Chapter 6: สำรวจ (1)
พอพวกเขาออกมาจากปราสาท, แลนดอนก็รีบตรวจสอบกับระบบ
ระบบ, ฉันจะเรียกดูรายละเอียดแผนที่ของดินแดนนี้ได้ยังไง?
ตอบคำถามท่านโฮสท์, สิ่งที่ท่านโฮสท์จำเป็นต้องทำก็แค่เลือกดูแผนที่ของอาณาจักรที่จัดเก็บเอาไว้ในระบบ, และวงเน้นดินแดนที่เป็นของท่านโฮสท์เพียงเท่านั้น
แค่นั้นอะนะ?
แลนดอนถามด้วยความรู้สึกที่แทบจะไม่เชื่อระบบ
ถูกต้อง!
แล้วถ้าเกิดในอนาคตฉันขยายดินแดนของตัวเองออกไปหล่ะ?
ถ้าในกรณีนั้นสิ่งที่ท่านโฮสท์จำเป็นต้องทำก็แค่วงเน้นอาณาเขตที่เพิ่มออกมาในแผนที่ระบบก็พอแล้ว
แลนดอนพยักหน้าในขณะที่ฟังระบบ
นอกจากนี้ยังมีความพิเศษอีกอย่างนึง, ระบบจะทำการแจ้งท่านโฮสท์ถ้าเกิดว่ามีศัตรูโจมตีหรือมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาในดินแดนของท่านโฮสท์
ได้แบบนั้นก็ดี
แลนดอนมองแผนที่และตัดสินใจที่จะวงกลมรอบเบย์มาร์ดหนึ่งวง และเขาก็ทำให้มั่นใจว่าได้เว้นระยะห่างอย่างน้อย 20 เมตรระหว่างกำแพงเมืองกับสภาพแวดล้อมรอบๆ
ในตอนที่เขาวงเสร็จเรียบร้อย, จอแสดงผลก็ปรากฎขึ้นมา
ท่านต้องการแสดงดินแดนที่ท่านเลือกบนจอแสดงผลหรือไม่?
เขารู้สึกตื่นเต้น ด้วยจอแสดงผลนี้เขาจะสามารถตรวจสอบทุกพื้นที่ในเบย์มาร์ดได้โดยไม่ต้องไปดูด้วยตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากในกรณีที่เขามีความจำเป็นต้องเดินทางออกนอกดินแดนด้วยธุระด่วนต่างๆนาๆ เขาตอบตกลง, และดูภาพรวมของดินแดนโดยไม่ลังเล
พอมองดูจอแสดงผลนี้, เขาก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับหน้าจอทีวีแบบจอกว้างทั่วๆไป
เขามองเห็นชาวทะเลกำลังตกปลาอยู่ที่บริเวณชายหาด, ชาวสวนกำลังทำเกษตรอยู่ในเมือง, ผู้คนที่กำลังออกไปล่าสัตว์, กำแพงเมือง, ปราสาท, และอื่นๆ
เขารู้สึกพึงพอใจกับฟังก์ชั่นแผนที่ของระบบนี้
เบย์มาร์ดนั้นแบ่งออกเป็น 3 ภูมิภาคใหญ่ๆ ได้แก่ ตอนบน, ตอนกลาง, ตอนล่าง
ในตอนที่เขาเดินทางมาถึงภูมิภาคตอนบนของเมืองนั้น, เขาก็เห็นที่ดินใหญ่ๆมากมาย มันมีที่ดินอยู่ 16 แห่ง, โดยแต่ละแห่งนั้นจะมีคฤหาสน์หินอย่างน้อย 6 หลังและอาคารเล็กๆอีกประมาณ 10 หลัง
คฤหาสน์พวกนี้ใหญ่โตมาก, และทุกหลังก็มีลานบ้านกับที่พักข้ารับใช้เป็นของตัวเอง
ที่ดินแต่ละแห่งจะถูกล้อมรอบด้วยรั้วสูงประมาณ 120 เซนติเมตร ดังนั้นแค่ไปยืนดูอยู่ตรงรั้วก็มองเห็นที่ดินทั้งหมดโดยไม่ต้องเขย่งตัวเลย
ถ้านี่เป็นโลกปัจจุบัน, ที่ดินแต่ละแห่งนั้นน่าจะสามารถใช้เปิดมหาวิทยาลัยใหญ่ๆได้เลย พวกมันกว้างขวาง, แต่ก็ไม่ได้กว้างเท่าปราสาทของเขา
อย่างน้อยก็ไม่มีพวกขุนนางในเมืองมาคอยกวนใจฉันนะ
เจ้าเมืองคนก่อนนั้นเคยอาศัยอยู่ในปราสาทของแลนดอน, ในขณะที่ที่ดินเหล่านี้เคยเป็นของพวกบารอนกับดยุค
ในตอนที่พวกเขาได้ยินว่าเบย์มาร์ดจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากอาร์คาดิน่าอีกต่อไป, พวกเขาทุกคนก็รีบหนีกลับไปที่เมืองหลวง
พวกเขาไม่อยากรับใช้แลนดอน การรับใช้เจ้าชายอายุ 15 ที่ไม่มีอำนาจนั้นมันน่าสมเพศเกินไป ในสายตาของพวกเขาแลนดอนก็เป็นแค่ขยะ, เจ้าชายที่มีทหารติดตามแค่ 330 คนงั้นหรอ? พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเขาในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือจำนวนอัศวินที่อยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขา ในโลกนี้พลังอำนาจคือทุกๆอย่าง
พวกเขารู้ว่าแลนดอนถูกเนรเทศมาที่เบย์มาร์ดพร้อมกับครอบครัวของเขา การอยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะทำให้ตัวเองถูกพระราชาเกลียดชัง
การเลือกรับใช้แลนดอนก็ไม่ต่างอะไรจากการแทงข้างหลังพระราชา
นอกจากนี้, พวกเขาก็ไม่อยากให้ยืมอัศวินของพวกเขาไปใช้ปกป้องเบย์มาร์ดด้วย ณ ตอนนี้ถ้ามีสงครามระหว่างเบย์มาร์ดกับเมืองข้างเคียงเกิดขึ้น, ก็จะไม่มีกำลังเสริมที่ไหนส่งมาช่วยพวกเขาเลย
และเมื่อผนวกกับอาหารที่ขาดแคลนในดินแดน, มันก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่พวกเขาไม่เต็มใจจะยอมรับ
พวกเขารู้ว่าการที่พระราชาทำแบบนี้ก็เหมือนกับเป็นการบอกอ้อมๆว่า ‘ข้าอยากให้เจ้าชายแลนดอนออกไปจากอาร์คาดิน่า, และถ้ามีใครให้ความช่วยเหลือเขา, ก็จงเตรียมรับผลที่จะตามมาให้ดี’
พอแลนดอนกับเหล่าอัศวินของเขาออกมาจากภูมภาคตอนบน, พวกเขาก็มาถึงภูมิภาคตอนกลางของเบย์มาร์ด ภูมิภาคนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน
ในตอนที่กลุ่มของเขาเดินไปตามเมือง, พวกเขาก็ทักทายเหล่าชาวบ้านและคอยช่วยเหลือพวกเขาต่างๆนา ในขณะนั้นเองแลนดอนก็สังเกตุสภาพรอบๆอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเรือนในเมืองหลวง, บ้านเรือนที่นี่ดูพังง่ายกว่า, แค่เจอสภาพอากาศที่เลวร้ายก็น่าจะไม่รอดแล้ว
จากความทรงจำของเขา, บ้านเรือนในเมืองหลวงนั้นทุกหลังสร้างมาจากไม้และหิน, ทำให้พวกมันมีความคงทนและอยู่ได้นาน
อย่างไรก็ตามบ้านเรือนในเบย์มาร์ดนั้นทำมาจากไม้, ฟางและโคลนดิน โดยโครงบ้านทั้งหมดทำมาจากไม้ซุง กำแพงทำจากกิ่งไม้แห้งผสมกับดิน และหลังคาก็ทำมาจากฟาง บ้านพวกนี้โดยทั่วไปแล้วเรียกว่าบ้านอิฐมอญ
เขาคิด
ไม่แปลกใจเลยที่มีรายงานว่าเบย์มาร์ดมีอัตราการตายสูงสุดในอาร์คาดิน่า
นอกจากนี้ถนนที่นี่ยังเลวร้ายกว่าภูมิภาคตอนบนของเมือง มีแอ่งโคลนอยู่บนพื้นเป็นหย่อมๆและมีรูจำนวนมากอยู่ตามถนน
ในระหว่างทางไปภูมิภาคตอนล่างนั้น, พวกเขาเห็นกลุ่มคนกำลังแบกธนูกับลูกศรออกล่าสัตว์โดยหวังว่าจะได้เนื้อกลับไปให้ครอบครัวของพวกเขา, มีกลุ่มผู้หญิงกำลังแบกน้ำและมีพวกเด็กๆกำลังวิ่งเล่นอยู่รอบๆ
พอมาถึงภูมิภาคตอนล่าง, พวกเขาก็เห็นว่าทั้งหมดนั้นเป็นพืชพันธุ์ต่างๆและที่ดินทำการเกษตร
แลนดอนมองเห็นแปลงเกษตรกว่า 300 แปลง, แต่มีคนแค่ประมาณ 5 คนเท่านั้นที่อยู่บริเวณแปลงพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าแม้กระทั่งชาวเมืองก็ยังเชื่อว่าดินแดนของพวกเขาแห้งแล้ง
จากแปลงเกษตรมองไปทางตะวันตก, แลนดอนก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นที่ดินขนาดใหญ่สองแห่ง
จากนั้นเขาก็หันไปทางตะวันออกจากแปลงเกษตรและมองเห็นที่ดินที่ใหญ่โตมากที่นั่น แลนดอนรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันที เขาหันไปคุยกับลูเซียสและพวกอัศวิน
“ทำไมถึงมีขุนนางออกมาจากภูมิภาคตอนบนเพื่อมาสร้างที่ดินของตัวเองที่นี่? รู้สึกว่ามันแปลกไหม?”
“นั่นสินะครับฝ่าบาท”
ลูเซียสพูดและคนอื่นๆก็พยักหน้า
“ฝ่าบาทครับ, บางทีพวกเขาอาจจะเจออะไรบางอย่างที่มีค่าในภูมิภาคตอนล่างนี้และตัดสินใจอยู่ที่นี่ก็ได้นะครับ”
อัศวินขี้อายคนนึงพูด
อัศวินคนนี้มีผมสีบลอนด์และมีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ถ้าเขาเกิดในโลกปัจจุบันเขาคงจะดูเหมือนกับนักร้องเกาหลีเลย เขาไม่มีกล้ามเนื้อและดูอ่อนแออย่างเหลือเชื่อ, เหมือนกับกิ่งไม้ แต่แลนดอนก็ไม่ได้กังวลเพราะเมื่อเขาเริ่มฝึกพวกอัศวินแล้ว, พวกเขาก็จะมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก
น้ำเสียงของอัศวินคนนี้แสดงให้เห็นถึงความเขินอายและความหวาดกลัว มันเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
“เจ้าชื่ออะไร, อายุเท่าไหร่, อยู่ยศไหนแล้วพันเอกที่รับผิดชอบเป็นใคร?” แลนดอนถาม
“ฝ่าบาท, ข้าชื่อบิลลี่ เวน, อายุ 17 ปี, เป็นทหารรับใช้อยู่ภายใต้การชี้นำของพันเอกมาร์คครับ”
“บิลลี่, แสดงความคิดเห็นได้น่าสนใจมาก ข้าเองก็คิดว่าพวกเขาอาจจะมีสิ่งที่สามารถช่วยให้พวกเราพัฒนาอาณาจักรให้ดีขึ้นได้” แลนดอนพูดด้วยรอยยิ้ม
ลึกๆในใจนั้นแลนดอนตกใจที่บิลลี่มีอายุ 17 ปีแล้ว เขาดูเหมือนกับเด็กชายอายุ 14 เลย
บิลลี่รู้สึกดีใจอย่างสุดๆในตอนที่ได้รับคำชมจากราชาของเขา ก่อนอื่นต้องรู้เอาไว้ว่าในขณะที่เขาพูดเมื่อสักครู่นี้นั้นเขาตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า แต่พอเห็นว่าราชาของเขามีจิตวิญญาณที่สูงสุด, เขาก็รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
อัศวินคนอื่นๆเองก็พยักหน้าและคิดว่าสิ่งที่บิลลี่พูดมามีเหตุผล ถึงยังไง, แม้กระทั่งชาวบานก็ยังไม่ค่อยอยู่ที่นี่กัน แล้วทำไมถึงมีขุนนางบางคนอยู่หล่ะ? นี่มันดูน่าสงสัยมาก
“ไปทางตะวันตกกันก่อนเถอะ, ข้าอยากรู้ว่าทำไมพวกขุนนางถึงต้องมีที่ดินตรงนั้นถึงสองแห่ง, เมื่อเทียบกับทางฝั่งตะวันออก”