บทที่ 15 ปกรณัมแห่งจิตใจ
บทที่ 15 ปกรณัมแห่งจิตใจ
“อ๊ากกกกกก”
ใบหน้าของริวตะถูกไฟคลอก แต่ในตอนนั้นเองเขาก็นึกถึงชิซึกุขึ้นมา.. ดวงตาลืมขึ้นแม้ว่าไฟกำลังจะลุกไหม้อยู่บนหน้า
ม่านตาคึงถูกแผดเผาด้วยอัคคีสีแดง ทว่าสำหรับริวตะนั้น.. เขาเห็นชิซึกุที่ถูกพรากไป.. ถูกแย่งชิงไป
ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น อิสระ..ชีวิตที่ดี..ความสนุกสนาน..แม้แต่สิ่งที่ตนเองรัก.. ทุกๆ อย่างก็เหมือนไฟที่แผดเผา
ในชีวิตของเขาตั้งแต่เกิดมาเหมือนจะมีเปลวไฟหนึ่งกองกำลังลุกไหม้ เผาผลาญทุกสิ่งของเขาไปหมด เหมือนกับว่าทุกๆ อย่างนั้นเป็นแค่สิ่งที่สมควรเผาทิ้ง
ไม่สิ.. บางทีตัวมนุษย์เองตั้งหากที่เป็นคนจุดไฟเหล่านี้ขึ้นมา สิ่งที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัว ความเกลียดชัง ความอิจฉา
ความต้องการ ความโลภ ความเกียจคร้าน… ทุกๆ อย่างมันนำพามาสู่ไฟที่กำลังแผดเผา เขาอาจจะไม่ใช่คนเดียวที่ถูกแผดเผา
หรืออาจจะทุกๆ คนที่ถูกแผดเผา.. แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโดนคนรุมแผดเผา.. เขาทำอะไรผิด
ผิดที่เกิดมา.. ผิดทุกๆ อย่าง…
“โธ่..ไม่เอาแล้ว..โลกแบบนี้…ไม่เอาแล้วไม่อยากเห็นมันแล้ว..ไม่อยากรู้สึกมันแล้ว..”
จนในที่สุดริวตะก็ถูกไฟแผดเผาดวงตาจนถูกพรากการมองเห็นไป และในเวลาเดียวกันจิตใจก็ไม่อาจแบกรับความเจ็บปวดทรมาน
สิ่งที่น่ากลัวอย่างโลกภายนอกได้.. จนจิตใจเขาพังทลายไฟแผดเผาไปจนมอดดับใบหน้าของริวตะเผยเห็นถึงกล้ามเนื้อใต้เนื้อหนังที่ดูสยดสยอง
ดวงตาของเขาถูกแผดเผาจนไม่อาจมองเห็น
“สมน้ำหน้า นังแพศยา!”
จิตใจที่ก้าวร้าวของพวกเขาไม่สนใจแม้จะทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ จึงเตะใส่หน้าของริวตะจนเละกว่าเดิมก่อนที่จะไม่สนใจ
แม้เลือดจะไหลริวตะก็ลุกขึ้นและเดิน.. แต่ว่ามาริก็มารักษาบาดแผลให้ริวตะ แต่ไม่ได้รักษาจนหายขาด เพราะหน้าของริวตะยังประดับไว้ด้วยรอยแผลเป็นที่น่าขยะแขยง
แม้ดวงตาจะถูกรักษากลับมาได้ข้างหนึ่ง แต่สำหรับริวตะนั้นมันก็ยังเป็นโลกแห่งความมืดอยู่ดี
เขาเดินกลับห้องของตัวเอง ด้วยร่างกายที่อ่อนแอบาดเจ็บเป็นแผลไปทั่วร่าง ก่อนจะไปถึงห้องก็ล้มหน้าคะมำหลายครั้ง
แต่ท้ายที่สุดเขาก็เดินกลับมาถึงห้องตัวเองและนอนลงบนเตียง…
“ชิซึกุ…”
……….
…….
…
ในห้องราชา มีราชาหนวดเคราสีขาวเต็มคางและผมก็สีขาวสวมชุดกษัตริย์งดงามหรูหรา สีหน้าดูเย็นชาไม่น้อย
“ฝ่าบาท รายงานเรื่องผู้กล้า!”
“ว่ามา การควบคุมบงการพวกผู้กล้าใกล้สำเร็จหรือยัง”
“ขอรับ อีกไม่นานก็จะสำเร็จแล้ว แต่ทว่า…”
มีชายคนหนึ่งกำลังคุกเข่ารายงาน เมื่อเขาลังเลที่จะพูดพระราชาจึงพูดออกมาในทันทีว่า
“มีอะไร?”
“คือว่า.. การที่จะใช้ตำราทาสในการควบคุม อย่างน้อยก็ต้องทำให้พวกผู้กล้าไม่มีอารมณ์แรงกล้าต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง”
“อืม ก็เป็นแบบนั้น”
“ทว่า.. ในตอนนี้พวกผู้กล้ายังมีความสนุกสนานอยู่ขอรับ”
ใช่แล้ว ตำราทาสคือตำราเวทสำหรับทาส แม้ราคามันจะสูงลิ่วเสียดฟ้า แต่ด้วยประสิทธิภาพของมันคุ้มค่าพอจะเอามาควบคุมผู้กล้า
ผลประโยชน์ของเจ้าสิ่งนี้นั่นคือ สามารถควบคุมจิตใจแม้กระทั่งความนึกคิดของทาสได้ แถมยังทำให้ทาสนั้นสามารถใช้เวทมนตร์ในการต่อสู้รุนแรงขึ้นได้อีกสองเท่า
ซึ่งมีประโยชน์มากในการปกป้องผู้เป็นนาย! พระราชาแสดงสีหน้าสงสัยออกมา ชายคนนั้นจึงรายงานต่อ
“อย่างที่ฝ่าบาททรงทราบว่า ในหมู่ผู้กล้ามีคนหนึ่งที่อ่อนแอและมีความสามารถกลายเป็นหญิงเท่านั้น ซึ่งในตรงจุดนี้ก็ไม่มีอะไรผิดแปลก แต่เหมือนในกลุ่มผู้กล้าเองจะมีการกลั่นแกล้งกับเจ้าคนไร้ความสามารถนี้เพื่อความสนุกอยู่ด้วยขอรับ”
“นั่นหมายความว่าตราบใดที่ยังมีเจ้าเด็กคนนั้นพวกผู้กล้าก็ยังสนุกกันได้สินะ?”
“ใช่แล้วขอรับ”
ในตอนนั้นเองพระราชาก็คิดอยู่สักพัก เวลาไหลผ่านไปไม่นานพระราชาก็ตัดสินใจได้ และพูดออกมา
“กำจัดไอ้เด็กนั้นทิ้งซะ!!”
“แต่ว่า…”
“ยังไงซะมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่แล้ว ในวันที่ออกเดินทางไปโรงเรียน ส่งมันเข้ารถม้าที่แยกกลุ่มไปทิ้งกลางป่า อย่าลืมหักแขนหักขามันด้วย และรอให้มอนสเตอร์กินมันก็พอ”
“ทราบแล้วขอรับ!”
ชายคนนั้นพยักหน้า แล้วพระราชาก็ถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“แล้วผู้กล้าที่ทดลองผิดพลาดนั่นล่ะ!”
“เอาไปทิ้งไว้บ่อนรกหลังเขามังกรแล้วขอรับ”
“ไม่ๆ ข้าหมายถึงตำราทาส ถึงจะเสียดายที่คนมีพรสวรรค์แบบนั้นทดลองไม่สำเร็จแต่ก็มีผู้กล้าจากต่างโลกอีกหลายล้านคนในโลก เราจะนำมาทดลองเท่าไหร่ก็ได้ แต่ตำราทาสในทวีปมันมีไม่ถึง 50 ตำราด้วยซ้ำ!”
“อ้อ.. เราเก็บกลับมาแล้วขอรับ”
“งั้นก็ดี อีกไม่นานก็ถึงเวลาฟื้นคืนชีพจอมมารตามคำทำนายแล้ว เตรียมตัวให้พร้อมเพราะมันต้องโจมตีเราเป็นที่แรกแน่นอน!”
“ขอรับ!”
สิ้นเสียงพระราชาก็ลุกจากบัลลังก์และเดินจากไป…
………
[เป็นให้ทุกอย่างแล้ว ริวตะบอก... ใครที่ทนอ่านถึงจุดนี้ถือเป็นผู้กล้าผู้บุกเบิก (?) ดังนั้นพวกคุณทุกคนสอบผ่านแล้ว!? - ผู้เขียน]