ซึ่งในระหว่างความชุลนุม พวกเราก็ยัง ‘เผลอ’ พลาดไปทำลายประตูเมืองที่สร้างจากโลหะผสมพิเศษ ป่าวประกาศให้ทุกคนรับรู้ถึงความถึกทนและพลังอันมากล้นที่หุ่นยนต์ยักษ์เหล่านี้มี
โดยหลังจากเหตุการณ์เอิกเกริกที่เกิดขึ้น ข้าก็ให้แอนนี่ออกมาประกาศว่าหุ่นยนต์เหล่านี้คือเครื่องจักรที่ทางนครภูผาหลิวฮวงจะนำเข้าประมูล สร้างระลอกคลื่นครั้งใหญ่ให้กับนครเวลซ์
การกระทำเยี่ยงนี้นั้นได้ผลเสียยิ่งการออกไปป่าวประกาศโฆษณาโม้โอ้อวดไปไหนๆ เพราะในตอนนี้ทุกคนคงเริ่มคิดกันแล้วล่ะว่า “นี่ขนาดพวกมันยอมเอาเครื่องจักรที่สามารถตัวตัวกับมังกรได้เช่นนี้มาขายทอดตลาด ก็หมายความว่า นครภูผาหลิวฮวงยังมีไพ่ตายใบอื่นซ่อนอยู่น่ะสิ...”
ซึ่งแน่นอนว่า นี่เป็นเพียงภาพลักษณ์ปลอมๆที่ข้าจงใจสร้างขึ้นมาเท่านั้น แต่เรื่องในครั้งนี้ ก็ทำให้ข้าอดนึกถึงรายงานของลอเรนเมื่อไม่นานมานี้ไม่ได้จริงๆ
“ท่านวูเมี้ยนเจ้อ โรแลนด์หมายเลข 3 ถึงหมายเลข 18 ประกอบเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วขอรับ ถ้าผู้ที่ควบคุมเป็นนักรบชั้นทองคำล่ะก็ หุ่นเหล่านี้คงแสดงพลังออกมาได้ในระดับครึ่งหนึ่งของระดับชั้นตำนานขอรับ”
ข้าต้องขอบอกเลยว่า ณ วินาทีนั้น ตัวข้ารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะจะอย่างไรซะ ภาพการออกอาละวาดของโรแลนด์หมายเลข 2 ยังคงตราตรึงอยู่ในใจข้า ภาพความแข็งแกร่งที่สามารถสยบยอดฝีมือชั้นตำนานได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ความแข็งแกร่งนี้จะไม่ถึงขั้นผู้บรรลุโลกา แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านั้นนัก แต่มาครานี้ หุ่นยนต์เหล่านี้กลับมีพลังเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของระดับชั้นตำนานเท่านั้น ดูท่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นะ
แต่เพียงไม่นาน ข้าก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดจากปากคำของอีกฝ่าย
“โรแลนด์หมายเลข 2 เป็นรุ่นทดลองนะขอรับ! รุ่นทดลอง! ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ต้องใช้โลหะล่ำค่าไปมากมายเท่าใด พวกเราก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าความคิด(คอนเซ็ปดีไซน์)ของพวกเรานั้นถูกต้อง แล้วเมื่อตอนนั้นน่ะ วิศวกรเกินกว่าร้อยชีวิตยังพากันเอาสมบัติลับของรักของพวกตนออกมาทุ่มให้กับโปรเจคนี้กันหมดเลยนะขอรับ ขนาดมีวิศวกรชั้นครูนายนึงยอมเอาหัวใจไททันที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษมาใส่ให้กับโรแลนด์หมายเลข 2 เลย เพราะแบบนี้แหละขอรับ โรแลนด์หมายเลข 2 ถึงได้มีพลังมากมายขนาดนั้น ถ้าท่านอยากให้โรแลนด์เครื่องอื่นๆมีพลังเทียบเท่ากับเครื่องหมายเลข 2 ล่ะก็ ข้าเกรงว่าถึงพวกเราเหล่าวิศวกรจะจัดการให้ท่านได้ แต่ตัวท่านจะจ่ายค่าวัตถุดิบไม่ไหวน่ะสิขอรับ”
เพียงเวลาชั่วครู่ ข้าก็ได้หลักฐานยืนยันว่า ไม่ว่าหุ่นยนต์ชนิดใดที่สร้างขึ้นจากทางวิศวกรรม ต่างต้องประกอบด้วย แหล่งพลังงาน โครงเกราะส่วนนอกเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนส่งกำลัง ส่วนหัวใจไททันนั้นคืออัญมณีรูปหัวใจที่จะตกผลึกหลังจากที่ไททันเสียชีวิต ซึ่งอัญมณีชนิดนี้นั้นอุดมไปด้วยพลังงานไฟฟ้าคุณภาพเยี่ยม นอกจากนี้ อัญมณีหัวใจไททันยังถือเป็นแหล่งพลังงานที่ดีที่สุดเช่นกัน
เพราะจะอย่างไรซะ โลกใบนี้ก็ยุติธรรม พลังระดับชั้นตำนานหรือพลังที่เหนือกว่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะลอกเลียนกันได้ง่ายๆ แล้วถึงแม้ข้าจะสร้างหุ่นยนต์ที่มีโครงเกราะส่วนนอกแข็งสุดๆออกมา แต่ถ้าปราศจากแหล่งพลังงานขั้นยอด ข้าก็ไม่สามารถสร้างหุ่นยนต์ที่ทรงพลังออกมาได้อยู่ดี
ที่จริง ในโลกสุดแสนพิสดารแห่งนี้ ที่เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่งเข้ามามีบทบาท แต่กลับมีจรวดบินว่อนไปทั่ว แหล่งพลังงานเชื้อเพลิงชั้นยอดนั้นสามารถหาได้ทั่วไปจากการล่าอสูรมนตราที่ทรงพลัง ซึ่งโชคเองก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญเช่นกัน ทั้งนี้แหล่งพลังงานชั้นยอดที่สามารถจ่ายพลังงานจลน์ได้อย่างเกินพอนั้นถือว่าเป็นหัวใจหลักที่ช่วยให้ศาสตร์วิศวกรรมสามารถแสดงประสิทธิภาพที่มีออกมาให้ถึงขีดสุด
แต่พอมาพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็อดรำลึกถึงเหตุการณ์คล้ายๆกันที่ข้าเคยประสบพบเจอมาไม่ได้จริงๆ
เมื่อก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าข้าสุ่ม ‘กาชาปอง’ จากเจ้าระบบไปหรอกเหรอ? เมื่อครั้งนั้น ข้ามือขึ้นสุ่มได้เครื่องมือที่ทรงพลังเสียยิ่งกว่าอุปกรณ์เทวะเสียอีก – นั้นก็คือ เครื่องมือวิเศษในตำนานนามว่า ไฟฉายย่อส่วน ที่สามารถพบเห็นได้ในกระเป๋าหน้าท้องของแมวสีน้ำเงินตนหนึ่ง!
ณ วินาทีนั้น ตัวข้าปลื้มปิติดีใจแบบสุดๆ อุตส่าห์หลงคิดว่าในที่สุดเจ้ากาชาปองเวรนี่ก็รู้จักทำตัวดีๆ ยอมสุ่มออกมาเป็นของดีๆที่ข้าสามารถนำไปใช้ได้จริงเสียที แต่หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ ข้าก็ได้ตรัสรู้ว่า ตัวข้ามันโดนหลอกอีกแล้ว ตัวข้ามันดีใจเร็วเกินไป ตัวข้ามันยังประเมินความกวนบาทาของเจ้าระบบเวรนี่ต่ำเกินไป...
ถึงตัวไฟฉายย่อส่วนจะเป็นของจริง แต่ว่า..ข้างในน่ะ มันไม่มีถ่าน!!
เมื่อก้มหน้ามองดูไฟฉายย่อส่วนที่อยู่ในอุ้มมือ แต่ไม่สามารถเอาไปใช้อะไรได้เลย ข้าก็ได้แต่คุกเข่าอ้อนวอน ขอให้เจ้าระบบยอมขายถ่านให้ข้าเถอะนะ... แต่มีเหรอ ที่เจ้าระบบบัดซบจะยอมปล่อยให้เครื่องมือวิเศษที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้เช่นนี้ตกมาอยู่ในมือข้า เยี่ยงนี้ อย่าได้แม้แต่จะหวังเลยว่าเจ้าระบบนี่จะยอมขายถ่านให้กับข้า
เช่นนี้ นับแต่นั้นมา ข้าก็เฝ้าอธิษฐานขอให้สุ่มกาชาปองออกมาถ่าน แต่สิ่งที่ข้าสุ่มออกมาได้แต่ละอย่างนั้นกลับเป็น คอปเตอร์ไม้ไฝ่ซึ่งข้างในก็ไม่มีถ่านอีกตามเคย ปืนของเล่นของคาวบอยผู้นึง แล้วก็อ่างอาบน้ำที่สามารถสร้างน้ำร้อนออกมาได้เอง ซึ่งพอเรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าก็เข้าใจเสียทีว่า ตัวข้านั้นกำลังโดนเจ้าระบบนี่ปั่นหัวเล่นอยู่ ฉะนั้น ข้าจึงตัดสินใจหันมาพึ่งตัวเองแทน
พอตัดสินใจได้ ข้าก็เริ่มจากการยืนยันให้มั่นใจก่อนว่าในทางวิศวกรรมของโลกนี้ ยังไม่มีการคิดค้นแหล่งพลังงานขนาดเล็ก(ถ่าน, แบตเตอรี่) ขึ้นมากันใช่ไหม พอยืนยันแน่ชัดแล้วว่ายังไม่มี ข้าก็เริ่มออกตามล่าเก็บรวบรวมหนังสือเคมีเท่าที่จะหาได้มาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนจะเริ่มเปิดฉากรีดเร้นมันสมองที่มี เพื่อหาทางผลิตถ่านขึ้นมาให้จงได้ ซึ่งพอมาถึงขั้นนี้ ข้าก็ตระหนักได้ว่า เมื่อดูจากระดับเทคโนโลยีของทวีปเอ็ชแล้ว ถ้าข้าคิดจะผลิตสิ่งที่คล้ายๆกับถ่านหรือแบตเตอรี่ขึ้นมาล่ะก็ อุปสรรคอย่างแรกที่ข้าต้องเผชิญเลยก็คือ การหาของเหลวที่เหมาะจะนำไปใช้ในกระบวนการอิเล็กโตรไลซิส รวมทั้งสสารที่เหมาะจะนำไปใช้เป็นตัวเหนี่ยวนำไฟฟ้า แล้วก็ปัญหาด้านเทคโนโลยีที่แก้ไม่ตกอีกสองสามข้อ ซึ่งพอจัดการปัญหาพวกนี้ไปได้หมด ปัญหาด้านเทคนิคยิบย่อยก็ยังจะตามมาอีกเป็นกระพรวน ซึ่งดูทรงแล้ว กว่าข้าจะเก็บรวบรวมคิดค้นเทคโนโลยีจนพร้อมจะผลิตถ่านขึ้นมา ก็คงจะเป็นในอีก 200 หรือ 300 ปีข้างหน้า สมมติให้ว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นไร้ซึ่งขวากหนามใดๆล่ะก็นะ ฉะนั้น ข้าจึงไม่มีทางเลือก นอกเสียจากจะตัดใจยอมแพ้เรื่องการก่อการปฏิวัติอุตสาหกรรม(เทคโนโลยี)ขึ้นที่ทวีปเอ็ช
แค่ก ดูท่าข้าจะเผลอออกทะเลเกินไปหน่อย เอาล่ะกลับมาเข้าเรื่องกันเถอะ
เอาล่ะ ถึงแม้ตัวโรแลนด์หมายเลข 2 จะแข็งแกร่งแบบสุดๆ ถ้าเจ้าตัวยังไม่ชิงระเบิดตัวเองพังไปซะก่อนล่ะก็นะ แต่โรแลนด์หมายเลข 3 และเครื่องต่อจากนั้น กลับมีพลังเพียงแค่ครึ่งหนี่งของระดับชั้นตำนานเท่านั้น เช่นนี้ ข้าจึงต้องทำการเปลี่ยนแผนที่วางไว้อย่างกะทันหัน
เพื่อไม่ให้ทุกคนสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างโรแลนด์แต่ละเครื่องได้ โรแลนด์ทุกเครื่องจะต้องดัดแปลงให้เหมือนกับเครื่องหมายเลข 2 ทุกประการ แตกต่างแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ ซึ่งตัวเลขที่เขียนบนเครื่องแต่ละเครื่องเองก็ต้องถูกลบให้สะอาดเช่นกัน
ซึ่งเรื่องต่อจากนั้นก็ง่ายนิดเดียว... หลังจากที่ให้โรแลนด์หมายเลข 2 ออกไปแสดงโชว์ ‘หุ่นยนต์ผู้กล้าปะทะ 2 มังกรชั่ว’ เหล่าโรแลนด์เครื่องที่เหลือทางด้านหลังก็กลายเป็นภัยร้ายแรงในสายตาของทุกคนไปในทันที... แต่เอาความจริงเลยนะ ทุกครั้งที่ข้าได้ยินคนเรียกชื่อเจ้าหุ่นยนต์พวกนี้น่ะ ตัวข้าต้องสะดุ้งไปสักพักใหญ่ๆเลย แต่จะทำไงได้ล่ะ ก็เสียงส่วนใหญ่บอกให้ใช้ชื่อนี้นินะ
ในสายตาของผู้ที่รู้ตื้นลึกหนาบาง กองกำลังหุ่นยนต์ยักษ์นี้จะเป็นกองกำลังที่ประกอบด้วย 1 หุ่นยนต์ที่สามารถล้มคู่ต่อสู้ระดับชั้นตำนานได้อย่างสบายๆ กับ 16 หุ่นยนต์ที่มีพลังครึ่งหนึ่งของระดับชั้นตำนาน ถึงแม้นี่อาจจะแลดูน่ากลัวสำหรับเจ้านครทั่วไป เพราะไงซะ เจ้านครทั่วๆไปก็มีพลังเพียงแค่ระดับชั้นตำนานเท่านั้น แต่สำหรับจ้าวแห่งโลกใต้พิภพที่มีนครใต้พิภพอยู่ใต้อาณัติเกินกว่าร้อยนคร กองกำลังเล็กน้อยแค่นี้จะไปน่ากลัวอะไร แต่พอเป็นตอนนี้ หลังจากที่ข้าจัดแสดงโชว์ให้ทุกคนได้ชม ในสายตาของผู้ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางใดๆกับเรื่องนี้ ก็ต่างพากันคิดว่ากองกำลังหุ่นยนต์ยักษ์นี้เป็นกองทัพเครื่องจักรสงครามระดับชั้นผู้บรรลุ 13 เครื่อง กองกำลังระดับนี้ ต่อให้เป็นจ้าวแห่งโลกใต้พิภพเองก็ยังต้องมีหวั่นๆกันบ้างเหมือนกัน
TL: ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ ว่าทางต้นฉบับพิมพ์ผิดจาก 17 เป็น 13 รึเปล่า แต่ผมขอยึดทางต้นฉบับที่เป็นเลข 13 นะครับ
แล้วพอมีประกาศออกไปว่า หุ่นยนต์เหล่านี้จะถูกนำเข้าประมูลด้วย ทุกคนต่างก็ต้องอึ้งว่านครภูผาหลิวฮวงนั้นแอบถือครองพลังไว้มากมายเพียงใดกันแน่ ขนาดที่เอาหุ่นรบระดับชั้นผู้บรรลุมาขายทอดตลาดพร้อมกัน 13 เครื่อง ได้อย่างไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ ซึ่งในขณะเดียวกัน การส่งหุ่นพวกนี้เข้าประมูลเองก็คงทำกำไรให้ข้าได้ไม่น้อยเช่นกัน อย่างน้อย ก็คงพอจะคืนทุนค่าวัตถุดิบและค่าแรงที่ข้าเสียไปได้
“ในการเจรจาเป็นพันธมิตรกันน่ะ ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่ได้ถือครองพลังในระดับเดียวกัน การเจรจาจะมีผลอันใดกันล่ะ เพราะไม่ว่าจะแหกปากเจรจากันยังไง สุดท้ายฝ่ายที่อ่อนแอกว่าก็ต้องถูกฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่ากลืนกินหลอมรวมเข้าไปอยู่ดี”
แล้วดูท่า ผลลัพธ์ที่ข้าลงทุนพยายามให้ออกมาจะออกมาตามที่ข้าหวังไว้แล้วงั้นสินะ ดูจากสภาพบุตรีแห่งเทพที่แท้จริงลอร์สซี่ ผู้ควบตำแหน่งหัวหน้าสูงสุดแห่งเหล่าดาร์ดเอลฟ์ คาจาร์ ที่ลงทุนเรียกกองกำลังฝ่ายตัวเองออกมาซะขนาดนี้ ก็เป็นเครื่องยืนยันที่เกินพอแล้ว
“เจ้าคงเป็นวูเมี้ยนเจ้อสินะ ขอให้เสียงฝีเท้าแห่งราชินีแมงมุมจงสดับก้องในหูของเจ้า บางที พวกเราอาจจะพอคุยกันได้ มาสิ เจ้ากับข้า มาคุยเรื่องลับๆ กันสองต่อสองเถอะ”
น้ำเสียงของคาจาร์นั้นแฝงไว้ด้วยเวทมนต์ประหลาด ที่พอฟังแล้ว เสียงของนางนั้นจะราวกับเสียงกระซิบของคนรักที่กำลังหยอดคำหวานหยอกล้อ ราวกับเสียงให้พรของสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงศักดิ์ เสียงอันไพเราะ ที่เย้ายวนให้เจ้าอยากรับฟังต่อไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ว่าหลังจากได้ยินคำพูดและการต้อนรับอันอบอุ่นของคาจาร์ เหล่าจ้าวตระกูลดาร์ดเอลฟ์หญิงที่อยู่ทางด้านหลังก็พากันหัวเราะออกมากันใหญ่
ด้วยมุมมองเรื่องความรักที่เถรตรงและบิดเบี้ยวแบบแปลกๆ ของเหล่าดาร์ดเอลฟ์ การต้อนรับที่แลดูจะอบอุ่นในครั้งนี้นั้นมีความหมายไม่ต่างจาก ‘นี่ รีบไปเปิดห้องนอนกันได้แล้ว’ ใช่แล้ว ข้อความห้วนๆหยาบคายเช่นนี้แหละ
ซึ่งประโยค “ขอให้เสียงฝีเท้าแห่งราชินีแมงมุมจงสดับก้องในหูของเจ้า” เองก็ไม่ใช่ประโยคที่มีความหมายในเชิงดีเช่นกัน ถึงแม้นี่จะฟังดูเหมือนนางกำลังขอพรให้เทพธิดาที่นางนับถือคุ้มครองเจ้า แต่ความจริงแล้ว นี่น่ะเป็นคำสาปแช่งที่แรงสุดๆเลยล่ะ ลอร์สซี่นั้นเป็นเทพธิดาแห่งแมงมุม แล้วเวลาแมงมุมเดินน่ะจะมีเสียงฝีเท้าที่ไหนกัน เช่นนี้ เวลาที่นางจงใจกระทืบเท้าให้เจ้าได้ยินนั้น คือนางกำลังเตือนเจ้าให้รับรู้ถึงการมาเยือนของนาง หรือไม่ก็ นางกำลังจะบอกว่า นางกำลังจะมาฆ่าเจ้า ไม่ก็ นางต้องการจะเห็นสภาพอันทุลักทุเลของเจ้าตอนดิ้นรนร้องขอชีวิต
“นี่ผ่านมากี่ปีแล้วกันเนี่ย เจ้าพวกเอลฟ์นี่ยังชอบเล่นเกมใส่คำสาปแช่ง เสียดสี ด่าทอ เหน็บแหนมเข้าไปในคำทักทายของพวกตนไม่เปลี่ยนเลยนะ แล้วถ้าเกิดเจ้าดันจับไม่ได้ล่ะว่าตนกำลังโดนด่าอยู่ เจ้าพวกเอลฟ์นี่ก็จะยิ้มเยาะเย้ยหยันในความไร้สติปัญญาและอ่อนประสบการณ์ของเจ้า รวมถึงเรื่องอายุขัยอันแสนสั้นที่เผ่าพันธุ์ของเจ้ามี”
แต่ว่านะ ลูกเล่นพรรค์นี้น่ะใช้กับข้าไม่ได้ผลหรอก ด้วยช่วงชีวิตอันยาวนาน ที่ข้าได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานั้น ข้าน่ะได้เห็นอาณาจักรเอลฟ์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกินกว่า 10000 ปี ถูกทำลายมาแล้วนักต่อนัก ซึ่งหนังสือล้ำค่าของอาณาจักรเหล่านี้ที่ตกมาเป็นของสะสมของข้านั้นมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เช่นนี้ มุกเสียดสีระดับนี้จะไปทำอะไรข้าได้
“ท่านหญิงคาจาร์ผู้สูงศักดิ์ ข้าขอขอบคุณในการต้อนรับอันแสนอบอุ่นของท่าน ข้าขอให้เนตรทั้งแปดแห่งราชินีจับจ้องอยู่ที่ท่านไปชั่วกัลป์ และข้าก็ขอเฝ้าอธิษฐานให้เทวทูตแห่งเปลวเทียนลงมาเยี่ยมเยียนท่านในเร็ววัน”
ซึ่งคำอวยพรของข้าเอง ก็ไม่ได้มีความหมายในเชิงดีเช่นกัน ราชินีแมงมุมลอร์สซี่นั้นขึ้นชื่อในเรื่องความโหดเหี้ยม เจ้าเล่ห์ ขี้ระแวง กลับกลอก ขี้อิจฉา (ที่จริง ชื่อเสียงของนางนั้นแย่ระดับที่ว่า เจ้าสามารถเติมคำด่าที่เจ้าพอจะคิดได้เกือบทั้งหมดลงไปต่อจากนี้ได้เลย) ด้วยชื่อเสียที่โด่งดังไปทั่วโลกเช่นนี้ แล้วมีเหรอที่การเป็นที่ต้องตาของลอร์สซี่จะเป็นเรื่องที่ดี ส่วนเทวทูตแห่งเปลวเทียนน่ะเหรอ? ข้าหมายถึง โยโคลอร์สน่ะ สิ่งมีชีวิตสุดชั่วร้ายผู้เป็นผู้ส่งสารแห่งลอร์สซี่ ถ้าพวกมันมาเยี่ยนเยือนเจ้า เจ้าก็เตรียมใจรองรับความซวยขนานหนักได้เลย ด้วยคำขอที่พามาแต่ความวอดวาย ที่แม้ตัวเจ้าจะทำสำเร็จ เจ้าก็อาจจะไม่ได้รางวัลอะไรตอบแทนเลย แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมทำตามคำขอของพวกมัน เจ้าก็เตรียมตัวไปพบลอร์สซี่ในทันทีได้เลย อืม ไปแต่วิญญาณโดยทิ้งร่างกายไว้ข้างหลังอะนะ... ฉะนั้น สำหรับจ้าวตระกูลดาร์ดเอลฟ์แล้ว นายเหนือหัวเช่นนี้ไม่ขอพบด้วยจะดีกว่า
คำอวยพรของข้านั้นถือเป็นภัยพิบัติสำหรับคนอื่น แต่สำหรับสังฆราชแห่งลอร์สซี่แล้ว การเป็นที่ต้องตาของหัวหน้านางนั้นย่อมถือเป็นเรื่องที่ดี... ฉะนั้น คาจาร์จึงไม่สามารถเถียงอะไรออกมาได้
แต่ตัวคาจาร์ที่พึ่งจะพ่ายแพ้ไปในสงครามฝีปาก กลับยิ้มเล็กๆออกมา
“สมแล้ว ที่เป็นท่านจอมปราชญ์ผู้สรรค์สร้างพลังแห่งกฎหมายขึ้นมาได้โดยลำพัง ไหวพริบและสติปัญญาของท่านช่างควรค่าแก่การนับถือยิ่งนัก เรามาข้ามรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ แล้วมาเข้าเรื่องหลักที่พวกเรามาพบกันในวันนี้ดีกว่า”
พอพูดเสร็จ นางก็ยื่นมือของนางออกมา เพื่อให้ข้าได้จุมพิต
แต่มือที่ยื่นออกมาของคาจาร์ก็ต้องถูกปล่อยค้างไว้อย่างงั้น เนื่องด้วยตัวข้าที่ไม่พูดไม่จาก้าวถอยหลังออกมาอย่างเงียบๆ เพื่อปล่อยให้แอนนี่ที่อยู่ด้านหลังข้าก้าวขึ้นไปข้างหน้าแทน
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เราชื่อ แอนนี่, แอนนี่ เลย์ดี้ ว่าที่เจ้านครคนถัดไปแห่งนครภูผาหลิวฮวง ท่านลุงวูเมี้ยนเจ้อบอกให้เราเป็นคนมาคุยกับท่าน”
แอนนี่ทักทายคาจาร์ด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะจับมือของอีกฝ่ายมาเขย่าด้วยแรงพอสมควรเลย
ณ ตอนนี้ คาจาร์ที่ทั้งตัวโดนเขย่าไปหมดจากการจับมือกับแอนนี่ ได้จ้องมาที่ข้าด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความคาดไม่ถึง สำหรับดาร์ดเอลฟ์ที่มองการช่วงชิงอำนาจชิงตำแหน่งจากผู้อื่นเป็นเรื่องปกติที่พึ่งกระทำ ด้วยมุมมองเยี่ยงนี้ นางจึงไม่คิดจะสนใจ ‘เจ้านครหุ่นเชิด’ นางนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว แล้วพอเรื่องเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมตัวข้าที่ดีกว่าในทุกๆด้าน ถึงยอมปล่อยให้แอนนี่ออกมาเป็นตัวแทนของนครภูผาหลิวฮวงเช่นนี้
ตัวข้า ที่ตอนนี้อยู่ทางด้านหลัง ได้มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าข้าอย่างเงียบๆ ถึงพูดไปอาจจะไม่มีใครเชื่อ แต่ข้าไม่คิดว่าแอนนี่จะเจรจาออกมาเป็นผลที่น่าพอใจอยู่แล้ว เพราะยังไงซะ ข้าก็แค่บอกให้นางลองออกไปเจรจาดู โดยที่ตัวข้าไม่ได้บอกหรือเปิดเผยความลับอะไรให้นางรู้เลย
“ข้าตามดูเจ้าไปทั้งชีวิตไม่ได้หรอกนะ ฉะนั้น นี้ถือเป็นการฝึกแล้วก็การทดสอบไปในตัวด้วย... เอาล่ะ โชคดีล่ะ หนูแอนนี่”
“ฮึ่ม! นายท่านเนี่ย คิดถึงเรื่องของแอนนี่อยู่เสมอเลยนะคะ ช่างโรแมนติกจังเลยค่ะ ก็ใช่นินะ ก็คนมันหมั่นหมายกันนิ ท่านก็ต้องดีต่อนาง ไม่เหมือนกับที่ดีต่อคนอื่นอยู่แล้วนิ แต่ช่างน่าเสียดายนะคะ ที่ดูแล้ว หนูแอนนี่จะไม่มีรสนิยมชมชอบศพน่ะสิค่ะ นี่ท่านต้องการให้ดิฉันเตรียมงานเลี้ยงปลอบใจคนอกหักครั้งที่ 999 ไว้รอเลยไหมคะ?”
TL: ตรงนี้ผมอาจแปลได้ไม่เข้าใจนะครับ แต่โดนรวมแล้วคือ อิลิซ่ากำลังประชดโรแลนด์เรื่องที่เอาใจใส่ดูแลแอนนี่ ดีต่อแอนนี่ มากกว่าที่ดีต่อคนอื่น
“เจ้าน่ะเลิกปล่อยข่าวลือซั่วๆได้แล้ว! ถ้าเกิดมีคนเชื่อขึ้นมา ชื่อเสียงข้าได้ป่นปี้กันหมดพอดี แล้วก็นะ ไม่ใช่ 999 ครั้งสักหน่อย แค่ 46 ครั้งเท่านั้นเอง 46 น่ะเข้าใจไหม! นี่น่ะยังไม่ถึงหลักร้อยด้วยซ้ำ...”
“นายท่านค่ะ ดิฉันว่าดิฉันสมควรจะเตือนความจำนายท่านสักหน่อยว่า พวกเอลฟ์หูยาวน่ะหูดีมากเลยนะคะ แล้วนี่ท่านเล่นประกาศเรื่องราวชีวิตรักอันแสนหดหู่ของท่านออกมาซะดังขนาดนั้น ป่านนี้ เหล่าจ้าวตระกูลดาร์ดเอลฟ์ทุกคนที่อยู่ที่นี่คงได้ยินกันหมดแล้วล่ะค่ะ ดูสิ ตอนนี้จ้าวตระกูลบางคนยังหันมามองร่างกายท่อนล่างของนายท่านกันใหญ่เลยนะคะ ซึ่งดูจากสายตาแล้ว พวกนางคงอยากจะลิ้มชิมรสชาติของไก่อ่อนพันปีดูสักครั้งน่ะค่ะ บางที หลังจากเรื่องครั้งนี้ ดิฉันอาจจะมีโอกาสได้เตรียมซองแดงมาแสดงความยินดีกับนายท่านแล้วก็ได้ แต่ว่านะ...”
พอพูดถึงเท่านี้ มุมปากของอิลิซ่าก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม พร้อมกับตัวนางที่ดันแว่นของตัวเองขึ้น เผยให้เห็น แววตาสงสารที่ปะปนไปด้วยความเยาะเย้ย...
ซึ่งความหมายในแววตาของนางนั้นชัดเจนอยู่แล้วว่า “นี่นายท่านเหลือแต่กระดูก แล้วยังคิดจะไปแอ้มสาวอีกเหรอคะ?”
“ข้า... ข้าไม่อยากได้ซองแดงสักหน่อย!! ข้าอยากคืนชีพ” หลังจากพูดถ้อยคำเหล่านี้เสร็จ ก็มีชายผู้นึงวิ่งร้องไห้จากไปพร้อมน้ำตา
“แบบนี้ ก็แปลว่าถ้านายท่านมีกายเนื้อ ท่านจะยอมถูกยัยแก่ที่อายุมากพอจะเป็นยายทวดของยายทวดท่านจับกดงั้นเหรอคะ? นายท่านเนี่ยต่ำตมจังเลยนะคะ” เมื่ออีกฝ่ายเปิดช่อง สาวใช้นางนึงที่อาศัยจังหวะนี้ ลงดาบซ้ำเติมนายท่านของตนไปอีกหนึ่งดอก...