Chapter 5: ความรับผิดชอบ
เขาตั้งใจจะเปลี่ยนวิธีฝึกอัศวิน, แต่เขาต้องค่อยๆเริ่มไปที่ละขั้น
ในยุคสมัยนี้, พวกเขาไม่มีรูปแบบการฝึกที่เป็นแบบแผนเหมือนกับโลกของเราในสมัยนี้
อันที่จริง, สมัยอยู่โลกเก่านั้นตอนอายุ 18 เขาเคยไปรับใช้ประเทศชาติเป็นเวลาสองปีก่อนที่จะออกมาทำงานเป็นวิศวะกรเครื่องกล เขารู้ถึงกิจวัตรทางการทหารที่สำคัญๆดีกว่าใครทั้งหมด ณ ที่นี้
ในเมื่อท้ายที่สุดนั้นระบบจะมอบรางวัลให้เขาเป็นความรู้เกี่ยวกับการทำปืนใหญ่และดินปืน, มันก็ทำให้อนุมานได้ว่าเขาจะสร้างอาวุธหนักของตัวเองได้ในเร็วๆนี้ ดังนั้น, เขาจำเป็นต้องเพิ่มความยืดหยุ่นและสมรรถภาพทางร่างกายของคนของเขาเตรียมเอาไว้ก่อนเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้อาวุธหนักหรืออุปกรณ์ทางการทหารอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่มีปืนอะไรเลย, แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะละเลยประโยชน์จากเรื่องการฝึก เพราะกิจวัตรประจำวันเหล่านี้จะช่วยพวกทหารในการสร้างความมั่นใจในตัวพวกเขาเอง, ในตัวผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาและในตัวพวกพ้องของพวกเขา
นอกจากนี้มันยังช่วยพัฒนาทักษะการเป็นผู้นำของพวกเขา, พัฒนาความรู้สึกในการเป็นเจ้าของ, ความภาคภูมิใจ, ความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อผู้อื่นๆและแน่นอนว่าร่างกายที่แข็งแรงขึ้น
สิ่งที่เขาต้องการก็คือทหารที่ซื่อสัตย์กับเขา, ประชาชนและอาณาจักร ไม่ใช่คนที่ทำเรื่องต่างๆเพื่อสร้างบุญคุณหรือเงินทอง
เขาสำรวจพวกทหารอย่างจริงจัง, เพื่อทำให้มั่นใจว่าเขาได้สบตากับทุกคน ในขณะนั้นเองเขาก็ปล่อยกลิ่นอายเหมือนกับทหารที่ประสบความสำเร็จออกมา
“พรุ่งนี้เช้าก่อนอาทิตย์ขึ้น, อัศวินทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่ปราสาทชั้นในเพื่อทำการฝึกฝน การมารวมตัวฝึกนี้จะรวมอยู่ในกิจวัตรประจำวันรูปแบบใหม่, เช่นเดียวกับการฝึกฝนดาบตามปกติของพวกเจ้า...คนที่มาสายจะไม่ได้รับอาหารเช้าและอาหารกลางวันในวันนั้นๆ และใครที่มาสายเกิน 3 ครั้งโดยไม่มีเหตุผลที่สมควรจะถูกงดอาหารตลอดทั้งวันและจะได้รับบทลงโทษ...ตอนนี้...พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม!!!!”
อัศวินทุกคนขานตอบในทันที
“เข้าใจแล้วครับฝ่าบาท”
“ยอดเยี่ยมมาก...ต่อไปข้าจะให้พวกเจ้าแบ่งกลุ่มออกเป็นสามกลุ่ม จะแบ่งยังไงก็ได้, แต่ต้องมีกลุ่มละ 100 คน” พอเขาพูดจบ, เขาก็เดินไปหาแม่ของเขากับลูซี่
“ท่านแม่, พวกเราจำเป็นต้องมีอาหารที่เพียงพอสำหรับเลี้ยงอัศวินทุกคน, พวกคนใช้และพวกเราเอง...ตอนนี้พวกเรามีอาหารอยู่เท่าไหร่หรอครับ?”
เขาถาม แม่ของเขาคิดอยู่พักนึงก่อนที่จะตอบออกมา
“พวกเราขนอาหารมาด้วยกันทั้งหมด 3 เกวียนซึ่งประกอบไปด้วยธัญพืชต่างๆ, เกวียนแรกพวกเราขนถั่วมา, เกวียนที่สองเป็นถั่วฝัก, และเกวียนที่สามเป็นข้าวไรย์กับข้าวโอ๊ต นอกจากนี้พวกเรายังขนมาอีกหนึ่งเกวียนเป็นเมล็ดพันธุ์ต่างๆสำหรับทำการเกษตร”
“เยี่ยมเลยครับ...แล้วก็ท่านแม่กับลูซี่...พรุ่งนี้เช้า, ทั้งสองคนช่วยดูแลให้หน่อยได้ไม่ครับว่าทางฝั่งครัวจะเตรียมอาหารเพียงพอสำหรับอัศวินทุกคน? ข้าต้องการให้อาหารทั้งหมดพร้อมส่งที่ลานกวางชั้นในของปราสาทในตอนเช้าตรู่ของทุกวัน”
เขาขอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ถึงยังไงเธอก็เป็นแม่ของเขาไม่ใช่ทหารในกองทัพ, ส่วนลูซี่ก็เป็นคนที่เขาห่วงใยอย่างสุดซึ้ง
ลูซี่มองใบหน้าอันหล่อเหลาของแลนดอนแล้วหน้าแดง
พี่แลนดอนของเราดูเท่ๆขรึมๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?...
ลูซี่ยังคงหน้าแดงต่อไปในขณะที่สังเกตดูแลนดอน
ในอีกด้านนึง, คิมเองก็มองใบหน้าอันหล่อเหลาของลูกชาย เธอยิ้มและคิดในใจ
เจ้าลูกตัวน้อยของข้าเติบโตถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขาช่างน่ารัก, และทำตัวได้เข้มแข็งสมชายมากจริงๆ
จากนั้นเธอก็หยิกแก้มของเขาด้วยความรักแล้วพูดออกมา
“เจ้าหนูน้อยของแม่เติบโตขึ้นแล้วสินะ ได้สิเดี๋ยวแม่จัดการเรื่องนี้ให้เอง ตอนนี้ที่นี่คือบ้านของพวกเราแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะต้องการอะไรก็บอกแม่มาได้เลย”
“พี่แลนดอน, พี่จำเป็นต้องขอร้องข้าด้วยรึไง? ข้ายินดีทำทุกอย่างตามที่พี่ต้องการอยู่แล้ว” ลูซี่พูด
ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกตัวถึงสิ่งที่พึ่งจะพูดออกไป, เธอหน้าแดงก่ำ ซึ่งคิมก็สังเกตุเห็นแล้วอดหัวเราะคิกคักไม่ได้ ทางด้านของแลนดอนนั้นเขายังคงสับสนว่าทำไมแม่ของเขาถึงหัวเราะคิกคักไม่หยุด
“ขอบคุณครับแม่, ขอบใจนะลูซี่”
ในขณะที่มองพวกเธอ, เขาก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ แต่ถึงจะรู้สึกแบบนั้น, เขาก็อดคิดในใจไม่ได้
ทำไมแม่คนนี้ถึงชอบทำกับเราเหมือนเด็กตลอดเลย? ถึงอาจจะดูเหมือนอายุ 15, แต่เราก็โตพอที่จะมีความรับผิดชอบแล้วนะ และนี่แม่ไม่เห็นรึไงว่าตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างการประชุมทหารที่จริงจัง? แม่ดันมาบอกว่าเด็กน้อยของแม่โตขึ้นแล้ว แถมยังมาหยิกแก้มเราในที่สาธารณะอีก....เห้อออ, ยอมใจแม่คนนี้จริงๆ แต่ก็โชคดีนะที่ไม่มีใครเห็นไม่อย่างนั้นบรรยากาศจริงจังที่อุตส่าสร้างขึ้นมาคงกลายเป็นเรื่องขำขันแน่ๆ
พอเขาคุยกับแม่เสร็จ, เขาก็หันกลับมาแล้วเห็นว่าทหารของเขาได้แบ่งเป็นสามกลุ่มใหญ่ๆแล้ว, แต่นี่ไม่ได้นับรวมแม่ทัพลูเซียส เขาเดินตรงมาอยู่ข้างๆแลนดอนด้วยสีหน้าจริงจัง
“เนื่องจากพวกเรามีอัศวินชั้นพันเอกอยู่สามคนในอาณาจักรของพวกเรา, ดังนั้นอัศวินทุกคนจะมีเหล่าพันเอกเป็นหัวหน้าของแต่ละกลุ่ม, และพันเอกจะขึ้นตรงกับแม่ทัพลูเซียส เอาหล่ะต่อไปพันเอกจอร์ช จงก้าวออกมา!”
จอร์ชก้าวออกมาจากฝูงชนแล้วทำความเคารพ
“ครับฝ่าบาท” เขาพูดในขณะที่ยังคุกเข่าอยู่
“เจ้าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มที่หนึ่งและมีหน้าที่ดูแลอัศวินทุกคนในกลุ่ม”
“รับบัญชาครับฝ่าบาท”
จากนั้นจอร์ชก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปอยู่เบื้องหน้าลูเซียส, เขาทำความเคารพและพูดออกมา
“ฝากตัวด้วยครับท่านแม่ทัพ”
จากนั้นเขาก็เดินไปทางกลุ่มที่หนึ่ง ในตอนที่เขามาอยู่ข้างหน้าพวกเขา, อัศวินทุกคนก็ทำความเคารพ
“ฝากตัวด้วยครับท่านพันเอก!!”
จอร์ชยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาและหันหน้าไปทางแลนดอน จากนั้นแลนดอนก็ทำการจัดสรรค์ต่อกับกลุ่มของมาร์คและแกรี่, ซึ่งพวกเขาก็ดำเนินพิธีในรูปแบบเดียวกัน
พอทุกคนดูพึงพอใจกับการแบ่งกลุ่มแล้ว, พวกเขาทุกคนก็หันมาหาแลนดอนแล้วขานตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ฝากตัวด้วยครับฝ่าบาท”
พวกเขารู้สึกจริงๆว่าพวกเขาเป็นคนของที่นี่เมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขาอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีใครเคยให้ความสนใจกับพวกเขามากเหมือนกับที่แลนดอนทำเลย
“นับจากนี้ไปพวกเจ้าทุกคนจงปฏิบัติกับคนอื่นๆเหมือนครอบครัว, เหมือนพี่น้อง พวกเจ้าจะกินอาหารร่วมกัน, ทำงานร่วมกัน, แข็งแกร่งไปด้วยกันและเสริมสร้างอาณาจักรนี้ไปด้วยกัน จะไม่มีอัศวินคนไหนถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง”
ในตอนที่ได้ยินพวกเขาทั้งตกตะลึงและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน ‘จะไม่มีใครถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง’ …นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ฟังวลีเช่นนี้ ในโลกนี้ผู้แข็งแกร่งคือผู้อยู่รอดและผู้อ่อนแอจะต้องดับสิ้นไป นี่เป็นเพียงวิถีที่ควรเป็น แต่เนื่องจากพวกเขาส่วนใหญ่นั้นถูกพิจารณาว่าเป็นพวกอ่อนแอในอาณาจักร, ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับผลกระทบและรู้สึกตื้นตันกับคำพูดของแลนดอนอย่างมาก
“หลังจากนี้พวกเราจะทำการสำรวจดินแดน แม่ทัพลูเซียส, เจ้าคิดว่ายังไง?” แลนดอนถามในขณะที่มองลูเซียส
ลูเซียสตอบในทันที
“เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมากครับฝ่าบาท ข้าขอเสนอให้พวกเราทุกคนออกไปสำรวจ, เพื่อที่พวกเราจะได้รู้ว่าจะปกป้องเบย์มาร์ดยังไง”
“ข้าเองก็คิดอย่างนั้น ยังไงซะ, พวกเราก็จำเป็นต้องเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ให้ดีก่อน และด้วยการอาศัยข้อมูลที่พวกเราออกไปรวบรวม, พวกเราก็จะสามารถจัดสรรหน้าที่และความรับผิดชอบให้กับทุกคนได้อย่างเหมาะสม...สำหรับตอนนี้, พวกเราเตรียมออกสำรวจกันเถอะ”
ในขณะที่เขากำลังจะออกไปกับคนของเขานั้นเอง, ลูเซียสก็หยุดเขาเอาไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าหนูแลนดอน, ยังเจ็บแก้มอยู่รึเปล่า?”