ตอนที่ 26 เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสงสาร
“เมื่อ 15 ปีก่อน เมื่อครั้งที่ข้ายังพยายามศึกษาร่ำเรียนอยู่ที่สถาบันนักรบมาตรฐาน ตัวข้านั้นเป็นความภาคภูมิใจของทั้งพ่อแม่และครูบาอาจารย์ ข้าเป็นหนึ่งในเด็กที่ชาวบ้านชอบมองว่า ’ทำไมเด็กบ้านอื่นถึงได้เก่งกันจัง’”
“เมื่อครั้งที่ข้าอายุย่างเข้า 10 ขวบปี ข้าก็สามารถเรียนรู้วิชาการต่อสู้ขั้นพื้นฐานได้กว่า 10 แขนง พร้อมทั้งขึ้นสู่ระดับชั้นเหล็กไหล ตัวข้าเป็นความภาคภูมิใจของสถาบัน ชายผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้กล้าในอนาคต ข้ามักถูกห้อมล้อมด้วยรุ่นน้องสาวๆน่ารักๆอยู่เสมอ แล้วเมื่อใดที่ข้าเดินไปรอบๆสถาบัน ข้าก็มัก ‘เผลอ’ แสดงอัจฉริยภาพของตัวข้าออกมาอยู่ตลอด...”
“‘อัจฉริยะจากห้อง B งั้นเหรอ? จะมาเทียบเคียงกับเฮียคนนี้ที่พึ่งสำเร็จวิชาโจมตีโต้กลับแบบต่อเนื่องเนี่ยนะ? ถ้าอัจฉริยะคนที่เจ้าว่าพยายามอีกซัก 10 ปี ก็คงได้สักครึ่งหนึ่งของข้าซะละมั้ง’ ข้าที่คอยเอาแต่พูดจาเสียๆหายๆต่อพวกบื้อที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ เฝ้ายินดีไปกับสายตาเลื่อมใสคำชมต่างๆนานาจากเหล่ารุ่นน้องสาวๆน่ารักๆ ข้าคอยแต่คิดว่าช่วงเวลาเช่นนี้จะคงอยู่ไปอีกนานเท่านาน แล้วเมื่อครั้งที่ข้าโตขึ้น ข้าก็คงขึ้นเป็นผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่ แต่งงานกับผู้หญิงร่ำรวยสักคน แต่แล้ววันนั้นก็มาถึง...”
“‘พรสวรรค์ในศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์? หมายแจ้งถึงการเข้าเรียนที่สถาบันแสงศักดิ์สิทธิ์?’ นี่ข้าจะเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงศักดิ์ได้งั้นเหรอ ข้าจะไป ข้าจะไป”
ตัวข้าในสมัยนั้นได้เฝ้าฝันว่าสักวันหนึ่งจะขึ้นเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ในชุดเกราะทองคำเปล่งประกายอยู่เสมอ เช่นนั้นตอนที่ข้าได้รับหมายแจ้ง ข้าจึงปิติยินดีเป็นที่สุด จนขนาดที่ข้ายังเผลอมองข้ามสายตาอันเป็นกังวลที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพ่อกับแม่ไปซะสนิท
“อัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงศักดิ์งั้นเหรอ? นี่แลดูจะเป็นอนาคตอันรุ่งโรจน์ แต่ที่จริงนี่กลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้าย...”
“จบการศึกษาเท่ากับการว่างงานเนี่ยนะ? จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ข้าเป็นถึงอัศวินอัจฉริยะในสถาบันแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สิบปีจะมีซักคนเลยนะ!! ดู ดูที่แสงศักดิ์สิทธิ์ของข้าซะสิ!! เอ้า ดูที่ทักษะการบุกอย่างสูงศักดิ์ของข้าซะสิ!!”
“ข้าต้องขออภัย แต่พวกเราทุกคนต่างก็เป็นศิษยานุศิษย์ผู้ยึดมั่นในแสงศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่พวกเราต้องการนั้นคือผู้มีความสามารถที่จะช่วยเผยแพร่หลักธรรมคำสอนของพวกเราให้แพร่สะพัดออกไป มิใช่นักรบป่าเถื่อนที่รู้จักแต่เพียงการรบราฆ่าฟัน อีกอย่างหน่วยของเราก็ควรจะมีสมาชิกเพียง 12 คนเท่านั้นแต่ ณ ตอนนี้พวกเรากลับมีสมาชิกหน่วยถึง 24 คน แถมทุกคนเองก็จบจากสถาบันแสงศักดิ์สิทธิ์กันทั้งนั้น ถ้าว่ากันตามหลักล่ะก็ ทุกคนนั้นถือเป็นศิษย์พี่ของเจ้า เช่นนี้ ทำไมเหล่าศิษพี่ทั้งหลายถึงต้องยอมเสียสละหน้าที่การงานของตนให้กับเจ้าด้วยเล่า?”
“ข้า... ถ้างั้นข้าก็จะไปเป็นนักผจญภัย”
“ข้าต้องขออภัย แต่ด้วยฐานะที่พวกเราเป็นผู้ยึดถืออาชีพเกี่ยวกับแสงศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นเพื่อเป็นการทดแทนพระคุณในความกรุณาของแสงศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจึงต้องใช้แรงกายของเจ้าทดแทนบุญคุณที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ชุบเลี้ยงเจ้ามา ซึ่งตอนนี้ทางโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ 7 กำลังขาดอาสาสมัครช่วยทำความสะอาดแท่นบูชาและสุขาอยู่พอดีเลย... แต่ว่านะอาสาสมัครจะไม่ได้รับค่าแรงหรอกนะ เจ้าอย่าพึ่งร้อนรนไป สักวันแสงศักดิ์สิทธิ์จะต้องตอบแทนในความเหนื่อยยากของเจ้าแน่นอน และอย่าเป็นกังวลไป เจ้าไม่ต้องทำงานอาสานี่นานนักหรอก 3 ปีน่ะผ่านไปเร็วจะตาย”
ข้ายังคงจดจำสายตาและคำพูดของนักบวชชราในวันนั้นได้อยู่เลย “พ่อหนู เจ้ามาใหม่เหรอ? ตาเฒ่าคนนี้เองก็เคยถูกใช้ให้ทำงานที่นี่ตั้ง 20 ปี ข้านั้นทั้งอดทนทั้งกล่ำกลืนจนผมบนหัวข้าเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนหมดหัวก่อน ข้าถึงจะเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่การงานได้ ขอให้เจ้าสนุกกับงานล่ะ ไอ้เด็กขี้มูกโป่ง”
“ข้า...ข้าจะไปเป็นนักผจญภัย เรื่องแค่นี้คงอนุมัติให้ได้ใช่มั้ย!!”
แน่นอนว่าคำขอข้าได้รับการอนุมัติ แต่ข้าไม่นึกไม่ฝันเลยว่านี่ต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่แท้จริง...
3 ปีต่อมา ในที่สุดข้าก็ได้เป็นนักผจญภัยเสียที ทำไมถึงเป็น 3 ปีต่อมางั้นเหรอ? ถ้าตัวเจ้ายังไม่อยากถูกโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ตามไล่ล่าล่ะก็ เจ้าจะหนีจากงานอาสา 3 ปีได้อย่างไรกัน...
เอาล่ะ ตัวข้าที่เห็นเหล่ารุ่นน้องทั้งหลายกลายเป็นนักผจญภัยมากประสบการณ์หรือสมาชิกหลักของหน่วยนักผจญภัย ก็ได้แต่ถอดถอนหายใจออกมา แต่ข้าก็ไม่ได้รู้สึกท้อแท้แต่อย่างใดเพราะข้านั้นมั่นใจในฝีมือระดับชั้นเงินของข้า อีกไม่นานข้าต้องขึ้นเป็นดาวเด่นได้แน่
แต่เพียงไม่นาน ความเป็นจริงอันโหดร้ายก็ฟาดลงกลางกบาลข้าดั่งท่อนเหล็ก
“เจ้าไม่ต้องการ? ทำไมกันเล่า ด้วยฐานะที่ข้าเป็นถึงอัศวินศักดิ์สิทธิ์ชั้นเงิน ข้ายังอุตส่าห์ยอมยินดีเข้าร่วมกับหน่วยที่มีแต่ชั้นสำริดของพวกเจ้าเลย เจ้าก็น่าจะดีใจสิ หรือเพราะว่า...เพราะว่าข้าเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์อีกแล้วงั้นเหรอ”
นักผจญภัยอาชีพโจรที่ยืนอยู่ตรงข้ามข้าได้พยักหน้าของมันลง
“ก็อัศวินศักดิ์สิทธิ์น่ะชอบพร่ำบ่นเรื่องไร้สาระอยู่ได้ แถมยังชอบเคร่งครัดในคำสอนอีก เจ้ายอมทนมีสหายเป็นอันเดดกับครึ่งปิศาจได้มั้ยล่ะ? เจ้าจะยอมทนข้องแวะกับองค์กรที่รับทำเรื่องสกปรกได้รึเปล่าล่ะ แถมเจ้าจะยอมหุบปากไหมล่ะเวลาที่พวกเราแบ่งสินสงครามกัน? ด้วยฐานะที่พวกเราเป็นนักผจญภัย พวกเราต้องรับทำงานสกปรกเกือบจะตลอดเวลานั้นแหละ เช่นนี้เจ้าจะยืนยันได้มั้ยล่ะว่าเจ้าจะไม่เป็นตัวถ่วงแล้วจะรับฟังคำสั่งของพวกเราอย่างว่าง่าย?”
แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่! โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ได้บอกชัดเจนอยู่แล้วนิว่าของหายทุกชิ้นต้องได้รับการส่งคืนให้ถึงมือเจ้าของ ถ้าหาเจ้าของไม่เจอ ก็ให้ส่งมอบให้กับทางการแทนซะ แล้วจะให้มองของหายเป็นสินสงครามแล้วแบ่งกันเองได้อย่างไรกัน ส่วนพวกอันเดดกับครึ่งปิศาจน่ะเหรอ? เจ้าพวกสิ่งมีชีวิตแห่งความโกลาหลแสนชั่วร้ายเอ่ย! ข้าจะไม่ยอมยืนอยู่ฟากเดียวกับพวกเจ้าอย่างเด็ดขาด!
เอาเถอะ... ในเมื่อเส้นทางของเราแตกต่างกัน เช่นนั้นเราก็ไม่ควรจะเดินไปด้วยกัน ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้ข้าเข้าร่วมหน่วยนักผจญภัยกัน ถ้างั้นข้าก็จะก่อตั้งหน่วยนักผจญภัยขึ้นเองก็ได้...
ขั้นตอนตอนก่อตั้งหน่วยนั้นค่อนข้างเป็นไปอย่างราบรื่นเลยทีเดียว ไงซะก็ยังมีเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์และเหล่านักบวชอีกมากที่ไม่สามารถหาหน่วยเข้าร่วมได้ที่กิลด์นักผจญภัยหรือที่ร้านเหล้า เพียงไม่นาน หน่วย ‘โปรดให้แสงได้ส่องทางลงบนโลกใบนี้’ ของพวกเราก็เริ่มต้นออกผจญภัย
แต่แล้ว...
“นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันที่ว่าพวกเราไม่สามารถรับค่าตอบแทนได้เนี่ย? เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเราทำได้แค่รอวันอดตายงั้นเหรอ”
“นี่พระอาจารย์ของเจ้าไม่ได้สอนเจ้าก่อนจะออกมาผจญภัยรึไง? ว่าพวกเรานั้นคืออัศวินผู้คอยรับใช้แสงศักดิ์สิทธิ์และส่วนร่วม การออกผจญภัยของอัศวินศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเพียงแค่การเดินทางออกเก็บเกี่ยวประสบการณ์เท่านั้น การช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนคือหน้าที่ของพวกเรา และในเมื่อนี่เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว เช่นนั้นเราจะเรียกเก็บค่าตอบแทนได้อย่างไรกันเล่า?”
“ถ้าพวกเราหาเงินไม่ได้แบบนี้ แล้วพวกเราอยู่เป็นนักผจญภัยไปทำไม! นี่ตั้งใจจะให้พวกเราอดตายรึไง!!”
ศิษย์พี่ได้ส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับพวกเรา ย่อมแน่อยู่แล้วที่ศิษย์พี่จะรู้วิธีที่ทำให้นักผจญภัยอัศวินแสงศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อนๆอยู่รอดปลอดภัยแบบไม่อดตายกันไปซะก่อน
ถึงแม้พวกเราจะไม่สามารถรับค่าตอบแทนตรงๆได้ก็จริง แต่พวกเราก็สามารถร้องขอเงินบริจาคตามแรงศรัทธาให้กับทางโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ แบบนี้เราก็สามารถเก็บเงินจำนวนสามส่วนจากทั้งหมดมาเป็นสินน้ำใจได้ แต่ว่านะ...
“ในเมื่อนี่เป็นเงินบริจาค พวกเราก็คงบ่นเรื่องจำนวนเงินไม่ได้ แต่ไอ้การที่ได้แค่เหรียญทองแดงหลังจากต้องจัดการโอเกอร์ทั้งฝูงเนี่ย ดูซิเงินจำนวนเท่านี้น่ะพอซื้อขนมปังดำไอ้แค่สองก้อนเอง แล้วมันจะพอซื้อยารักษาที่ไหนกันเล่า! แถมข้ายังต้องบริจาคเงินสองในสามให้กับทางโบสถ์อีก...”
“ของเจ้าน่ะยังพอโอเคอยู่ เจ้ายังไม่เคยรับงานจากพวกก็อบลินล่ะสิ? งานของพวกมันน่ะเลวร้ายแบบสุดๆเลยล่ะ”
“หืม?”
“ก็พวกเราน่ะไม่สามารถโวยวายได้ว่าผู้อื่นจะต้องบริจาคเป็นเงินจำนวนเท่าใด แถม พวกเรายังโวยวายไม่ได้เสียด้วยซ้ำถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมบริจาคอะไรเลย หรือแม้แต่อีกฝ่ายจะบริจาคมาเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เม็ดเงินพวกเราก็เอะอะโวยวายอะไรไม่ได้... แล้วถ้าเกิดพวกเราต้องไปเจอกับนายจ้างก็อบลินขี้ตืดล่ะก็ ไม่ยอมบริจาคอะไรเลยยังถือว่าไม่เป็นไร ถ้าเกิดพวกมันบริจาคมาเป็นหินหนักๆก้อนหนึ่งล่ะก็ เจ้ายังต้องผ่าก้อนหินเป็น 3 ส่วนแล้วจ่าย 2 ส่วนเป็นค่าบริจาค... และในฐานะศิษย์พี่ ก็ขอให้ข้าได้เตือนเจ้าว่า ถ้าเจ้าเจอก็อบลินที่คิดจะมอบเครื่องจักรกลสภาพดูไม่เลวให้กับเจ้าล่ะก็ ถึงแม้นี่จะเป็นการขัดต่อคำสอนของทางโบสถ์ก็ตาม แต่เจ้าจงรีบจัดการกำจัดเครื่องจักรที่เจ้าได้มาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะถึงแม้นี่จะไม่ใช่ของทดลองที่มีชะตาต้องระเบิด เจ้าก็ยังถูกใช้เป็นหนูทดลองให้พวกก็อบลินอยู่ดี แต่ถ้าเกิดระเบิดขึ้นมาจริงๆล่ะก็ ก็ย่อมหมายความว่าเจ้าได้ถูกใช้เป็นหนูทดลองแล้วล่ะ”
“จริงสิ จงระวังพวกมนุษย์เงือกเอาไว้เหมือนกัน ครั้งสุดท้ายที่พวกเราไปช่วยมนุษย์เงือกทำความสะอาดชายฝั่งมา พวกมันบริจาคปลาตีนส่งกลิ่นเหม็นให้พวกเราจำนวนหนึ่ง แล้วภายใต้แดดร้อนๆ พอไปได้ครึ่งทางพวกปลาก็เริ่มส่งกลิ่นเน่าออกมา ระดับที่อยู่ห่างไป 10 ลี้ยังได้กลิ่น... หลังเรื่องครั้งนั้นพวกเราต้องไปอาบน้ำที่น้ำตกตั้ง 3 วันแน่ะ ข้ายังจำสายตารังเกียจพร้อมกับท่าทางชิ้วๆของนักบวชหญิงตอนที่มาเก็บของบริจาคได้อยู่เลย ทำอย่างกับว่ากำลังมองสิ่งสกปรกอยู่อย่างไงอย่างงั้น”
ถึงแม้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้จากปากสหายนักบวชของข้าจะชวนให้ขำก็ตาม แต่ตัวข้ากลับไม่สามารถขำออกมาได้ ในทางกลับกัน ข้ากลับรู้สึกว่าอยากจะร้องไห้ออกมาแทนซะงั้น
“แล้วก็พวกเดมิแรม เจ้าพวกนี้น่ะแย่แบบสุดๆ เจ้าพวกตัวเหม็นเน่าเหล่านี้ดันใช้ขนบนตัวมาเป็นค่าตอบแทน แถมขนของพวกมันยังบางแบบเส้นด้ายอีก!! เจ้าลองนึกดูถึงความรู้สึกที่เจ้าต้องถือขนแพะกำหนึ่งอยู่ในมือ แล้วพอเดินไปไม่กี่ก้าวเจ้าก็ต้องก้มลงนับขนในมือเจ้าใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีขนเส้นใดร่วงหล่นหายไป เจ้าจะได้ส่งของบริจาคได้ถูกต้องตามจำนวน...”
“แล้วก็นะ ด้วยฐานะที่พวกเราเป็นสหายอัศวินศักดิ์สิทธิ์ พวกเราทุกคนนั้นต่างยากจน ฉะนั้นพวกเราก็ไม่ควรจะมาขัดขากันเอง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าได้เจอกับ...”
เพียงไม่นาน จากชั่วโมงการเรียนการสอนประสบการณ์ชีวิตก็แปรเปลี่ยนเป็นชั่วโมงระบายความอัดอั้นที่มีในชีวิตให้เหล่าพวกพ้องฟังแทน ส่วนตัวข้านั้นก็รู้สึกสิ้นหวังในอนาคตที่เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของข้ายิ่งนัก
“...อย่างน้อย อัศวินศักดิ์สิทธิ์ก็เปี่ยมด้วยออร่าอันเจิดจรัส เช่นนี้โชคเรื่องผู้หญิงก็น่าจะดีล่ะวะ!!”
แต่เพียงไม่นาน ความเป็นจริงก็หวดเข้าใส่ข้าอย่างจังอีกครั้ง
“นี่ตัวเองมีบ้านรึเปล่า? ม้าล่ะ? เงินเก็บล่ะ?”
ข้านั้นอาศัยในหอพักแสนธรรมดาที่อัดแน่นไปด้วยผู้ชายเหม็นเหงื่อ เพราะงั้นพวกเราคงใช้ที่นี่เป็นเรือนหอหลังแต่งงานไม่ได้ ส่วนม้า ข้ามีอยู่ตัวหนึ่งที่ทางโบสถ์เป็นคนมอบให้ แต่ตัวข้าจะมีปัญญาเลี้ยงม้าหนุ่มได้อย่างไรกัน ฉะนั้นข้าก็เลยทิ้งมันไว้ที่โบสถ์ ทำให้ข้าขี่มันได้เฉพาะเวลาสงครามเท่านั้น แล้วเมื่อครั้งที่บริษัทขายอาหารม้าแจ้งเรื่องค่าอาหารมา... ส่วนเรื่องเงินเก็บน่ะเหรอ เหเห สวัสดีจ๊ะแม่สาวงาม ลาก่อนจ๊ะแม่สาวงาม
หลังจากที่โดนความเป็นจริงเล่นงานไปหลายครั้งหลายครา ในที่สุดข้าก็ได้เจอกับสาวน้อยน่ารักไร้เดียงสานางหนึ่ง นางไม่ติดใจในความยากไร้ของตัวข้า แล้วยังยินดีที่จะคบหาดูใจกับข้าอีก!
“อ่า นางช่างใจดีและงดงามอะไรเช่นนี้ นางเนี่ยแหละคือนางฟ้าของข้า”
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ความก้าวหน้าที่สุดของคู่พวกเราก็คือการจับมือพากันออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ นางมักจะปฏิเสธข้าทุกทีเวลาที่ข้าจะทำเกินเลยกว่านั้น
เมื่อเวลานั้น ถึงข้าจะรู้สึกสงสัย แต่ข้าก็พยายามสะกดความสงสัยเอาไว้ เพราะจะอย่างไรซะ นางก็ออกจะใสซื่อไร้เดียงสาซะขนาดนี้ แต่พอเวลาผ่านเลยไปอีก 5 ปี ตัวข้าที่อายุ 30 ก็มิอาจสะกดความสงสัยนี้เอาไว้ได้อีกต่อไป ข้าจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยปากถามนางออกไป
“อ่า? ไม่ใช่ว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์เป็นอัศวินของพระผู้เป็นเจ้าเหรอคะ ไม่ใช่ว่าพวกท่านจะไร้ซึ่งความปรารถนา(ตัณหา)หรอกเหรอคะ?”
“ข้า X!! พวกเราเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์นะ ไม่ใช่พระ (มีเพียงพระนักรบไม่กี่รูปเท่านั้นที่ให้คำสัตย์ว่าจะละทิ้งซึ่งตัณหา)”
และแล้ว ข้าก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากนักในการอธิบายให้นางเข้าใจถึงข้อแตกต่างระหว่างพระนักรบกับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็คือคำพูดที่ทำให้ข้าต้องสิ้นหวังในชีวิต
“คือว่า... ฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ คือว่าฉันอยากจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เกินเลยน่ะค่ะ ฉันถึงได้มาหาท่านอัศวิน ฉันคงตอบรับเรื่องที่ท่านต้องการไม่ได้จริงๆ พวกเราเป็นแค่เพื่อนกันได้ไหมคะ?”
“เพื่อน?! เพื่อนกันบ้านเจ้าสิ! ข้าอายุตั้ง 30 แล้วนะ!! ตอนนี้พวกเพื่อนร่วมรุ่นข้ามีลูกกันไปเป็นโหลแล้ว”
คืนนั้นเอง ในหอพักผู้ชายเหม็นเหงื่อ ข้าได้ร่ำไห้ออกมาแบบสุดๆ พร้อมกับเหล่าเพื่อนร่วมหอที่ยืนอยู่เคียงข้างคอยปลอบโยนข้าอย่างเงียบๆ
“เจ้ายังจำอารัลท์ได้มั้ย? อัศวินศักดิ์สิทธิ์อัจฉริยะจากเมืองลูคาร์ทน่ะ?”
ข้าย่อมจำไอ้คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นได้ หมอนั้นน่ะได้แฟนสาวที่สวยและรวยมาก
“แล้วเจ้าจะพูดถึงหมอนั้นทำไมกัน? นี่เจ้าคิดว่าสภาพข้าตอนนี้ยังน่าสมเพชไม่พออีกเหรอ?”
“หมอนั้นน่ะร่วงหล่นลงสู่ด้านมืด เปลี่ยนตัวเองเป็นอัศวินดำไปแล้ว เจ้าคมเขี้ยวจากความโกลาหลนั้น แฟนสาวที่สวยและรวยมากของหมอนั้นจริงๆแล้วเป็นปิศาจที่เข้ามาล่อลวงให้หมอนั้นหลงผิด...”
“มีตั้งกี่คนแล้วที่ต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้? ก่อนหน้านี้ ทางโบสถ์เองก็ตั้งข้อสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมผู้หญิงแสนดีเยี่ยงนี้ถึงได้เข้าหาอัศวินศักดิ์สิทธิ์กัน แม้พวกเราจะเตือนให้ระวังไปแล้ว เจ้าบื้อนั้นก็ไม่ยอมเชื่อ ไม่สิ บางทีหมอนั้นอาจจะรู้อยู่แล้วแต่แค่ไม่อยากยอมรับความจริงก็ได้ หมอนั้นคงอยากเสวยสุขมีชีวิตแสนสุขให้นานกว่านี้อีกสักนิดก็ยังดี”
“เฮ้อ พวกเราทุกคนที่นี่ชินชากับเรื่องพวกนี้ซะแล้วล่ะ ถ้าพวกเราออกไปจีบสาวล่ะก็ ย่อมเป็นปกติที่พวกเราจะโดนปฏิเสธกลับมา ส่วนผู้หญิงที่คิดจะเข้าหาพวกเรานั้นก็มักเป็นพวกแปลกๆทั้งนั้นแหละ แถมทางโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เองยังสั่งห้ามไม่ให้พวกเราใช้เงินสนองตัณหาส่วนตัวอีก แม้แต่จะช่วยตัวเองยังถือเป็นการกระทำต้องห้ามแสนชั่วร้ายเลย...”
“พวกเราเป็นมนุษย์นะ! ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง! เมื่อสองวันก่อน ได้มีเหตุการณ์เรื่องชู้สาวระหว่างอัศวินศักดิ์สิทธิ์สองคนถูกเปิดโปงขึ้นที่ซีซาน ทำให้ทั้งคู่ต้องถูกเนรเทศออกจากโบสถ์ สองคนนั้นเป็นสหายข้าเองแหละ ซึ่งข้าเป็นคนที่ไปส่งทั้งสองคนด้วยตัวเอง แล้วเจ้าดูที่ทั้งคู่เป็นอยู่ตอนนี้สิ ทั้งสองต่างยิ้มเบิกบานอย่างมีความสุขที่นับแต่นี้จะได้อยู่ด้วยกันตลอดแล้ว... แต่ประเด็นคือเพื่อนข้าทั้งสองคนนั้นเป็นตัวผู้ทั้งคู่! แต่ก่อนเพื่อนข้าก็เป็นผู้ชายปกติที่นิยมชมชอบสตรี! เช่นนี้ถ้าพวกเรายังเก็บกดกันต่อไป อาจจะมีสิ่งที่ไม่ควรเกิดเกิดขึ้นจริงๆก็ได้! ดูซิ จำนวนคนรักร่วมเพศในโบสถ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเนี่ยตอนนี้!”
“ที่จริง ข้าเองก็เริ่มคิดแล้วล่ะว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายก็ไม่เห็นเป็นไร...”
“ที่จริง ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทำไมพวกเราไม่มาลองกันสักยกล่ะ?...”
ตั้งแต่วันนั้นที่เกิด ‘คู่รัก’ คู่ใหม่ขึ้นอย่างกะทันหัน ตัวข้าก็จมปลักอยู่ในความสิ้นหวังและใช้ชีวิตต่อไปเยี่ยงซอมบี้ตัวหนึ่ง...
“เจ้าต้องการจะออกจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ? แล้วเลิกเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์? แต่เจ้าไม่มีความสามารถอื่นในการทำมาหากินนิ แถมตัวเจ้าเองก็แก่แล้วด้วย เช่นนี้การจะเริ่มต้นใหม่ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย อาชีพที่เจ้าจะเปลี่ยนได้โดยไม่สูญเสียพลังก็มีแต่อัศวินดำ นี่เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะเอาเช่นนั้น?”
ในวินาทีนี้เอง ที่ข้าได้เผชิญกับความสิ้นหวังที่สุดในชีวิต และเมื่อครั้งที่ข้าโดนโยกย้ายไปที่โลกใต้พิภพอันแสนอันตราย ข้าไม่แม้แต่ปฏิเสธคำสั่งย้ายนี้เสียด้วยซ้ำ ที่แห่งนั้นจะอันตรายสักเท่าใดกัน อย่างน้อยข้าก็สามารถหลีกหนีเหล่าชาวรักร่วมเพศที่เพิ่มจำนวนขึ้นอยู่ข้างกายข้าได้!
แต่แล้วชีวิตของข้าก็พลิกผัน
“โรงเรียนกฎหมายหน่านเซี่ยง? เปิดรับนักเรียนเข้าศึกษา พร้อมเสนอตำแหน่งงานให้เมื่อเรียนจบ? อัศวินศักดิ์สิทธิ์เข้าเรียนได้ทันที! นี่เรื่องจริงหรือนี่?”
“เอาล่ะมาลองดูสักตั้ง ไงชีวิตข้าก็คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วล่ะ”
ข้าไม่ได้ตั้งความหวังมากนักเมื่อครั้งที่ข้าเข้าเรียนที่หน่านเซี่ยง เพราะจะอย่างไงซะ อายุอานามข้าก็ค่อนไปทางสูงอายุ แถมความสามารถในการเรียนรู้ของข้าก็มีแต่จะถดถอยลง
แต่ในเวลาไม่นาน ข้าก็รู้ว่าพลังแห่งกฎหมายที่โรงเรียนสอนนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากพลังแสงศักดิ์สิทธิ์ของข้ามากนัก แสงสีเงินแห่งกฎหมายนั้นเหมือนกับกับแสงศักดิ์สิทธิ์ ที่ต่างอยู่ภายใต้ต้นกำเนิดแห่งกฎระเบียบเหมือนกัน ทำให้ศาสตร์และทักษะหลายๆอย่างสามารถสลับสับเปลี่ยนกันได้ ทำให้ข้าสามารถเรียนรู้พลังใหม่นี้ได้อย่างง่ายดายนัก
ยิ่งกว่านั้น ทางโรงเรียนได้เสนอตำแหน่งงานให้จริงๆ!! ไม่สิ ไม่ใช่แค่เสนอตำแหน่งงานเท่านั้น แม้แต่ไอ้แก่เช่นข้า ที่ตอนนี้ยังเรียนไม่จบยังมีบริษัทเป็นสิบมารอแย้งกันรับไปทำงานเลย
“พนักงานรักษาความปลอดภัย ตำรวจ ผู้พิพากษาและอาชีพที่คล้ายคลึงกันทางกฎหมายอีกมากมาย อาชีพเหล่านี้ต่างเป็นที่เชิดหน้าชูตาในสังคมระดับไฮโซ! ให้คิดว่าไอ้แก่ไม่ได้เรื่องเช่นข้าจะมีวันนี้ได้ วันที่ฤดูใบไม้ผลิเบิกบานเข้ามาในชีวิต!”
“พวกเราไม่มีเทพเจ้าหรือโบสถ์แสนน่ารำคาญให้ต้องรับใช้ พวกเรานั้นเชื่อมั่นในประมวลกฎหมาย แล้วคอยเฝ้าปกปักษ์ความเท่าเทียมและความยุติธรรม แต่ในขณะเดียวกันพวกเราก็ยังคงเป็นมนุษย์ที่ยังต้องกินต้องใช้ ด้วยการที่จบจากหน่านเซี่ยง ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่ทุกคนจะกำราบเหล่าอาชญากรผู้ร้ายถึงแม้พวกเราจะไม่ได้เป็นตำรวจหรืองานเพื่อส่วนร่วมที่คล้ายคลึงกัน พวกเราก็ยังได้รับความเชื่อมั่นให้เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ด้วยฐานะที่อัศวินแห่งความยุติธรรมเองก็สังกัดอยู่ขุมกำลังฝ่ายกฎระเบียบ พวกเขาเหล่านี้ย่อมไม่สามารถก่ออาชญากรรมได้ รวมทั้งยังยึดมั่นในสัตย์สาบานและคำสัญญา เช่นนี้ ย่อมทำให้เหล่าอัศวินแห่งความยุติธรรมเป็นลูกจ้างที่น่าเชื่อถือต่อเหล่านายจ้างทั้งหลาย นี้ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสเลื่อนตำแหน่งเข้าไปใหญ่”
เมื่อปีนั้นที่อาจารย์ขึ้นมากล่าวปราศรัยบนเวทีอย่างเร้าร้อน ตัวข้าที่ใช้หัวคิดสักเล็กน้อยก็ไม่ค่อยเชื่อที่อาจารย์กล่าวมาซักเท่าไหร่
“แต่หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจริงๆ!! อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ไม่มีผิด! หลังจากจบการศึกษา ข้าก็ได้ทำงานกับกิลด์พ่อค้าใหญ่แห่งหนึ่ง สิ่งที่ข้าต้องทำก็มีเพียงนั่งโต๊ะอยู่ด้านหน้าสุดเป็นเวลา 20 วันในทุกเดือนเพื่อค่อยจัดการไล่พวกกระจอกที่จะมาก่อเรื่องที่กิลด์ไปให้พ้นๆ แล้วก็ค่อยช่วยรักษาความสงบเรียบร้อย ส่วนเงินเดือนของข้านั้นอยู่ที่ประมาณ 10000 เหรียญทองคำ! 10000 เหรียญทองคำเชียวนะ!! มากกว่าตอนที่ข้าเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ตั้ง 200 เท่า! แถมข้ายังไม่ต้องทนทุกข์ตากแดดตากฝนหรือเสี่ยงชีวิตอีกด้วย!!”
“ว่าไงนะ เจ้าจะบอกว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์เองก็ทำเช่นนี้ได้เหมือนกันงั้นเหรอ? ไอ้ตูดหมึก อัศวินศักดิ์สิทธิ์คืออัศวินที่คอยรับใช้แสงศักดิ์สิทธิ์และพระผู้เป็นเจ้า เช่นนี้แล้วอัศวินศักดิ์สิทธิ์จะไปเป็นลูกจ้างคนอื่นได้อย่างไรกัน!”
“ยิ่งกว่านั้น เพียงไม่นานหลังจากที่ข้าเก็บออมเงินซื้อบ้าน ข้าก็ได้พบกับหวานใจของข้า! แถมข้ายังซื้อม้ามังกรที่มีสายเลือดมังกรแดงแสนน่ารักมาเลย ม้ามังกรสุดน่ารักของข้าสามารถวิ่งได้พันลี้ในหนึ่งวัน แถมยังพ้นไฟออกมาจัดการศัตรูได้อีกต่างหาก ในที่สุดข้าก็ได้เป็นอัศวินเสียที ข้าไม่ใช่ทหารเดินเท้าที่ต้องฝากม้าไว้ที่โบสถ์อีกแล้ว”
“และเมื่อไม่นานมานี้ ข้าพึ่งส่งข่าวกลับไปหาเหล่าอดีตสหายของข้า จนเหล่าสหายของข้าต่างเร่งรีบเดินทางมาที่นี่ ซึ่งในตอนนี้ ทุกคนต่างก็จบการศึกษาจากหน่านเซี่ยงกันหมดแล้ว บางคนทำงานเป็นทหารยามให้กับนคร บางคนก็เข้าร่วมกับหน่วยรักษาความสงบ บางคนได้เป็นผู้พิพากษา ส่วนไอ้อัศวินศักดิ์สิทธิ์ชาวรักร่วมเพศคู่นั้น หลังจากที่ทำงานเก็บเงินได้สักพัก ทั้งคู่ก็ขึ้นเป็นเจ้าคนนายคน ต่างคนต่างตบแต่งเมียเข้าบ้าน และในตอนนี้ทั้งคู่ต่างก็มีลูกชายเป็นของตนกันแล้ว!!”
“เหล่าพี่น้องอัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเอ่ย จงมาร่วมกันเป็นอัศวินแห่งความยุติธรรมกันเถอะ แม้จะมองข้ามข้อเท็จจริงที่พวกเราสามารถคงพลังทั้งหมดไว้ได้หลังเปลี่ยนอาชีพ ทุกคนก็ยังคงต่อสู้เพื่อกฎระเบียบอยู่เช่นเดิม แถมทางโบสถ์คงยินดีเป็นแน่ที่ได้เห็นทุกคนมาเปลี่ยนอาชีพกัน เพราะไงซะ ทางโบสถ์เองก็ไม่มีงบประมาณมากพอไว้เลี้ยงดูพวกเราอยู่แล้ว”
“โรงเรียนแห่งไหนกันที่เป็นเลิศในการเรียนการสอนการใช้พลังแห่งกฎระเบียบ? ท่านโปรดลองมาดูที่หน่านเซี่ยงที่เทือกเขากำมะถันใต้พิภพ ท่านสามารถเข้าศึกษาเล่าเรียนได้ก่อนเรื่องเงินเราค่อยมาว่ากันทีหลัง สำหรับผู้ใดที่เป็นผู้ใช้แสงศักดิ์สิทธิ์สามารถเข้าศึกษาได้เลยโดยไม่ต้องผ่านการสัมภาษณ์ เงินเดือนเดือนแรกของท่านจะถือเป็นค่าศึกษาร่ำเรียนของเรา แถมพวกเรายังมีช่วงทดลองการเรียนการสอนเป็นเวลาหนึ่งเดือนโดยท่านไม่ต้องเสียสตางค์เลยสักแดงเดียว และคำขวัญของพวกเราที่หน่านเซี่ยงก็คือ ขยันเรียน ขยันทำงานแล้วอำนาจ หน้าที่การงาน และรายได้จะมาพร้อมกับภรรยาแสนสวยและรวยมากเอง! ตอนนี้แม่ข้าไม่ต้องมาค่อยกังวลเรื่องข้าไม่มีงานทำอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งข้ายังขึ้นเป็นนายตัวเองแล้วด้วยตอนนี้”
“ทั้งหมดนี่ก็แค่คำโฆษณาชวนเชื่อ? เจ้ายังเป็นกังวลอยู่สินะว่าจะหางานทำไม่ได้ในอนาคต? เช่นนั้นก็ให้ข้าคำนวณอะไรง่ายๆให้เจ้าดูละกัน ทุกหัวเมืองทุกนครต่างต้องการเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความสงบของตน ทุกธุรกิจต่างต้องการเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทุกระบบการปกครองต่างต้องการระบบกฎหมายของตน เช่นนี้ย่อมมีตำแหน่งงานมากมายรอให้เจ้าไปไขว้คว้า ตัวเจ้าซึ่งเป็นแนวหน้าแห่งกฎหมาย ย่อมเป็นผู้ถูกรักใคร่แห่งยุค แล้วเจ้ายังต้องกังวลเรื่องหางานทำไม่ได้อยู่อีกรึ? มาสิ มาที่หน่านเซี่ยง พวกเราจะมอบทุกสิ่งอย่างให้กับเจ้าเอง จบจากสถาบันแสงศักดิ์สิทธิ์เท่ากับว่างงานไม่มีคนจ้าง แต่ที่หน่านเซี่ยง เจ้าจะมีงานทำตั้งแต่ยังจบออกไปเสียด้วยซ้ำ!”
ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดข้างบนนี้คือเนื้อหาในแผ่นพับโฆษณา ที่เขียนโดยตุลาการสูงสุดแห่งศาลสูงสุดแห่งนครภูผาหลิวฮวง วูเมี้ยนเจ้อ...
“นี่ นี่ นี่เจ้าไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ? ยังมีข่าวออกมาเลยนะว่าเมื่ออาร์คบิชอปแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ผู้เฒ่าบิลได้เห็นแผ่นพับโฆษณานี้ ตาเฒ่านั้นถึงกับลมจับในทันที จนตาเฒ่านั้นต้องเกือบตายเพราะล้มหัวฟาดพื้นเลยนะเฮ้ย!!”
ใช่แล้ว ข้าได้แขวะโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ แขวะกันแบบโจ่งแจ้งสุดๆ
ก็แน่ล่ะที่ตาเฒ่านั้นจะกระอักเลือด เพราะแม้แผ่นพับโฆษณานี่จะเขียนขึ้นโดยข้าก็ตาม แต่เรื่องที่ร่ายยาวมาทั้งหมดข้างบนนั้นก็เป็นเรื่องจริงแท้ทุกประการ นี่คือความจริงอันแสนเจ็บปวดรวดร้าวที่บุคลากรทุกหมู่เหล่าในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ต้องเผชิญ
ถึงจะอย่างไรซะ ตัวข้าเองก็เคยเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์มาก่อน แถมตัวอย่างหลายๆอย่างในใบโฆษณาก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต... จู่ๆข้าก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาจนข้าต้องพึมพำออกมาว่า ‘ช่างโชคดีเหลือเกินที่ข้าไม่ใช่อัศวินศักดิ์สิทธิ์อับโชคอะไรนั้นอีกแล้ว’
แต่ ณ ตอนนี้ ภายใต้คำถามของอดัมที่ถามข้าว่าทำเกินไปรึเปล่านั้น ข้าได้ปันยิ้มกลับไปก่อนจะเอ่ยว่า
“ข้าก็ไม่เห็นว่าแผ่นพับนี่จะมีอะไรไม่ดีนิ เมื่อครั้งที่ข้าเอาแผ่นพับนี่ไปให้กับทางหน่วยรักษาความสงบพวกนางยังดีใจกันใหญ่เลย!!”
ย่อมแน่ ที่พวกนางจะดีใจกัน เพราะก่อนหน้านี้พวกนางไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกับทางระบบกฎหมายอย่างเป็นทางการ แต่ ณ ตอนนี้พวกนางได้รับอนุญาตให้ร่ำเรียนพลังแห่งกฎหมายได้แล้ว นี่ย่อมหมายความว่าระบบกฎหมายของข้าและนครภูผาหลิวฮวงได้ยอมรับพวกนางเข้ามาอย่างเต็มตัวแล้ว
พวกนางได้ใช้เลือดเนื้อและความมุมานะอุตสาหะมาพิสูจน์ความภักดีที่พวกนางมีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าข้ายังเอาแต่ปฏิเสธพวกนางต่อไป ก็คงจะเป็นการใจไม้ไส้ระกำเกินไปหน่อย
“...นี่เจ้าคิดจะเปลี่ยนกองกำลังอัศวินศักดิ์สิทธิ์หน่วยรักษาความสงบให้เป็นกองกำลังอัศวินแห่งความยุติธรรมหรือไง? เจ้าคงยังไม่บอกข่าวนี้ให้กับตาเฒ่าบิลใช่ไหม ข้าเกรงว่าเจ้าแก่นั้นจะรับไม่ไหว”
“ข้าบอกไปแล้ว ก็ข้าเนี่ยแหละที่เป็นคนส่งคนให้ไปรายงานข่าวนี้ให้ตาเฒ่านั้นฟัง!”
“ท่าน!! นี่ท่านกระอักเลือดอีกแล้วเหรอขอรับ!! นี่เป็นครั้งที่ 20 ของเดือนนี้แล้วนะขอรับ! ฝนจะตก แม่จะแต่งงานใหม่ ร่างกายท่านทนต่อไปไม่ไหวแล้วนะขอรับ ข้าว่าพวกเรารีบกลับขึ้นไปบนพื้นทวีปเถอะขอรับ”
“ท่านอาร์คบิชอป ข่าวร้ายขอรับ! มีอัศวินศักดิ์สิทธิ์และนักบวชจำนวนมาก หลังจากที่ได้เห็นใบแผ่นพับต่างก็บอกว่าพวกตนจะเดินทางไปที่หน่านเซี่ยง พวกเราห้ามต่อไปไม่ไหวแล้วขอรับ!!”
และแล้วอาร์คบิชอปแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ก็กระอักเลือดต่อไป...
เมื่อข้าได้ฟังถึงรายงานของอิลิซ่าที่ว่าด้วยสถานการณ์ของอาร์คบิชอปหลังจากได้รับข่าวว่าหน่วยรักษาความสงบจะย้ายศาสนา ตอนแรกตาเฒ่าก็ตกใจก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา ส่วนเหตุการณ์นับจากนั้น มีแม้แต่ฉากละครตลก ข้าที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ปันยิ้มสะใจออกมา
“ไอ้แก่โง่ ใครขอให้เจ้ามาสงวนกองกำลังของตนในเวลาที่บ้านเมืองเดือดร้อนกันล่ะ แล้วเจ้ายังมีหน้าออกมาเผยแพร่คำสอนตอนที่ทุกคนกำลังหวาดกลัวหลังเสร็จศึกสงครามกันอีก ในเมื่อเจ้าบังอาจมาปฏิบัติต่อสิงโตเยี่ยงแมวป่วยเพราะเห็นว่าสิงโตไม่ได้กินคนมานาน ก็สมน้ำหน้าเจ้าแล้ว!”