บทที่ 11 ปกรณัมแห่งความหลอน
บทที่ 11 ปกรณัมแห่งความหลอน
ชั้นกลับมาอยู่ในความฝัน ชั้นยืนอยู่กลางทะเลทรายที่แห้งแล้งไร้ที่สิ้นสุด มองไปที่ไหนก็มีเพียงทรายที่เหมือนกับว่าโลกทั้งใบมีเพียงทราย
และนอกจากชั้นก็ยังมีคนอื่นเดินตามมาเป็นแถวยาวถูกมัดเหมือนเป็นเชลยศึก ใครที่ล้มก็จะถูกฟาดด้วยผู้คุมที่เดินมาด้วย
เรื่องราวมันเกิดจากประเทศแห่งนี้ถูกยึดครองด้วยขุนนางจอมโลภหลังจากพระราชาสิ้นพระชนม์
มันก็สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นราชาและนำภาษีจากสามัญชนทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะภาษีการหายใจ ภาษีการเดิน ภาษีการใช้ถนน
แม้กระทั่งภาษีตั้งบ้านอยู่ในประเทศ ทำให้ชาวบ้านและสามัญชนทั่วไปยากจนอย่างมาก ด้วยความที่เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในทะเลทราย
จึงยิ่งน่าอนาถเข้าไปอีก และไม่ว่าจะต่อต้านยังไงในตอนแรกมันอาจจะออกมาตอบโต้ แต่ทว่านานไปหน้ามันยิ่งหนามากขึ้น
จนกระทั่งเมินเฉยต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลาย ในขณะที่มันคิดว่าประชาชนพวกนี้นั้นไร้คุณภาพกันเสียเอง แทนที่จะมองตัวเอง
จนในที่สุดก็เกิดการต่อต้านรวมพลกันต่อต้าน กันหากแต่ทว่าก็ถูกกำราบลงด้วยคนที่แข็งแกร่งจึงกลายเป็นเชลยศึก
และถูกนำไปขายเป็นทาสนอกประเทศ เพื่อรับใช้จนกว่าจะตาย และคนที่ชั้นฆ่านั้นเขาสามารถหนีจากการเป็นทาสออกมาได้
แต่ทว่าเขาก็ไม่สามารถหลบหนีจากประเทศแห่งนี่ได้จึงถูกนำมาเป็นเตาพลังเวทมนุษย์
ซึ่งเป็นการทดลองอย่างหนึ่งของอาณาจักรนี้โดยการสร้างเตาปฏิกรณ์กักเก็บที่มีพลังจินตนาการของมนุษย์
ซึ่งแลกมาด้วยการที่เสียสติความเป็นมนุษย์ และคนคนนี้ก็เสียความเป็นมนุษย์กลายเป็นแค่ร่างกายที่แทบจะเหมือนเศษผ้าไร้ค่า
และในตอนนั้นเองภาพทั้งหมดก็สลายหายไป… ภาพใหม่ปรากฏขึ้นมาเป็นภาพที่ชั้นนอนอยู่บนโต๊ะอาหาร
และมีคนสวมชุดพระราชาใช้มีดถลกหนังเนื้อของชั้นไปกินอย่างอร่อย แทะแม้แต่กระดูกของชั้น
มันเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยายหากแต่สติก็ไม่ดับไม่ว่าจะถูกทำอะไรกับร่างกาย ยังสัมผัสได้ถึงความทรมานจากการถูกแทะและถลกหนัง
จนชั้นเหลือแค่สติที่ยังคงอยู่และในเวลานั้นเองก็มีเครื่องบางอย่างที่เหมือนเตาปฏิกรณ์อะไรสักอย่าง และดูดสติของชั้นเข้าไปทำให้เหมือนความนึกคิดทั้งหมดถูกเข็มนับพันเล่มแทง
“อ๊ากกกกกกกกกกกก”
ความเจ็บปวดทรมานทำให้จิตใจของชั้นแทบแหลกสลาย และเรื่องแบบยี้ก็เกิดซ้ำไปซ้ำมาวกไปวนมาไม่รู้จบ
ผมสีขาวยิ่งซีดลงกว่าเดิม จิตใจเริ่มไม่ไหว.. ไม่ไหวแล้วทั้งร่างกายและจิตใจของชั้นมัน…
ในตอนนั้นเองภาพก็เปลี่ยนไปเป็นภาพที่ตรงหน้าชั้นมีคนยืนอยู่ คนคนนั้นคือชิซึกุ เธอส่งยิ้มมาให้ชั้นก่อนที่ชั้นจะได้พูดอะไร
ก็มีมือยาวสีดำพุ่งมาจากใต้ดินควักเอาหัวใจของชิซึกุออกมาพร้อมกับควักเอาสมองออกมา.. เลือดสดกระจายไปทั่วเหมือนจริงซะยิ่งกว่าความฝัน
ก่อนที่ชิซึกุจะร่วงหล่นลงสู่ความมืดชั้นก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ชิซึกุ!!!”
ชั้นร้องออกมาลุกขึ้นทันที.. แต่ก็พบว่ามันเป็นแค่ความฝันชั้นถอนหายใจออกมา.. “พักนี้.. เป็นอะไรของชั้นนะ”
และในตอนนั้นเองสายตาของชั้นก็เลื่อนไปเห็นผนังห้องตัวเอง..ที่มีรอยเหมือนโดนของมีคมตัด ไม่สิ… มันมีทั่วทั้งห้องเลย!
เหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่ว่าคราวนี้เหมือนห้องชั้นตกอยู่ในสนามรบอย่างงั้นแหละ หรือว่าอาจจะมีคนแอบเข้ามาในห้องชั้นจริงๆ …
ว่าแต่เมื่อวาน…ชั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานชั้นเกือบโดนซาโต้ข่มขืน แต่ชิซึกุมาช่วยชั้นไว้งั้นเหรอ..
“เฮ้อ…”
ชั้นลุกจากเตียงช่วงนี้ก็มีแต่เรื่องเกิดขึ้นมากมาย… และออกไปทำกิจวัตรประจำวัน… แต่ทว่า
ข่าวการหายตัวไปของซาโต้ก็แพร่กระจาย.. ชั้นตกใจทันทีตามหาชิซึกุ หากแต่ว่าชิซึกุก็หายตัวไปเช่นกัน
“หรือว่า..ยัยนั่น.. ไม่.. นอกจากตอนถูกสะกดจิตยัยนั่นไม่มีทางฆ่าคนเพื่อคนแบบชั้นหรอก โดยเฉพาะคนแบบยัยนั่น…”
ชั้นพึมพำ.. วันนี้ทั้งวันชั้นจึงตามหาชิซึกุแต่ไม่พบร่องรอย จนตกเย็นชั้นก็กลับมาที่ห้อง…
“วันนี้..ดูเหมือนจะหลับไม่ลงแฮะ..”
ชั้นคิดแบบนั้น เพราะมีเรื่องให้คิดตั้งมากมาย.. และหากชั้นไม่นอนชั้นอาจจะเห็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแปลกๆ ในห้องชั้นก็ได้.. วันนี้ชั้นจึงไม่นอน
………
ในห้องของอิจิโนะ ตอนนี้มีชิซึกุยืนมองอิจิโนะที่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ชิซึกุพูดออกมาด้วยเสียงที่เป็นปกติ แต่เพราะความมืดอิจิโนะจึงไม่เห็นสายตาของชิซึกุ
“อิจิโนะ… อย่าคิดจะแกล้งริวตะอีก”
“หึ.. พูดอะไรของเธอ คุราตะ พวกเราก็แค่หยอกเล่นกันเอง ต่อให้ชั้นเผาหน้ามันมาริก็รักษาได้ มีอะไรต้องกังว—”
แต่ก่อนที่จะได้พูดจบ มือชิซึกุก็พุ่งไปจับหัวของอิจิโนะ เป็นเวลาเดียวกันที่เมฆลอยออกจากการบดบังดวงจันทร์ทำให้แสงสาดเข้ามาจากหน้าต่าง
ม่านตาที่ควรจะเป็นสีขาว แต่ตอนนี้ม่านตาข้างหนึ่งของเธอกลายเป็นสีดำสนิท… สัมผัสถึงความโกรธได้อย่างชัดเจน แถมยังรุนแรงมาก
ซึ่งหากเป็นชิซึกุปกติคงไม่มีทางแสดงเช่นนี้ได้
“คิดว่าชั้นจะกลัวคำขู่ของเธอหรือไง? อย่างเธอน่ะไม่กล้าทำอะไรชั้นหรอกใช่ไหม?”
“คิดแบบนั้นเหรอ?”
ชิซึกุพูดออกมา ก่อนที่จะปล่อยมือจากหัวของอิจิโนะ อิจิโนะยิ้มแล้วพูด “เห็นไหม ชั้นบอกแล้—”
ทว่าแม้มือจะปล่อยแต่ชิซึกุก็เตะใส่ขาของอิจิโนะ จนขาเธอหักอย่างง่ายดาย ก่อนที่จะได้ร้องก็ถูกบีบคอจนเปล่งเสียงไม่ได้
“กล้าพอหรือยัง?”
ชิซึกุถามด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เธอ.. เธอคิดจะทำอะไร…”
“ชั้นบอกไปแล้วว่า เลิกยุ่งกับริวตะ… แค่นี้”
ก่อนที่เธอจะปล่อยมือออกจากคอของอิจิโนะ และเดินออกจากห้องอิจิโนะไป… ตอนนี้ชิซึกุไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
และการพลิกผันโชคชะตาทั้งมวลกำลังจะเริ่มขึ้น ฟันเฟืองแห่งโชคชะตาและเรื่องราวทั้งหมดกำลังเริ่มเดิน
ใช่แล้วนี่ไม่ใช่จุดจบ… แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ……………
..........
[อย่าได้ไว้ใจคำพูดของคนที่มีนามปากกาว่า Rose Veronica!!!!!! .....?]