ตอนที่แล้วตอนที่ 32 ลิซ่า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 34 ตัดสินความ

ตอนที่ 33 ความจริงกับครึ่งปิศาจ


เปลวไฟสีเหลืองอ่อนในตะเกียงน้ำมันได้เริงระบำไปพร้อมกับสายลมที่พัดโชยเข้ามา เมื่อลองเงี่ยหูฟังดู ก็จะได้ยินถึงสุ่มเสียงบทเพลงของเหล่านักกวี เสียงกรนหลับนอนของผู้ที่เมามายหลับใหล เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ของผู้คนดังแว่วเข้ามา จากโถงของทางร้าน ที่อยู่ไม่ไกลนัก สายลมที่พัดเข้ามาได้นำพากลิ่นสุราและหยาดเหงื่อคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ นี่ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การรำลึกความหลังเสียยิ่งกระไร

ตัง” ข้าที่โยนเหรียญทองคำลงอาคมออกไป ก็ทำการสร้างม่านที่มองไม่เห็นขึ้นเพื่อป้องกันการสอดแนมจากเหล่าสายลับ

เมื่อสิ่งที่ควรระวังก็ระวังแล้ว เช่นนั้น เรามาเริ่มเล่ากันจากตรงไหนก่อนดีล่ะ?

งั้นมาเริ่มจากเรื่องที่ชวนให้ตะลึงเหมือนอย่างเคยละกัน เรื่องของฝ่ายความโกลาหลที่น่าสาปแช่งกับฝ่ายกฎระเบียบเลือดเย็นที่ลากทุกชีวิตทุกเผ่าพันธุ์เข้าสู่สงครามนิรันดร์

ก็อย่างที่ข้าเคยกล่าวไปเมื่อก่อนหน้านี้ ว่าสงครามครั้งนี้ไม่มีวันสิ้นสุด ถ้างั้น ทำไมสงครามนิรันดร์ถึงไม่มีวันสิ้นสุดกันล่ะ? ถ้าว่ากันตามหลักเหตุและผลแล้วล่ะก็ สิ่งที่เรียกว่าสงครามก็ควรจะยุติลง เมื่อทั้งสองฝ่ายเสียหายเกินกว่าขอบเขตที่จะรับได้นิ

เพื่ออธิบายถึงเรื่องนี้ พวกเราต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

ชีวิต ความตาย และวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด

ข้าก็เคยเอ่ยไปแล้วนิว่า ทุกชีวิตหลังจากที่สิ้นใจ ถ้าชีวิตนั้นศรัทธาในเหล่าเทพเจ้าของฝ่ายกฎระเบียบ วิญญาณของชีวิตนั้นก็จักได้รับการนำทางไปสู่เสาค้ำสวรรค์ แล้วค่อยๆไต่ขึ้นสู่แดนสวรรค์ที่ซึ่งเหล่าเทพเจ้าของฝ่ายกฎระเบียบสถิตอยู่ จากนั้นดวงวิญญาณเหล่านี้ก็จะกลายผู้อุทิศตนผู้ซึ่งทำหน้าเสมือนกับแหล่งพลังงานศรัทธาให้กับเหล่าเทพเจ้า ไม่ก็กลายเป็นเทวทูตหรือเทวบริวารผู้ซึ่งทำหน้าที่คอยเป็นดาบประหัตประหารศัตรูให้กับเหล่าเทพเจ้า ซึ่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เทวบริวารก็คือ เหล่าเทวดา(นางฟ้า)สงคราม

ถ้าว่ากันตามจริงล่ะก็ ในยามใดที่เจ้าเชื่อเทพเจ้า เจ้าก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของแดนสวรรค์แล้วล่ะ ทั้งนี้ ชนชั้นที่ต่ำที่สุดในแดนสวรรค์ก็คือ ผู้อุทิศตน ซึ่งมีหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวนั้นคือ คอยสวดมนต์มอบพลังศรัทธาให้กับเทพเจ้าที่ตนนับถือ เช่นนี้ ในยามที่ผู้อุทิศตนคนใดไม่สามารถมอบศรัทธาได้มากไปกว่านี้ ผู้อุทิศตนคนนั้นก็จะโดนถีบส่งลงจากแดนสวรรค์กลับเข้าสู่วัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด

สำหรับทางด้านฝ่ายความโกลาหลนั้น ถ้าว่ากันตามตรงล่ะก็ โลกหลังความตายของทั้งสองฝ่ายนี้ก็ไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อเทียบกับคำอธิบายของแดนสวรรค์ที่ใช้คำพูดอันทรงเกียรติว่า ‘เพื่อชี้ทางเหล่าดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์สู่สรวงสวรรค์ที่ไร้ซึ่งทุกข์โศกใดๆ’ แล้วล่ะก็ คำอธิบายของฝั่งความโกลาหลนั้นถือว่าโหดร้ายกว่ามากนัก

แม่น้ำปรภพอันไร้ที่สิ้นสุดที่ไหลตัดผ่านมิตินับไม่ถ้วน ถ้าอิงตามคำบอกเล่าของฝ่ายกฎระเบียบล่ะก็ คำนิยามของสถานที่นี้ก็คงจะเป็น ‘ที่ซึ่งเหล่าดวงวิญญาณของคนบาปจักต้องทนทุกข์ทรมานกับการโดนกัดกร่อนวิญญาณไปชั่วกัลปาวสาน’ แต่เอาจริงๆแล้ว เหล่าดวงวิญญาณของชีวิตที่หันเหไปทางความโกลาหลและดวงวิญญาณที่ไม่ได้ศรัทธาในเทพเจ้าฝ่ายกฎระเบียบจะล้วนตกสู่แม่น้ำปรภพหลังจากความตาย แต่ว่านะ ดวงวิญญาณที่หันเหไปทางความโกลาหลนั้นก็ล้วนแต่เห็นแก่ตัวและชอบทำอะไรตามใจตนอยู่แล้ว ฉะนั้นจะเรียกดวงวิญญาณเหล่านี้ว่าคนบาปก็คงจะไม่ผิดไปซะทีเดียว

เอาล่ะ เรามาเริ่มเล่ากันต่อเถอะ เหล่าดวงวิญญาณของผู้ที่สิ้นชีพในฝ่ายความโกลาหลจะไหลเวียนไปตามกระแสของแม่น้ำปรภพผ่านโลกและมิติมากมายนับไม่ถ้วน แล้วถ้าเกิดดวงวิญญาณดวงใดถูกกฎของโลกดึงดูดเข้าไป จนสามารถปีนขึ้นฝั่งออกจากแม่น้ำปรภพไปได้ ดวงวิญญาณดวงนั้นก็จะหวนคืนสู่ชีวิตอีกครั้ง

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าดวงวิญญาณใดไปปีนขึ้นฝั่งที่อดีตสนามรบของสงครามนิรันดร์ ทุ่งหมื่นอเวจี ก็แทบจะแน่นอนเลยว่าดวงวิญญาณดวงนั้นจะวิวัฒนาการกลายสภาพเป็น ปิศาจกระหายเลือดคลั่งการต่อสู้ แล้วถ้าเกิดดวงวิญญาณดวงใดไปปีนขึ้นฝั่งที่ทุ่งเพลิงโลกันต์มอดไหม้ที่เต็มไปด้วยเพลิงโลกันต์ทมิฬแห่งความโกลาหล ดวงวิญญาณดวงนั้นก็จะวิวัฒนาการกลายเป็นปิศาจธาตุไฟ ซึ่งปลายทางสุดท้ายของการวิวัฒนาการของปิศาจพวกนี้ก็คงเป็น ปิศาจอัคคี บัลร็อก ผู้แข็งแกร่ง

และแน่นอนว่า โลกและมิติที่ค่อนไปทางดีเองก็ต้องมีอยู่เช่นกัน ทั้งนี้ มีพวกนายทุนไร้ศีลธรรมและหัวขโมย (ที่พลาดขโมยอะไรไม่ได้เลยทั้งชีวิต) จำนวนไม่น้อยเลยที่จะกายสภาพถือกำเนิดใหม่ขึ้นมาเป็นอสูรจอมเจ้าเล่ห์แสนชั่วร้ายแต่ก็ยังรักษาสัจจะที่ให้ไว้ ส่วนเหล่าดวงวิญญาณของฆาตกรต่อเนื่อง โจรฆ่าชิงทรัพย์ และอาชญากรหัวรุนแรงอื่นๆ จะกายสภาพถือกำเนิดใหม่ขึ้นมาเป็นปิศาจ เผ่าพันธุ์ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นร่างจุติของความโกลาหล

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ก่อนที่จะปีนออกจากแม่น้ำปรภพ เหล่าดวงวิญญาณทั้งหลายก็ได้ผ่านพ้นวัฏสงสารระหว่างชีวิตและความตายไปเรียบร้อยแล้ว เช่นนี้เหล่าปิศาจและอสูรที่ถือกำเนิดขึ้นจากการปีนออกจากฝั่งแม่น้ำปรภพย่อมเป็นชีวิตใหม่ที่ต้องอาศัยการกลืนกินชีวิตอื่นเพื่อความอยู่รอด ผู้แข็งแกร่งคือผู้อยู่รอด นี่คือกฎเพียงหนึ่งเดียวของที่แห่งนี้ และจงรีบวิวัฒนาการให้แข็งแกร่งขึ้นเสียก่อนที่ผู้ล่าที่แข็งแกร่งเกินกว่าตัวเจ้าจะปรากฏตัว นี่เป็นวิธีเอาชีวิตรอดเพียงหนึ่งเดียวของเหล่าอสูรและปิศาจแรกเกิด

เหล่าปิศาจและอสูรที่ปีนขึ้นจากฝั่งแม่น้ำปรภพนั้นจะสูญเสียความทรงจำสมัยที่ตนยังเคยมีชีวิตอยู่ไปจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ ฉะนั้น สิ่งเดียวหลงเหลืออยู่ในสมองอันว่างเปล่าของพวกเจ้านี้ก็คือ สัญชาตญาณดิบในกลืนกินผู้อื่น เพื่อวิวัฒนาการตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งกว่าที่ปิศาจแต่ละตนจะวิวัฒนาการมาได้ในระดับนึง เหล่าปิศาจก็ต้องกลืนกินเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของตนไปมากมายนับไม่ถ้วนแล้ว

การจะไปพูดคุยกับเหล่าปิศาจและอสูรถึงเรื่องกฎระเบียบ ความสวยงามของสันติสุข และการร่วมไม้ร่วมมือกันอย่างสันติเพื่อความอยู่รอด มันก็เหมือนกับการไปคุยกับเหล่าอาชญากร ที่มีชีวิตมาได้ด้วยการฆ่าฟันปล้นชิงจากผู้อื่น ถึงเรื่องความสงบสุขและความสุขในการได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั้นแหละ ซึ่งนี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการปฏิเสธตัวตนที่ใช้มาทั้งชีวิตของของอีกฝ่ายหรอกเหรอ?

และในยามที่ปิศาจตนใดสามารถวิวัฒนาการกลายเป็นปิศาจชั้นศักดินาได้สำเร็จ ปิศาจตนนั้นก็จะรับรู้ถึงนามที่แท้จริงของตน และสามารถระลึกได้ถึงความทรงจำสมัยที่ตนยังมีชีวิตอยู่(ตอนก่อนกลายเป็นปิศาจ) แต่เนื่องด้วยมุมมองที่มีต่อโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้สำหรับเหล่าปิศาจแล้ว ความทรงจำที่ได้กลับคืนมาก็คงมิต่างอะไรไปจากการที่เหล่ามนุษย์มองตัวเองเป็นตัวเอกในนวนิยายหรือภาพยนตร์ ซึ่งแทบจะไม่มีผลอันใดเลยกับลักษณะนิสัยที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน แต่ด้วยความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากความทรงจำของตัวเองในชีวิตก่อน นี่ยิ่งจะทำให้เหล่าปิศาจเจ้าเล่ห์และยากจะต่อกรด้วยยิ่งขึ้นไปอีก

แม้แต่ปิศาจอัคคี บัลร็อก ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังมากพอจะสังหารมังกรได้ด้วยตัวคนเดียว ยังเป็นแค่สมาชิกธรรมดาๆ ในหมู่มวลปิศาจ สำหรับปิศาจชั้นศักดินาแล้ว แม้แต่ปิศาจชั้นบารอนที่อ่อนแอที่สุดยังสามารถกำราบปิศาจอัคคี บัลร็อค ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว และว่ากันว่ายศศักดินาของเหล่าปิศาจนั้นได้รับการประทานมาจากขุมอเวจีแห่งความโกลาหลและองค์เทพธิดาแห่งโกลาหล ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้องค์ชายปิศาจจะเป็นยศที่สูงกว่าดยุคปิศาจเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น ซึ่งนี่อาจจะแลดูไม่มากมายอะไร แต่องค์ชายปิศาจนั้นเป็นยศที่เทียบเท่ากับฐานะลูกบุญธรรมของเทพธิดาแห่งความโกลาหล ซึ่งเป็นตัวตนที่เทียบได้กับเหล่าเทพเจ้าของฝ่ายกฎระเบียบ...

แต่โชคยังดีที่เหล่าปิศาจชั้นศักดินานั้นมีพลังมากเกินไป จนมิอาจส่งร่างเนื้อลงมาจุติที่ทวีปเอ็ชได้ด้วยวิธีปกติ แล้วถ้าเกิดปิศาจชั้นศักดินาคิดจะส่งร่างแยกของตนลงมาที่ทวีปเอ็ชล่ะก็ เหล่าเทวทูตและร่างแยกของเหล่าเทพเจ้าฝั่งกฎระเบียบก็จักลงมาล้อมจัดการร่างแยกของปิศาจนั้นด้วยตัวเองเช่นกัน

แล้วก็ไม่ใช่วิญญาณที่หันเหไปทางความโกลาหลทุกดวงหรอกนะ ที่จะกลายสภาพเป็นปิศาจน่ะ เหล่าดวงวิญญาณส่วนใหญ่ที่อยู่ในแม่น้ำปรภพนั้นจะมิสามารถหาทางปีนขึ้นฝั่งออกจากแม่น้ำปรภพมาได้ ซึ่งพอถึงยามที่แม่น้ำปรภพไหลมาถึงจุดสิ้นสุดของขุมอเวจีแห่งความโกลาหล เหล่าดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ก็จะกลับชาติไปเกิดอีกครั้ง

เอาล่ะ ในเมื่อที่ใดมีชีวิต ที่นั้นก็ต้องมีความตาย เหล่าดวงวิญญาณของคนตายต่างหวนกลับมาเกิดใหม่เป็นทหารให้กับทั้งสองฝ่ายเรื่อยๆเช่นนี้ แล้วมีหรือ ที่สงครามนิรันดร์จะสิ้นสุดลง สงครามที่มีมาอย่างช้านานนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในกฎของโลกใบนี้ไปแล้ว เฉกเช่นเดียวกับ ‘พระอาทิตย์ที่ต้องขึ้น น้ำทะเลที่ต้องเค็ม’ ที่เป็นความรู้สามัญที่ต้องรู้กันทั่วนั้นแหละ

แต่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ได้มีชายผู้หนึ่งที่พยายามจะฝ่าฝืนกฎข้อนี้

ชายผู้พยายามจะทำให้ดวงตะวันไม่ขึ้นอีก ชายผู้พยายามจะเปลี่ยนสรรพชีวิตบนโลกให้กลายเป็นคนตาย ชายผู้พยายามจะสร้างประเทศของเหล่าคนตายขึ้น ชายผู้พยายามจะทำลายล้างแสงศักดิ์สิทธิ์ให้สิ้นซาก... ชายผู้นามว่า ลอร์ดหย่งเยี่ย ใช่แล้ว นั้นเค้าเองแหละ พอดีว่าสมัยนั้นเค้ากำลังติดสถานะจูนิเบียวระยะสุดท้ายน่ะ

แค่ก ในเมื่อเรื่องนี้มันเกี่ยวโยงกับอดีตอันดำมืดของข้า ฉะนั้น ข้าก็ไม่ขอพูดถึงละกัน แต่ไม่ว่าข้าจะพยายามปฏิเสธสักเพียงไร ความจริงที่ว่าลิซ่าต้องตายเพราะกองทัพข้า ภายใต้น้ำมือของหนึ่งในสี่จตุรเทพลูกน้องผู้แข็งแกร่งที่สุดของข้า ราชินีมังกรกระดูก เกรย์.ซิน ก็ยังคงเป็นความจริงไม่มีวันเปลี่ยน ซึ่งนี่ก็เท่ากับว่าข้านั้นเป็นคนฆ่านางด้วยมือตัวเอง ตัวข้าที่อยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อสมัยนั้น มิอาจทำใจยอมรับความจริงที่ เผลอฆ่าหนึ่งในสหายของตนเองไปได้ ก็คิดที่จะท้าทายสามัญสำนึกของโลกนี้เรื่องชีวิตและความตาย

สำหรับข้าแล้ว การจะคืนชีพใครซักคนขึ้นมาเป็นอันเดดนั้น คนๆนั้นก็ยังถือว่าเป็นคนตายอยู่ดีไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งความหมายใดๆ ถ้าข้าอยากจะคืนชีพใครสักคนล่ะก็ คนๆนั้นก็ต้องคืนชีพขึ้นมาจริงๆ ตามความหมายของคำว่า ‘คืนชีพ’

เหล่าดวงวิญญาณของคนตายนั้นจะสูญเสียความทรงจำและทุกสิ่งอย่างไปในแม่น้ำปรภพ แต่ขั้นตอนนี่เองก็ต้องอาศัยเวลาเช่นกัน เพราะถึงแม้น้ำในแม่น้ำปรภพจะเป็นพิษร้ายต่อทุกสรรพชีวิต แต่การที่น้ำในแม่น้ำปรภพจะออกฤทธิ์ได้ในทันทีทันใดนั้น ก็มีเพียงแต่วิธีดื่มเข้าไปตรงๆเท่านั้น

ฉะนั้น ถ้าข้าใช้ศาสตร์การหยั่งรู้หาดวงวิญญาณของลิซ่า แล้วดึงนางขึ้นมาจากแม่น้ำปรภพก่อนที่น้ำในแม่น้ำปรภพจะออกฤทธิ์ แล้วค่อยมาสร้างร่างเนื้อให้นางใหม่ล่ะก็...

นี่น่ะไม่ใช่ทฤษฎีที่ข้าคิดขึ้นเองหรอกนะ แต่นี่น่ะเป็นมุกตลกที่มีกันมาอย่างช้านานในหมู่จอมเวทย์ ที่ทฤษฏีนี้เป็นได้แค่มุกตลกทั้งๆที่แลดูจะเป็นไปได้แท้ๆ ก็เพราะแม่น้ำปรภพนั้นมีความสามารถในการกัดกินดวงวิญญาณทุกดวงที่เข้าไปสัมผัส ในเมื่อแตะต้องไม่ได้เช่นนี้ แล้วจะดึงดวงวิญญาณที่อยู่ภายในแม่น้ำออกมาได้อย่างไรกันล่ะ?

แม้แต่เหล่าปิศาจที่แข็งแกร่งที่คิดจะใช้น้ำจากแม่น้ำปรภพมาทำเป็นยา ยังต้องใช้กรรมวิธีพิเศษในการเก็บรวบรวมน้ำจากแม่น้ำปรภพ โดยไม่กล้าที่จะสัมผัสกับตัวแม่น้ำตรงๆเลย เพราะยังไงซะเหล่าปิศาจทั้งหลายก็คงไม่อยากกลับไปเริ่มต้นวิวัฒนาการใหม่ตั้งแต่ต้นหรอก... ทั้งนี้ประโยคที่ว่า ขอให้เจ้าตกลงสู่แม่น้ำปรภพ นั้นถือเป็นคำสาปแช่งที่ร้ายแรงที่สุดในหมู่ปิศาจ

แต่ว่านะ ทฤษฏีเกี่ยวกับแม่น้ำปรภพที่โลกนี้มีน่ะก็ไม่ได้ถูกต้องไปเสียหมด แม่น้ำปรภพนั้นเป็นแม่น้ำแห่งดวงวิญญาณของโลกนี้ ซึ่งถือว่าเป็นมารดาของทุกสรรพชีวิต เช่นนี้ ย่อมแน่นอนอยู่แล้วว่า นาง(แม่น้ำปรภพ)นั้นสามารถฉุดดวงวิญญาณดวงใดก็ได้ของโลกนี้ลงสู่ก้นแม่น้ำ แต่ถ้าเกิดมีดวงวิญญาณที่ไม่ใช่ของนาง ดวงวิญญาณที่มาจากโลกอื่นปรากฏขึ้นล่ะ... อาทิเช่น ดวงวิญญาณของผู้ข้ามภพที่มาจากต่างโลก

เมื่อสมัยนั้น ครั้งที่ข้าเอาทฤษฎีนี้ไปลองจริงๆ ตัวข้าเองก็เหงื่อท่วมตัวเหมือนกัน ซึ่งถือว่าโชคดี ที่ทฤษฎีที่ข้าคาดเดานั้นถูกต้อง แต่ ความเป็นจริงก็ได้พิสูจน์แล้วเช่นกันว่า เมื่อโชคดีหนึ่งหน โชคร้ายจะตามมาอีกหลายๆหน...

“นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึไง!!! ถึงคิดจะฝ่าฝืนกฎที่เทพเจ้าทั้งสองฝั่งเห็นชอบเช่นนี้น่ะ นี่เจ้าอยากจะลองของท้าทายอำนาจของทั้งเทพชั่วร้ายแห่งความโกลาหลกับเทพเจ้าแห่งกฎระเบียบเลยรึไง!!”

มังกรสาวที่ตกตะลึงได้คำรามลั่นใส่หูข้า แต่ข้าจะทำอะไรได้เล่า นอกเสียจากพยักหน้าแห้งๆให้กับนาง

“ก็นะ เมื่อข้าลองมานึกๆดูแล้ว ข้าในสมัยนั้นก็บ้าจริงๆนั้นแหละ ถึงได้ไปทำลายเส้นกั้นระหว่างคนเป็นและคนตายเช่นนี้น่ะ เหเห แต่ว่านะ ในเมื่อเรื่องมันเคยเกิดขึ้นไปแล้วครั้งนึง ก็ย่อมเกิดขึ้นอีกได้ ถ้าวิญญาณของเหล่าคนตายไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้สำเร็จล่ะก็ ฝ่ายกฎระเบียบและฝ่ายความโกลาหลจะสานต่อสงครามครั้งนี้ได้อย่างไรกันล่ะ? เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ทั้งสองฝ่ายคงมิยอมอยู่เฉยปล่อยให้ข้าสร้างเรื่องไปมากกว่านี้แน่”

เสี่ยวหงส์ที่ได้ฟังคำข้าก็กระดกเหล้าเข้าไปอีกคำใหญ่

“แล้วเจ้าไปเจอเทพองค์ใดเข้าล่ะ? ร่างจุติ(ร่างจริง)ของเทพที่แท้จริง? หรือแค่ร่างแยกล่ะ ถ้าเป็นแค่ร่างแยกล่ะก็ ถึงแม้เจ้าจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ เจ้าก็น่าจะหนีได้นินะ”

“เทพแห่งความตายไอเยอร์ อันเดดตนแรก เทพเจ้าที่เก่าแก่ที่สุด”

ปัง เพล้ง!” ขวดเหล้าในมือเสี่ยวหงส์ได้ร่วงหล่นตกพื้นแตกกระจายไปทั่ว จนกลิ่นเหล้าที่อยู่ภายในลอยโชยออกมา พร้อมกับมังกรแดงโบราณ ไอน์ เมซุส ที่อ้าปากค้าง ปล่อยให้เหล้าที่อยู่ในปากไหลออกมาตามใจชอบ ภาพโง่ๆเช่นนี้ของนางนานปีจะมีสักหนนะเนี่ย

“นี่ นี่ รักษาภาพลักษณ์หน่อยสิ ภาพลักษณ์น่ะ เดี่ยวถ้าเกิดภาพอุบาทว์ๆเช่นนี้ของเจ้าเล็ดลอดออกไป เดี่ยวเจ้าก็ไม่มีใครรับไปเป็นเจ้าสาวหรอก?”

ข้าที่กล่าวเตือนเสี่ยวหงส์ด้วยความหวังดี กลับโดนนางกระชากคอเสื้อลากเข้าไปจ้องตาเขม็ง

อย่า มา ล้อเล่นนะ ในประวัติศาสตร์กว่าล้านปีของเผ่ามังกร ท่านผู้นั้นน่ะออกมาเคลื่อนไหวเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น และคู่ต่อสู้ของท่านก็ล้วนแล้วแต่เป็นเทพที่แท้จริงทั้งสิ้น! นี่เจ้าคิดว่าตัวเองมีค่าขนาดนั้นเชียว? ตัวเจ้าที่เป็นเพียงจักรพรรดิอันเดดชั้นกึ่งเทวะ ที่มีอยู่เกลื่อนกลาดในหน้าประวัติศาสตร์ นี่เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอให้ท่านผู้นั้นออกมาเคลื่อนไหวรึไงห่ะ”

คำถามคำแล้วคำเล่าได้ถูกเอ่ยออกมาจากปากมังกรสาว ตอนนี้ ดวงตามังกรทั้งสองของเสี่ยวหงส์นั้นเต็มไปด้วยความสงสัยราวกับว่า นางนั้นไม่เชื่อสิ่งที่ข้าพูดไป

“ข้า ไม่ได้ ล้อเล่น สักหน่อย เป็นไอเยอร์จริงๆ เทพเจ้าที่เก่าแก่ที่สุด รุ่นพี่อันเดดรุ่นเดอะที่เคยติดตามทั้งเทพธิดาแห่งความโกลาหลและเทพธิดาแห่งกฎระเบียบ ปฐมราชันย์แห่งเผ่าขุนเขา บรรพบุรุษของเหล่าอสูร เทพแห่งความตายที่เก่าแก่ที่สุดผู้มอบสติปัญญาให้แก่หมู่มวลประชาอันเดด ไอเยอร์คนนั้น นั้นแหละ”

“ถ้าเป็นงั้นจริง ทำไมเจ้าถึงมานั่งพล่ามอยู่ตรงนี้ได้อีกล่ะ? ข้าไม่คิดว่าอันเดดชั้นกึ่งเทวะเยี่ยงเจ้า จะสามารถหนีรอดจากเงื้อมมือท่านผู้นั้นได้หรอกนะ เหล่าเทพเจ้าที่แท้จริงที่ท่านผู้นั้นหมายตานั้นล้วนแล้วแต่ต้องตายทั้งสิ้น นับประสาอะไรกับตัวเจ้าที่เป็นเพียงจักรพรรดิอันเดดชั้นกึ่งเทวะ นี่เจ้าแอบหมกเม็ดอะไรไว้กัน เจ้าถึงหนีรอดมาได้น่ะ”

เมื่อนึกถึงร่างสีเทาที่เป็นตัวแทนของความตาย แหวนสีโลหิตที่ประทับอยู่บนนิ้วอันขาวซีดนั้น ร่างกายข้าก็สั่นเทาไปหมด แม้แต่ตัวข้าเองยังรู้สึกเลยว่า เรื่องในครั้งนั้นน่ะช่างเป็นปาฏิหาริย์เหลือเกินที่ดวงวิญญาณของข้ายังไม่แตกสลายไป

“...เมื่อข้ามาลองคิดดูแล้ว เทพแห่งความตายไอเยอร์นั้นไม่เคยไปปรากฏตัวให้เหล่าอันเดดที่เฝ้าอธิษฐานให้ท่านมาหาเลยสักครั้ง บางทีตัวท่านอาจจะเป็นตัวแทนของความตายเองเลยก็ได้ หรือไม่บางที ความตายก็คือตัวตนของท่านและพันธะของท่านก็คือ การดูแลความสงบเรียบร้อยของชีวิตหลังความตาย ถ้าจะให้พูดล่ะก็ ตราบใดที่ไม่มีใครไปแทรกแซงแม่น้ำปรภพกับดวงวิญญาณของฝ่ายกฎระเบียบที่กำลังกลับไปหาเทพเจ้าของพวกตน ท่านผู้นั้นก็จะไม่ออกมาเคลื่อนไหวเด็ดขาด ซึ่งตัวข้าเมื่อสมัยนั้นได้พยายามเข้าไปแทรกแซงแม่น้ำปรภพ ก็เท่ากับว่าข้านั้นได้ไปล่วงเกินท่านผู้นั้นเข้าเต็มๆ ข้านี่ช่างรนหาที่ตายจริงๆ”

ข้าที่เผลอจิบเหล้าเข้าไปเต็มปากเต็มคำอย่างไม่รู้ตัว ก็ได้แต่ทำหน้ามุ่ยที่เห็นเหล้าที่ข้าจิบเข้าไปไหลลงจากกรามด้านล่าง จนเสื้อข้าเปียกไปหมด ข้าที่เห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ส่ายศีรษะแล้วยิ้มแห้งๆ ออกมา เรื่องในครั้งนั้นน่ะเป็นความพ่ายแพ้ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตข้าเลย

“ท่านผู้นั้นใช้เพียงแค่ร่างแยกเท่านั้น และท่านก็โจมตีข้าเพียงครั้งเดียวเช่นกัน แต่ท่านก็สามารถทำให้ข้าที่อยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดสยบแทบเท้าได้อย่างง่ายดาย ดวงวิญญาณของข้าเกือบถูกทำลายไปจนสิ้น จนระดับชั้นของข้าตกลงอย่างน่าใจหาย นับตั้งแต่นั้นมา ข้าก็ตัดความเป็นไปได้ที่อันเดดจะขึ้นเป็นเทพเจ้าที่แท้จริงทิ้งไปเลย เพราะการที่อันเดดจะขึ้นเป็นเทพเจ้าได้นั้น อันเดดตนนั้นจะต้องล้มเทพแห่งความตายไอเยอร์ให้ได้ แล้วดูจากวันเวลาที่ผ่านเลยมากี่ร้อยกี่พันปี บัลลังก์ของเทพแห่งความตายนั้นมิเคยเปลี่ยนมือเลย แม้เพียงสักครั้ง นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่านี่น่ะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

“...มิน่าล่ะ อดัมกับมากาเร็ตถึงจัดการเจ้าเมื่อสมัยนั้นได้ แม้แต่ตอนนี้เอง เจ้าหมอนั้นก็ยังแอบคิดสงสัยเลยว่า ที่พวกตนถึงชนะมาได้นั้น ก็เพราะเจ้าแอบออมมือให้ แต่ที่แท้ตัวเจ้าก็บาดเจ็บเจียนตายอยู่นี่เอง”

“เหเห ในเมื่อจักรวรรดิอันเดดนั้นไม่มีวันสร้างได้ และจอมมารก็มีชะตาให้ต้องถูกกำจัด เช่นนี้แล้ว ทำไมข้าไม่มอบเกียรติยศในการปราบจอมมารให้กับน้องชายของข้าคนนี้เสียล่ะ แต่เนื่องด้วยระดับชั้นของข้าที่ตกลง ทำให้แผนการดั่งเดิมของข้าเกิดช่องโหว่ขึ้น จนมากาเร็ตสามารถมองแผนการของข้าออก ทำให้ข้าที่คิดจะแกล้งตายเกือบต้องตายจริงๆ ข้าว่านี่คงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายเพียงอย่างเดียวเสียละมั้ง”

“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย ว่าเจ้าหนีจากเทพแห่งความตายไอเยอร์มาได้ยังไง!!”

“...เจ้าคงสงสัยล่ะสิว่าทำไมจักรวรรดิอันเดดถึงไม่มีวันสร้างได้น่ะ? ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอันใดเลย จากที่ข้าได้ฟังท่านไอเยอร์ ข้าก็รู้ว่าเหล่าเทพเจ้าแห่งกฎระเบียบนั้นมิอาจยอมปล่อยให้อันเดดมาแทนที่คนเป็นได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น วัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดก็จะพังทลายลงไปในทันที อาณาจักรอันเดดที่ขยายไปไม่เกินกว่าครึ่งโลกนั้นคือ ขอบเขตแบบสุดๆที่เหล่าเทพจะยอมรับได้แล้ว...”

แต่แล้วศีรษะของข้าก็โดนเรี่ยวแรงอันมหาศาลของเสี่ยวหงส์กระชากเข้าไปใกล้ๆหน้านาง ก่อนที่นางจะตะโกนอัดคำถามใส่แก้วหูข้าด้วยน้ำเสียงที่ดังเยี่ยงสายฟ้าฟาด แบบเน้นคำต่อคำ

ข้า ถาม เจ้า ว่า เจ้า หนี จาก ท่าน ไอเยอร์ มา ได้ ยัง ไงเลิก เปลี่ยน เรื่อง! แล้ว ก็ หยุด พล่าม เรื่อง ไร้ สา ระ ได้ แล้ว

ไฟวิญญาณในดวงตาของข้าได้สั่นไหวไปวูบหนึ่ง และในท้ายที่สุด ข้าก็จำใจพูดความจริงออกมา

“ข้าไม่สามารถพูดได้ ข้าไม่สามารถพูดได้จริงๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวเจ้าเอง”

มังกรสาวได้เอียงศีรษะของตนไปข้างหนึ่ง พร้อมกับทำแก้มป่องไม่พอใจ ก่อนที่แววตาหยามเหยียดจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง

“หึ ถึงเจ้าจะไม่ยอมพูดออกมา ข้าก็พอจะเดาได้อยู่แล้วล่ะ ตัวเจ้าที่มีความสามารถในการเล่นลิ้นเป็นเลิศ คงไปพล่ามเรื่องอะไรสักอย่างให้ท่านไอเยอร์ฟังล่ะสิ ท่านไอเยอร์ที่ไม่ได้เข้าร่วมกับเทพเจ้าฝ่ายใดเลยนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ จอมขบถ ท่านเองก็คงเหมือนกับเจ้า ที่ไม่พอใจโลกที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ากับท่านไอเยอร์ก็เลยแอบสมคบคิดวางแผนชั่วอะไรสักอย่างขึ้นมา พอตกลงกันได้ท่านก็เลยยอมปล่อยเจ้ามา ข้าขอเดานะคงจะเป็นแผนชั่วอย่างการทำลายสมดุลขั้วอำนาจ(ฝ่ายกฎระเบียบและฝ่ายความโกลาหล)ที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันล่ะสิ... งื้อออองื้องื้ออออ

และแล้วคำพูดของเสี่ยวหงส์ก็ขาดสะบั้นลง ด้วยมือโครงกระดูกของข้าที่ยัดเข้าไปในปากนาง จนนางมิสามารถพูดอะไรออกมาได้อีก

หลังจากที่โดนจู่โจมอย่างกะทันหัน ดวงตาทั้งคู่ของมังกรสาวก็เต็มไปด้วยโทสะ แต่พอได้ลองคาดเดาอะไรไปสักพัก โทสะในตาของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ ก่อนที่จะกลายเป็นความหวาดกลัวและตื่นตระหนกในที่สุด

“ข้า ข้า ข้า... นี่ข้าคงไม่ได้เดาถูกใช่ไหม?? บอกข้ามาสิ ว่านี่มันไม่จริงน่ะ ท่านไอเยอร์ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้ายังสาวแล้วก็ยังไม่ได้แต่งงานเลย ข้ายังไม่มีลูกมังกรตัวเล็กๆให้เลี้ยงดูเลย ข้ายังไม่อยากโดนปิดปาก!!!”

“ใจเย็น ใจเย็นลงก่อนสิ ตัวเจ้านั้นไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เช่นนี้ทำไมท่านไอเยอร์ต้องมาหาเจ้าด้วยเล่า? วันนี้ เจ้าก็แค่มานั่งดื่มกับข้า แล้วก็พูดคุยสัพเพเหระกันเท่านั้นเอง ตัวเจ้าไม่ได้คาดเดาอะไรออกมาเลย เจ้าไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น!”

ภายใต้การปลอบโยนและคำเกลี่ยกล่อมจากข้า หลังจากที่เวลาผ่านไปสักพัก เสี่ยวหงส์ก็สงบสติอารมณ์ลงได้

“อืม จำไว้นะ ข้านั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย เจ้าเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน องค์เทพเจ้ามังกรที่อยู่เบื้องบน ข้าขอสาบานว่าจะไม่เดาอะไรส่งๆอีกแล้ว”

“เจ้าไม่ได้พูด เจ้าไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งนั้น” ข้าที่พยักหน้าให้กับคำของเสี่ยวหงส์ ก็เช็ดเหงื่อเย็นๆที่ไม่มีอยู่จริงบนหน้าผากข้า ยัยบ้านี่ ทำไมถึงเดามั่วได้แม่นขนาดนี้เนี่ย นางนี่ช่างเป็นพวกปากกาที่ปากไม่มีหูรูดเสียจริงๆ

“จริงสิ แล้วอิลิซ่าล่ะ? ทำไมท่านไอเยอร์ถึงยอมปล่อยนางไปล่ะ?”

ในเมื่อนางเปิดโอกาสให้ข้าเปลี่ยนเรื่องซะขนาดนี้ ก็ไม่มีเหตุอันใดที่ข้าจะต้องปฏิเสธความหวังดีจากนาง

“...เมื่อครั้งที่ข้าโดนท่านไอเยอร์ไล่ล่า ข้าได้ใช้เวทมนต์เคลื่อนย้ายสุ่มส่งอิลิซ่าไปที่ไกลแสนไกล และกว่าที่ข้าจะสามารถขยับตัวได้อีกครั้ง ก็เป็น 3 วันให้หลังจากนั้น ซึ่งพอถึงตอนนั้น อิลิซ่าก็ได้เริ่มต้นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดและโดนกฎของมิติเปลี่ยนให้เป็นครึ่งปิศาจไปนานแล้ว สิ่งที่ข้าทำต่อจากนั้นก็มีเพียงหาที่อยู่ชั่วคราวให้กับนาง ก่อนที่จะพานางมาที่นครภูผาหลิวฮวง เรื่องราวต่อจากนี้ เจ้าก็คงรู้อยู่แล้วล่ะ”

“ครึ่งปิศาจ? ไม่น่าจะเป็นไปได้นิ โดยปกติแล้ว ครึ่งปิศาจก็คือลูกหลานของเหล่าปิศาจ และในยามใดที่สายเลือดปิศาจที่ไหลเวียนอยู่ตัวตื่นขึ้น เหล่าครึ่งปิศาจก็จะสามารถเข้าร่วมพิธีปลุกสายเลือดปิศาจเพื่อเพิ่มพลังให้กับตนเองได้ สำหรับอิลิซ่าที่เป็นเพียงดวงวิญญาณของคนตายกลับถูกกฎของโลกเปลี่ยนให้เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งปิศาจ ถึงแม้นางจะดูไม่ต่างจากครึ่งปิศาจธรรมดาๆตนอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางนั้นต่างจากครึ่งปิศาจตนอื่นตั้งแต่รากเหง้าเลยต่างหาก”

ข้าที่กำลังอ้ำอึ้งอยู่ ก็ถูกเสี่ยวหงส์ที่อาศัยความเข้าใจกฎของโลกที่นางมี ชิงอธิบายตัดหน้าขึ้นมาก่อน

“มิน่า เจ้าถึงบอกว่า อิลิซ่าก็คือลิซ่า แต่ก็ไม่ใช่ลิซ่าในเวลาเดียวกัน ลิซ่าตัวจริงนั้นได้ตายไปแล้ว อิลิซ่าที่มีชีวิตอยู่ ณ ตอนนี้นั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณของลิซ่าที่โดนเปลี่ยนให้เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งปิศาจ เป็นตัวตนที่มีเพียงหนึ่งเดียวทั่วทั้งโลกแห่งเอ็ช”

“ก็อย่างที่เจ้าว่านั้นแหละ ท่านไอเยอร์เองก็บอกกับข้าเช่นกันว่า ในยามที่ชีวิตใดได้สัมผัสกับแม่น้ำปรภพชีวิตนั้นก็ถือว่าตายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว เหล่าผู้ที่ปีนออกมาจากแม่น้ำปรภพหลังจากนั้นก็เป็นเพียง ชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นจากวัตถุดิบเดิม แม้แต่ตอนนี้เอง ขุมอเวจีแห่งความโกลาหลก็ยังคงเรียกหาดวงวิญญาณของอิลิซ่า เพื่อเปลี่ยนนางให้กลายเป็นปิศาจเต็มตัว อิลิซ่านั้นขึ้นฝั่งที่ทุ่งเพลิงโลกันต์มอดไหม้ ฉะนั้นถ้านางจะโดนเปลี่ยนเป็นปิศาจล่ะก็ นางก็คงจะกลายเป็นปิศาจธาตุไฟ เพราะเหตุนี้ ข้าจึงได้สอนเวทมนต์ธาตุน้ำแข็งที่เป็นขั้วตรงข้ามกับธาตุไฟให้กับนาง เพื่อที่นางจะได้ต่อต้านเสียงเรียกจากขุมอเวจีแห่งความโกลาหลที่สะท้อนอยู่ในตัวนางให้ได้ถึงที่สุด”

“แต่เจ้าเองก็โง่เหมือนกันนะ เล่นลงทุนลงแรงไปซะขนาดนี้ แม้แต่ชีวิตตัวเองยังเกือบเอาไปทิ้ง แต่สุดท้ายกลับต้องกลับมามือเปล่าไม่ได้อะไรกลับมาเลยเช่นนี้น่ะ”

“ข้าคงไม่มีอะไรจะเถียงเจ้าได้ นี่น่ะเป็นสิ่งที่โง่ที่สุดที่ข้าได้ทำลงไปในชีวิตนี้เลย แต่อย่างน้อย ข้าก็ไม่เสียใจหรอกนะ”

“นี่เจ้าเคยเสียใจอะไรในชีวิตนี้ด้วยเหรอไง? อย่าพึ่งไปพูดถึงเรื่องเสียใจเลย แม้แต่จิตตก(หดหู่) ข้ายังไม่เคยเห็นเจ้าจิตตกเสียด้วยซ้ำไป”

หลังจากนึกอยู่สักพัก ความทรงจำแสนเศร้านับร้อยนับพันก็ได้ฉายขึ้นมาในความคิดข้า แต่ในท้ายที่สุด ข้าก็ยิ้มออกมา

“ไม่มี ไม่มีเลยสักครั้งที่ข้าเสียใจ ในเมื่อข้าได้เลือกแล้ว ข้าก็จะพยายามทำสิ่งที่ข้าเลือกอย่างสุดความสามารถตราบจนวินาทีสุดท้ายในชีวิตข้า ฉะนั้นถึงแม้เส้นทางที่ข้าเลือกจะต้องจบลงด้วยความล้มเหลว ก็ไม่มีอะไรให้ข้าต้องเสียใจอีก การเสียใจนั้นรังแต่จะเป็นการปฏิเสธชีวิตที่ข้าได้ใช้มา ถึงแม้ข้าจะต้องล้มเหลว ข้าก็จะเก็บความล้มเหลวนั้นเป็นประสบการณ์แล้วพยายามให้หนักขึ้นในครั้งต่อไป”

“หืม แน่สิ ที่เจ้าจะไม่เสียใจ ดูซิ ตอนนี้ เจ้าก็มีสาวใช้แสนสวยที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเจ้า คิดถึงแต่เจ้า มาอยู่เคียงข้างอีกคนแล้วนิ อ้าว แบบนี้มันก็เหมือนกับเมื่อสมัยก่อนเลยไม่ใช่เหรอ ที่อดัมเจ้าเด็กเกเรนั้นหลงรักลิซ่า แต่ลิซ่านั้นชายตามองแต่เพียงพี่ใหญ่โรโล่ หัวหน้าปาร์ตี้ของนางเท่านั้น”

“นี่เจ้าจะช่วยหยุดพูดถึงไหที่ไม่มีวันเปิดออกซักทีได้ไหม? ตัวข้ายังแอบเซ็งไม่หายเลยเนี่ย ที่แรกข้าอุตส่าห์คิดว่า ครั้งนี้เจ้าอดัมจะมีหวังแล้วเสียอีก แต่จนแล้วจนรอด รสนิยมความชอบของอิลิซ่านั้นเหมือนกับลิซ่าทุกระเบียบนิ้วไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งก็คือ นางนั้นไม่มีความรู้สึกรักชอบอันใดเลยให้กับเจ้าอดัม แม้เพียงสักนิดก็ไม่มี”

“แล้วอดัมรู้เรื่องนี้รึเปล่า?”

“นี่เจ้าคิดว่าหมอนั้นจะไม่รู้รึไง? ถึงแม้เจ้าบ้านั้นจะมีค่าสติปัญญาเพียงแค่ 9 แต้มเท่านั้น แต่ลางสังหรณ์ของหมอนั้นน่ะแม่นซะจนน่ากลัวเลยล่ะ”

“งั้นก็เหมือนกับที่เจ้าหมอนั้นรู้ว่าเจ้าคือ พี่ใหญ่โรโล่ที่ตนเคารพรัก แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้น่ะเหรอ?”

“อันที่จริง เรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่เรื่องบางเรื่องน่ะ พูดออกไปก็รังแต่จะสร้างความกระอักกระอ่วนขึ้นเสียเปล่าๆ ฉะนั้นบางทีแสร้งทำเป็นไม่รู้เสียจะดีกว่า ส่วนเรื่องอิลิซ่านั้น เจ้าหมอนั้นเคยมาคุยกับข้าเรื่องนี้ ซึ่งเจ้าบ้านั้นพูดเพียงแต่ว่า ‘อิลิซ่าก็คืออิลิซ่า ลิซ่าก็คือลิซ่า ลิซ่าได้ตายจากไปแล้ว หัวใจของข้าเองก็เช่นกัน’”

“ข้าชักจะรู้สึกสงสารอดัมขึ้นมาแล้วสิ”

“ข้าเองก็สงสารเหมือนกัน แต่สงสารมากาเร็ตนะ เจ้าลองดูสถานการณ์ของเจ้าสองคนนี้สิ เจ้าอดัมนั้นแอบหลงรักลิซ่าข้างเดียวมาครึ่งชีวิต จนจิตใต้สำนึกของเจ้าบ้านี่ปรุงแต่งภาพในความทรงจำของตน ให้ภาพที่งดงามของลิซ่านั้นหยุดลงไปชั่วนิรันดร์ในหัวใจของอดัม เจ้าบ้านี่ก็แค่ปิดกั้นหัวใจตัวเองแล้วฉายภาพความทรงจำอันงดงามของลิซ่าเอาไว้ภายใน แล้วคอยปฏิเสธคนทุกผู้ที่คิดจะย่างกร่ายเข้าไปในหัวใจที่ปิดกั้นนี้ แล้วเช่นนี้คนเป็นจะไปเอาชนะคนตายได้อย่างไรกัน? ความพยายามของมากาเร็ตนั้นถูกชะตากำหนดให้ต้องสูญเปล่า... ทำไมเจ้าถึงมองข้าด้วยสายตาแปลกๆเช่นนี้ล่ะ นี่ข้าพูดอะไรผิดงั้นเหรอ?”

“ป่าว ข้าแค่ตกใจนิดหน่อยน่ะที่คำโบราณว่าไว้มันตรงซะขนาดนี้”

“คำโบราณอันไหนล่ะ?”

“ชายชราผู้ยึดถือพรหมจรรย์(ไอ้แก่ซิง)นั้นจะเอ็นดูอิสตรีทุกผู้ทุกนาง แม้ว่าอิสตรีนางนั้นจะไม่ใช่ของตนก็ตาม จุ๊ จุ๊ มากาเร็ตนั้นเป็นพวกปากร้ายแต่ใจดี ทั้งที่เมื่อสมัยนั้น ตัวเจ้าดีกว่าอดัมในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะทั้งหน้าตา ฝีมือ ความคิดความอ่าน แถมยามเจ้าอยู่ลำพัง เจ้ายังปล่อยรัศมีคนเศร้าที่คอยดึงดูดเด็กสาวบ้านๆซื่อบื้อๆให้มาหลงชอบอีกต่างหาก จนลิซ่า ยัยเด็กโง่นั้นไม่ยอมปล่อยให้เจ้าไปไหนมาไหนคนเดียวอีกเลย แต่ดูเหมือนมากาเร็ตนั้นจะทำใจยอมปล่อยอดัมที่ชอบเที่ยวก่อเรื่องไปทั่วเยี่ยงสุนัขเรียกร้องความสนใจไม่ได้ นางถึงได้ตามล้างตามเช็ดให้เจ้าบ้านั้นมาตลอดครึ่งชีวิตของนาง จนสุดท้าย นางเลยต้องทนทุกข์กับความรักที่ชอกช้ำมากว่าครึ่งชีวิต”

อัศวินศักดิ์สิทธิ์นั้นทำมาหากินได้ด้วยหน้าตา ฉะนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่อัศวินศักดิ์สิทธิ์จะไม่เชี่ยวชาญด้านการหยอดคำหวานน่ะ ถ้าไม่เช่นนั้นอัศวินศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเงินบริจาคจำนวนมากได้อย่างไรล่ะ ส่วนเรื่องภาพลักษณ์คนเศร้านั้น เมื่อสมัยนั้นข้าต้องอุทิศร่างกายและวิญญาณนี้ให้กับการแก้แค้นศัตรูที่แข็งแกร่งเกินกว่าตัวข้า ฉะนั้นย่อมแน่อยู่แล้วที่ตัวข้าจะต้องเศร้าน่ะ

จุ๊ จุ๊ หึหึ”

“นี่เจ้าหัวเราะทุเรศๆแบบนั้นน่ะมันหมายความว่าไงกันห่ะ? นี่ข้าพูดอะไรผิดรึไง?”

“ป่าวไม่มีอะไร ข้าก็แค่ตกใจนิดหน่อยน่ะที่คำโบราณว่าไว้เนี่ย มันตรงจังเลย คำโบราณที่ว่า แม้แต่อิสตรีขึ้นคานก็ยังสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักที่คอยเป็นแม่สื่อแม่ชักให้คู่รักได้นานับคู่น่ะ”

ประกายไฟได้พุ่งออกมาจากดวงตาของพวกเรามากระทบกันตรงกลาง แต่ในท้ายที่สุด ก็แปรเปลี่ยนเป็นเพียงเสียงถอดถอนหายใจสองเสียง เอาเถอะยังไงซะ เรื่องนี้ก็เป็นจุดอ่อนที่สร้างความเสียหายให้กับกระดองใจของพวกเราทั้งคู่นี่นะ

แต่จู่ๆ ดวงตามังกรทั้งสองของเสี่ยวหงส์ก็ทอประกายขึ้น ก่อนที่นางจะเดินเข้ามาสวมกอดข้า แถมยังตั้งใจเอาศีรษะของข้าไปแนบเข้าที่หน้าอกของนางอีก กลิ่นสุราที่คลุ้งออกมาจากตัวนางกับสัมผัสนุ่มๆนี่ทำให้ข้ารู้สึกแปลกนิดๆนะเนี่ย...

“ทำไมพวกเรา คู่ชายหญิงที่เหลืออยู่ถึงไม่มาคู่กันเองซะล่ะ!”

ก้อนภูเขาสีขาวๆได้ค่อยๆกดลงมาบนใบหน้าข้า โชคดีนะ ที่ข้าไม่จำเป็นต้องหายใจแล้ว ไม่เช่นนั้นล่ะก็...

“หรือ... หรือว่านี่จะเป็นคำสารภาพรัก!!!? ครั้งแรกตั้งแต่ข้าเกิดมาเลยนะเนี่ย? ใน... ในที่สุดฤดูใบไม้ผลิของข้าก็มาถึง? หรือว่าชีวิตข้าจะได้สัมผัสกับความรักเป็นครั้งแรกเสียที?”

แต่ก่อนที่สมองอันสับสนอลหม่านของข้าจะทันได้คิดหาคำตอบกลับไป เสียงหัวเราะแสนเย็นชาก็ดังขึ้นที่ข้างหลังข้าเสียก่อน

“หืม พอดี ดิฉันสัมผัสได้นะคะ ว่านายท่านได้เปิดใช้ม่านป้องกัน ดิฉันที่เป็นห่วงว่านายท่านจะไปเจอกับภัยอันตรายที่ไหนเข้า ก็เลยรีบรุกมาหาท่านที่นี่ แต่ที่แท้ ท่านก็มานั่งกินข้าวแล้วม่อสาวไปด้วยนี่เอง หึหึ ความรักระหว่างโครงกระดูกกับจิ้งเหรดยักษ์ ช่างทำให้ดิฉันพูดไม่ออกเลยจริงๆค่ะ บางที ดิฉันน่าจะเอาเรื่องราวความรักครั้งนี้ไปบอกกับทางหนังสือพิมพ์รายวันของนครภูผาหลิวฮวง กับเหล่านักเขียนบทละครนะคะเนี่ย เผื่อชาวเมืองที่น่าเคารพของพวกเราจะได้มีข่าวร้อนมาแรงไว้ให้ได้เม้าท์มอยกัน แถมโรงละครของพวกเราจะได้มีละครรักเรื่องใหม่มาให้ชมกัน”

ถ้าข้ายังเหงื่อออกได้ล่ะก็ ปานนี้ข้าคงเหงื่อออกท่วมตัวไปแล้วล่ะ

ส่วนทางด้านเสี่ยวหงส์ ตอนนี้นางนั้นลงไปกลิ้งหัวเราะอยู่กับพื้นเบื้องล่างเรียบร้อยแล้ว ชัดเจนแล้วล่ะว่า คำสารภาพรักเมื่อครู่นี้เป็นเพียงการจัดฉากที่เสี่ยวหงส์ที่รู้สึกได้ถึงการมาของอิลิซ่าจัดขึ้นเพื่อหาเรื่องซวยให้กับข้า

เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกผิดหวังและความรู้สึกเศร้าเสียใจก็ได้ก่อตัวขึ้นในหัวใจของข้า และด้วยความจริงที่ว่าเมื่อครู่นี้ข้าแอบใจเต้นไปแว๊บนึงเหมือนกัน ก็ยิ่งทำให้ข้าอยากเอาหัวตัวเองไปมุดลงถังเหล้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด แล้วด้วยสายตาเชือดเฉือนของอิลิซ่าที่ทิ่มแทงข้าอยู่นั้นก็ยิ่งทำให้ข้าอยากวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้

“ข้า... ข้า อุลตร้าแมนกำลังสู้กับไคจู(สัตว์ประหลาด)อยู่ ข้าต้องรีบไปช่วยอุลตร้าแมนแล้ว!!”

หลังจากทิ้งทวนคำพูดแสนประหลาดเช่นนี้เอาไว้ ตัวข้าก็รีบพุ่งตัวออกจากห้องแห่งนี้ไป จนพลาดฉากการปะทะคารมระหว่างอิสตรีที่ถูกทิ้งให้อยู่เบื้องหลังทั้งสอง

“ฉัน... นายท่านน่ะเป็นของฉัน...”

คำประกาศก้าวที่อิลิซ่ารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเอ่ยออกไป กลับได้รับเพียงสายตาเวทนาจากอีกฝ่ายกลับมาเท่านั้น

“เจ้านี่ยังน่าสงสารไม่มีเปลี่ยนเลยนะ ครั้งก่อนหมอนั้นก็เห็นเจ้าเป็นเพียงน้องสาว มาครั้งนี้ยิ่งซ้ำร้าย หมอนั้นเห็นเจ้าเป็นเพียงลูกสาวเท่านั้น ข้าขอให้เจ้าโชคดีละกัน ถึงเส้นทางที่เจ้าเลือกเดินจะยาวไกลและแทบเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม”

“ฉันไม่ยอมแพ้หรอกนะ ถึงแม้จะมีท่านเป็นคู่แข่งก็ตาม!” แต่ดูเหมือนอิลิซ่าจะมองความสงสารที่อีกฝ่ายมีให้เป็นความไม่ทุกข์ไม่ร้อนของผู้ที่มั่นใจว่าตนเองนั้นได้ชัยชนะมาอยู่ในมือแล้ว ฉะนั้นคำประกาศคร่านี้ของสาวใช้ครึ่งปิศาจถึงแฝงไว้ด้วยโทสะ

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้สนใจเจ้าโครงกระดูกเฒ่านั้นหรอก ถึงแม้โรแลนด์จะตรงตามรสนิยมความชอบของข้าก็เถอะ แต่ความฝันของข้าก็คือการได้มีลูกมังกรตัวน้อยๆเป็นของตัวเอง แม้ข้าจะยอมรับลูกมังกรสายเลือดผสมได้ก็ตาม แต่เรื่องแค่นี้หมอนั้นยังมอบให้ข้าไม่ได้เลย แล้วอีกอย่างข้าก็ไม่ใช่พวกที่มีรสนิยมชมชอบศพด้วย”

มังกรสาวผู้มีเรือนผมและนัยน์ตาสีดำนิลได้โบกมือส่งสัญญาณให้อิลิซ่าไปได้แล้ว พร้อมกับตัวนางที่หันกลับไปดื่มเหล้าด้วยวิธีที่แม้แต่เหล่าคนแคระยังต้องตกใจ ตอนนี้ศีรษะทั้งศีรษะของเสี่ยวหงส์นั้นได้จมหายเข้าไปในถังเหล้า ซึ่งมีแต่เสียงดัง อึกอึก(เสียงดื่มน้ำ)เท่านั้นที่ยังคงดังขึ้น

และเมื่อครั้งที่อิลิซ่าที่กำลังสับสนกับบทสนทนาเมื่อครู่ ก้าวออกมาจากร้านเหล้า นางก็ได้เห็นข้าที่กำลังยืนอึ้งอยู่ตรงหน้าทางเข้าร้าน

“นี่น่ะเหรอจุดจบของคนที่ชอบพูดอะไรพล่อยๆ? ปากข้า นี่มันช่างปากกา(crow beak) จริงๆ เหเห ที่แท้ที่โลกนี้เองก็มีอุลตร้าแมนปะทะไคจูเหมือนกัน”

ที่เบื้องหน้าของข้าตอนนี้ได้มี หุ่นยนต์ก็อบลินยักษ์ ที่สูง 20 เมตร มีหัว 2 หัว ซึ่งหนึ่งหัวในนั้นเป็นมังกรจักรกลพ่นไฟที่ถูกย้อมด้วยสีแดงตามคำที่ข้าบอก แถมยังติดเขาเสริมเข้าไปด้วยอีกต่างหาก ส่วนแขนทั้งสองข้างของตัวหุ่นนั้นเป็น สว่านอันใหญ่ยักษ์ขนาดมโหฬาร!

ซึ่งตอนนี้ หุ่นยนต์ยักษ์ที่ขนอาวุธมาเต็มอัตราศึกก็กำลังเข้าปะทะกับหน่วยรักษาความสงบ และดูจากรูปการณ์แล้ว หุ่นยนต์ยักษ์ที่ใช้ร่างกายอันใหญ่โตของตนให้เป็นประโยชน์ก็กำลังได้เปรียบหน่วยรักษาความสงบอย่างท่วมท้น

“ท่านจอมปราชญ์โรแลนด์ ความคิดของท่านช่างล้ำเลิศยิ่งนัก ท่านดูสิ นี่แหละผลงานที่ผสมผสานศาสตร์วิศวกรรมของพวกเราชาวก็อบลินและชาวคนแคระเอาไว้ด้วยกัน เพื่อขอบคุณท่านที่ช่วยจุดประกายความคิดนี้ให้กับพวกเรา พวกเราขอตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า โรแลนด์หมายเลข 2!! บทเพลงสรรเสริญความปราดเปรื่องและความคิดอันแสนวิเศษของท่านจะได้รับการขับขานสืบไปชั่วลูกชั่วหลานในหมู่พวกเราชนชาวคนแคระและชนชาวก็อบลิน”

เสียงตระโกนที่ดังผ่านไมค์ของเหล่าก็อบลินและคนแคระนั้นดังก้องไปไกลถึงครึ่งนคร ณ วินาทีนี้ ข้าก็รู้ตัวแล้วล่ะว่า ในวันพรุ่งนี้ ชื่อของข้าต้องไปปรากฏอยู่ในรายชื่อประกาศจับประจำนครภูผาหลิวฮวงอย่างแน่นอน

“เสี่ยวหงส์ ข้าขอถอนคำพูดที่ข้าพึ่งพูดไปเมื่อกี้ ตอนนี้ข้า... ข้าเสียใจ!! ใครจะไปคิดล่ะว่าเจ้าพวกบ้านี่จะเก็บคำพูดข้าไปคิดเป็นจริงเป็นจัง แล้วดันทำออกมาได้จริงแบบนี้น่ะ!!”

ซึ่งในระหว่างที่หุ่นยนต์ยักษ์กำลังทำการต่อสู้นั้น ทั่วทั้งตัวหุ่นก็เกิดการระเบิดเล็กๆขึ้นเป็นหย่อมๆ แต่ในวินาทีต่อมา เหล่าคนแคระและก็อบลินที่กระโดดออกมาจากไหนไม่รู้ ก็เอาประแจมาทุบๆที่ตัวหุ่นซักสองสามครั้ง โรแลนด์หมายเลข 2 ก็พร้อมที่จะออกศึกอีกครั้งแล้ว

ป๊องแก๊ง!” และแล้วหอนาฬิกายักษ์ประจำนครภูผาหลิวฮวงก็หลงเหลือเป็นเพียงเศษเสี้ยวในหน้าประวัติศาสตร์

ตู้ม!!” ห้องกักกันที่พังอยู่แล้วเมื่อกี้ ได้พังไปแบบไม่เหลือซากแล้วตอนนี้

ตู้ม!” “ตู้ม!” “ตู้ม!” หลังจากการระเบิดหลายครั้งซ้อน สำนักงานใหญ่ของหน่วยรักษาความสงบที่พึ่งสร้างเสร็จไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ก็ได้กลับกลายเป็นซากประหลักหักพังอีกครั้งแล้ว...

ดูท่าชื่อข้าจะไม่ได้ไปอยู่ในรายชื่อประกาศจับเฉยๆแล้ว แต่ขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งของรายชื่อเลยต่างหาก

ตัวข้าที่ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ก็หันไปหาอิลิซ่าพร้อมบอกกับนางว่า

“...เจ้าจงไปบอกกับทุกคนที่อยู่ในรายชื่อ ว่าพวกเราจะเก็บกระเป๋าหนีกันไปในคืนนี้ ไม่สิ ข้าหมายถึง พวกเราจะออกเดินทางไปพันธมิตรโลกใต้พิภพกันในคืนนี้!!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด