บทที่ 246 ประกาศจับ
ข่าวการลอบโจมตีขบวนทัพทางทิศเหนือของเมืองเซี่ยยวี่ทำให้เกิดความโกลาหลยิ่งกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหุบเขาทลายวิญญาณหลายเท่า และสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งทวีป
ครั้งก่อนที่เจียงอี้ลงมือ ข่าวที่ถูกส่งออกมาเป็นเพียงแค่คำบอกเล่าเท่านั้น แต่ในครั้งนี้มันเกิดขึ้นต่อหน้าประจักษ์พยานมากมายไม่ว่าจะเป็นขบวนพ่อค้าหรือแม้กระทั่งหน่วยสอดแนมจากอาณาจักรใกล้เคียง
หน่วยสอดแนมเหล่านี้เดิมทีเป็นพวกที่ล้มเหลวจากการสืบข่าวปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในภูเขาอัคคีเมฆาและถูกดึงดูดโดยข่าวการขัดขวางขบวนทัพของเจียงอี้จนทำให้ต้องเร่งเดินทางเพื่อมาสืบข่าว
สาเหตุหลักของความโกลาหลในครั้งนี้คือเจียงอี้ที่หยิ่งผยองบุกมาโจมตีกองทัพซึ่งประกอบไปด้วยทหารของทั้งสองอาณาจักรอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
ที่น่าเหลือเชื่อก็คือ กองทัพที่มีทหารอยู่นับหมื่นนายกลับไม่สามารถแตะต้องเขาได้แม้แต่ชายเสื้อ แม้กระทั่งรัชทายาทของอาณาจักรเสินหวู่ยังถูกบังคับให้ต้องละทิ้งทหารของตนและหลบหนีอย่างน่าสมเพช
เรื่องในครั้งนี้ทำให้ราชวงศ์ของอาณาจักรเสินหวู่ถึงกับสั่นคลอน ราชาเซี่ยถิงเวยโกรธแค้นอย่างถึงที่สุดและออกประกาศจับเจียงอี้ในฐานะวายร้ายที่เลวทรามที่สุดในอาณาจักร
นอกจากนี้ยังตั้งรางวัลค่าหัวเขาด้วยเมืองใหญ่หนึ่งเมือง!
หนึ่งเมืองแลกกับหนึ่งหัว!
รางวัลเช่นนี้แม้แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญของอาณาจักรอื่นต่างก็หวั่นไหว มันไม่ใช่แค่เมืองเล็กๆอย่างเมืองเทียนอวี่ที่จีเทียนได้รับเป็นรางวัล
แต่เป็นเมืองใหญ่ที่จะสามารถกลายเป็นมรดกตกทอดไปชั่วลูกชั่วหลานและนำความมั่งคั่งมาสู่ตระกูล!
เรื่องราวของเจียงอี้กลายเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว ไม่ว่าจะชนชั้นไหนต่างก็หยิบยกเรื่องของเขาขึ้นมาพูดกันทั้งนั้น
ใบประกาศจับของเจียงอี้ถูกแปะไว้ทุกเมือง ในขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มจำนวนทหารในเขตชานเมืองของทุกเมืองและยังมีการส่งหน่วยสอดแนมจำนวนมากออกทำการค้นหา
แต่น่าเสียดายที่จู่ๆเจียงอี้ผู้โด่งดังก็เหมือนจะอันตรธานหายไปกับสายลม ไม่มีใครพบร่องรอยของอินทรีมังกรแม้ว่าจะปูพรมหาอย่างยาวนาน เห็นได้ชัดว่าเขาคงจะหลบหนีไปโดยสัตว์วิญญาณเถาอู้แล้ว
สัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ใต้ดินตัวนี้หายากมาก ยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่ใต้ดินก็สลับซับซ้อนกว่าบนอากาศ ทางตอนเหนือของอาณาจักรต้าเซี่ยคือหุบเขาสามหมื่นลี้ หากว่าเจียงอี้หนีไปที่นั่น จะไม่มีใครที่สามารถหาเขาพบได้อีกต่อไป
ความเป็นจริงแล้ว เจียงอี้หาได้หนีไปยังหุบเขาสามหมื่นลี้ไม่ แต่กลับเลือกที่จะมาซ่อนตัวยังหอการค้ากำเนิดมังกรแทน
เซี่ยอู๋หุ่ยเข้าไปในเมืองเซี่ยยวี่อย่างปลอดภัยและทำเขาไม่มีโอกาสที่จะลงมืออีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม เจียงอี้ยังคงไม่ยอมแพ้และพยายามดูว่ายังมีวิธีอื่นที่จะทำให้เขาได้รับสมุนไพรสยบวิญญาณจากตระกูลราชวงศ์ของอาณาจักรต้าเซี่ยหรือไม่
หากว่าเขาพลาดสมุนไพรสยบวิญญาณต้นนี้ไป ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ศตวรรษมันถึงจะโผล่ขึ้นมาอีก
“นายน้อยอี้! ช่วงนี้ท่านไม่ควรที่จะออกไปไหน ประมุขน้อยส่งข่าวมาบอกว่ามีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่ออกตามหาท่านเพื่อนำศีรษะของท่านไปแลกกับเมืองที่องค์ราชาทรงสัญญาไว้!”
“ประมุขน้อยยังบอกอีกว่าท่านควรที่จะเก็บตัวสักหนึ่งปีและรีบเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด!”
เฉียนคุนจัดให้เจียงอี้อยู่ในที่พักส่วนตัวซึ่งนอกเหนือจากเขาแล้วก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาได้เลยแม้แต่คนเดียว
หัวใจของมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากแท้หยั่งถึง เฉียนคุนกลัวว่าคนของเขาจะไม่สามารถต้านทานความโลภและทรยศเขาทันทีที่รู้ว่าเจียงอี้อยู่ที่นี่
“สุดท้ายคนที่พึ่งพาได้ก็มีแต่ตัวเองเท่านั้น!”
เจียงอี้พึมพำอยู่ในใจ ทวีปเทียนชิงนั้นใหญ่โตมโหฬาร แต่มีสักที่ไหมที่เขาสามารถเรียกมันว่าบ้าน? มีที่ไหนบ้างที่เขาสามารถอยู่ได้อย่างไม่ต้องหวาดระแวง? มีเพียงแค่ในหุบเขาสามหมื่นลี้เท่านั้นที่เขาพอจะมั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้หลบซ่อนตัวได้อย่างแท้จริง
“รอสักช่วงหนึ่งก่อน ข้าจะลองคิดหาวิธีที่จะนำสมุนไพรสยบวิญญาณกลับมา แต่ถ้าหากไม่ได้จริงๆ ข้าก็คงต้องเร้นกายจากยุทธภพไปสักพัก”
หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ เขาก็หันไปทางเฉียนคุนและเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“จริงสิ เจ้าพอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับราชวงศ์ของอาณาจักรต้าเซี่ยบ้างหรือไม่? บางที ข้าอาจจะหาวิธีแลกเปลี่ยนกับพวกเขาได้”
“มีขอรับ เหตุผลที่ตระกูลเฉียนของเราคงอยู่มานานนับหมื่นปีไม่ใช่เพราะพวกเราร่ำรวยจนเกือบเทียบเคียงได้กับอาณาจักรเท่านั้น แต่พวกเรายังเป็นอับดับหนึ่งในด้านข่าวกรองอีกด้วย!”
เฉียนคุนกล่าวอย่างภาคภูมิใจก่อนที่จะกลับเข้าเรื่องหลักอย่างรวดเร็ว
“แต่ข้อมูลที่ท่านต้องการนั้นถือว่าเป็นความลับ ตัวข้าในตอนนี้ไม่สามารถเข้าถึงมันได้ เกรงว่าคงมีเพียงท่านประมุขตระกูลหรือประมุขน้อยเท่านั้นที่ทราบขอรับ”
“ไม่เป็นไร ลองไปถามว่านก้วนดู ข้าจะรอสักสองสามวัน” เจียงอี้พยักหน้าและกล่าวตอบ
“ขอรับ! ข้าน้อยจะรีบติดต่อไปยังประมุขน้อยให้เร็วที่สุด หากว่าประมุขน้อยเห็นด้วย ข้อมูลทั้งหมดก็น่าจะถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างไม่มีปัญหา ในระหว่างนี้ นายน้อยอี้ก็รออยู่ที่นี่ไปก่อนนะขอรับ”
เฉียนคุนพยักหน้าและจากไปทันที ทางด้านของเจียงอี้ก็ใช้เวลาสองชั่วโมงในการครุ่นคิดอยู่ในลานกว้าง แต่ก็ยังไม่สามารถหาทางออกที่ลงตัวได้
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะปล่อยวางชั่วครู่และกลับเข้าไปในห้องเพื่อบ่มเพาะพลัง
เจียงอี้สามารถบ่มเพาะพลังได้ตลอดทั้งวัน เนื่องจากเฉียนคุนได้สั่งไว้แล้วว่าไม่ให้ใครเข้ามารบกวน
ในตอนนี้ เขากำลังเป็นห่วงเกี่ยวกับดวงดาวทั้งเก้าที่อยู่ในตันเทียน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่สามารถไถ่ถามใครได้เนื่องจากกลัวว่าจะถูกหาว่าเป็นบ้า
มีเพียงดาวดวงแรกที่ถูกเติมเต็มโดยแก่นแท้พลังสีดำ แต่อีกแปดดวงที่เหลือกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยา
“ดวงดาวทั้งเก้าคืออะไรกันแน่? หากให้เดา หลังจากที่บ่มเพาะแก่นแท้พลังสีดำและใส่ลงไปในดาวดวงแรกจนเต็มแล้ว ลำดับต่อไปก็คงต้องทำแบบเดียวกันกับดาวดวงที่สอง”
“แล้วถ้าหากว่าดาวทั้งหมดถูกเติมเต็มด้วยแก่นแท้พลังสีดำล่ะ? ข้าจะยังสามารถบ่มเพาะพลังต่อไปได้หรือไม่?
อยู่ๆเจียงอี้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา การเปลี่ยนแปลงของตันเทียนเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อนในประวัติศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่มีแหล่งอ้างอิงใดๆและทำให้เขาต้องค้นหามันด้วยตัวเอง!
หากไม่มีแนวทางใดที่ใช้กำหนดระดับการบ่มเพาะพลัง เขาจะยังสามารถทะลวงสู่ขอบเขตเสินโหยวในอนาคตได้หรือไม่? เขายังสามารถไขว่คว้าเส้นทางเต๋าสูงสุดได้อยู่หรือ? คำถามเหล่านี้ล้วนแต่สร้างความกวนใจให้กับเจียงอี้ตลอดเวลา
……
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดสองวันก็ผ่านพ้นไป
เจียงอี้ใช้เวลาสองวันในการบ่มเพาะพลังและพักผ่อนอย่างสงบเพื่อบรรเทาความตึงเครียด
ในเย็นของวันถัดไป!
เฉียนคุนกลับมาแล้ว แต่เมื่อเจียงอี้ได้ยินเสียงฝีเท้า คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันทันที เพราะผู้ที่มาไม่ใช่หนึ่งแต่มีถึงสาม!
เขาตื่นตัวอย่างฉับพลัน ในขณะที่เฉียนคุนกับอีกสองคนเข้ามา เขาก็นำหินวิญญาณเพลิงมาไว้ในมือพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารออกมาเพื่อทำการข่มขู่ ราวกับว่าหากยังก้าวเข้ามาอีก เขาจะลงมือทันที
ผู้ที่มาใหม่ทั้งสองคนนี้ เจียงอี้ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่เขาสัมผัสได้จากกลิ่นอายของทั้งสองได้อย่างชัดเจนว่าอย่างน้อยพวกเขาจะต้องอยู่ในขั้นที่เจ็ดหรือแปดของขอบเขตเสินโหยวอย่างแน่นอน!
“นายน้อยอี้ อย่าเพิ่งวู่วาม! ฟังข้าอธิบายก่อน!”
เฉียนคุนตกใจกับท่าทีของเจียงอี้ ดังนั้นเขาจึงรีบหยิบจดหมายและป้ายบางอย่างขึ้นมา จากนั้นก็กล่าวอย่างรวดเร็ว
“นายน้อยอี้ นี่คือจดหมายจากประมุขน้อย ส่วนอันนี้ก็คือป้ายประจำตัวของเขา! ท่านทั้งสองคนนี้ไม่ได้มาร้าย นายน้อยอี้ใจเย็นก่อน!”
“หืม?”
เจียงอี้เก็บจิตสังหารกลับไปแต่ก็ยังคงไว้ด้วยท่าทีหวาดระแวง เขาไม่ได้เกรงกลัวผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนนี้ แต่ถ้าหากที่อยู่ของเขาถูกล่วงรู้โดยเหล่าศัตรู ผลลัพธ์ที่ตามมาจะยิ่งร้ายแรงกว่ามาก
หลังจากที่มองดูป้ายประจำตัว เขาก็มั่นใจว่านี่เป็นของเฉียนว่านก้วนไม่ผิดแน่ หลังจากนั้นเขาก็หยิบจดหมายขึ้นมาอ่านและแต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เผยให้เห็นความสับสนออกมายิ่งกว่าเดิม
เขาหันไปมองผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งสองคนนั้นและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกท่านมาจากจักรวรรดิมังกรเวหาหรือ?”
จดหมายดังกล่าวเป็นจดหมายที่เฉียนว่านก้วนเขียนขึ้นเป็นการส่วนตัว ทางด้านเจียงอี้เองก็สามารถจดจำลายมือที่ตวัดไปมาคล้ายกับงูของสหายได้ มันเป็นเรื่องยากที่จะมีคนสามารถลอกเลียนแบบลายมือของเจ้าอ้วนเฉียน อีกทั้งยังเป็นจดหมายที่เฉียนคุนนำมาส่งด้วยตัวเอง ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะใช่ของปลอม
ภายในจดหมายเป็นข้อความง่ายๆอย่าง จักรวรรดิมังกรเวหากำลังตามหาตัวเจียงอี้และได้ขอให้เฉียนว่านก้วนช่วยเหลือ
เจ้าอ้วนเฉียนไม่ได้เขียนรายละเอียดมากนัก แต่ก็ยังมีคำใบ้บางอย่างที่เอ่ยเป็นนัยๆว่ามันเป็นข่าวดีสำหรับเขา
อย่างไรก็ตาม เจียงอี้ก็ยังคงระวังตัวอย่างมากและพยายามขบคิดอย่างถี่ถ้วน
ตึก! ตึก!
แต่ในขณะที่เขากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งสองคนก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งและเอ่ยด้วยความเคารพ
“หลิงเชียง/หลิงเจี้ยน คารวะใต้เท้าผู้ตรวจการ!”