ตอนที่ 28 ให้ข้าได้สอนเจ้าถึงวิธีการทำของเก๊อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
“อุปกรณ์ชั้นเทวะ คทาหย่งเยี่ย เครื่องหมายแห่งพระมหากษัตริย์ของมวลประชาอันเดด ว่ากันไว้ว่าของชิ้นนี้นั้นเป็นสมบัติที่หย่งเยี่ยไว้กับตัวไม่เคยห่าง และยังว่าอีกว่าของชิ้นนี้ได้เก็บซ่อนความลับของความยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิเอาไว้ภายใน แต่จนถึงปัจจุบันนี้ คทาชิ้นนี้ก็ยังไม่เคยปรากฏโฉมมาบนหน้าประวัติศาสตร์เลย” นี่แหละคือคำอธิบายของคทาหย่งเยี่ย ในสารบัญภาพอาวุธเทวะ โดย หอหมื่นมนตรา
ด้วยฐานะที่เป็นจักรพรรดิอันเดดเพียงองค์เดียวในช่วงเวลานั้น การขึ้นสู่อำนาจและการหายตัวไปของลอร์ดหย่งเยี่ยนั้นต่างเป็นปริศนาพอกันทั้งคู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าอันเดดตนนี้ใช้วิธีใดเพิ่มพลังให้กับตน รวมถึงไม่มีผู้ใดคาดคิดได้เลยว่าหย่งเยี่ยจะถูกกำจัดลงในสภาพที่ตนแข็งแกร่งที่สุดเช่นนี้ แต่มีผู้คนมากมายสันนิษฐานว่าที่พลังของหย่งเยี่ยเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้นั้นน่าจะต้องเกี่ยวเนื่องกับอุปกรณ์ชั้นเทวะชิ้นนี้
“อุปกรณ์ชั้นเทวะที่ยังไม่เคยปรากฏโฉมมาบนหน้าประวัติศาสตร์เลยสักครั้งชิ้นนี้ ได้ถูกผู้คนมากมายตั้งคำถามถึงตัวตนของมันว่ามีอยู่จริงรึไม่ (ถ้าผู้ใดสามารถหาหัวของคนที่ปล่อยข่าวลือนี้มาได้ ท่านสามารถนำไปขึ้นเงิน 100 เหรียญทองคำได้ที่สำนักธุรการที่ 7 แห่งจักรวรรดิซีหลัว) แต่มีอยู่หนหนึ่งที่เหล่าราชองครักษ์และผู้ติดตามมากมาย ซึ่งข้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ได้ยินพระองค์ท่านพึมพำคำเหล่านี้ออกมา”
“เจ้าอยากได้พลังและอำนาจของข้างั้นเหรอ? เช่นนั้น ก็จงไปแล้วตามหามันซะสิ สิ่งที่ข้าได้ฝากฝั่งทุกสิ่งอย่างของข้าลงไป – คทาหย่งเยี่ย”
“ความรู้ขององค์จักรพรรดินั้นเป็นดั่งผืนมหาสมุทรที่ยากลึกหยั่งถึงและกว้างใหญ่ไพศาล ในเวลานั้นไม่มีผู้ใดเลยที่คาดคิดถึงโอกาสที่กองทัพหย่งเยี่ยอันเกรียงไกรจะแตกพ่าย แต่พระองค์กลับไม่หลงมัวเมาไปกับความแข็งแกร่งนี้ ไฟวิญญาณในตาของท่านช่วยให้ท่านได้เห็นถึงอนาคต บางทีคำพึมพำที่ราวกับลางบอกเหตุของพระองค์ในครั้งนั้นอาจจะเป็นวิธีที่พระองค์ใช้ถ่ายทอดเจตนารมณ์ที่มีเพื่ออนาคตของจักรวรรดิที่ไร้ซึ่งตัวท่านก็เป็นได้”
“และตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระองค์หายตัวไป (ทั้งนี้ได้มีเหล่าอันเดดชั้นสูงมากมาย รวมถึงตัวข้าเองด้วยที่ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าองค์จักรพรรดิผู้ไร้เทียมทานของพวกเราได้เสด็จสวรรคตไปแล้วในการต่อสู้) ข่าวลือที่ว่า ‘มีเพียงผู้ถือครองคทาหย่งเยี่ยเท่านั้นที่จักสามารถสืบทอดบัลลังก์แห่งจักรพรรดิอันเดดได้’ ก็แพร่กระจายไปดั่งไฟลามทุ่ง จนในที่สุดข่าวลือนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วในหมู่อันเดดทรงสติปัญญา ถ้าเกิดว่ามีใครสักคนถือครองคทานั้นล่ะก็ บางทีจักรวรรดิของพวกเราอาจจะไม่ต้องมาจบลงในสภาพเช่นนี้ก็เป็นได้ องค์จักรพรรดิ ท่านอุตส่าห์ตระเตรียมอนาคตที่ดีที่สุดสำหรับจักรวรรดิอันเดดเอาไว้ แต่แล้ว...”
“เจ้าพวกอันเดดลอร์ดโง่ง่มนั้นก็เพิกเฉยต่อคำสอนของพระองค์ท่าน หลังจากที่พระองค์จากไป พวกมันก็เริ่มชิงดีชิงเด่นกันเอง ในเมื่อพวกมันไม่มีสิทธิ์ในบัลลังก์ พวกมันก็คิดที่จะใช้กำลังฉกฉวยอำนาจ สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิอันเดดองค์ใหม่ จนท้ายที่สุด ความฝันที่จะก่อตั้งจักรวรรดิอันเดดอันยิ่งใหญ่ก็ต้องมลายสิ้นไป กองทัพหย่งเยี่ยอันเกรียงไกรเองก็ฆ่ากันเอง จนหลงเหลือเพียงสมาชิกที่ก่อตั้งจักรวรรดิชีหลัวขึ้นมาเท่านั้น”
“และเนื่องด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ ทำให้ทั้งๆที่ประเทศของเราแบ่งอำนาจการปกครองที่มีเป็น 12 ส่วนตามวุฒิสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดทั้ง 12 แต่ประเทศของพวกเราก็ยังถูกจัดเป็นจักรวรรดิ แม้จะเป็นเช่นนั้นพวกเราก็มิยินยอมให้ใครในหมู่พวกเราไต่เต้าขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์องค์จักรพรรดิที่ว่างเปล่ามากว่าร้อยปี บัลลังก์ซึ่งถูกโชคชะตากำหนดมาให้ว่างเปล่าไปตราบนานเท่านาน จนกว่าผู้ถือครองคทาจะปรากฏตัวขึ้น – ผู้ปกปักษ์รักษาประวัติศาสตร์ วุฒิสมาชิกลำดับที่ 7 แห่งจักรวรรดิซีหลัว มาร์ควิซแมงมุม ราชครักษ์นิรันดร์แห่งองค์จักรพรรดิ ไลออนฮาร์ท”
แค่ก เมื่อครั้งที่ข้าได้เห็น ‘บันทึกประวัติศาสตร์อันเลื่องลือ’ ที่เขียนขึ้นโดยเจ้าหนูไลออนฮาร์ทฉบับนี้ กรามล่างข้าก็แทบจะหล่นตกพื้นไปในทันที ข้าล่ะนึกไม่ออกจริงๆเลยว่า ข้าควรจะออกอาการเช่นไรกับเรื่องนี้ดี แต่ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่แล้วยังเหงื่อออกได้ล่ะก็ เหงื่อเย็นๆ เหงื่อมากมาย เหงื่อน้ำตกคงไหลท่วมและล่ะ โอ้ เจงกิสข่าน ข้าเกรงว่าที่ข้ากล่าวไปทั้งหมดนี้คงจะยังมิเพียงพอที่จะบรรยายความรู้สึกอันสลับซับซ้อนที่ข้ามีได้
แต่ถ้ามองจากมุมหนึ่งล่ะก็ เรื่องล้อเล่นที่ข้าคิดขึ้นตอนกำลังอารมณ์ไม่ดีนั้นประสบผลสำเร็จเสียยิ่งกว่าที่ข้าหวังไว้เสียอีก และในวันนี้เอง เพื่อที่จะทำให้โลกใต้พิภพอันแสนวุ่นวายแห่งนี้วุ่นวายหนักขึ้นไปอีก ข้าก็ได้จัดการตระเตรียมอีกครึ่งที่เหลือของเรื่องล้อเล่นนี้ด้วยความคิดชั่วร้ายเต็มสูบ
คทาหย่งเยี่ย เป็นคทาไม้สีดำยาวประมาณเมตรหนึ่งเห็นจะได้ แม้คทาเล่มนี้จะแลดูคล้ายไม้ แต่ที่จริงกลับอัดแน่นไปด้วยผงกระดูก ใช่แล้ว คทาเล่มถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิเศษโดยใช้ส่วนผสมระหว่างไม้และกระดูก
ซึ่งคทาเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของข้าเอง แม้แต่รูปสลักกุหลาบสีเลือดและของตกแต่งตามคทาก็ล้วนแล้วแต่เป็นของตามความชอบของข้าทั้งสิ้น ถ้าเกิดเหล่าสหายของข้ามาเห็นเข้าล่ะก็คงรู้ได้ในทันทีว่านี่ของใคร แถมตัวคทายังมีคำว่า ‘คทาหย่งเยี่ย’ ที่ข้าได้ใช้มาน่าเหมันต์มรณา ซึ่งเป็นมาน่าเฉพาะตัวของข้าสลักไว้อีกต่างหาก ถ้ามองแต่รูปร่างภายนอกล่ะก็ คทาเล่มนี้ย่อมเป็นของชั้นสูงแบบสุดๆอย่างมิต้องสงสัย แต่เท่านี้น่ะ ยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอนัก
“ปัญหาแรก เราจะต้องมาจัดการเรื่องที่มาที่ไปของของชิ้นนี้ ทรัพย์สมบัติที่ไร้ซึ่งที่มาที่ไปนั้นย่อมก่อให้เกิดความสงสัยขึ้น อดัม เซ็นเอกสารนี่ซะ ใช้ตราประทับวิญญาณของเจ้าในการเซ็นล่ะ”
เมื่อมองดูเอกสาร อดัม ที่กลัวแต่ว่าโลกใบนี้จะยังวุ่นวายไม่พอ ก็หัวเราะคำใหญ่ออกมา ก่อนจะลงมือเซ็นชื่อของตนด้วยความยินดี
“อดัม ฮานต์” ตัวอักษรที่ราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้แต่ไร้ซึ่งความร้อนใดๆ ได้ลุกโชนอย่างเงียบงันบนกระดาษที่อดัมเซ็นไป ตราประทับวิญญาณนั้นมีต้นกำเนิดมาจากดวงวิญญาณที่แตกต่างไปตามปัจเจกบุคคล และสิ่งนี้เองก็เหมือนกับเครื่องแสดงตัวตนของผู้ที่มีระดับชั้นตำนาน ซึ่งไม่มีทางที่ผู้อื่นจะมาลอกเลียนแบบได้
และชื่อที่ข้าสลักลงไปบนคทาเอง ก็เป็นอักษรน้ำแข็งแห่งความตายสีเทาที่คอยส่งสัมผัสแห่งความตายอันเย็นยะเยือกออกมา นี่แหละคือตราประทับวิญญาณของข้าเมื่อครั้งที่ยังเป็นลอร์ดหย่งเยี่ย ซึ่งยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของคทาเล่มนี้เข้าไปอีก
และเอกสารที่ข้าให้อดัมเซ็นไปนั้นคือ เอกสารยืนยันในการส่งมอบอำนาจให้นำคทาเล่มนี้เข้าสู่การประมูล ซึ่งผู้ที่จะมารับหน้าที่นี้ก็คือ โรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดของนครเวลคาสเต็นซ์ นครซึ่งเป็นสถานที่ก่อตั้งพันธมิตรโลกใต้พิภพ
ด้วยหนังสือรับรองฉบับนี้ อย่างน้อยก็รับรองได้ล่ะว่าคทาหย่งเยี่ยนั้นมีที่มาจากมือของผู้กล้า อดัม ฮานต์ และก็เป็นการแสดงให้เห็นด้วยว่าอุปกรณ์ชั้นเทวะชิ้นนี้มีแหล่งที่มาที่ไปที่ชัดเจน ว่าคทาเล่มนี้นั้นเป็นสินสงครามที่อดัมได้มาจากศึกตัดสินกับลอร์ดหย่งเยี่ย แถมตัวอดัมยังใช้ชื่อเสียงที่ตนมีมายืนยันอีกว่าหนังสือรับรองฉบับนี้เป็นของจริงแท้แน่นอน!
เมื่อครั้งที่ข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ทุกคนก็คงตั้งสันนิษฐานว่าเป็นอดัมต่างหากที่เป็นคนเก็บซ้อนคทาหย่งเยี่ยเอาไว้หลังจากที่เอาชนะลอร์ดหย่งเยี่ยได้สำเร็จ เมื่อเป็นเช่นนั้น ต้นตอที่มาที่ไปของคทาหย่งเยี่ยก็จะแลดูสมจริงยิ่งขึ้นด้วยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่มารองรับ
แค่ก สิ่งที่เขียนอยู่บนเอกสารก็เป็นเรื่องจริงแท้ทั้งหมดนี่น๊า อดัมนั้นได้รับคทาไปจากข้าจริงๆนิ จะต่างกันก็แค่รับไปตอนไหนก็เท่านั้นเอง ถ้าเจ้าจะมาเข้าใจอะไรผิดไปล่ะก็ ก็อย่ามาโทษข้าในความเลินเล่อของเจ้าละกัน...
เอาล่ะ หลังจากนี้ก็ ด้วยมือของข้าที่จับอยู่ที่ปลายด้านหนึ่งของคทา ข้าก็จัดการอัดมาน่าที่มีลงไป ในขณะเดียวกัน อดัมที่จับอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของคทา ก็จัดการอัดพลังของตนเข้าไปเช่นกัน จากนั้นพลังทั้งสองสายต่างก็บดขยี้ ผลักใสกัน ก่อนจะหมุนวนเข้าหากัน...
“แกร๊ก”
จนเมื่อครั้งที่เปลวเพลิงและน้ำแข็งเข้าผสมโรงกัน ก็เกิดการระเบิดขึ้นในทันที จนเป็นเหตุให้คทาเกือบจะหักสะบั้นออกจากกัน ซึ่งในตอนนี้ได้มีรอยร้าวปรากฏขึ้นอยู่ทั่วตัวคทา และที่ปลายด้านหนึ่งก็มีรอยเผาไหม้จากเปลวเพลิง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นรอยสีดำเทาซึ่งเกิดจากพลังแห่งความตายและน้ำแข็ง
“เท่านี้ พวกเราก็สร้างร่องรอยความเสียหายจากการต่อสู้ระหว่างลอร์ดหย่งเยี่ยและผู้กล้าดอกบัวแดงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าเกิดมีคนพบสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับคทานี้ล่ะก็ ก็คงหันไปโทษความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้แทนเองแหละ”
แต่ว่านะ เจ้าคทานี่ยังแลดูเป็นของใหม่อยู่เลย ฉะนั้น ข้าจึงจัดการโยนคทาลงพื้น ก่อนจะกระโดดขึ้นไปเหยียบๆกระทืบๆ แล้วดูท่าเจ้าอดัมเองก็อยากจะกระโดดเข้ามาร่วม ‘ช่วย’ เหยียบๆด้วย ข้าก็เลยสนองด้วยการถีบส่งเจ้าบื้อนี่ไปไกลๆด้วยฝ่าเท้าของข้าอย่างปัจจุบันทันด่วน
เจ้าบื้ออันธพาลแรงควายนี่ยิ่งไม่รู้จักประมาณแรงอยู่ ถ้าเกิดปล่อยให้คทาถูกเจ้าบ้าแรงช้างสารเอาไปเล่นล่ะก็ คทาคงหักสะบั้นไปในทันทีแน่ เช่นนี้ สิ่งที่พวกเราเหนื่อยทำมาก็สูญเปล่าน่ะสิ?
“อืม และแล้วรอยแผลแห่งประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกลงในคทานี้เสียที ใช้ได้ๆ” หลังจากที่ได้เห็นคทาที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงและรอยเท้า ข้าก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตอนนี้คทาเล่มนี้มิใช่คทาไม้ใหม่แกะกล่องอีกแล้ว แต่เป็นคทาไม้เก่าแก่ที่เต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลมากมาย เพียงมองแค่แว๊บเดียวก็บอกได้เลยว่า นี่มันโบราณวัตถุชัดๆ
มากาเร็ตที่คิดอะไรอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เปิดปากพูดออกมา
“ไม่ว่านี่จะแลดูเหมือนจริงแค่ไหน แต่ว่า...”
“ใช่แล้ว แค่นี้น่ะยังไม่พอหรอก” ย่อมแน่อยู่แล้ว ที่ข้าจะรับรู้ว่าที่ทำไปนี้ยังไม่พอ นี่น่ะไม่เหมือนการตรวจสอบวัตถุโบราณของโลกเดิมของข้า ที่ผู้ตรวจสอบจะอาศัยเพียงความรู้และประสบการณ์ของตนในการหาจุดด่างพร้อยในวัตถุที่ตรวจสอบ ที่โลกแห่งนี้น่ะ มีสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าและศาสตร์การหยั่งรู้อยู่ ฉะนั้นการที่จะเอาของปลอมไปหลอกผู้อื่นย่อมมิใช่เรื่องง่าย
ถึงจะเป็นเช่นนั้น เรื่องเหล่านี้ก็อยู่ในการคำนวณของข้ามาตั้งแต่ต้นแล้ว อดัมกับข้านั้นต่างเป็นผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองพลังชั้นกึ่งเทวะ ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นสองรองเพียงเหล่าเทพพระเจ้า ศาสตร์การหยั่งรู้ธรรมดาย่อมไม่มีผลกับพวกเรา แต่ก็ยังมีศาสตร์บางแขนงที่ยังคงสร้างความรำคาญให้กับพวกเราได้อยู่
ศาสตร์เทพเจ้าแถลงไขของพวกนักบวชชั้นสูง ศาสตร์ที่จะช่วยให้เหล่านักบวชสามารถถามคำถามเหล่าเทพเจ้าที่พวกตนนับถือได้ ถ้าเกิดเทพเจ้าองค์นั้นว่างอยู่ล่ะก็นะ (แม้แต่นักบวชผู้ที่เทพเจ้าชื่นชอบใช้ศาสตร์นี้ โอกาสที่จะสำเร็จก็ยังต่ำกว่า 1 ใน 100) แล้วถ้าเกิดเหล่าเทพเจ้าตอบคำถามกลับมาล่ะก็ ก็จะตอบกลับมาเป็นคำว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่’ เท่านั้น
ศาสตร์ต่างโลกผู้วิเศษแห่งความจริง ศาสตร์ที่จะอัญเชิญวิญญาณแห่งความจริงจากโลกอื่นออกมา ซึ่งผู้ใช้จะสามารถถามคำถามวิญญาณที่เรียกมาได้ แต่ วิญญาณจะตอบกลับมาเพียงแค่ ‘YES’ หรือ ‘NO’ เท่านั้น
แล้วก็ยังมีศาสตร์ทำนายไพ่ทาโรต์ของพวกแม่มด ที่จะช่วยอ่านเข้าไปในเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ซึ่งคำที่อ่านได้ก็มีแค่ ‘จริง’ หรือ ‘เท็จ’ เท่านั้น...
และจากที่ข้ารู้ ศาสตร์หยั่งรู้ที่เชื่อถือได้แบบสุดๆเหล่านี้นั้นต่างมีปัญหาข้อด้อยที่คล้ายคลึงกันหมด ซึ่งก็คือคำตอบที่ได้กลับมานั้นต้องเป็นคำว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่’ เสมอ แถมบางทีไม่ตอบกลับมาเลยก็มี ยิ่งกว่านั้น ถ้าคำถามที่ถามยิ่งสั้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้คำตอบกลับมาก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น และหลังจากที่ใช้ศาสตร์หยั่งรู้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ผู้ใช้ก็จะไม่สามารถใช้ศาสตร์หยั่งรู้ได้ไปอีกสักพักใหญ่ๆ
ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด แต่เป็นกฎของโลกใบนี้ต่างหาก ยิ่งศาสตร์หยั่งรู้แม่นยำเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใกล้ความจริงของโลกใบนี้มากขึ้นเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ข้อจำกัดที่พ่วงมาก็ต้องมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในขณะเดียวกัน ถ้าเจ้าต้องการอยากจะได้ข้อมูลที่มากขึ้น ก็แปลว่าเจ้าจะยิ่งต้องขยายขอบเขตในการมองหาความจริงมากขึ้นไปด้วย จนอาจจะเป็นการยากขึ้นที่เจ้าจะหาความจริงที่หลบซ่อนอยู่เจอ
และแน่นอนว่า ตัวข้านั้นสามารถเลือกที่จะจ่ายเครื่องสังเวย แบบเดียวกับที่ข้าใช้หลบซ่อนตัวเองบนเส้นด้ายแห่งโชคชะตา เพื่อที่จะทำให้ศาสตร์การหยั่งรู้ใช้ไม่ได้ผลกับคทาหย่งเยี่ย แต่บางครั้ง การที่ไม่มีปัญหาเลยก็อาจจะบ่งชี้ได้ว่านั้นน่ะมีปัญหาเลยนะ ถ้าเกิดศาสตร์หยั่งรู้ใช้ไม่ได้กับคทา ก็เป็นการบ่งบอกแล้วว่าคทาเล่มนี้ต้องมีอะไรผิดปกติอยู่แน่ ฉะนั้นแล้ว ทางเลือกของพวกเราก็มีเพียงหนึ่งเดียว พวกเราจำเป็นจะต้องหลอกให้ศาสตร์การหยั่งรู้เอ่ยข้อสรุปที่ผิดพลาดออกมา
หลอกให้ศาสตร์การหยั่งรู้ที่ถูกต้องแม่นยำ 100 % เอ่ยข้อสรุปที่ผิดพลาดออกมา ฟังดูสุดยอดเลยไหมล่ะ? เหเห แต่ว่าบางครั้งน่ะ เพียงแค่ถูกต้องก็ไม่หมายความว่าจะต้องเป็นจริงเสียหน่อย และเพียงแค่เป็นจริงก็หมายความว่าจะต้องถูกต้องเสียหน่อย...
ในเมื่อศาสตร์เหล่านี้เอ่ยคำตอบได้แค่ ‘ใช่’ กับ ‘ไม่’ เท่านั้น ซึ่งเป็นคำตอบสองมิติที่ไร้ซึ่งรายละเอียดตื้นลึกหนาบางใดๆ เช่นนั้น พวกเราก็สามารถเล่นตุกติกกันได้อีกมากนัก
ข้าขอตีกรอบคำถามลงมาให้เหลือเพียงแค่ 3 คำถามที่คนเค้าน่าจะถามกันนะ คำถามแรก และก็เป็นคำถามหลักที่คนเค้าจะถามกัน คทาหย่งเยี่ยเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือลอร์ดหย่งเยี่ยใช่ไหม... สำหรับคำถามข้อนี้พวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องเล่นตุกติกอะไรทั้งนั้น เพราะคทาเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือลอร์ดหย่งเยี่ยจริงๆ
ต่อไป คำถามที่มีความเป็นไปได้ว่าจะโดนถามมากที่สุดลำดับสอง ‘ความลับของลอร์ดหย่งเยี่ยได้ซ้อนอยู่ในคทาเล่มนี้ใช่ไหม’
แม้คำถามนี้จะแลฟังดูธรรมดา แต่คำตอบของคำถามแสนธรรมดานี่ก็สำคัญยิ่ง ถ้าเกิดคทานี้ไม่มีความลับอะไรอยู่ภายใน แม้ตัวคทาจะเป็นของจริง ก็ไม่ต่างไปจากของปลอมนักหรอก ข้ามั่นใจเลยล่ะว่าคำถามนี้ต้องถูกยกมาถามเป็นคำถามแรก และจะถูกถามซ้ำอีกหลายๆครั้งด้วย
ฉะนั้นแล้ว ข้าก็เลยทำการยัดกระดาษโน้ตที่เขียนคำว่า ‘ความลับ’ ลงไปในคทา...
ก็นะ ข้ารู้ว่านี่มันออกจะแลดูงี่เง่าไปนิด แต่วิธีนี้น่ะใช้ได้ผลแน่นอน เพราะจะอย่างไรซะ เจ้าพวกศาสตร์การหยั่งรู้ไร้สมองนั้นก็ตอบกลับมาว่า ‘YES!’ ‘ใช่’ ‘จริง’ อย่างแน่นอน
คำถามที่สาม ‘ในคทาเล่มนี้มีความลับที่จะช่วยให้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิซีหลัวอยู่ใช่ไหม / คทาเล่มนี้มีประโยชน์ในการใช้ต่อกรกับพวกอันเดดลอร์ดรึไม่?’
คำถามที่ถามว่าอุปกรณ์ชั้นเทวะชิ้นนี้จะมีส่วนช่วยในการปกครองจักรวรรดิซีหลัวไหมนั้น... เพื่อตอบคำถามข้อนี้ ข้าก็เลยจัดการเขียนความลับเล็กๆน้อยๆของเจ้าพวกอันเดดลอร์ดลงไป แถมด้วยเรื่องน่าอายนานาประการเข้าไปอีกนิดหน่อย อาทิเช่น ราชินีมังกรกระดูก กรีอา นางนั้นร้องเพลงได้ห่วยแตกสุดๆ แถมยังชอบกรนเวลานอนอีกต่างหาก ถ้าเจ้าเอาความลับเหล่านี้ไปข่มขู่พวกอันเดดลอร์ดล่ะก็ พวกมันต้องยอมสยบแก่เจ้าแน่ ซึ่งนี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในการชิงอำนาจจากจักรวรรดิซีหลัว และแน่นอนว่า เจ้าจำเป็นจะต้องรอดจากการโดยพวกอันเดดลอร์ดฆ่าปิดปากให้ได้ซะก่อนนะ...
เอาความจริงเลยนะ จากที่ข้ารู้จักพวกมัน(อันเดดลอร์ด)มา ถ้าคิดจะให้เจ้าพวกปิศาจเฒ่านั้นยอมสยบล่ะก็ ข้าว่าเจ้าเดินทางไปจักรวรรดิของพวกมนุษย์ แล้วบอกองค์ราชาของประเทศนั้นว่าเจ้าอยากเป็นกษัตริย์ ให้ส่งบัลลังก์มาซะ ข้าว่าโอกาสสำเร็จยังมากกว่าด้วยซ้ำ...
คำถามที่สี่ ‘คทานี้มีความลับที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่ง/พลังอันมากล้นของลอร์ดหย่งเยี่ยรึเปล่า’
แค่ก ‘ขยันหมั่นเพียรตั้งใจเรียนทุกวัน ตั้งเป้าหมายให้สูงเข้าไว้ ขยันตบมอนส์ลูกกระจ๊อกให้มาก และตั้งใจเพิ่มระดับ(เลเวล)สุดตัว’ นี่แหละเคล็ดลับของความแข็งแกร่งของลอร์ดหย่งเยี่ย ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ทางเรายินดีเชิญเจ้ามาปรับทัศนคติ...
เอาล่ะ ตอนนี้ข้าได้เตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว ในวันที่โรงประมูลได้รับคทาไป ชื่อเสียงความสำคัญของคทาหย่งเยี่ยเล่มจริงจะต้องแพร่สะพัดไปทั่วทุกมุมโลกใต้พิภพ ความสนใจของขุมกำลังทุกฝ่ายจะมารวมกันที่คทาเล่มนี้ แม้มันผู้นั้นจะไม่สามารถใช้คทานี้ได้ก็ตาม... ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น บนพื้นทวีปต้องส่งคนลงมาที่นี่แน่นอน อย่างน้อยๆ เจ้าพวกวุฒิสมาชิกแห่งจักรวรรดิอันเดดซีหลัวต้องอยู่ไม่สุขกันหมดแน่... แล้วถ้าเกิดจักรวรรดิอันเดดกับเหล่าเจ้านครโลกใต้พิภพเปิดศึกกันอย่างกะทันหันล่ะก็ บางทีพวกเราอาจจะหลีกเลี่ยงภัยพิบัติครั้งที่ 2 ไปทั้งๆแบบนี้เลยก็ได้
ก็ได้ ข้ายอมรับ ว่าข้ามองโลกในแง่ดีเกินไปแต่แค่คิดก็ไม่ได้เสียหายอะไรนิ
“เช่นนี้ ก้าวแรกในการก่อความวุ่นวายบนโลกใต้พิภพก็สำเร็จลุล่วงแล้ว...”
เมื่อข้าก้มดูคทาหย่งเยี่ย ข้าก็ยังไม่รู้สึกพอใจเท่าไรนัก ถึงข้าจะไม่คิดว่าคนอื่นจะบอกได้ว่าคทานี้เป็นของปลอมก็เถอะ แต่สำหรับเหล่ายอดฝีมือชั้นครูแล้ว บางทีสิ่งที่ไร้เหตุผลอย่างสัญชาตญาณก็เชื่อถือได้เสียยิ่งกว่าความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาเสียอีก เช่นนี้ย่อมแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหลอกบุคคลเหล่านี้ได้
ฉะนั้น หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ข้าก็เอ่ยปากพูดกับอดัม
“ในเมื่อ โทษของข้าได้สิ้นสุดลงและจะได้รับการปล่อยตัวแล้ว เช่นนี้ ก็จงคืนดาบศักดิ์สิทธิ์โรแลนด์ให้กับข้าซะ”
“เอ้านี่” ไม่มีคำพูดอื่นใดอีกหลังจากนั้น อดัมในชุดสีแดงฉานก็ทำการถอดสิ่งเดียวที่มีสีต่างไปจากเครื่องแต่งกายอื่นที่เหลือ ดาบหักสีเงินที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมา ก่อนจะส่งมาให้กับข้า
มากาเร็ตที่อยู่ด้านข้างนั้นได้ชะงักไปครู่หนึ่ง นางนั้นทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีถ้อยคำใดๆออกมา
“อ๊ายโย่ ไงจ๊ะฮอร์ครักซ์ของข้า พวกเราไม่เจอกันนานเลยนะจ๊ะ”
ใช่แล้ว ดาบหักเล่มนี้แหละคือที่ที่วิญญาณของข้าสถิตอยู่ ตราบใดที่ฮอร์ครักซ์ยังไม่ถูกทำลาย ลิชก็ไม่มีวันตาย ซึ่งฮอร์ครักซ์จะอยู่ในรูปร่างใดก็ได้ แม้แต่หนังสือหรือหมวกก็ยังได้
ตามคู่มือลับที่ได้มาจากกาชาปองของระบบ ลุงทอมที่เป็นคนของโลกอื่นนั้นได้ทำการแบ่งวิญญาณตัวเองออกเป็น 7 ส่วน แล้วนำไปใช้สร้างฮอร์ครักซ์ขึ้นมา 7 ชิ้น...
ที่จริง ข้าก็อยากบอกหรอกนะว่าวิธีนี้ทำให้ตัวเจ้าตายยากก็จริง แต่การที่แบ่งวิญญาณตัวเองออกเป็นส่วนๆมากขนาดนั้นน่ะ นี่สหายผู้นี้ไม่กลัวกลายเป็นคนบ้าที่มีบุคลิกแปรปรวนบ้างเลยเหรอ... เอาเถอะบางที ลุงทอมแกอาจจะเป็นบ้ามาตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้
และแน่นอนว่าฮอร์ครักซ์ของตัวนักโทษต้องถูกเก็บอยู่ในมือผู้คุม อดัมนั้นมักจะพกพาฮอร์ครักซ์ของข้าติดตัวไปด้วยเสมอ ไม่ว่าเจ้าตัวจะไปที่แห่งใดก็ตาม แต่เอาเถอะ ก็ยังดีที่เจ้าเด็กเกเรตัวพ่อนี่ยังพอฉลาดอยู่บ้าง เพราะอย่างน้อยเจ้าหมอนี่ก็ยังไม่โง่พอที่คิดจะใช้ฮอร์ครักซ์ของข้ามาข่มขู่บังคับให้ข้าทำตามที่ตนต้องการ...
เมื่อแตะไปที่ดาบที่หักสะบั้นเล่มนี้ ตัวข้าก็รู้สึกอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมา ในอดีต เมื่อครั้งที่ข้าใช้สมบัติประจำตระกูลชิ้นนี้มาทำเป็นฮอร์ครักซ์ ก็เพราะว่าข้านั้นได้ใช้ชื่อร่วมกับดาบศักดิ์สิทธิ์โรแลนด์เล่มนี้ ดาบที่ได้รับการขนานนามว่า ‘ดาบที่ไม่มีวันพังทลาย’ ดาบที่สืบทอดต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นนับพันปีโดยไร้ซึ่งริ้วรอยขีดข่วนเลยแม้สักรอยเดียว แต่ตอนนี้ ภายใต้กระแสแห่งโชคชะตา ประเทศของพวกเราก็ได้เดินทางมาถึงกาลอวสาน และดาบที่ไม่มีวันพังทลายก็ได้พังทลายลงในที่สุด
ในตอนนั้นเอง ด้วยฮอร์ครักซ์ที่กลับมาอยู่ในมือข้าอีกครั้ง พลังเวทสีเทารอบตัวข้าก็ค่อยๆแผ่ขยายออกไป ตัวข้าที่ไม่ต้องทนทุกข์จากการโดนสะกดอีก ก็ได้พลังกลับคืนมาบางส่วน
“ระดับเริ่มต้นของชั้นตำนาน? ถ้าได้เช่นนี้ อะไรๆก็ง่ายขึ้นเยอะ”
ข้าที่เอามือไปลูบไล้ปลายที่หักสะบั้นของดาบข้า ก่อนที่จะทำการสะกิดเศษโลหะออกจากตัวดาบอย่างง่ายดาย รอบๆเศษโลหะที่สะกิดออกมานั้น ได้มีเสียงเต้นของชีพจรจากดวงวิญญาณอยู่
หลังจากนั้น ก็เหมือนดั่งเวลาที่คนเค้าโรยเมล็ดงาลงบนแผ่นขนมปังบิสกิต ข้าเองก็โรยเศษโลหะเหล่านี้ลงบน ‘คทาหย่งเยี่ย’ พร้อมกับลูบเบาๆไปที่ตัวคทา ทันใดนั้นก็ได้มีแสงสว่างสว่างว๊าบขึ้น พอแสงสว่างจางหายไป อัญมณีมากมายที่เปล่งประกายเจิดจรัสดุจดวงดาวยามราตรีก็ปรากฏขึ้นบนตัวคทา
เหล่าอัญมณีต่างทอประกายแสงสีเงินเงาเจิดจ้า ราวกับแสงดาวที่ทอแสงเข้าหากันจากมณีนึงสู่มณีนึง บ้างก็ทอแสงตัดกันเอง แล้วถ้าเจ้าเดินเข้ามาดูใกล้ๆล่ะก็ เจ้าก็จะเห็นว่าแสงจากมณีแต่ละมณีนั้นต่างมีจังหวะทอแสงเป็นของตน ราวกับว่ามณีเหล่านี้มีชีวิตเป็นของตน หลังจากที่ข้าลงมือฝังเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของข้าลงไปบนไม้คทา คทาหย่งเยี่ยเล่มนี้ก็ได้รับวิญญาณเป็นของตน แล้วกลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมา
แต่คทานี่นั้น ต่างไปจากดาบหักที่คอยเป็นที่สถิตของดวงวิญญาณข้า มันผู้ใดที่ถือครองคทานี้ จักต้องได้ยินสุ้มเสียงของวิญญาณข้า จนความคิดความอ่านของมันผู้นั้นได้รับอิทธิพลจากข้าไปในที่สุด และหลังจากที่ดวงวิญญาณทั้งสองเกี่ยวพันธ์กันไปนานๆ ดวงวิญญาณของมันก็จักแปดเปื้อนไปด้วยวิญญาณของข้า จนต้องตกต่ำกลับกลายเป็นทาสข้าในที่สุด... นี่ข้าดูแปลกๆไปนะ นี่ข้าไม่ได้เป็นจอมมารมาตั้งนานแล้วนิ! เอาเถอะ ดูท่านิสัยเก่าของข้าจะเผลอกำเริบออกมาน่ะ...
อดัมที่เห็นภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แม้หมอนี่จะไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าทำไปเมื่อครู่ แต่สัญชาตญาณของหมอนี่ก็ได้เตือนว่าตอนนี้คทาหย่งเยี่ยได้กลายเป็นของที่อันตรายแบบสุดๆไปแล้ว ราวกับว่ามีอะไรที่ชวนสยองหลบอยู่ในนั้น
ตัวมากาเร็ตเองก็จ้องมาที่ข้าอย่างวาวโรจน์ นางคงพอจะรู้ได้คร่าวๆ ว่าข้าได้ทำอะไรลงไป นางถึงได้ใช้สายตาส่งความไม่พอใจที่มีมาเช่นนี้ แต่ความไม่พอใจของนางก็ถูกข้าเมินอีกตามเคย
“ก็นะ ดูท่านิสัยเก่าข้าจะกำเริบอีกแล้วน่ะ ข้าถึงทำเกินไปหน่อย แต่ว่ามันต้องระดับนี้เป็นอย่างน้อย เจ้าพวกจ้าวแห่งโลกใต้พิภพ อันเดดลอร์ด และเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายถึงจะต้องการคทาเล่มนี้ แล้วยอมสมัครใจโดดเข้ามาในมรสุมครั้งนี้ด้วยตัวเอง”
จากนั้น ข้าก็จัดการอ้าปากตัวเอง ก่อนจะกลืนดาบหักเข้าไปทั้งเล่ม แต่แทนที่ดาบหักที่เข้าไปในตัวข้าจะหล่นออกมาจากร่างข้าที่มีแต่กระดูกนี้ ดาบหักเล่มนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยใดๆแทน
ข้าได้ทำการเคลื่อนย้ายดาบหักไปไว้ในที่ปลอดภัยแล้วตอนนี้ เช่นนี้ก็เท่ากับว่าข้าได้รับการปล่อยตัวจากโทษคุมขังแล้วจริงๆ
“ว่ากันว่าการจะเดินทางที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ของพันธมิตรโลกใต้พิภพที่นครเวลคาสเต็นซ์ต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เช่นนั้น พวกเราก็ต้องเตรียมการกันล่วงหน้า ครั้งนี้ให้แอนนี่เป็นคนนำคณะทูตไปซะ นี่ก็ถึงเวลาที่นางต้องลองเดินด้วยลำแข้งตัวเองแล้ว เพราะจะอย่างไรซะ พวกเจ้าทั้งคู่ก็ไม่สามารถอยู่เป็นที่พักพิงคอยกันพายุให้นางไปได้ทั้งชีวิตหรอก แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป ครั้งนี้ ข้าจะตามไปด้วย ไว้ข้าจะคอยปกป้องนางจากเงามืดให้เอง”
หลังจากพูดธุระที่มีเสร็จ ข้าก็หันหลังกลับเตรียมตัวจะจากไป
“ไปเวลคาสเต็นซ์ต้องใช้เวลา 2 เดือนงั้นเหรอคะ? ไม่ใช่แล้วล่ะค่ะ นายท่าน ที่ท่านว่ามามันเก่าไปแล้ว ตอนนี้มีอีก 3 วิธีที่รวดเร็วทันใจกว่านั้นมากเลยล่ะค่ะ”
ข้าได้หันไปจ้องสาวใช้ที่แลดูกระตือรือร้นแปลกๆด้านหลังข้า
“ถึงข้าจะไม่ค่อยหวังก็เถอะ ลองพูดเรื่องที่เจ้ารู้มาสิ”
“เดินทางด้วยรถม้าธรรมดานั้นอาจต้องใช้เกือบ 3 เดือนกว่านายท่านจะถึงที่หมาย แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกล ทำให้ตอนนี้พวกเรามีวิธีเดินทางที่สะดวกและรวดเร็วกว่านั้นมากค่ะ วิธีแรกใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเองค่ะ ด้วยเครื่องฝ่ามิติคนแคระ...”
“...มันก็เครื่องย้ายมวลสารของพวกคนแคระที่ชอบฆ่าตัวตายไม่ใช่รึไงกัน? ช่างเถอะ ข้ายังไม่อยากไปติดแหง็กอยู่ที่มิติอื่น แต่ถ้าเจ้าอยากไปพักร้อนที่มิติอื่น หรืออยากไปเป็นฮองเฮาของวังต้องห้ามสักที่ล่ะก็ ก็เชิญเจ้าไปคนเดียวเลยนะ!”
“วิธีที่สองใช้เวลาเพียง 3 วันเท่านั้นค่ะ รถจรวดของเหล่าก็อบลิน...”
“ผิดแล้วล่ะ วิธีนี้ให้เวลาเพียงแค่ 1 วินาทีเท่านั้น หลังจากวินาทีแรกผ่านไปข้าก็คงโดนระเบิดเป่าส่งขึ้นสวรรค์ไปแล้วล่ะ เฮ้อ ช่างเถอะ ข้าพอจะเดาออกแล้วล่ะว่าวิธีสุดท้ายคืออะไร เพราะฉะนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว”
แต่หัวหน้าสาวใช้ผู้นี้กลับดันแว่นของเธอขึ้น ก่อนจะแอบหัวเราะอย่างมีเลศนัยภายใต้ใบหน้าไร้อันอารมณ์นั้น พร้อมกันนั้นเธอก็เดินตามหลังนายท่านของเธอไป และเริ่มพูดสิ่งที่เธอพูดค้างไว้เมื่อครู่
“ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยจรวดก็อบลินนี้ ขึ้นแล้วก็ลงแบบตรงๆ แสนสะดวกและรวดเร็ว...”
“นี่มันต่างกับอันที่เจ้าพูดไปเมื่อครู่ตรงไหนกันล่ะห่ะ? อ่อ ต่างกันที่อันนึงมีล้ออีกอันไม่มีล้อใช่ไหม? นี่เจ้าน่ะอยากจะฆ่าข้าชิงสมบัติขนาดไหนกันล่ะเนี่ย? ข้าอุตส่าห์คิดว่าข้าดีต่อเจ้าพอสมควรเลยนะ”
ฉากการจากไปของคู่หูนายบ่าวที่เชื่อถือไม่ค่อยได้เท่าไหร่คู่นี้ ได้ทิ้งให้สองยอดฝีมือชั้นกึ่งเทวะตกอยู่ในห้วงความคิด
“แอนนี่งั้นเหรอ? บางทีที่โรแลนด์พูดมาอาจจะไม่ผิดก็ได้ นี่ก็ถึงเวลาให้นางได้ลองยืนด้วยขาตัวเองแล้ว ไงซะ ตอนที่พวกเราอายุเท่านาง พวกเราก็ออกผจญภัยกับเพื่อนร่วมปาร์ตี้ท่องโลกไปไหนต่อไหนแล้ว”
“ข้ารู้ว่าแอนนี่ควรจะออกไปหาประสบการณ์เสียบ้าง แต่เจ้าไม่กลัวว่านี่จะเป็นการปล่อยหายนะออกสู่โลกภายนอกบ้างเหรอ ที่เจ้ายอมปล่อยโรแลนด์ไปเช่นนี้น่ะ?”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความคิดสงสัยของนักบุญ ผู้กล้าอดัมก็เลือกที่จะหัวเราะกลับไป
“เจ้าอาจจะไม่เชื่อข้าก็ได้ ถ้าข้าพูดเรื่องนี้ออกไป แต่ลางสังหรณ์ของข้าได้บอกข้าว่าโลกใบนี้น่ะจะพบจุดจบได้ทุกเวลา และปัจจัยที่ไม่แน่ชัดเพียงหนึ่งเดียวก็คือเจ้าลิชตนนี้ เจ้าจะเชื่อที่ข้าพูดไหมล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของมากาเร็ตก็บูดบึ้งด้วยความไม่ชอบใจในทันที จากนั้น ด้วยคิ้วทั้งสองของเธอที่ยกขึ้น ใบหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าดูหมิ่นแทน
“เจ้านี่เชื่อหมอนั้นจังนะ ข้าน่ะ...”
เธอนั้นต้องการจะพูดคำดูหมิ่นบางอย่างออกมา แต่ด้วยสายตาอันซื่อตรงที่อดัมใช้มองเธอ เธอก็พบว่าตัวเองไม่สามารถพูดคำโกหกใดๆออกมาได้ จนสุดท้าย เธอจึงได้แต่กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
“อย่ามองข้าเช่นนั้นสิ เจ้าท่อนไม้ตายด้านนี่ ข้าเชื่อที่เจ้าพูด พอใจรึยัง ถึงหมอนั้นจะบ้าแต่หมอนั้นก็เจ้าเล่ห์พอกัน ถ้าหมอนั้นยังทำไม่ได้ ก็ไม่มีใครบนโลกนี้ทำได้แล้วล่ะ!”