ตอนที่ 35 หว่านเมล็ด
บางทีนครใต้พิภพโครมทาโซ่ คงจะเป็นนครที่ใกล้กับนครภูผาหลิวฮวงที่สุดแล้วกระมั้ง ถึงแม้นครแห่งนี้จะไม่ใช่เส้นทางการค้าที่เหล่าพ่อค้าแม่ขายจะต้องเดินทางผ่านเพื่อข้ามไปยังนครใต้พิภพแห่งอื่นๆ แต่ก็มีเหล่าพ่อค้าแม่ขายจำนวนไม่น้อยเลยที่เลือกที่จะมาเยือนที่นครแห่งนี้เพื่อตุนเสบียงสำหรับการเดินทางหรือเพื่อจับจ่ายสินค้าเหมืองแร่ อัญมณี ทาสและสินค้าท้องถิ่นชนิดอื่นๆ
ซึ่งร้อยละ 70 ของประชากรในนครแห่งนี้เป็นคนแคระและมนุษย์สัตว์ใต้พิภพ และที่นครแห่งนี้ได้มีราชันต์แห่งมนุษย์หมู มนุษย์สัตว์ใต้พิภพ อู๊ด อู๊ด ดำรงตำแหน่งเจ้านคร ผืนแผ่นดินของนครแห่งนี้นั้นแห้งแล้งกันดาน และหลังจากที่กองทัพหลวงประจำนครออกไปดักปล้นสะดมเหล่าคาราวานพ่อค้าแม่ขายไปหลายครั้งหลายคราว ชื่อเสียในเรื่องความโลภของเจ้าหมูพวกนี้ก็เลื่องลือไปไกล จนในปัจจุบันนี้ นครแห่งนี้ก็ไร้ทางเลือกนอกเสียจากจะพึ่งพิงอาศัยอุตสาหกรรมเหมืองแร่และการค้าทาสเพื่อคงสภาพเศรษฐกิจภายในนครเอาไว้
แล้วเมื่อครั้งที่ข่าวเรื่องการตายของเจ้านครอู๊ด อู๊ด แพร่สะพัดออกไป ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรเลยที่นครโครมจะตกอยู่ภายใต้ความโกลาหล
ทั้งนี้ที่เหล่าขุมกำลังฝ่ายกฎระเบียบนั้นชอบมองว่าดินแดนโลกใต้พิภพเป็นดินแดนแห่งความโกลาหลนั้นก็มีสาเหตุของมันอยู่ เพราะอย่างน้อยก็นครใต้พิภพส่วนใหญ่แหละ ที่เชื่อในกฎอันดึกดำบรรพ์ที่ว่าต้องแข็งแกร่งถึงจะอยู่รอด ฉะนั้นเหล่าเจ้านครและชนชั้นสูงทั้งหลายในโลกใต้พิภพต่างก็เป็นเหล่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนครนั้นๆ
ด้วยความสามารถในการแพร่พันธุ์อันเหลือล้นของเผ่ามนุษย์หมู ก็เป็นผลให้เผ่ามนุษย์สัตว์ตระกูลนี้มีประชากรอยู่มากมายมาหาศาล ซึ่งในอดีต ก็มีเพียงสมดุลอำนาจบางๆเท่านั้นที่ช่วยคงเสถียรภาพทางการเมือง(ความสงบ)ภายในชนเผ่ามนุษย์นี้หมูเอาไว้ แต่แล้วจู่ๆ อู๊ด อู๊ด ก็มาด่วนจากไปอย่างกะทันหัน แถมเจ้าตัวยังไม่ยอมตายไปคนเดียว ยังร่วมพากองทัพอันดับหนึ่งของเผ่าพันธุ์ กองทัพแบล็ควอเตอร์ ร่วมลงโลงไปด้วยกันอีกต่างหาก เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ฮาฮา ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายและผู้สืบทอดอำนาจต่อจากอู๊ด อู๊ด ก็ไร้ซึ่งอำนาจและกองกำลังทหารที่จะมาควบคุมสถานการณ์ภายในบ้านเมืองเอาไว้ได้ เยี่ยงนี้ เหล่าผู้ทรงอำนาจผู้มีสิทธิ์ในบัลลังก์เจ้านครคนอื่นๆต่างก็เริ่มมีใจคิดเป็นอื่น
บางที การใช้คำว่า ‘มีใจคิดเป็นอื่น’ มาอุปมาเจ้าพวกสมองหมูพวกนี้อาจจะแลดูเป็นการปราณีพวกมันเกินไปเสียด้วยซ้ำ เพราะหลังจากที่ข่าวเรื่องตายการของเจ้านครแพร่สะพัดออกไป ในบ่ายวันเดียวกันนั้น ความยับยั้งชั่งใจทั้งหมดที่เจ้าพวกนี้มีก็ขาดสะบั้นลง จนเป็นเหตุให้ศึกชิงอำนาจภายในเริ่มต้นขึ้นไปในที่สุด
เผ่ากิ้งก่าไม้เทา ชนเผ่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของนครโครมได้ร่วมจับมือกับเหล่าคนแคระเทา เพื่อที่จะสถาปนาพวกตนขึ้นเป็นเจ้านครคนใหม่ เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ เหล่าชาวบ้านธรรมดาๆต่างก็มิอาจจะอาศัยอยู่ในนครได้อีกต่อไป เหล่าคนเหมืองเองต่างก็พากันหนีเอาชีวิตรอด... ความโกลาหลได้แพร่สะพัดไปทั่ว การต่อสู้เกิดขึ้นไปทั่วทุกหนแห่ง จำนวนประชากรในนครโครมที่แต่เดิมมี 700000 ชีวิตได้ลดลงไปหนึ่งในสิบในแทบจะทันทีทันใด
ซึ่งเมื่อครั้งที่ลิลลี่และหน่วยของนางเดินทางมาถึงนครโครม ภาพที่ปรากฏขึ้นต่อหน้านางก็เป็นภาพแห่งโศกนาฏกรรมไปเสียแล้ว ถ้าตัวนางเกิดออกเดินทางล่าช้ากว่านี้ จนเป็นเหตุให้มาถึงนครแห่งนี้ในอีกสองวันให้หลังล่ะก็ บางทีป่านนั้น จำนวนประชากรในนครโครมอาจจะลดเหลือเพียงครึ่งเดียวแล้วก็เป็นได้
ซึ่งแน่นอนว่า... เมื่อครั้งที่สถานการณ์ความวุ่นวายได้ข้อยุติ ผู้ชนะก็จักได้ผลตอบแทนจากความเหนื่อยยาก เพียงไม่นาน เจ้านครและชนชั้นสูงหน้าใหม่ก็จะได้รับการสถานปนาขึ้นในนครโครม หลังจากนั้น นครแห่งนี้ก็จะเข้าสู่ช่วงระยะเวลาแห่งความสงบไปอีกสักพักหนึ่ง ส่วนเหล่าทาสและประชาชนที่ต้องสังเวยชีวิตไปในระหว่างความวุ่นวายน่ะเหรอ? ใครจะไปสนเรื่องพรรค์นั้นกันล่ะ
โลกใต้พิภพดินแดนที่เกิดจากการรวมตัวกันของเหล่าผู้ถูกเนรเทศขับไล่นั้นก็เป็นโลกเยี่ยงนี้แล พลังคือทุกสิ่ง ผู้แข็งแกร่งได้ครองทุกสิ่ง ส่วนผู้อ่อนแอก็ตายๆไปซะ...
เมื่อเหม่อมองไปที่ควันไฟที่ลุกลามไปทั่วนคร ภาพของเหล่าทหารมนุษย์สัตว์ติดอาวุธออกเข่นฆ่าเหล่าประชาชนตาดำๆที่พวกตนสมควรจะปกป้องมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ลิลลี่และเหล่าผู้บังคับใช้กฎหมายคนอื่นๆจากนครภูผาหลิวฮวงที่ต้องเห็นภาพเหล่านี้ ต่างก็บันดาลโทสะขึ้นในทันที
ลิลลี่ที่เดือดดาลก็ได้เรียกใช้เศษหน้ากระดาษบัญญัติแห่งกฎหมาย(Scattered Page of Codex)อุปกรณ์ชั้นเทวะที่ตนได้รับมา เพื่อให้อุปกรณ์ชั้นเทวะชิ้นนี้แสดงพลังส่งเมืองทั้งเมืองเข้าสู่การพิพากษาครั้งยิ่งใหญ่
ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าจะทำแบบเดียวกับที่ข้าทำไปเมื่อครั้งก่อน ที่ทำการว่าความตัดสินโทษเมืองทั้งเมืองโดยใช้กฎหมาย เห็นทีคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงยังไงซะ หน้ากระดาษแผ่นนี้เองก็ถือเป็นอุปกรณ์ชั้นเทวะอยู่วันยังค่ำ เช่นนี้หน้ากระดาษแผ่นนี้ย่อมมีพลังสมกับคำว่า อุปกรณ์ชั้นเทวะ
เศษหน้ากระดาษบัญญัติแห่งกฎหมาย(อุปกรณ์ชั้นเทวะ)
แต้มศรัทธาในกฎหมาย: 367/999 (ศรัทธาที่มีต่อกฎหมายจากคนพันคนจะช่วยเพิ่มแต้มศรัทธา ได้หนึ่งแต้มต่อหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งจำนวนแต้มสูงสุดที่เพิ่มขึ้นได้ในหนึ่งเดือนคือ 50 แต้ม เมื่อครั้งที่แต้มเต็ม จะทำการสร้างหน้ากระดาษแผ่นใหม่ขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ)
เมื่อครั้งที่ต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมายสั่งสมพลังศรัทธาในกฎหมายได้มากพอในทุกๆช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตัวบทประมวลจะทำการสร้างหน้ากระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง โดยที่เศษกระดาษเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ชั้นเทวะ ต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งถือเป็นเครื่องแสดงเจตนารมณ์และพลังของบทประมวล – โดยบนหน้ากระดาษทั้งหลายจะสลักวลีต่อไปนี้เอาไว้ (ผู้เผ้าปกปักษ์จักไม่มีวันหลับใหล ดวงตาของผู้เฝ้าปกปักษ์จะเพ่งมองมาที่เจ้าอยู่ชั่วกาล)
ความสามารถพิเศษที่ 1 : ดินแดนแห่งกฎหมาย (เปิดใช้อัตโนมัติ) : ในเมืองนครที่กระดาษแผ่นนี้สถิตอยู่ จักถือเป็นดินแดนแห่งกฎหมาย ซึ่งในเขตพื้นที่ที่ความสามารถนี้ส่งผล เหล่าผู้บังคับใช้กฎหมายจะสามารถใช้พลังแห่งกฎหมายได้
ความสามารถพิเศษที่ 2 : การพิพากษาครั้งยิ่งใหญ่ (เรียกใช้) : ใช้แต้มศรัทธาในกฎหมาย 100 แต้ม ในการเรียกใช้ และใช้แต้ม 1 แต้มในทุกนาทีเพื่อคงสภาพความสามารถเอาไว้ หลังจากที่ผู้ใช้เรียกใช้ความสามารถนี้ ทุกชีวิตในเมืองนครที่กระดาษแผ่นนี้สถิตอยู่จะถูกร่ายเวทมนต์ระดับชั้นตำนาน คำตัดสิน ใส่เพื่อตัดสินการกระทำในช่วง 3 ชั่วโมงที่ผ่านมาของตัวเป้าหมาย ถ้าผิดจริง ตัวเหล่าผู้กระทำผิดจะสูญเสียอิสรภาพที่ตนมี รวมทั้งติดสถานะเชิงลบต่างๆ(debuff) อาทิเช่น โซ่ตรวนที่ไร้ตัวตน ผนึกการใช้อาวุธ และภายใต้ผลความสามารถของการพิพากษาครั้งยิ่งใหญ่ พลังของวลีมนตราแห่งกฎหมายจะเพิ่มทวีคูณขึ้นหลายเท่า รวมทั้งระดับชั้นพลังของตัวผู้บังคับใช้กฎหมายทุกคนจะเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น (เงื่อนไขในการเรียกใช้ : กฎหมายในบ้านเมืองถูกละเมิดไม่ยำเกรง เหล่าอาชญากรออกทำชั่วตามใจตน บ้านเมืองอยู่ในสภาพวิกฤตจนเกือบสูญสิ้นล่มสลาย)
ความสามารถพิเศษที่ 3 : ไม่สามารถระบุได้
อุปกรณ์ชั้นเทวะยังไงก็เป็นอุปกรณ์ชั้นเทวะอยู่วันยังค่ำ เมื่อครั้งที่อุปกรณ์เหล่านี้ถูกเรียกใช้ อุปกรณ์เหล่านี้ก็มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนกระแสของการต่อสู้ไปได้ ตัวอย่างอุปกรณ์ชั้นเทวะที่ช่วยพลิกหน้าประวัติศาสตร์นั้นมีให้เห็นมากมายนับไม่ถ้วน ถึงแม้กระดาษเหล่านี้จะเป็นเพียงร่างแบ่งภาคของอุปกรณ์ชั้นเทวะก็เถอะ
หลังจากที่การพิพากษาครั้งยิ่งใหญ่ถูกเรียกใช้ เหล่าผู้กระทำผิดทั่วทั้งเมืองต่างก็ติดสถานะเชิงลบต่างๆนานา ในทางกลับกันเหล่าผู้บังคับใช้กฎหมายกลับมีระดับชั้นพลังเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น... อย่างลิลลี่ที่เป็นยอดฝีมือชั้นทองคำก็แปลงสภาพเป็นยอดฝีมือชั้นตำนาน แต่สถานการณ์ความวุ่นวายในนครโครมนั้นได้บานปลายไปไกลแล้ว เยี่ยงนี้ สำนักนิติบัญญัติที่รู้จักกันในชื่อ ‘หน่วยงานจิปาถะ’ ของลิลลี่คงไม่มีกำลังรบเพียงพอจะยุติสถานการณ์ความวุ่นวายนี้ได้ ฉะนั้น ข้าถึงได้ส่งสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในระบบกฎหมาย สำนักกฎหมาย ร่วมไปช่วยอีกแรงหนึ่ง
สำนักกฎหมายนั้นเป็นสำนักที่พวกมือเก๋าผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายรวมตัวกันอยู่ ซึ่งในยามปกติ สมาชิกของสำนักนี้ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาในชั้นศาลของศาลสูงสุด และสมาชิกเกือบทุกคนในสำนักนี้ต่างก็มีอาชีพในทางกฎหมายแทบทั้งสิ้น เช่นนี้ ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในสำนักนี้ก็เป็นถึงยอดฝีมือชั้นทองคำ
(TL: สำหรับคนลืม อาชีพทางสายกฎหมายต้องเป็นยอดฝีมือชั้นทองคำเป็นอย่างต่ำถือจะเปลี่ยนได้)
แล้วในครานี้ สมาชิกเกือบทุกคนในสำนักกฎหมายต่างถูกส่งไปที่นครโครมแทบจะทั้งสิ้น ซึ่งก็ประกอบไปด้วยยอดฝีมือชั้นทองคำกว่า 200 ชีวิตและยอดฝีมือชั้นตำนานอีก 6 ชีวิต เช่นนี้ ย่อมหมายความว่า ภายใต้ระยะเวลาห้าชั่วโมงของการพิพากษาครั้งยิ่งใหญ่ ทางฝ่ายเราจะมียอดฝีมือชั้นตำนานกว่า 200 ชีวิต และยอดฝีมือชั้นผู้บรรลุโลกาอีก 6 ชีวิต...
แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งที่หัวหน้าประจำสำนักกฎหมาย เคล นั้นยังอยู่ในช่วงพักฟื้น ถ้าผู้บรรลุโลกาถูกเพิ่มพลังขึ้นไปอีกหนึ่งขั้นล่ะก็ ก็จะกลายเป็นชั้นปกรณัม ซึ่งห่างจากชั้นกึ่งเทวะเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดเคลได้ลองสัมผัสพลังของชั้นปกรณัมล่วงหน้าล่ะก็ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาฝีมือในภายภาคหน้าของตัวเคลเป็นแน่
แต่ถึงยังไงซะ ยอดฝีมือชั้นตำนานกว่า 200 ชีวิต และยอดฝีมือชั้นผู้บรรลุโลกาอีก 6 ชีวิต กำลังรบเท่านี้ก็พอเสียกว่าพอเสียเสียอีก เพราะแม้แต่เจ้านครโครมคนก่อนเจ้านคร อู๊ด อู๊ด ยังเป็นแค่ยอดฝีมือชั้นตำนานระดับสูงสุดเท่านั้นเอง...
ซึ่งเรื่องราวต่อจากนั้นก็แสนง่ายที่จะคาดเดา ในช่วงระยะเวลา 5 ชั่วโมงก่อนที่แต้มศรัทธาในกฎหมายจะถูกใช้ไปจนหมดสิ้น เหล่าฆาตกรและคนพาลต่างถูกกวาดล้างไปจนสิ้น เมื่อใดที่แสงสีแดงที่ส่องสว่างระดับนึงเปล่งออกจากตัวผู้กระทำผิด นั้นก็หมายความว่าผู้กระทำผิดรายนั้นมีความผิดสถานหนักต้องโทษตายติดตัว สำหรับเหล่ายอดฝีมือจากสำนักกฎหมายที่ต้องมาเจอกับอาชญากรแสนโสมมเยี่ยงนี้ ย่อมไม่รู้จักคำว่าเมตตา เช่นนี้ จากการพิพากษาครั้งยิ่งใหญ่ก็แปรเปลี่ยนเป็นการประหารครั้งยิ่งใหญ่ไปในที่สุด... หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายสิ้นสุดลง กลิ่นโลหิตจากผู้กระทำผิดก็คละคลุ้งไม่จางหายไปจากนครโครมเลยกว่า 10 วัน
สำหรับผู้ที่ถูกช่วยชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ หรือก็คือประชาชนส่วนใหญ่ของนครโครมต่างเริ่มมองเหล่าคนนอกที่เข้ามาช่วยเหลือพวกตนเยี่ยงพระผู้กอบกู้ ที่เข้ามาช่วยเยียวยาพวกตนได้ยามต้องตกทุกข์ หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายผ่านพ้นไป เหล่าผู้พิพากษาทั้งหลายต่างก็เริ่มเผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ อุปกรณ์ชั้นเทวะเศษหน้ากระดาษบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้พลังไปจนหมดสิ้นจากเรื่องในครั้งนี้เองก็เริ่มฟื้นฟูพลังของตนจากศรัทธาของเหล่าประชาชนที่ถูกช่วยเหลือแล้วเช่นกัน ถึงแม้กว่าที่อุปกรณ์ชิ้นนี้จะใช้ได้อีกครั้งก็อีก 3 เดือนข้างหน้าก็เถอะ...
การเคลื่อนไหวในการบุกยึดนครโครมในครั้งนี้ของนครภูผาหลิวฮวงได้ทำให้ทั่วทั้งโลกใต้พิภพต้องตะลึง ผลกระทบที่จะตามมาจากเรื่องในครั้งนี้นั้นคงจะมากมายยิ่งกว่าตอนเรื่องความพลาดพลั้งของสองจ้าวแห่งโลกใต้พิภพนัก...
เพราะถึงยังไง คู่ต่อสู้ที่สองท่านจ้าวแห่งโลกใต้พิภพต้องเจอในครั้งนี้ก็คือตัวตนชั้นกึ่งเทวะอันแสนทรงพลังและเวทมนต์ต้องห้ามที่พิพากษาเหล่าผู้กระทำผิดทุกชีวิตพร้อมทั้งพรากชีวิตผู้รุกรานไปทั้งกองทัพ ถึงแม้ตรงเวทมนต์ต้องห้ามจะยังพอสามารถอธิบายได้ว่านี้คือกับดักเวทมนต์ต้องห้ามที่ถูกเตรียมการเอาไว้ก่อน แต่จู่ๆการที่มีกองทัพยอดฝีมือชั้นตำนาน 200 ชีวิต แถมด้วยยอดฝีมือชั้นผู้บรรลุโลกาอีก 6 ชีวิตปรากฏโฉมออกมาเนี่ย คงจะไม่สามารถอธิบายได้อีกแล้วว่านี้คือกองทัพที่ถูกเตรียมการเอาไว้ก่อน ซึ่งนี่ก็เป็นเครื่องแสดงถึงพลังของขุมพลังใหม่ที่ชื่อว่าพลังแห่งกฎหมายที่ยังไม่มีใครรู้ตื้นลึกหนาบางนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
ตัวข้านั้นพอจะเริ่มจิตนาการได้แล้วล่ะว่า เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ในเวลาไม่ช้า ข้อมูลเกี่ยวกับพลังแห่งกฎหมายและอาชีพทางกฎหมายจะแพร่สะพัดไปทั่วดินแดนโลกใต้พิภพ
ถึง อัศวินแห่งความยุติธรรมที่กำเนิดจากพลังแห่งกฎหมายของข้าจะไม่สามารถออกเดินทางไปทั่วดินแดนได้เยี่ยงอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ไม่สามารถรับหน้าที่เป็นตัวชนรับดาเมจเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในศึกรุกรานดินแดนอื่นได้ แต่ในฐานะผู้ปกป้องสันติสุขและกฎหมายแล้ว เมื่อใดที่เหล่าอัศวินแห่งความยุติธรรมต้องปกป้องประชาชนจากเหล่าวายร้าย เหล่าอัศวินแห่งความยุติธรรมก็สามารถรีดเร้นพลังออกมาได้อีกหลายเท่านัก
ผู้พิพากษาของข้านั้นไม่จำเป็นต้องออกเดินทางไปทั่วหล้าเพื่อเผยแพร่คำสอนเยี่ยงนักบวช ไม่จำเป็นต้องร้องบรรเลงเพลงสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของแสงศักดิ์สิทธิ์ และความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเทพเจ้าฝ่ายกฎระเบียบ สิ่งที่ผู้พิพากษาของข้าต้องทำนั้นมีเพียง เผยแพร่เนื้อหาบทกฎหมาย เรียนรู้และวิเคราะห์ในคดีความต่างๆให้แตกฉาน คอยสรรค์สร้างชั้นศาลแบบง่ายๆตามสถานที่แล้วสถานที่เล่า คอยลงทัณฑ์เหล่าผู้กระทำผิด และคอยจัดการแก้ไขความไม่เป็นธรรมที่ผู้อ่อนแอได้รับ เช่นนี้ เหล่าคนธรรมดาที่ได้รับผลประโยชน์พลอยได้จากการกระทำของเหล่าผู้พิพากษา จนมีชีวิตอันสงบสุขย่อมต้องเชื่อและมอบพลังแห่งศรัทธาให้กับกฎหมายกันเป็นธรรมดา
(TL: พลังแห่งศรัทธา คือ แหล่งพลังงานหลักของเทพเจ้าฝ่ายกฎระเบียบ)
เหล่าผู้เอ่ยวลีมนตราแห่งกฎหมายของข้านั้นจะพึงศึกษาหาทางผนวกบัญญัติกฎหมายเข้ากับพลังจากต้นกำเนิดแห่งกฎระเบียบ เพื่อคิดค้นวลีมนตราแห่งกฎหมายบทใหม่ๆขึ้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มพลังให้กับพลังแห่งกฎหมาย ในเมื่อพลังแห่งกฎหมายแข็งแกร่งขึ้นขีดความสามารถในการต่อสู้ของอาชีพทางสายกฎหมายก็จะแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย
พลังแห่งกฎหมายนั้นคืออะไร? ในเวลาเพียงไม่นาน เหล่าเจ้านครโลกใต้พิภพทั้งหลายก็ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคำถามนี้ พลังแห่งกฎหมายนั้นคือพลังที่มุ่งเน้นที่ด้านป้องกันเพียงด้านเดียวและเป็นพลังที่มีเป้าหมายการใช้ที่เฉพาะเจาะจง(ใช้ได้กับผู้กระทำผิดเท่านั้น) เมื่อรู้เช่นนี้ จิตใจของเหล่าเจ้านครก็เริ่มเกิดความลังเลขึ้น เพราะอย่างไรซะ ก็คงไม่มีผู้ครองดินแดนคนใดหรอกที่ไม่อยากเห็นดินแดนที่ตนปกครองสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองขึ้น
การชุบเลี้ยงเหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่สามารถใช้พลังแห่งกฎหมายได้มาจำนวนมากๆ เพื่อจะได้มาช่วยสนับสนุนดูแลเรื่องความปลอดภัยในบ้านเมืองของตนนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร แค่คิดก็รู้ได้แล้วล่ะว่านี่น่ะ เป็นสิ่งที่เอื้อประโยชน์แก่พวกตน
ถึงแม้การชุบเลี้ยงเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเหล่านี้จะไม่ช่วยพาดินแดนมาสยบแทบเท้า(ถ้าเกิดผู้ที่มีอาชีพด้านกฎหมายเข้าร่วมในกองทัพรุกรานดินแดนอื่น ความผิดฐานก่อสงครามจะทำให้ผู้ที่มีอาชีพด้านกฎหมายรายนั้นสูญเสียอาชีพทางกฎหมายและพลังแห่งกฎหมายไป) แต่ถ้าเกิดพวกตนปล่อยให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมารับหน้าที่ปกป้องนครในยามที่พวกตนออกไปทำศึกล่ะก็(ผู้ที่มีอาชีพด้านกฎหมายสามารถเข้าร่วมสงครามได้ ถ้านั้นเป็นสงครามที่สู้เพื่อปกป้องบ้านเมือง) เช่นนี้พวกตนก็สามารถโยกย้ายกำลังพลที่ต้องทิ้งไว้ให้รักษานคร ให้ออกไปร่วมทำศึกด้วยได้ เยี่ยงนี้ ในท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็ไม่ถือเป็นการเพิ่มกำลังรบของพวกตนหรอกเหรอ?
ในโลกใต้พิภพแห่งนี้ การไขว้คว้าหาพลังนั้นเป็นสิ้นที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพียงไม่นาน เหล่าเจ้านครที่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องพลังแห่งกฎหมาย ต่างก็ส่งคนมาร่ำเรียน ขโมย หรือแม้แต่มาฉกฉวยพลังแห่งกฎหมายไป... ส่วนตัวข้าน่ะเหรอ ข้านั้นตั้งใจจะให้ตำราประมวลกฎหมายกับทุกคนโดยไม่คิดตังค์อยู่แล้ว นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องความลับต่างๆในการฝึกวิชาทางกฎหมายเลย ตัวข้านั้นยังใจกว้างยอมมอบอุปกรณ์ชั้นเทวะเศษหน้ากระดาษบัญญัติแห่งกฎหมายให้กับเหล่านครที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนครภูผาหลิวฮวงเลย
“เหเห ใครอยากได้ก็เข้ามาแล้วเอาไปได้เลย แต่ข้าต้องขอบอกไว้ก่อนนะว่า ว่านี่น่ะเป็นพลังของฝ่ายกฎระเบียบที่เน้นไปที่ด้านการป้องกันและการจัดการเหล่าผู้กระทำผิด ถ้าจะให้พูดล่ะก็ ถ้าเกิดอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้กระทำผิดหรือความผิดที่ก่อนั้นเล็กน้อยเกินไป พลังแห่งกฎหมายนั้นก็ยังห่างชั้นจากแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพลังอันอเนกประสงค์นัก”
และแน่นอนอยู่แล้วว่า เหล่าเจ้านครโลกใต้พิภพทั้งหลายนั้นไม่ยอมแพ้กลับไปมือเปล่าเพียงเพราะคำเตือนของข้าหรอก ในทางกลับกันเลย เหล่าเจ้านครทั้งหลายต่างกลายสภาพเป็นแร้งรุมทึ้งอุปกรณ์ชั้นเทวะที่มีอยู่อย่างจำกัดแทน... เหเห ข้าล่ะตั้งตารอวันที่เจ้านครที่มีความผิดติดตัวนานับประการเยี่ยงเจ้าพวกนี้ โดนประชาชนของตนลากขึ้นแท่นประหารเสียเหลือเกิน ดูซิว่าในวันนั้น เจ้าพวกนี้จะยังจำคำข้าในวันที่มอบพลังแห่งกฎหมายให้กับพวกมันได้อยู่รึเปล่า?
ถ้าทุกสิ่งเป็นไปตามที่ข้าวางไว้ล่ะก็ ในเวลาเพียงไม่นาน พลังแห่งกฎหมายจะแพร่สะพัดไปทั่วทุกมุมโลกใต้พิภพแห่งนี้... ถึงบางที ในช่วงเวลาอันสั้น สักประมาณสองทศวรรษ ดอกผลที่ได้จากแผนการของข้าจะไม่เห็นชัดนัก แต่เมื่อครั้งใดที่ชนรุ่นใหม่ผู้ซึ่งถือครองพลังแห่งกฎหมายขึ้นมาแทนชนรุ่นเก่า เหเห ในยามนั้นทั่วทั้งโลกใต้พิภพจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ยิ่งกว่านั้น โลกใต้พิภพนั้นไม่ใช่จุดหมายปลายทางสำหรับพลังแห่งกฎหมายหรอก... โบสถ์แสงศักดิ์สิทธิ์ที่รับตำราประมวลกฎหมายจากข้าไปเมื่อนมนานเอง ก็คงเริ่มนำพลังแห่งกฎหมายไปทดลองใช้บนทวีปแล้ว และผลลัพธ์ที่ได้ก็คงดีเยี่ยมเช่นกัน
สำหรับผู้คนที่นับถือในกฎระเบียบแล้ว พวกเขาเหล่านี้ยิ่งยึดติดกับข้อดีของพลังแห่งกฎหมายที่ช่วยในการรักษาความสงบของบ้านเมือง และเป็นเครื่องลงทัณฑ์พิพากษาผู้กระทำผิด บางทีในอีก 3 หรือ 4 ทศวรรษข้างหน้า ผู้มีอาชีพทางกฎหมายจะเป็นตัวตนที่ต้องปรากฏอยู่ในทุกหัวเมืองนคร
นี่แหละคือความปรารถนาของข้า และถือเป็นก้าวสำคัญที่สุดในแผนการของข้าเช่นกัน นั้นคือการปล่อยให้เมล็ดพันธุ์ได้ล่องลอยไปตามลม ตัวข้าจะไม่รีบร้อน หรือถ้าจะให้พูด ตัวข้านั้นยอมที่จะเสียเวลา...
บางที อาจจะมีผู้ที่มองแผนลับของข้าออกก็เป็นได้ โอ๊ะ ไม่สิ ในเมื่อแผนลับนี้เปิดเผยให้เห็นกันแบบโต้งๆ เช่นนี้ เห็นที เรียกว่า โครงการจะเหมาะสมกว่า ถึงแม้พวกเขาเหล่านั้นจะมองโครงการของข้าออก แต่ประโยชน์อันมหาศาลที่โครงการของข้ามอบให้นั้น ก็ทำให้พวกเขาเหล่านั้นยอมกลืนยาพิษอันหอมหวานนี่เข้าไปด้วยความยินดี ในภายหลัง เมื่อครั้ง พลังแห่งกฎหมายหยั่งรากลึกและเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง เมื่อนั้น ดาบเพชฌฆาตที่มองไม่เห็นจะพาดอยู่บนคอของเหล่าเจ้านครใต้พิภพทั้งหลาย
แต่ตัวข้าในตอนนี้คงไม่มีเวลาวางมากพอไปคิดถึงเรื่องในอนาคตอันยาวไกลแบบนั้นหรอก พึ่งเป็นเวลาเมื่อวานเท่านั้น ที่คณะทูตและนายช่างก่อสร้างทั้งหลายเดินทางมาถึงนครโครม
แม้บ้านเมืองจะพินาศเต็มไปด้วยซากตึกบ้านเรือน แต่ใบหน้าของเหล่าประชาชนก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความหวังที่มีต่อวันพรุ่งนี้ ไม่ต้องสงสัยแล้วล่ะว่า หน่วยตีเมืองของพวกเรานั้นได้ชนะใจเหล่าประชาชนในนครโครมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงข้าจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าเชื่อมือลิลลี่ได้ แต่เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ แถบความพอใจที่ข้ามีต่อลิลลี่ก็พุ่งทะลุหลอดไปอยู่ดี
ในเวลาแสนสั้นเพียงไม่กี่วัน แต่นางกลับสามารถปฏิรูปโครงสร้างการปกครองและระบบตุลาการได้อย่างสำเร็จลุล่วง ทั้งนี้อำนาจในฐานะเจ้านครนั้นตกอยู่ในมือลิลลี่เป็นการชั่วคราว แล้วเมื่อครั้งที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง นางก็จะส่งต่ออำนาจคืนสู่สภาผู้แทนราษฎรที่กำลังจะถูกจัดตั้งขึ้น
ส่วนอำนาจในการร่างข้อกฎหมายน่ะเหรอ? ย่อมแน่อยู่แล้วว่า อำนาจนี้ต้องอยู่ในมือของศาลสูงสุดแห่งนครภูผาหลิวฮวง สาขา นครโครม เพื่อเปลี่ยนให้ นครแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งกฎหมาย
ก็นะ ถ้าเราไม่ไปพูดถึงปัญหาส่วนตัวๆที่ไม่สามารถเอ่ยได้ของลิลลี่ นางนั้นถือว่าเป็น ‘คนปกติ’ ที่หาได้อย่างยากยิ่งในหมู่ผู้มีตำแหน่งสูงๆในระบบตุลาการเลยล่ะ ยิ่งกว่านั้น นางยังเป็นหัวหน้าที่คอยดูแลเรื่องโลจิสติก(จิปาถะ)ต่างๆของทั้งระบบตุลาการ เช่นนี้ ประสิทธิภาพในการจัดการเรื่องราวต่างๆของนางนั้นย่อมถือเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร
“เจ้าช่วยอดทนดำรงตำแหน่งเจ้านครต่อไปอีกสักนิดนะ จนกว่าที่สมาชิกสภาจะเลือกตั้งเสร็จสิ้น พอทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ตัวเจ้าสนใจลองมาเป็นหัวหน้าสาขาที่นี่ไหม?”
ในวินาทีที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกไป ใบหน้าของเจ้าพวกที่อยู่ทางด้านหลังลิลลี่ต่างก็ทื่อขึ้นในทันที แถมยังพร้อมเพรียงส่ายหน้ารัวๆกันอีกต่างหาก เจ้าพวกข้างหลังนั้นไม่ได้เป็นห่วงหรอกว่า ‘แม่สาวน้อย’ ลิลลี่ จะต้องมาลำบากลำบนกับพวกตนที่นี่ แต่เป็นเพราะ...
“ท่าน โปรดลองไตร่ตรองดูอีกสักครั้งด้วยเถอะค่ะ ถ้าข้ามาเป็นหัวหน้าประจำสาขาอยู่ที่นี่ล่ะก็ ข้าเกรงว่าที่สำนักงานใหญ่ที่นครภูผาหลิวฮวงจะเกิดปัญหาขึ้นได้น่ะค่ะ เพราะยังไงซะ หัวหน้าท่านอื่นๆก็...”
ไม่ต้องหาคำอื่นใดมาใช้อธิบายต่อ ด้วยฐานะที่เป็นลูกศิษย์แต่ในนามของนักบุญมากาเร็ต ตัวเคลนั้นแม้ว่าจะไม่บาดเจ็บ เจ้าตัวก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับหนังสือตำรับตำราต่างๆ เพื่อคอยคิดค้นวลีมนตราบทใหม่ๆขึ้นผ่านทางการผนวกทฤษฎีเข้ากับการทดลองแบบต่างๆ ส่วนเคลวิน ตัวตนของเจ้าหมอนี่มันจืดจางเกินไป แถมความสามารถในการเป็นผู้นำคนของเจ้าหมอนี่ก็แทบจะมองข้ามไปได้เลย ส่วนจตุรเทพประจำระบบตุลาการคนสุดท้าย ผู้พิทักษ์เหล็กไหล เสวี่ยที น่ะเหรอ... เมื่อหันไปรอบๆตัวข้า ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้พิทักษ์เหล็กไหลอยู่เลยสักคน จะมีก็แต่ไอ้วิตถารที่กำลังปรึกษาหารือเรื่องประสบการณ์การวิ่งเปลื้องผ้ากับอีเกอร์สตรอมกันอย่างเมามันส์อยู่เท่านั้นเอง!
“ตามนั้นแหละค่ะ ก็เหมือนกับที่ท่านไม่สามารถแยกจากท่านซิลเวอร์โรสได้นั้นแหละค่ะ ถ้าไม่มีข้าอยู่ 4 สำนัก 1 ศาลในตอนนี้เองก็ไปไหนไม่รอดเหมือนกันค่ะ” ดูท่านางจะเห็นว่าความสำเร็จที่แล้วมาในหน้าที่การงานของนางเป็นความภาคภูมิใจในชีวิตงั้นสินะ
ก็จริงอย่างที่นางว่า ถ้าอิลิซ่านั้นเป็นคนที่คอยจัดการเรื่องราวจิปาถะต่างๆนานาในชีวิตข้า แถมนางยังเป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่คอยเตือนสติไม่ให้ข้าทำอะไรเลยเถิดเกินไปอยู่เสมอ ล่ะก็ เช่นนี้ ตัวลิลลี่เองก็เป็นคนที่คอยจัดการเรื่องจิปาถะต่างๆนานาให้กับ 4 สำนัก 1 ศาล ทั้งยังเป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่คอยสมานให้ระบบตุลาการสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างราบรื่น ถ้าเกิดตัวนางไม่อยู่ล่ะก็ ปัญหาใหญ่หลวงต่างๆนานา ได้ตามมาแน่
“อืม งั้นให้เคลวินย้ายมาที่นี่ละกัน เจ้าเองก็ช่วยส่งมือดีจากสำนักนิติบัญญัติของเจ้ามาช่วยเคลวินอีกแรงหนึ่งล่ะ แล้วนี่คณะทูตของคาจาร์กับไอน์สเตอร์น่าเดินทางมาถึงรึยัง?”
(TL: สำหรับคนที่จำไม่ได้ คาจาร์และไอน์สเตอร์น่า คือชื่อของท่านจ้าวอีกสองคนที่เหลือ)
“คณะทูตของคาจาร์เดินทางมาถึงแล้วค่ะ ส่วนคณะทูตของไอน์สเตอร์น่าจะเดินทางมาถึงในอีกไม่กี่วันค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ข้าก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ นี่เองก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ข้าต้องมาหยุดพักที่นครโครม ในเมื่อข้าตั้งตนเป็นอริกับจ้าวแห่งโลกใต้พิภพไปแล้ว 2 ตน เช่นนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะหันไปเข้าหาจ้าวแห่งโลกใต้พิภพอีกสองคนที่เหลือ ซึ่งทั้งคู่เองก็ตัดสินใจยื่นมือแห่ง ‘มิตรไมตรี’ มาให้ข้าเช่นกัน
การเข้าร่วมกับพันธมิตรโลกใต้พิภพนั้น เอาสั้นๆได้ใจความ จะต้องมีจดหมายเชิญ ซึ่งการจะไปเคาะประตูบ้านชาวบ้านเค้าเพื่อขอจดหมายเชิญ ก็แลดูจะเป็นการลดคุณค่าที่ฝ่ายเรามีเกินไปหน่อย ซึ่งในตอนนี้ เหล่าคณะทูตที่กำลังเดินทางมาจะต้องนำจดหมายเชิญที่ข้าต้องการมามอบให้ข้าอย่างแน่นอน
“เหมือนดั่งบนพื้นทวีปที่ความสัมพันธ์ระหว่างเอลฟ์และมนุษย์สัตว์ถูกตีขึ้นด้วยโลหิตและความเกลียดชัง เหล่าดาร์ดเอลฟ์และมนุษย์สัตว์ใต้พิภพเองก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาอย่างช้านาน แล้วในเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นตัวแทนของปิศาจ (ฝ่ายโชว) และอีกฝ่ายเป็นตัวแทนของอสูร (ฝ่ายไอน์สเตอร์น่า) เช่นนี้ทั้งสองฝ่ายย่อมถูกชะตากำหนดให้เป็นศัตรูกัน เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองเหล่ามนุษย์สัตว์ โชว กับคาจาร์และไอน์สเตอร์น่าก็ถูกโชคชะตากำหนดให้แล้วว่าต้องร้าวฉาน ซึ่งตัวมอลลี่เองก็เป็นสหายนก 2 หัวพึ่งไม่ได้ ถึงแม้ศัตรูของศัตรูจะไม่สามารถถือได้ว่าเป็นมิตร แต่อย่างน้อยพวกเราก็ยังสามารถจับมือกันเป็นพันธมิตรภายใต้ผลประโยชน์ได้”
แต่ถ้าเกิดเจ้าไปหลงเชื่อเหล่าดาร์ดเอลฟ์ที่เชื่อว่าการทรยศเข่นฆ่ากันเป็นเรื่องปกติ และปฏิบัติต่ออสูรแสนชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์เยี่ยงมิตรสหาย ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เจ้าเอาเชือกมาผูกคอตัวเองแล้วส่งปลายเชือกให้อีกฝ่ายดึงเลย... ให้ตายสิ จ้าวแห่งโลกใต้พิภพเนี่ย เคี้ยวยากชะมัด
“ข่าวเรื่องคทาหย่งเยี่ยใกล้จะแพร่สะพัดออกไปแล้วสินะ?” หลังจากที่อีกฝ่ายให้คำยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ไว้ ตัวข้าก็หันความสนใจกลับไปที่สนาม
ตรงสนาม ได้มีหุ่นยนต์ก็อบลินยักษ์จำนวน 16 เครื่องกำลังทดสอบอาวุธของพวกตนกันอย่างประหม่า เหล่าวิศวกรจากนครภูผาหลิวฮวงเองก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างสุดความสามารถเพื่อผลิตเหล่าหุ่นยักษ์ออกไปให้ได้เร็วที่สุด และด้วยนครโครมที่ขึ้นชื่อเรื่องช่างตีเหล็กเผ่าคนแคระเทามากฝีมือและประวัติศาสตร์การทำเหมืองแร่อันยาวนานแห่งนี้จะกลายมาเป็นเสาหลักคอยสนับสนุนเหล่าวิศวกรทั้งหลาย อย่างน้อย ด้วยทรัพยากรเหมืองแร่อันอุดมสมบูรณ์ของนครแห่งนี้ โลหะที่เอามาใช้สร้างเหล่าสหายตัวยักษ์ทั้งหลายต่างก็เป็นโลหะที่ดีกว่าโลหะทั่วไปนัก แข็งแรงกว่า ทนทานกว่า
“ในโลกใต้พิภพนั้นไม่มีใครมานั่งรับฟังคำของคนอ่อนแอหรอก ถ้าผู้อ่อนแอมีสมบัติ แต่กลับไม่มีผู้ใดมาช่วงชิงสมบัตินั้นไป นั้นย่อมหมายความว่าสมบัตินั้นเป็นของปลอม ถ้าเช่นนั้น ถ้าพวกเราคิดจะเล่นละครปาหี่กันจริงๆล่ะก็ พวกเราก็ต้องจัดหนักจัดเต็มกันหน่อย ก่อนที่คณะทูตของไอน์สเตอร์น่าจะมาถึง จงรีบสร้าง ‘กองทัพคุ้มกันสมบัติ’ ของพวกเราให้เสร็จซะ จริงสิ ว่าแต่เจ้าของเล่นพวกนี้ปลอดภัยกันจริงๆใช่ไหม?”
“นี่ท่านถามคำถามนี้เป็นรอบที่ 3 ของวันแล้วนะขอรับ ลอเรนได้จัดการแก้แบบนี้กว่า 17 ครั้ง เพื่อให้ได้แบบแปลนที่สมบูรณ์แบบที่สุด รับรองว่าต้องปลอดภัยหายห่วงขอรับ อืม ถ้าตามทฤษฎีล่ะก็นะ”
“ทฤษฎีอีกแล้วงั้นเหรอ ข้าเกรงว่าเจ้าพวกบ้านั้นจะแก้แบบให้สมบูรณ์เกินไปน่ะสิ เจ้าพวกบ้านี่ยิ่งไม่รู้จักพอใจกับแบบแปลนของตนอยู่ จนชอบเอาเทคนิคลับหรือศาสตร์เฉพาะตัวแปลกๆใส่เข้าไปในสิ่งประดิษฐ์ของตน แล้วก็เรียกว่าเนี่ยแหละ สมบูรณ์แบบ... อย่างครั้งก่อน ก็มีก็อบลินตนหนึ่งจัดการเอามีดโกนหนวดไปดัดแปลงเล็กๆน้อยๆ ซึ่งในท้ายที่สุดมีดโกนหนวดเล่มนั้นกลับระเบิดพังร้านตัดผมไปทั้งร้าน แล้วเมื่อ 2 วันก่อน ข้าได้ลองกลับไปถามเจ้าพวกบ้าชอบก่อเรื่องพวกนี้ดูอีกครั้งหนึ่ง ข้าถึงได้รู้ตัวว่าข้านั้นเผลอมองข้ามจุดบอดอันใหญ่หลวงไป”
“หืม?”
“เมื่อตอนนั้นน่ะ ถึงแม้เจ้าหุ่นยักษ์นี่จะถูกล้อมกรอบจับกุม แต่ในท้ายที่สุด ทุกคนก็เอาแต่ตีกันเอง จนไม่มีใครไปสนใจไอ้ยักษ์นี่เลย”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าสิ่งนี้ถูกทำลายได้ยังไงล่ะขอรับ... ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะรีบไปจัดการให้ลอเรนกับมิฮีเออร์แก้แบบครั้งที่ 18 เดี่ยวนี้เลยขอรับ”
ใช่แล้ว เจ้าหุ่นยนต์ยักษ์นี่ไม่ได้ถูกทำลายจากการโจมตีภายนอกหรอก แต่ถูกทำลายด้วย สิ่งที่ข้าคาดเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้น ระเบิดตัวเอง นั้นเอง... แต่เมื่อมาลองนึกๆดูแล้ว ข้าก็ชักจะรู้สึกแล้วสิว่าเจ้าพวกบ้าที่ถูกข้าลงโทษไปนั้น สมควรโดนแล้วจริงๆ เอาแต่ตีกันเองอยู่ได้ จนลืมไปกันจนหมดเลยว่าจุดประสงค์ดั่งเดิมของพวกตนคืออะไร...
“จริงสิ นี่เจ้าช่วยเปลี่ยนชื่อเจ้าหุ่นยักษ์พวกนี้ได้รึเปล่า? ชื่อนี้ทำข้าตกใจ รู้ไหม”
เมื่อมองไปที่ด้านหน้าของหุ่นแต่ละเครื่องก็จะเห็นตัวอักษรต่อไปนี้เขียนเอาไว้อยู่ โรแลนด์ No.3 โรแลนด์ No.4... ไล่ไปจนถึง โรแลนด์ No.18... แถมเจ้าโรแลนด์พวกนี้ทุกเครื่องดันสามารถระเบิดได้ทุกที่ทุกเวลาอีก เช่นนี้ จะไม่ให้ข้า ลิชโรแลนด์ตกใจได้ยังไงล่ะ?
“คือเรื่องนี้ ข้าเองก็ได้ลองพูดไปหลายครั้งแล้ว แต่เหล่าก็อบลินกับเหล่าคนแคระต่างยืนกรานว่าจะใช้ชื่อของผู้คิดค้นและบอกว่านี่น่ะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพวกตน อันที่จริง แม้แต่เหล่านักบินเองก็ยืนกรานมาเหมือนกันว่าจะใช้ชื่อนี้ ทำให้พวกเราไม่สามารถเปลี่ยนชื่อได้จริงๆขอรับ”
“นักบิน? เจ้าหมายถึงพวกนักบินที่เราเลือกมาจากเหล่าดาร์ดเอลฟ์น่ะเหรอ? พวกนางไม่น่ามีเหตุผลอันใดที่จะยืนกรานว่าจะใช้ชื่อนี้นิ? ข้าคิดว่าพวกนางเกลียดลิชโรแลนด์เข้าไส้กันเสียอีก?”
“ใช่ขอรับ พวกนางเกลียดลิชโรแลนด์แบบสุดๆไปเลย แต่พวกนางบอกว่า เมื่อได้นั่งในหุ่นยนต์โรแลนด์แล้ว พวกนางรู้สึกเหมือนกับว่าได้นั่งในตัวศัตรูคู่อาฆาตของพวกนาง เมื่อได้มองชื่อโรแลนด์ที่เขียนเอาไว้บนตัวหุ่น ก็เหมือนเตือนใจพวกนางถึงทรัพย์สินและสินสอด(เงินเก็บ)ที่ต้องถูกทำลายไปถึงสองครั้งสองครา คอยมอบแรงฮึดสู้ให้กับพวกนางอย่างมากมายมหาศาล เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนางคงไม่มีวันลืมเลือนคำสาบานที่จะตามจับไอ้ตัวบัดซบนั้นกลับมาให้ได้ ไม่ว่าไอ้บัดซบนั้นจะหนีไปแห่งหนไหน หรือปลอมตัวเป็น... ท่าน ทำไมท่านถึงย่อตัวเหลือแค่นั้นล่ะขอรับ นี่ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือขอรับ?”
“ป่าวๆ ไม่มีอะไร ข้าก็แค่รู้สึกอยากจะลดขนาดตัวเองลงมาสักนิดน่ะ พวกนางอยู่สูงซะขนาดนั้น พวกนางคงเห็นข้าไม่ชัดหรอกใช่ไหม...”