บทที่ 1 ปกรณัมไปต่างโลก
บทที่ 1 ปกรณัมไปต่างโลก
นั่นไง!!! โผล่ออกมาแล้วบุคคลที่อ้างตัวเองว่าพระเจ้าหลังจากสร้างความประหลาดใจ ขณะที่ชั้นคิดเสียงคนที่อ้างตนว่าเป็นพระเจ้าก็ดังขึ้นต่อมา
“อย่าตกใจไป ทุกๆ อย่างได้ทุกหยุดเวลาไว้ และพวกเจ้าทุกคนที่ได้ยินเสียงข้า แสดงว่าแม้ ‘เวลา’ จะถูกหยุด แต่พวกเจ้าก็ยังคงสติและรับฟังเสียงข้า”
“ถ้าจะให้บอกก็คือ พวกเจ้าคือผู้ถูกเลือก”
นั่นไง พล็อตแบบนี้ชัดเจนแน่เลย นี่มันยุคแห่งการ์ตูนอนิเมะ เป็นยุคที่รุ่งเรืองด้านนี้มาก ใครๆ ก็รู้จัก
แต่ว่าที่ดังสนั่นในตอนนี้เป็นแนวต่างโลกนี่ล่ะ เพราะมันมีเยอะเกลื่อนโลก.. คิดว่าเยอะขนาดไหนก็ลองคิดดูแล้วกันว่า
มีคนออกมาต่อต้านเพราะบอกว่ามันเยอะเลยอ่ะนะ ไม่ตรวจสอบด้วยนะว่าเนื้อหาเป็นยังไง แนวนี้ งั้นเราไม่ดู ไม่สนุก
เหมือนมองหน้าหนังสือคณิตศาสตร์ที่มีแค่รูปทรง สามเหลี่ยมสี่เหลี่ยม บอกว่ามันง่ายจังมีแค่นี้เหรอ
ซึ่งข้างในมันยากยิ่งกว่าหาลายแทงสมบัติจากตำนานประวัติศาสตร์เมื่อพันปีก่อนเลย เออ.. ถึงจะเกินจริงไปหน่อยแต่มันยากจริงๆ คณิตศาสตร์สำหรับชั้นนะ
นั่นแหละคือความเกลื่อนของนิยายแนวนี้ ขณะชั้นกำลังคิดไปพลางเสียงยังคงกล่าวสาธยายต่อ
“อืมมม..จะว่าผู้ถูกเลือกก็ไม่เชิง พวกเจ้าทุกคนเป็นความบังเอิญที่อายุ 17 ปี พร้อมทั้งเกิดในวันที่ดาวหางตกลงมาพอดี หรือก็คือพวกเจ้าทุกคนแท้เกิดต่างวัน แต่ในวันนั้นเป็นวันที่ดาวหางปรากฏขึ้น”
เอ๋? มีเหตุผลแฮะ ถึงจะไม่รู้ว่าจริงไหมก็เหอะ
“แล้วดาวหางนั้นได้เชื่อมโยงโชคชะตาไว้ในฐานะ ผู้กล้าจากโลกแห่งความหวัง ดังนั้นพวกเจ้าจึงมีโชคชะตาที่จะกลายเป็นผู้กล้า”
ว่าแต่ว่า ทำไมคนทุกคนในห้องนี้ถึงเกิดมาในวันที่ดาวหางตกพอดีล่ะ อะไรจะบังเอิญขนาดนั้นที่ทุกๆ คนที่มีเหตุการณ์เหมือนๆ กันในตอนเกิดมาอยู่รวมกันในวันนี้
และเหมือนคำถามของชั้นจะส่งไปถึง เพราะมีคำตอบมา
“แน่นอนนั่นเป็นการเชื่อมโยงโชคชะตา นอกจากนี้นอกจากพวกเจ้าทั่วโลกก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เกิดมาพร้อมดาวหาง”
เอ๋..ถ้างั้นจะเรียกว่าผู้ถูกเลือกนี่ได้เหรอ เพราะมันมีเยอะด้วยนะ ทั่วโลกมีคนเป็นพันๆ ล้านคนต่อให้แค่ 1% ก็มากกว่าสิบล้านคนแล้วนะ
“แน่นอนว่าคนที่ได้ไปต่างโลกนั้นมีมากกว่าสิบล้านคนเลยทีเดียว เพียงแต่ว่านอกจากพวกเจ้าที่ถือเป็นผู้ถูกเลือกที่จะเป็นผู้กล้า จะถูกอัญเชิญไปในอาณาจักรที่บูชาเทพ ส่วนคนอื่นๆ อีกนับสิบล้านจะถูกส่งไปในสถานที่ต่างๆ ทั่วดาวดวงนั้นซึ่งมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่พวกเจ้าจะคำนวณ”
แบบนี้นี่เอง พวกเราจะถูกวาร์ปไปยังจุดสตาร์ทของจริง แต่คนอื่นจะสุ่มสินะ โชคดีหน่อยอาจจะโผล่กลางป่าที่ฟาร์มดีๆ
หรือคนที่โชคร้ายอาจจะไปโผล่กลางปราสาทจอมมารและถูกฆ่าทันที.. และเกรงว่าคนที่โชคดีคงมีไม่ถึง 10%...
ดังนั้นอย่างต่ำที่รอดมาได้จากความตายก็ประมาณหนึ่งล้าน แน่นอนนี่คือค่าตั้งต้นที่คำนวณไว้อาจจะมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ไม่มีใครทราบ
แต่เดี๋ยวก่อนนะ.. ถ้างั้นทุกคนนอกจากคนในห้องเรียนชั้นก็ได้ยินเสียงนี้..งั้นแสดงว่าพวกเขาก็รู้ว่าพวกเรานั้นได้เริ่มต้นที่ดีกว่าคนอื่น
อย่างที่บอกมนุษย์นั้นมีอารมณ์หลากหลาย อิจฉาริษยาก็เป็นหนึ่งในนั้น หากคนโชคร้ายไปโผล่กลางปราสาทจอมมาร เกรงว่ามันคงแค้นพวกเราจนตายแน่ๆ
“เพิ่มเติมนิดหน่อย ดาวหางนั้นคือเศษศิลายักษ์จากโลกแห่งความหวัง ดังนั้นเมื่อใครที่เกิดมาพร้อมกับไร้โชคชะตาผูกมัดใดๆ จึงถูกเชื่อมโยงนั่นเอง”
“ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนหากต้องการที่จะกลับมาในโลกนี้ ก็ต้องสังหารจอมมารและชะตากรรมของพวกเจ้าจะถูกเขียนขึ้นใหม่ตามความปรารถนาของพวกเจ้า”
อืม.. นี่มันมุขที่ว่าตอนจบพระเจ้าเผือกชั่วนี่น่า แบบประมาณว่าฆ่าเสร็จแล้วเหรองั้นก็ดีไป ฮ่าๆ หรือแบบได้รู้ความลับว่ามนุษย์เป็นหมากในกระดานพระเจ้า
อะไรประมาณนี้ตามสูตรสินะ และเหมือนทุกคนจะคิดเหมือนชั้น ดังนั้นพวกมันน่าจะตัดสินใจทันทีว่าจะไม่เชื่อฟังใครเมื่อไปถึง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาทำให้พวกเราเข้าใจว่า… เขาไม่ได้โกหกนั่นคือ
“พวกเจ้ากำลังจะคิดว่าข้าโกหกสินะ เปล่าเลย.. ข้าไม่ใช่เทพเจ้า แต่ตัวตนเสมือนพระเจ้าของพวกเจ้าข้าจะยกตัวอย่างให้ง่ายๆ ตอนนี้ห้องพวกเจ้ามี 24 คน”
ก่อนที่เสียงดีดนิ้วจะก้องกังวานไปทั่ว คนที่ 25 ปรากฏขึ้นในห้องไม่เพียงเท่านั้นเรื่องราวทั้งหมดถูกบิดเบือน
แทนที่จะมี 24 แต่ในห้องกลับมี 25 กิจกรรมคนที่เพิ่มมาแทบอยู่ในทุกความทรงจำของทุกๆ คน
“นี่คือความสามารถของข้า สำหรับข้าพวกเจ้าเป็นเหมือนตัวหนังสือในกระดาษที่ข้าจะสามารถลบและเขียนใหม่ได้ตามใจเหมือนที่เจ้าเขียนหนังสือ”
“โอ๊ตโต๊ะ เกือบไปเมื่อกี้ไม่นับ”
ความทรงจำเกี่ยวกับคำพูดเมื่อกี้ชั้นถูกลบหายไปในทันที ซึ่งแม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ก็มันเป็นเหตุผลที่บอกได้ว่า
คนคนนี้ไม่ได้โกหก เพราะว่าเขาคือพระเจ้าที่แท้จริง! อย่างน้อยพวกชั้นทุกๆ คนก็คิดแบบนั้น
“เอาล่ะ พวกเจ้าในฐานะที่ผูกโชคชะตาเข้ากับต่างโลกจึงมีความสามารถมาตั้งแต่เด็กเพียงแต่ว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘เวทมนตร์’ อยู่เลย”
“เวทมนตร์คือพลังแห่งจินตนาการที่สามารถแทรกแซงสู่กฎธรรมชาติ เช่นเจ้าใช้แทรกแซงกฎธรรมชาติของฟ้าอากาศ จะสามารถทำให้มันฝนตกได้ เป็นต้น”
“นี่นับเป็นเพียงตัวอย่างของคำนิยามของคำว่าเวทมนตร์!”
แบบนี้นี่เอง เสียงนั้นพูดต่อ
“ซึ่งพลังความสามารถของพวกเจ้านั้นไม่ถูกกระตุ้นด้วยพลังเวทมนตร์จึงไม่ระบุว่าเป็นความสามารถอะไร”
“ถ้าให้อธิบายง่ายๆ เด็กในโลกนั้นจะเกิดมาพร้อมความสามารถและมีพลังเวททำให้ความสามารถของพวกเขามีตั้งแต่เด็ก และแน่นอนว่ามันก็เหมือนการเซฟเร็วเกินไปจึงทำให้พลังจินตนาการอ่อนแอ ดังนั้นเวทมนตร์ที่ปลดปล่อยออกมาจึงไม่สูงมากนัก”
“ตรงกันข้ามกับพวกเจ้า หากความสามารถตื่นขึ้นหลังจากโตแบบนี้แล้ว จะทำให้พลังจินตนาการที่สร้างความสามารถแข็งแกร่งกว่าเด็กทั่วไป แล้วก็อย่างที่บอกเวทมนตร์คือการจินตนาการ ดังนั้นเมื่อเซฟด้วยตอนพลังจินตนาการที่แข็งแกร่งจึงจะใช้เวทมนตร์แข็งแกร่งเช่นกัน”
โอ้ อย่างงี้นี่เอง สมกับเป็นความจริงมันดูมีพื้นฐานและมีเหตุผลดี เพราะบางครั้งก็อาจจะเป็น plot hole เพราะไม่มีคำอธิบายโดยละเอียด
“ส่วนความสามารถที่จะถูกปลุกขึ้นมานั้นมันแล้วแต่จิตใต้สำนึกพวกเจ้าปรารถนา อย่างที่บอกมันคือพลังแห่งจินตนาการ”
“เมื่อความสามารถถูกปลุกให้ตื่นด้วยเวทมนตร์ จะสามารถใช้พลังเวทด้วยการจินตนาการ และในขณะเดียวกันความสามารถที่จะเกิดขึ้นด้วยจินตนาการเช่นกัน”
“เมื่อพวกเจ้าไปถึง ความสามารถก็จะปรากฏขึ้นในจิตใจของพวกเจ้า และความสามารถหนึ่งคนนั้นมีเพียงหนึ่งความสามารถเท่านั้น และมันจะเป็นการตัดสินว่าพวกเจ้าต้องใช้เวทมนตร์แบบไหน”
“เช่นเมื่อพวกเจ้ารู้ว่าตัวเองมีความสามารถควบคุมไฟ ก็จะสามารถใช้เวทมนตร์ธาตุไฟได้ และต่อจากไฟรองลงมาคือไม้ ที่แพ้ทางธาตุไฟ.. รองลงมาอีกคือธาตุดินที่แพ้ธาตุไม้อีกที ต่ำกว่าก็คือธาตุดิน ส่วนธาตุน้ำกับลมนั้นธาตุไฟแพ้ทางจึงไม่สามารถใช้ได้”
แบบนี้นี่เอง สรุปง่ายๆ คือ จะใช้เวทมนตร์ต่อจากธาตุตัวเองได้สองธาตุซึ่งต้องเป็นธาตุที่แพ้ทางตัวเองนั่นเอง
และในโลกอีกฝั่งเหมือนจะไม่มีแบบไอเทมช่วยบอกสเตตัสหรืออะไรสินะ ใช้ความรู้สึกดูเอา
แต่จะว่าไงดี ทุกๆ คนก็ต้องมีสิ่งปรารถนาในลึกๆ ล่ะนะ แต่ถ้าอยากรวยนี่คงไม่เสกเงินมาใช้เลยเหรอ มันจะมีประโยชน์ตรงไหนกัน?
“สำหรับเรื่องหากปรารถนาสิ่งที่ไร้ค่าอย่างสุดจริงๆ ความปรารถนาจะถูกบิดเบือน เช่นต้องการเงินก็จะเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการจัดการธาตุเหล็กหรือแร่ธาตุต่างๆ เป็นต้น”
แบบนี้นี่เอง.. แต่ว่าความปรารถนาของชั้นเหรอต้องการอะไรล่ะ
“เอาล่ะถึงเวลาแล้ว ที่เหลือพวกนายจะได้รับการเล่าจากคนฝั่งนั้นเอง และคนอื่นๆ นั้นจะต้องหาทางรอดให้ได้ และรีบพัฒนาความสามารถให้เร็วเพื่ออยู่รอด!”
“อ๊ะ ลืมบอกไปเลยว่า เวลาในโลกนั้นเร็วกว่าโลกนี้ประมาณ 100 เท่า หรือก็คือ 1 ปีในโลกนี้ เท่ากับ 100 ปี ในอีกโลกเพราะงั้นแม้จะพิชิตอยู่นับสิบปี แต่ถ้ากลับมาก็เพียงผ่านไปไม่นานเท่านั้นเองก็จะได้กลับมายังโลก .. ถ้าเช่นนั้นคงถึงเวลาต้องไปแล้วจริงๆ!”
สิ้นเสียง แสงก็พร่ามัวทันที แต่ชั้นกำลังคิดถึงความปรารถนาของตัวเอง… นั่นสินะ.. ถ้าพูดถึงความปรารถนาล่ะก็..
ภาพของตัวเองในโซเชียลโผล่ขึ้นมา.. เป็นคนที่สวยมากๆ เหมือนไม่ใช่ชั้น
“นั่นสินะ… บางทีก็แอบอิจฉาตัวตนในโซเชียลเน็ตเวิร์คของตัวเอง.. ถึงมันจะเป็นตัวฉันแต่ถ้ามามองก็เหมือนว่ามิสะรินคือมิสะริน ชั้นคือชั้น แค่ใช้ร่างกายเดียวกัน.. เพราะงั้นอิจฉา.. อยากได้…ร่างของมิสะรินจริงๆ”
และแสงก็โอบล้อมตัวชั้นทั้งคนอื่นๆ อีกนับสิบล้านชีวิตก็หายวับไปจากโลก…
พร้อมกับเสียงถอนหายใจจากผู้ที่แทนตัวเองว่าพระเจ้า “เฮ้อ… เป็นเพราะเราใจอ่อนเอง..ถึงต้องทำให้ลูกๆ ฆ่ากันเองแบบนี้….”