เล่มที่ 3 บทที่ 7
บทที่ 7 คำชวน
บรรยากาศภายในห้องโถงคุกรุ่นไปด้วยเจตนาฆ่าฟันของเหล่าผู้อาวุโสของสำนัก หยางอี้จ้องมองภาพเบื้องหน้าอย่างวิตกกังวลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นท่าทีผ่อนคลายของกู่เทียนชางแล้ว ชายหนุ่มจึงได้เบาใจลง กล่าวตามตรงหยางอี้เองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากู่เทียนชางแข็งแกร่งขนาดไหน เพียงแต่จากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมาความรู้สึกของหยางอี้นั้นบอกว่าชายชราผู้ที่เขากราบไหว้เป็นอาจารย์นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
พริบตาที่เหล่าผู้อาวุโสพุ่งเข้ามาเกือบจะถึงตัวชายชราท่าทางธรรมดา กู่เทียนชางนั้นพลันหรี่ตาลงก่อนจะเบิกดวงตาทั้งสองข้างจนกว้าง
ครึ่ม!
ผู้อาวุโสกว่า 30 คนรวมถึงข่งโหลวหลินพลันพุ่งด้วยความรวดเร็วทันที ทว่าทิศทางนั้นกลับไม่ใช่มุ่งตรงไปยังชายชราแต่ร่างกายของพวกเขานั้นกลับพุ่งลงกระแทกกับพื้นด้วยความรุนแรงจนพื้นยุบลงเป็นรอยมนุษย์ บรรยากาศสั่นไหวอย่างรุนแรงทันทีภายใต้แรงกดดันที่กู่เทียนชางปล่อยออกมา เป็นเพียงแรงกดดันเท่านั้น! มิได้มีสิ่งอื่นใดเจือปน ตำหนักทั้งหลังพลันยุบตัวลงราวกับถูกฝ่ามือของเขาตบลงอย่างรุนแรง
ตูม!
นั่นมิใช่สิ่งเดียวที่เกิดขึ้น เมื่อตำหนักพังทลายลงแล้วท่ามกลางเศษซากของตำหนักพิพากษ์ร่างกายของผู้อาวุโสทั้งสามสิบกว่าคนโผล่ขึ้นมาพร้อมกับกระอักเลือดออกมาคำโต ข่งโหลวหลินมองไปรอบข้างอย่างงงงวย ในใจยังคงตามไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขามองไกลออกไปยังด้านข้างซึ่งเดิมทีเป็นทางเข้าของตำหนักพิพากษ์ และสิ่งที่เขาเห็นคือร่างกายชราของบรรพชนเขาที่นอนแนบลงกับพื้นมีสภาพไม่ต่างจากเขาสักเท่าไหร่
ข่งโหลวหลินตอนนี้ใบหน้าซีดขาวราวกับศพอย่างแท้จริง เขาสำนึกเสียใจในตอนนี้ล้วนไม่ทันการแล้ว สายตาของเขาค่อยๆมองไปยังชายชราร่างอ้วนอย่างสับสนก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวเมื่อพบว่าสถานที่แห่งนี้มีเพียงสองศิษย์อาจารย์ หยางอี้และกู่เทียนชางเท่านั้นที่ยังคงอยู่ นั่นมิใช่ว่านี่คือฝีมือของกู่เทียนชาง! แรงกดดันอันหนักอึ้งราวกับถูกบดทับด้วยน้ำหนักมหาศาลจนไม่อาจฝืนขยับตัวได้! สมองของเขากลายเป็นขาวโพลนในทันที ชายคนนี้เป็นตัวตนระดับใดกัน
ทว่าสิ่งที่เห็นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะแรงกดดันที่กู่เทียนชางปล่อยออกมานั้นมิใช่เพียงแค่ภูเขาลูกนี้ แต่มันคือทั้งหุบเขาสวรรค์แห่งนี้ต่างหาก ไม่ว่าจะศิษย์ ผู้อาวุโสหรือนักการ ยามนี้ทุกชีวิตล้วนถูกกดทับให้หมอบกราบภายใต้แรงกดดันของชายชราผู้นี้!
“ตัวข้านั้นใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้คนไปนับล้าน ทว่าผู้ที่ข้าสังหารไปก็มีนับล้านเช่นกัน”
คำกล่าวอันเรียบเฉยของกู่เทียนชางดังออกมาอย่างช้าๆ ใบหน้าของผู้คนตอนนี้ล้วนตื่นตระหนกเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กู่เทียนชางนั้นเป็นเซียนโอสถ ตลอดชีวิตคิดค้นสูตรยามากมายเพื่อรักษาผู้คน เขาไม่เคยทำตัวหยิ่งยโสแต่อย่างใด แม้จะชอบพูดจายกยอตนเอง แต่เมื่อใดที่เห็นคนเดือดร้อนเม็ดยาจะถูกจ่ายออกไปจากมือของเขาอย่างง่ายดาย กู่เทียนชางไม่เคยคิดว่าตัวเองอยู่สูงกว่าผู้ใด แม้คนยากไร้ยากจน ต่ำต้อยเช่นใดเขาก็จะยื่นมือเข้าช่วย ทว่าเส้นทางชีวิตนั้นมิได้สวยหรูตลอดทางที่ออกช่วยเหลือผู้คน ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ถูกสังหารด้วยมือเขา แม้จะไม่ได้ต้องการสังหารผู้ใดแต่เส้นทางการฝึกยุทธ์นั้นเป็นไปไม่ได้ที่มือทั้งสองข้างจะไม่อาบไปด้วยเลือด
“เจ้าหนู ตอนนี้การจะบดขยี้คนทั้งสำนักนี้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ เนื่องจากพวกมันคิดร้ายต่อเจ้า ในฐานะอาจารย์ข้าจะให้เจ้าตัดสินโทษของพวกมัน”
คำกล่าวนี้ทำให้ผู้คนที่ได้ยินยิ่งหวาดกลัวเข้าไปอีก ทว่าหยางอี้กลับขมวดคิ้วก่อนจะถามออกไปอย่างเร่งรีบ
“อาจารย์ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ฮ่าๆ อาจารย์ผู้เก่งกาจของเจ้าคนนี้มิได้มีขอบเขตการกดดันเพียงแค่ที่นี่หรอกนะ แต่มันคือทั้งสำนักแห่งนี้ต่างหาก แม้แต่สักคนเดียวก็ไม่อาจรอดไปได้!”
ทว่าหยางอี้กลับไม่ได้ยิ้มออกมาแม้แต่น้อยใบหน้าของชายหนุ่มพลันซีดเผือดก่อนจะตะโกนออกมาอย่างร้อนรน
“เพ่ย! ตาเฒ่านี่อย่ามัวขี้โม้ ในสำนักนี้ยังมีน้องสาวข้าอีกสองคนนะ ท่านรีบหยุดมือเดี๋ยวนี้!”
“น้องสาว? ไหนเจ้าบอกข้าว่าเป็นลูกคนเดียวไม่ใช่เรอะ!”
“เร็วเถอะน่า เดี๋ยวข้าค่อยเล่าให้ฟัง”
กู่เทียนชางจึงยอมหยุดมือและเลิกปล่อยแรงกดดันออกมา บรรยากาศอันหนักอึ้งภายในสำนักจึงมลายหายไป คนอื่นที่ไม่รู้เมื่อเห็นการพูดคุยนี้ก็ยิ่งสับสนเข้าไปอีก สำหรับพวกเขาต่อหน้าชายชราผู้นี้เพียงคำพูดพวกเขายังยากที่จะกล่าวออกมาเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่าหยางอี้ให้ความเคารพกู่เทียนชาง ทว่าก่อนจะมาเป็นศิษย์อาจารย์กัน ทั้งสองคือสหายต่างวัยที่นั่งร่ำสุรากันมาก่อนเป็นเดือนๆ ความสนิทสนมเช่นนี้จึงทำให้หยางอี้เผลอตัวไปบ้าง แล้วอีกฝ่ายก็มิได้ใส่ใจแต่อย่างใด
“เฮ้อ ตาแก่ ท่านมั่นใจนะว่ายังไม่ได้สังหารผู้ใด”
หยางอี้โล่งอกเมื่อกู่เทียนชางกล่าวยืนยัน โชคดีแค่ไหนที่กู่เทียนชางให้เขาเป็นคนตัดสินใจมิได้บุ่มบ่ามลงมือไปเสียก่อนมิฉะนั้นแล้วเขาเองก็ไม่รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
“แล้วจะเอาอย่างไรกับเจ้าพวกนี้ดี”
กู่เทียนชางมองไปยังพวกข่งโหลวหลินที่แม้บัดนี้จะไร้แรงกดทับใดแล้วแต่ก็ยังมิกล้าจะลุกขึ้นมาอยู่ดี ทว่าด้านหลังของทั้งสองตอนนี้มีชายชราสองคนที่ลุกขึ้นแล้วรีบเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีนอบน้อมทันที หยางอี้เมื่อเห็นผู้อาวุโสเหล่ยโหลวกับบรรพชนเดินเข้ามาชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขออภัยทั้งสองแล้วจึงกล่าวข้อความของเสี่ยวเฮยที่ฝากถึงบรรพชนออกมาถึงแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
“ท่านบรรพชน สหายข้าฝากข้อความมาถึงท่านเล็กน้อยว่าท่านทำให้เขาผิดหวังอย่างมาก ครั้งหน้าเขาจะไปเยี่ยมเยือนท่านสักหน่อย”
“อ่า เป็นข้าเองที่บกพร่อง ฝากบอกสหายเจ้าด้วยอย่าได้ถือโทษคนแก่เลอะเลือนเช่นข้าเลย”
บรรพชนกล่าวออกมาก่อนจะทำความเคารพกู่เทียนชางอย่างนอบน้อม คนอื่นกลายเป็นงุนงงเมื่อเห็นฉากนี้ แต่บรรพชนนั้นรู้ดีว่าสหายที่หยางอี้กล่าวถึงคือผู้ใด แม้กลิ่นอายจะต่างกันแต่แรงกดดันของอสรพิษ 6 ปีก นั้นมิได้ด้อยไปกว่าชายชราผู้นี้เลยแม้แต่น้อย บรรพชนได้แต่จ้องมองไปยังข่งโหลวหลินอย่างคาดโทษก่อนจะหันมาพูดคุยกับหยางอี้ต่อ
“อ่า นายน้อยหยาง ท่านจะมิแนะนำผู้อาวุโสท่านนี้หน่อยหรือ”
“นายน้อย? ท่านบรรพชนกล่าวเกินไปแล้ว”
หยางอี้ไม่คิดว่าท่าทีของบรรพชนจะเป็นเช่นนี้ แต่บรรพชนมิได้สนใจ หากรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งมีตัวตนเช่นนี้เป็นอาจารย์แถมยังมีสัตว์อสูรระดับนั้นเป็นสหาย การที่เขาต้องเรียกว่านายน้อยล้วนไม่เกินเลยไปแต่อย่างใด ตอนนี้เหล่ยโหลวเองก็ได้แต่นิ่งเงียบ เขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนเช่นกันว่าหยางอี้จะมีเบื้องหลังที่น่ากลัวเช่นนี้
“นี่คืออาจารย์ของข้า กู่เทียนชาง”
หยางอี้พูดขึ้นพร้อมกับผายมือไปทางกู่เทียนชาง ซึ่งกู่เทียนชางเพียงพยักหน้ารับไว้เท่านั้น แม้จะไม่ค่อยชอบใจสำนักแห่งนี้แต่ก็ควรไว้หน้าศิษย์รักของเขาเสียหน่อย
“คารวะผู้อาวุโสกู่ ข้าข่งเย่กง เป็นบรรพชนรุ่นก่อนของสำนักแห่งนี้ เรื่องในคราวนี้ต้องโทษผู้น้อยที่อบรมลูกหลานไม่ดี ขอผู้อาวุโสโปรดละเว้นสักครั้ง”
“ฮึ่ม! เห็นแก่ศิษย์รักของข้า ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาความกับสำนัก แต่สำหรับตัวต้นเรื่อง...”
กู่เทียนชางนั้นความจริงมาถึงได้สักระยะแล้ว เหตุเพราะในใจชายชราที่ชื่นชอบการโอ้อวดตนเองเช่นนี้ ต้องการปรากฎตัวออกมาในช่วงเวลาสำคัญเพื่อความประทับใจต่อลูกศิษย์ของตน เมื่อเห็นเหตุการณ์เขาจึงรั้งอยู่และคอยเฝ้ามองการกระทำของข่งยี่จางมาโดยตลอด สำหรับข่งโหลวหลินนั้นแม้จะไม่น่ารำคาญ ทว่าเหตุผลของเขานั้นยังพอรับฟังได้ อย่างไรก็คือการทำเพื่อสำนักอีกทั้งยังไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อหยางอี้ในครั้งแรก ส่วนเหล่ยโหลวนั้นคือคนที่เขาประทับใจที่สุด ชายชราผู้นี้กระทั่งกล้าออกจากสำนักเพื่อปกป้องศิษย์ของเขา
“เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ข้ายังมีธุระกับศิษย์ของข้าอยู่ หากหยางอี้ไม่ถือสาอะไรข้าก็จะปล่อยไป สำหรับเจ้า เหล่ยโหลวสินะ เนื่องจากคอยดูแลศิษย์ข้าเป็นอย่างดี เดี๋ยวตามข้ามา และเจ้าตัวสารเลวเจ้าก็ตามมาด้วย หยางอี้พาอาจารย์ผู้เก่งกาจของเจ้าผู้นี้ไปที่พักของเจ้าได้แล้ว”
กู่เทียนชางชี้ไปยังเหล่ยโหลวและข่งยี่จางให้ติดตามไปในทันที เหล่ยโหลวนั้นเป็นสุขยิ้มแย้มอย่างยินดี ผิดกับข่งยี่จางที่ใบหน้าซีดขาวราวกับคนตาย ทั้งความหวาดกลัวและกระวนกระวายล้วนจุกแน่นอยู่ในจิตใจ ส่วนหยางอี้ เขาไม่รู้จริงๆว่าควรภูมิใจหรืออับอายดี ตาเฒ่านี่พูดคำว่าศิษย์รักออกมาได้เต็มปาก อีกทั้งถึงท่านจะเก่งกาจจริงๆก็เถอะแต่การประกาศออกมาเช่นนี้เขาไม่รู้สึกกระดากปากบ้างรึ!
ภายในเรือนไม้ของหยางอี้ ชายหนุ่มเดินนำเข้ามา ก่อนจะมีชายชราอีกสามคนเดินเข้ามา ตลอดทางข่งยี่จางยิ่งคิดยิ่งหวาดกลัว ชะตากรรมของเขาตอนนี้แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ การไม่รู้ว่าอีกไม่กี่ลมหายใจข้างหน้าจะเป็นหรือตายสำหรับมนุษย์แล้วมันน่าหวาดกลัวเกินไป
ภายในเรือนไม้ กู่เทียนชางกวาดตามองไปรอบๆก่อนจะส่ายหัวถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ จักรวรรดิแห่งนี้อ่อนแอเกินไป ขนาดสถานที่บ่มเพาะศิษย์ของสำนักใหญ่ยังทำได้เพียงแค่นี้ ภาระที่ข้ามอบให้เจ้าคงจะหนักเกินไปจริงๆ เจ้าหนู”
ในใจกู่เทียนชางแม้จะเชื่อมั่นในตัวของศิษย์เพียงคนเดียวของเขาผู้นี้ ทว่าในใจกลับหวั่นไหวไม่น้อย ไม่มีผู้ใดเถียงว่าหยางอี้เป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง ทว่าการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดนั้นจำเป็นต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอด้วย ต่อให้เอาคนธรรมดาที่ฝึกฝนภายในสถานที่พวกนั้นมายังจักรวรรดิแห่งนี้ก็กลายเป็นยอดคนได้แล้ว
“อย่าได้กังวลไปเลยท่านอาจารย์ ข้าจะต้องทำความฝันของท่านให้สำเร็จแน่นอน”
กู่เทียนชางเพียงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะรู้สึกอบอุ่นภายในใจ ทว่าความแตกต่างของทรัพยากรที่หยางอี้ได้รับกับเหล่าลูกศิษย์ของอีกฝ่ายนั้นแตกต่างกันเกินไป
“น่าเสียดายที่ข้ายังไม่อาจพาเจ้ากลับไปได้เวลานี้ จากเหตุการณ์ที่พวกมารทลายฟ้าบุกวังหลวง ดูเหมือนจะมีเรื่องไม่ชอบมาพากลซ่อนไว้อีกมาก เฮ้อ ให้ตายสิ ดันเป็นข้าที่อยู่ใกล้ที่สุดจึงต้องรับหน้าที่จัดการเรื่องนี้ต่อ”
การสนทนาของทั้งสองเหล่ยโหลวและข่งยี่จางทำได้เพียงฟังอย่างเงียบๆ เมื่อกู่เทียนชางไม่พูดอะไรอีกก็หันกลับมาจ้องมองยังทั้งสอง
“เหล่ยโหลว เจ้าติดค้างอยู่ระดับจักรพรรดิขั้นที่ 1 มานานแล้วสินะ”
“ใช่แล้วขอรับ ข้าติดอยู่ที่ระดับนี้มาหลายปีแล้ว คาดว่าชีวิตนี้คงไม่อาจก้าวหน้าได้มากกว่านี้”
แม้จะงุนงงว่ากู่เทียนชางรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่เขาก็ตอบออกไปอย่างนอบน้อม ก่อนที่กู่เทียนชางจะโยนขวดหยกมาให้เขา
“ภายในขวดนั้นคือโอสถระดับ 6 ยาประกายสีชาด มันจะช่วยให้เจ้าตัดผ่านไปยังระดับ 2 ได้ภายใน 3 เดือน ถือเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยดูแลหยางอี้”
เหล่ยโหลวกลายเป็นสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นในทันที ตัวเขาค้างอยู่ที่ระดับนี้มากว่าสิบปีแล้ว ใครจะไปคิดว่าวันนี้โอกาสจะมาถึง โอสถระดับ 6 นั้นในจักรวรรดิแห่งนี้แทบจะหาไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ นักปรุงยาของจักรวรรดิเมฆาสวรรค์ แม้จะเป็นความจริงที่เจ็บปวดทว่ามากที่สุดที่พวกเขาสามารถคือการปรุงโอสถระดับ 5 เท่านั้น
แม้จะไม่รู้ว่า ยาประกายสีชาด คือยาอะไรแต่ในเมื่อเป็นโอสถระดับ 6 จึงทำให้จิตใจของเขาสั่นระรัวไปด้วยความตื่นเต้น ชายชราผู้นี้ต้องมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังอย่างมากแน่นอน การมอบโอสถระดับ 6 ออกมาเช่นนี้ แม้แต่องค์จักรพรรดิก็มิอาจทำได้
ไม่ใช่เพียงแค่เหล่ยโหลว ข่งยี่จางเองยังตกตะลึง เขาได้แต่เสียใจกับการกระทำอันโง่เขลาของตัวเองหากก่อนหน้านี้เขาดูแลหยางอี้แทนที่จะคิดจัดการกับชายหนุ่มแล้วละก็ เขาเองก็คงจะได้รับโอสถนี้เช่นเดียวกัน
หยางอี้ตาโตทันที ก่อนจะโพล่งออกมา
“อาจารย์ ข้าเป็นศิษย์รักของท่านมิใช่หรือ เหตุใดครั้งก่อนท่านเพียงให้โอสถรักษาระดับ 4 กับข้าเล่า ท่านไม่ขี้เหนียวไปหน่อยเรอะ”
“เฮ้ๆ ไอ้หนู สิ่งที่ข้าให้เจ้าไปมันมีค่ามากกว่ายานี่ไม่รู้กี่เท่า เจ้าเป็นถึงศิษย์ของข้าหากไม่สามารถปรุงขึ้นมาได้เองก็อย่าฝันว่าข้าจะมอบมันให้เจ้า”
กู่เทียนชางกล่าวพร้อมกับหัวเราะร่าออกมาเมื่อมองไปยังใบหน้าไม่พอใจของหยางอี้ เขาคือใคร เซียนโอสถ! หากลูกศิษย์เพียงคนเดียวไม่อาจหลอมได้กระทั่งโอสถระดับ 6 เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“ต่อไปก็ตาเจ้าแล้ว”
กู่เทียนชางกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับมองไปยังข่งยี่จาง การมองของกู่เทียนชางนั้นเพียงพอแล้วที่ข่งยี่จางจะสั่นไปทั้งตัว ทั่วร่างของเขาเย็นเฉียบราวกับคนตาย เขาค่อยๆก้าวช้าๆอย่างสั่นๆ ไปยังเบื้องหน้าของกู่เทียนชางพร้อมกับคุกเข่าลง
“ผู้น้อยผิดไปแล้ว ผู้น้อยสำนึกแล้ว ขอผู้อาวุโสโปรดเมตตาด้วย”
“เฮอะ! ความผิดของเจ้ามันยากเกินจะอภัยได้ โชคดีที่วันนี้ข้าอารมณ์ดีจึงไว้ชีวิตเจ้า”
ข่งยี่จางกลายเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นในทันที อย่างไรการรับโทษย่อมดีกว่าตายมากนัก เขาฝึกฝนบ่มเพาะพลังมากว่าร้อยปี จะมาตายง่ายๆเพราะความผิดพลาดเช่นนี้ได้อย่างไร
“ข้ามีสองทางเลือกให้เจ้า! หนึ่งทำลายการบ่มเพาะ และสอง…”
กู่เทียนชางพูดขึ้นพร้อมกับหยิบเม็ดยาสีขาวขึ้นมาเม็ดหนึ่ง
“กินยานี่ซะ”
ใบหน้าแห่งความปลอดโปร่งของข่งยี่จางคงอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อทางเลือกทั้งสองที่กู่เทียนชางมอบให้นั้น แม้จะไม่เลวร้ายเท่ากับตายแต่ก็ไม่ได้ดีมากกว่ากันเลย ทำลายการบ่มเพาะ คำนี้เป็นดั่งสายฟ้าฟาดสำหรับผู้ฝึกตน เขาบ่มเพาะมานับร้อยปีหากต้องกลายเป็นคนพิการสู้ตายเสียดีกว่า ทว่าทางเลือกที่สองนี่ยิ่งน่ากลัวเพราะไม่รู้ถึงผลของมัน อีกทั้งเขาเองก็ไม่กล้าถามออกไป ข่งยี่จางสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตัดสินใจเลือกข้อสอง
“เช่นนั้นก็ดี นับว่ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง หยางอี้ ศิษย์รัก หยดเลือดของเจ้าลงบนยานี่”
“อาจารย์ มันคืออะไร? ว่าแต่ทำไมท่านต้องเรียกข้าว่าศิษย์รักด้วย”
หยางอี้ถามออกไปก่อนจะหยดเลือดลงไปยังเม็ดยาสีขาว กู่เทียนชางเพียงยิ้มไม่ตอบอะไรกับชายหนุ่ม ยาเม็ดสีขาวค่อยๆเกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อนที่ครึ่งหนึ่งของมันจะกลายเป็นสีแดง สิ่งนี้ทำให้หยางอี้สนใจเป็นอย่างมาก กู่เทียนชางยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นความสนใจของหยางอี้ เขารู้ดีว่าศิษย์ตัวแสบของเขาต้องชื่นชอบสิ่งนี้เป็นแน่
กู่เทียนชางใช้ลมปราณแผ่ออกมาจากปลายนิ้วเล็กน้อยก่อนจะสลักตัวอักษรลงไปบนเม็ดยา แล้วจึงสั่งให้ข่งยี่จางหยดเลือดลงบนเม็ดยาอีกครั้ง ซีกขาวอีกฝั่งก็พลันค่อยๆกลายเป็นสีแดงก่อนที่กู่เทียนชางจะสลักตัวอักษรลงในฝั่งของข่งยี่จาง
“เจ้ากินมันเข้าไปได้แล้ว”
ข่งยี่จางลังเลเล็กน้อยก่อนจะกลั้นใจกินยาเม็ดนี้เข้าไปเมื่อเห็นสายตาเย็นเฉียบของอีกฝ่าย ทันทีที่เขากลืนยาลงไปนั้นเขาก็ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ก่อนจะเอามือกุมไว้ที่หน้าอกข้างซ้าย ภายในร่างกายของเขาราวกับว่ามีแมลงนับหมื่นกำลังชอนไชไปทั่ว ผ่านไปสิบลมหายใจการทรมานนี้ก็สิ้นสุดลง ข่งยี่จางค่อยลุกขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรงหายใจหืดหอบ
“มันคือยาผูกใจ จงจำเอาไว้ นับแต่นี้ไป หากเจ้ามีความคิดประสงค์ร้ายต่อเจ้าของโลหิตนั้น เจ้าจะตายในทันที และเช่นกันหากเจ้าของเลือดตายลงเจ้าก็จะตาย คราวนี้เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่”
ข่งยี่จางพลันหน้าซีดทันที เรื่องคิดร้ายต่อหยางอี้เขาไม่กล้าแล้วในตอนนี้ ทว่าเรื่องชีวิตของหยางอี้คือสิ่งที่เขากังวล หากเป็นเช่นนี้ชีวิตของเขาก็ขึ้นอยู่กับหยางอี้แต่เพียงผู้เดียวแล้ว
ส่วนชายหนุ่มเจ้าของเลือดอีกคนนั่นหรือ? เมื่อได้ยินประโยชน์ของยาเม็ดนี้แล้ว ดวงตาเขาวาวโรจน์ในทันที ความคิดในสมองร้อยเรียงถึงวิธีการใช้ต่างๆนานา แน่นอนว่ายาผูกใจมีประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างมาก อนาคตหากเจอเรื่องร้ายแรง ยานี่อาจจะช่วยให้เขาพ้นเคราะห์ภัยได้ไม่มากก็น้อย
กู่เทียนชางได้แต่ส่ายหัวเมื่อเห็นสายตาของหยางอี้ ก่อนจะพูดดักออกมาก่อน
“หยุดคิดเรื่องไร้สาระได้แล้วเจ้าหนู ยาผูกใจมีวิธีการปรุงที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก ข้าเองก็มีติดตัวเพียง 4 เม็ด แบ่งให้เจ้าได้เพียง 2 เม็ดเท่านั้น”
“ท่านสมเป็นอาจารย์ที่รักของข้าจริงๆ”
หยางอี้รีบรับยาผูกใจสองเม็ดมาจากกู่เทียนชางแล้วรีบเก็บเข้ามิติทันที ส่วนข่งยี่จางนั้นก็ได้แต่หน้าม่อย ต่อแต่นี้ไปเขาต้องคอยดูแลหยางอี้ให้ดีๆ เพื่อชีวิตของเขาเอง ส่วนเหล่ยโหลวนั้นตอนนี้ในใจมีแต่ความลิงโลดอยากกลับไปปิดด่านฝึกตนเสียให้เร็วที่สุด จนไม่ได้สนใจข่งยี่จางแม้แต่น้อย
“พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว ข้ามีธุระต้องคุยกับหยางอี้ อย่าให้ใครมารบกวน”
กู่เทียนชางกล่าวออกมาก่อนที่ผู้อาวุโสทั้งสองจะจากไป แล้วจึงหันมามองหยางอี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“เร็วเข้า เร็วเข้า ศิษย์รักเอามันออกมาให้อาจารย์ดู”
หลังจากผู้อาวุโสทั้งสองจากไป แทบจะในทันทีท่าทางวางมาดของกู่เทียนชางเปลี่ยนเป็นลุกลี้ลุกลนในทันที แววตาเผยความตื่นเต้นราวกับเด็กได้ของเล่นก็มิปาน หยางอี้เห็นสภาพนี้แล้วก็มิรู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อาจารย์ท่านเป็นถึงเซียนโอสถนะ! ท่าทางแบบนี้มันอะไรกัน
ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะนำผลึกเพลิงพิสุทธิ์ในมิติออกมา ทันทีที่มองเห็นผลึกใสหกเหลี่ยมกู่เทียนชางตั่วสั่นในทันที ชั่วชีวิตนี้แม้จะได้สมญานามเซียนโอสถทว่าก็ไม่เคยแม้แต่จะได้ครอบครองเพลิงศักดิ์สิทธิ์
“เพลิงสีขาวบริสุทธิ์ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่เหล่านักปรุงยาโหยหา ฮ่าๆๆๆๆ สรรค์ไม่ทอดทิ้งข้าจริงๆ”
กู่เทียนชางหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง หยางอี้มองไปยังท่าทางของอาจารย์ของเขาอย่างงุนงง ท่านจะดีใจอะไรขนาดนั้นกัน ถึงจะเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็เถอะ ข้าไม่รู้วิธีใช้มันหรอกนะนอกจากปลดผนึกหม้อจิตวิญญาณ
“ฮึ่ม! ไอ้หนู ฟังให้ดี เพลิงพิสุทธิ์คือหนึ่งในเก้าเพลิงศักดิ์สิทธิ์ และมันเป็นเพลิงที่เหมาะแก่นักปรุงยาที่สุด! เพราะความพิเศษของเพลิงพิสุทธิ์นั้นจะทำให้ทุกอย่างที่มันสัมผัสกลายเป็นสิ่งบริสุทธิ์ในทันที ไม่ว่าจะพิษใดๆ หากความเข้มข้นของเพลิงมากพอ มันจะสามารถชำระล้างได้ในทันที ดังนั้นเรื่องการแยกสิ่งเจอปนไม่ต้องพูดถึง!”
กู่เทียนชางพูดออกมาอย่างจริงจัง เรื่องนี้ทำให้หยางอี้งุนงงและตกตะลึง เป็นเสี่ยวเฮยมิได้บอกถึงเรื่องพวกนี้ ทำให้หยางอี้ส่งเสียงเข้าไปถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งและคำตอบของเสี่ยวเฮยก็เป็นไปตามที่กู่เทียนชางบอก
“หยางอี้! เจ้าให้สัญญากับข้าได้หรือไม่ จนกว่าจะตัดผ่านระดับสวรรค์ห้ามเจ้าฝืนหลอมรวมเพลิงพิสุทธิ์เด็ดขาด!”
“หลอมรวม?”
เห็นได้ชัดว่าหยางอี้ไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย กู่เทียนชางพยักหน้าก่อนจะกล่าวอธิบายออกมา
“เพลิงศักดิ์สิทธิ์สามารถหลอมรวมกับร่างกายได้ และมันจะกลายเป็นหนึ่งในพลังของเจ้า ทว่าการหลอมรวมนั้นเป็นเรื่องยากอย่างมากและมีโอกาศล้มเหลวสูง หากล้มเหลวในการหลอมรวมเลวร้ายที่สุดคือ ตาย! หากเป็นผู้อื่นคงต้องรอให้บรรลุระดับจักรพรรดิเป็นอย่างน้อย แต่หากเป็นเจ้าข้าคิดว่าระดับสวรรค์น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี เฮ้อ ข้ารู้ว่าการให้คนอย่างเจ้ารอนานขนาดนั้นคงจะเป็นเรื่องยาก อีกอย่างมันจะช่วยให้ความแข็งแกร่งของเจ้าเพิ่มมากขึ้น ในเมื่อข้าไม่สามารถดูแลเจ้าได้ก็ได้แต่ให้คำแนะนำเช่นนี้”
กู่เทียนชางกล่าวออกมาอย่างช้าๆ ให้หยางอี้ทำความเข้าใจถึงอันตรายของการหลอมรวมเพลิงศักดิ์สิทธิ์ โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ยิ่งเป็นสิ่งล้ำค่าย่อมแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงมากเช่นกัน
“และสุดท้าย ในโลกแห่งนี้ยังมีผู้ใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์อยู่อีก 2 คน หนึ่งอยู่ในจักรวรรดิมังกรสวรรค์ และอีกหนึ่งอยู่ในทวีปตะวันรอน นี่เป็นเรื่องสำคัญ! อย่าให้พวกมันรับรู้ได้เป็นอันขาดจนกว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงพอ เพราะเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีวันดับมอด ถึงเจ้าจะหลอมรวมได้แล้วก็ตาม แต่หากผู้ใช้ตาย เพลิงนั้นจะกลายเป็นไร้เจ้าของในทันที! นี่คือความน่ากลัวของการครอบครองพลังที่ยิ่งใหญ่ เพราะมันจะตามมาด้วยการแย่งชิงจากผู้อื่น!”
หยางอี้เข้าใจได้ในที่สุด เรื่องนี้สำคัญมากจริงๆ เสี่ยวเฮยเองก็หลับไหลมาหลายร้อยปีจึงไม่ได้รับรู้เรื่องราวพวกนี้ สิ่งที่เขารู้เป็นเพียงเรื่องราวจากยุคอดีต ข้อมูลของกู่เทียนชางจึงสำคัญเป็นอย่างมาก
“ข้าเข้าใจแล้ว จนกว่าจะแข็งแกร่งเพียงพอข้าจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อน”
กู่เทียนชางพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะกล่าวต่อ
“ต่อไปคือเรื่องสำคัญ ที่ข้าต้องบอกเจ้า”
“เชิญท่านกล่าวมาได้เลย”
“อาจารย์เจ้ามีเรื่องบางอย่างต้องทำในช่วงนี้ ดังนั้นเรื่องที่ข้าเคยบอกไว้ว่าจะพาเจ้ากลับจักรวรรดินภาสวรรค์ในอีก 2 เดือนนั้นต้องพักไว้ก่อน”
กู่เทียนชางหยุดไปครู่หนึ่งเพ่งพินิจหยางอี้จึงกล่าวออกมาอีกครั้ง
“อีก 5 ปี นับจากนี้จะมีงานน้ำชาหุบเขาเซียน ข้าต้องการจะเปิดตัวเจ้าที่นั่น หากแต่เงื่อนไขเดียวเท่านั้นที่ข้ามี เจ้าต้องตัดผ่านระดับสวรรค์ขั้นกลางให้ได้เป็นอย่างน้อย!”
กู่เทียนชางกล่าวอย่างจริงจังโดยไม่หลงเหลือท่าทีเล่นๆแม้แต่น้อย งานน้ำชานี้จัดมาแล้ว 9 ครั้ง ทุกๆ 8 ปี และตลอดระยะเวลานั้นกู่เทียนชางทำได้เพียงแบกรับคำค่อนแคะของคนอื่นๆ จะทำอย่างไรได้เมื่อเขาไม่มีศิษย์เช่นคนอื่นเขา แต่ครั้งนี้ต่างกัน เขาได้รับหยางอี้เข้าเป็นศิษย์แล้ว ทว่าหากเทียบกับเหล่าลูกศิษย์ของคนอื่นๆที่บ่มเพาะด้วยทรัพยากรชั้นเลิศตั้งแต่เกิดแล้วหยางอี้นับว่าเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวง
“เฮ้อ! เวลานั้นช่างโหดร้าย หากข้าเจอเจ้าเร็วกว่านี้สัก 10 ปี แน่นอนว่าด้วยพรสวรรค์ของเจ้าสามารถเทียบได้กับเด็กพวกนั้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรหากเจ้าไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ก็เอาไว้ครั้งหน้าค่อยเข้าร่วมแล้วกัน”
หยางอี้รับฟังพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ชายหนุ่มสามารถคาดเดาได้เลยว่าศิษย์ของอีกฝ่ายต้องโดดเด่นถึงเพียงไหน งานน้ำชาหุบเขาเซียน! ไม่ใช่ว่าผู้เข้าร่วมคนอื่นๆเป็นเซียนกันหมดหรอกเรอะ ตัวเขาได้พบกู่เทียนชางยังไม่ถึงครึ่งปีเสียด้วยซ้ำ ทว่าสิ่งที่กู่เทียนชางมอบให้กับเขาก็สามารถทำให้เขาก้าวหน้าได้เหนือกว่าผู้อื่นมากแล้ว ไม่ต้องจินตนาการถึงศิษย์ของเซียนคนอื่นๆที่ได้รับการฟูมฟักตั้งแต่เกิดเลย พวกเขาเหล่านั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน
ท่านอาจารย์วางใจ ข้าจะตั้งใจฝึกฝนและจะไม่ทำให้ท่านต้องขายหน้าอย่างแน่นอน”
หยางอี้กล้ากล่าวออกไปเช่นนั้นเพราะชายหนุ่มมีมิติพิเศษและเสี่ยวเฮยอยู่ ด้วยเวลาที่มากกว่าผู้อื่น และองค์ความรู้จากยุคอดีต ไม่แน่ว่าภายในหนึ่งปีเขาจะสามารถไล่ตามคนพวกนั้นทัน
“เช่นนั้นก็ดี ข้อจำกัดของการแลกเปลี่ยนนี้คือ อายุไม่เกิน 25 ปี ในอดีตศิษย์ของพวกนั้นก่อนจะอายุ 25 ปี ก็ก้าวถึงระดับจักรพรรดิกันหมดแล้ว หากไม่ไหวเจ้าก็มิจำเป็นต้องฝืน ถือว่าครั้งนี้ไปเปิดหูเปิดตาแล้วกัน ด้วยอายุของเจ้ายังมีโอกาศเข้าร่วมได้อีกครั้ง!”
หยางอี้ต้องลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่อีกครั้ง ระดับจักรพรรดิตั้งแต่อายุไม่ถึง 25 ปี นี่มันปีศาจชัดๆ ต้องรู้ว่าพวกผู้อาวุโสของสำนักวิหารสวรรค์กว่าจะตัดผ่านระดับนี้ได้ก็อายุเกินร้อยปีกันหมดแล้ว
หลังจากนั้นกู่เทียนชางได้บอกถึงสถานการณ์คร่าวๆ ให้กับหยางอี้ฟัง ก่อนจะถามไถ่เรื่องการฝึกฝนตำราที่ให้ไว้ การที่หยางอี้สามารถเข้าใจรายละเอียดที่ลึกซึ้งของบทแรกได้นั้นทำให้กู่เทียนชางหัวเราะไม่หยุด ทว่าเมื่อชายหนุ่มทำการเผากระดาษซึ่งเป็นวิธีการฝึกที่เสี่ยวเฮยสอนให้ออกมา นี่ทำให้กู่เทียนชางกลายเป็นอ้าปากค้าง การควบคุมไฟได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว แม้จะมีทักษะซ่อนจันทร์เป็นพื้นฐาน แต่ด้วยเวลาเพียงหนึ่งเดือนกลับทำได้ถึงขั้นนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังทำไม่ได้
ยิ่งมองกู่เทียนชางยิ่งมีความสุข งานน้ำชานั้นก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยชายชราร่างท้วมผู้นี้เป็นคนชอบโอ้อวด การถูกคนอื่นแดกดันนั้นจึงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ทว่าหากเป็นเรื่องที่หยางอี้มีพรสวรรค์ที่เพียบพร้อมสำหรับการปรุงยาขนาดนี้ เรื่องพวกนั้นไม่นับเป็นอะไรได้แม้แต่น้อย อย่าลืมว่าเขาคือเซียนโอสถ ทั้งชีวิตมุ่งมั่นแก่การคิดค้นและปรุงยา เพียงหยางอี้มีความสามารถทางด้านปรุงยาเหนือล้ำกว่าผู้อื่นก็เพียงพอแล้ว
สองศิษย์อาจารย์อยู่พูดคุยกันอีกเล็กน้อย ยามตะวันตกดินกู่เทียนชางจึงออกจากสำนักวิหารสวรรค์ไป หยางอี้เรียบเรียงวางแผนสิ่งที่ต้องทำใหม่อีกครั้ง ด้วยเวลาที่จำกัดเช่นนี้ การก้าวไปสู่ระดับสวรรค์มิใช่เรื่องง่าย ตอนนี้เขาอยู่เพียงระดับปฐพีขั้นที่สองเท่านั้น ยังอีกห่างไกลกว่าจะก้าวไปถึง
หยางอี้เลิกคิดเรื่องงานน้ำชาไปก่อน ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือการจัดการกับดวงจิตทั้งสองและฝึกปรุงยาระดับ 1 ให้สำเร็จ เดิมทีตามที่เคยได้ยินว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้จะมีการคัดเลือกศิษย์หลักเพื่อเข้าร่วมการประลองคัดเลือกของ 5 มหาอำนาจของจักรวรรดิแห่งนี้ เพื่อหาตัวแทนเข้าร่วมงานประลอง 5 จักรวรรดิ ที่จะจัดขึ้นในจักรวรรดิมังกรสวรรค์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ทว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้วเพราะเพียงแค่เขาเอ่ยปาก แน่นอนว่าทางสำนักย่อมไม่กล้าขัดใจอย่างแน่นอน
หยางอี้เข้าสู่มิติพิเศษอีกครั้งเพื่อจัดการกับทรัพยากรที่ได้รับมาจากป่าสวรรค์ในครั้งนี้ แน่นอนว่าด้วยนิสัยชายหนุ่มไม่ต้องการจะพึ่งพาสำนักมากเกินไป อีกอย่างเขาเองก็จะอยู่ที่สำนักนี้อีกไม่กี่เดือนเท่านั้น ดังนั้นเมื่อออกไปหยางอี้ก็ไม่ต่างจากคนตัวเปล่า ชายหนุ่มจึงต้องเร่งหาหนทางในการใช้ชีวิตและฝึกฝนที่โลกภายนอก และปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วก็คือทรัพยากร และเขาจำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากเรื่องครั้งนี้มีเพียงผู้อาวุโสระดับสูงที่รู้เรื่อง และทุกคนถูกสั่งห้ามโดยบรรพชนไม่ให้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก ผู้อาวุโสและศิษย์คนอื่นๆจึงรู้เพียงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการตัดผ่านระดับของบรรพชนเท่านั้น
***
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน หยางอี้เก็บตัวบ่มเพาะพลังปราณไม่ออกไปไหน จนในที่สุดร่างเหี่ยวแห้งของเสี่ยวเฮยเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจออกจากที่พัก เป้าหมายคือหอประมูลเทียมฟ้า
หยางอี้แต่เดิมไม่ร้อนใจเรื่องการทำอาวุธแล้ว จากที่เสี่ยวเฮยเคยกล่าวไว้ทั้งดวงจิตและแร่บริสุทธิ์สามารถหาได้อย่างง่ายดายหากปลดผนึกมุกมิติราชันย์แล้ว ทว่าหลายวันมานี้ชายหนุ่มต้องปวดหัวไม่น้อยเพราะมีดวงจิตอยู่ถึงสองดวงทำให้แร่บริสุทธิ์ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ส่วนแร่ที่มีอยู่นะหรือ? เรื่องนี้หยางอี้ได้แต่ชมตัวเองไม่ขาดปากเพราะมันคือ หินสีดำที่ซื้อมาจากเมืองพยัคฆ์เมฆาเมื่อหลายเดือนก่อน
หินสีดำนี้แท้จริงคือแร่นิลกาล เป็นแร่ธาตุความบริสุทธิ์ระดับ 8 ซึ่งถือว่าสูงมากๆ ตามที่ผู้อาวุโสหั่วโพ่งกล่าวไว้คือ ต้องใช้ดวงจิตระดับสวรรค์ขั้นปลายรวมกับแร่บริสุทธิ์ระดับ 5 ขึ้นไป เพียงแต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นว่าดวงจิตที่หยางอี้มีเป็นถึงระดับจักรพรรดิ ดั้งนั้นแร่บริสุทธิ์ระดับ 5 นับว่าอ่อนเกินไปหากนำมาใช้หลอมรวมกับดวงจิตระดับนี้
โชคดีที่หินดำนิลกาลที่หยางอี้มีเป็นระดับ 8 นับว่าเข้ากันได้อย่างพอดี ทว่าก็โชคร้ายอีกเช่นกันเพราะการหาแร่บริสุทธิ์ระดับ 8 อีกชิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ตอนนี้หยางอี้จะร่ำรวยราวกับเศรษฐีหากขายทรัพยากรที่เก็บเกี่ยวมาจากภูเขาไฟออกไป แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหาซื้อได้
ผ่านไปอีก 10 วัน หยางอี้เข้าออกโรงประมูลแป็นว่าเล่น สมุนไพรบางส่วนถูกนำออกมาประมูลจนตอนนี้เรียกได้ว่าชายหนุ่มกลายเป็นเศรษฐีน้อยไปแล้ว สำหรับแร่บริสุทธิ์ระดับ 8 ทางโรงประมูลจัดการเป็นธุระให้ หยางอี้ไม่รู้ว่าหยิงเฟยจะใช้วิธีไหนแต่นางรับปากอย่างมั่นเหมาะว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้อย่างแน่นอน แม้จะสงสัยอยู่บ้างถึงเบื้องหลังของหยิงเฟยแต่ชายหนุ่มก็มิได้ถามอะไรออกไป ต่างคนต่างมีความลับเป็นเรื่องธรรมดา
การนำสมุนไพรระดับ 4 และ หญ้าบัวราตรีออกมาประมูลนั้นทำให้หยางอี้ได้รับแต้มมากว่า 3 แสน แต้ม และชายหนุ่มไม่ลังเลที่จะใช้แต้มเกือบทั้งหมดในการแลกเปลี่ยนแร่บริสุทธิ์ระดับแปดและแหล่งพลังปราณระดับสูงเพื่อตอบแทนเสี่ยวเฮย
ของทุกอย่างนั้นหยิงเฟยขอเวลา 1 เดือนในการรวบรวม โดยระหว่างนี้หยางอี้เริ่มปิดด่านฝึกตนอีกครั้ง ภายในมิติพิเศษ ด้วยเวลาที่เดินช้ากว่าภายนอก 5 เท่า หยางอี้ในที่สุดก็ก้าวถึงระดับปฐพีขั้นที่ 3 ระหว่างการบ่มเพาะการฝึกหลอมยายังคงเป็นไปได้ด้วยดีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ยาระดับ 1 ที่หยางอี้ปรุงนั้นยิ่งมายิ่งมีความบริสุทธิ์สูง
ด้วยเวลาที่มากกว่าชายหนุ่มไม่รีบร้อนแต่อย่างไร เมื่อประสบปัญหาในการปรุงยาเขาจะใช้เวลามากขึ้นเพื่อปรับปรุงแก้ไขและหาวิธีการที่ถูกต้องอย่างไม่ลดละ ยาที่หยางอี้ปรุงนั้นเป็นยาสมานกระดูกและฟื้นฟูพลังปราณ แม้การปรุงจะไม่ซับซ้อนแต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำออกมาให้สมบูรณ์ หยางอี้ใช้เวลาเกือบ 2 เดือนในการหาวิธีการที่ถูกต้องที่สุด
วันเวลาหมุนไป ภายนอกเหลืออีก 10 วันจะถึงเวลานัดหมายของหยิงเฟย หยางอี้จึงออกจากการปิดด่าน ทรัพยากรจำนวนมากที่ใช้ในการฝึกฝนก็เริ่มลดน้อยลงทุกที ชายหนุ่มออกจากเขาทดสอบและมุ่งหน้าสู่ป่าสวรรค์อีกครั้ง
ภายในป่าสวรรค์หยางอี้ทอดสายตามองไปยังเขาแฝดอีกลูกด้วยความตื่นเต้น ใช่แล้วมันคือที่บำเพ็ญเพียรของราชันย์น้ำเงิน อสรพิษเหมันต์พิสุทธิ์ ตลอดมาหยางอี้หวังไว้อย่างเต็มเปี่ยมว่าภายในที่บำเพ็ญเพียรของราชันย์น้ำเงินจะต้องมีสมบัติหรือสมุนไพรระดับสูงอยู่แน่นอน โดยเฉพาะเกล็ดของมัน ทว่าเมื่อออกจากป่าคราวที่แล้วเกิดเหตุขึ้นมากมายอีกทั้งเสี่ยวเฮยเองยังสูญเสียพลังไปไม่น้อยทำให้หยางอี้ต้องพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแม้ในหัวใจจะคันยิบๆ
หลายวันก่อนเมื่อได้รับคำยืนยันจากเสี่ยวเฮยว่าที่บำเพ็ญเพียรของราชันย์ทั้งสองควรจะมีสมบัติระดับเดียวกันอยู่บ้าง หยางอี้จึงตื่นเต้นกระทั่งไม่มีสมาธิในการฝึกฝน ทว่าเสี่ยวเฮยได้เตือนไว้แล้วว่าราชันย์น้ำเงินนั้นแตกต่างจากราชันย์แดง เพราะที่บำเพ็ญเพียรของมันนั้นอยู่ใต้น้ำ เป็นเรื่องยากที่จะลงไป ด้วยที่ใต้น้ำนั้นเต็มไปด้วยสัตว์อสูรที่เคลื่อนไหวรวดเร็ว อีกทั้งการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มจะถูกจำกัดลงไม่น้อย
หยางอี้บัดนี้ยืนมองอยู่เหนือบึงน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนแอ่งกระทะของเขาแฝด ด้วยทักษะซ่อนจันทร์ชายหนุ่มกระจายพลังปราณออกไปเพื่อตรวจสอบเบื้องล่าง และสิ่งที่สัมผัสได้ถึงกับทำให้เขาต้องเสียวสันหลังวาบ เบื้องล่างนั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมายที่หลับไหลอยู่ หยางอี้ไม่รู้ระดับของพวกมันอย่างชัดเจน แต่หากลงไปตอนนี้แน่นอนว่าคงไม่พ้นเป็นอาหารของพวกมันแน่นอน
เมื่อทำอะไรไม่ได้หยางอี้จึงต้องจำใจกลับออกจากป่าสวรรค์ ตามที่เสี่ยวเฮยบอกทางเดียวที่จะลงไปได้อย่างปลอดภัยคือปลุกด้วยจิตของราชันย์น้ำเงินขึ้นมา และนั่นหมายถึงต้องรอจนกว่าอาวุธใหม่จะสร้างเสร็จ หยางอี้จึงเข้าพบผู้อาวุโสหั่วอีกครั้ง
ตั้งแต่กู่เทียนชางจากไปไม่นานหยางอี้ได้เข้ามาพูดคุยกับชายชราร่างเตี้ยครั้งหนึ่งแล้ว และเมื่อหั่วโพ่งรับรู้ถึงวัสดุที่ชายหนุ่มนำมาให้เพื่อสร้างอาวุธชิ้นใหม่ หัวใจเขาถึงกับสั่นระรัวจนแทบจะเป็นลม ด้วยวัสดุชั้นยอดพวกนี้สิ่งที่สร้างออกมาย่อมอยู่ในระดับจักรพรรดิเช่นกัน! สำนักวิหารสวรรค์นั้นเป็นถึง 4 สำนักใหญ่ของจักรวรรดิเมฆาหวนแห่งนี้ อย่างไรก็มีเพียงศาสตราวุธระดับสวรรค์ขั้นสูงเพียง 2 ชิ้น และแน่นอนว่าสำนักใหญ่ที่เหลือเองก็มิได้มีไปมากกว่ากัน
ดั้งนั้นตลอดชีวิตของช่างทำอาวุธ การสร้างศาสตราวุธระดับจักรพรรดินั้นเรียกได้ว่าเป็นความใฝ่ฝันของหั่วโพ่งเลยก็ว่าได้ หั่วโพ่งนั้นแม้จะเป็นเพียงผู้อาวุโสระดับคลุมเงิน ทว่าหากมองเพียงความสามารถด้านการหลอมศาสตราแล้ว ชายชราร่างเตี้ยผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งของจักรวรรดิแห่งนี้เลยก็ว่าได้
หั่วโพ่งละทิ้งงานทุกอย่างก่อนจะใช้เวลาทั้งหมดร่างแบบแปลนขึ้นมาโดยไม่กินไม่นอนกว่าหลายวัน ความมุ่งมั่นที่จะสร้างสุดยอดอาวุธเป็นแรงกระตุ้นชั้นยอดในการทำงานอย่างดีเยี่ยม
“ฮี่ๆ มาเร็วเจ้าหนู ข้ารอให้เจ้าได้เห็นแบบแปลนนี้จนจะอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว”
หั่วโพ่งยิ้มออกมาหน้าบาน ก่อนจะรีบหยิบกระดาษใบหนึ่งเดินเข้ามาหาหยางอี้ ชายหนุ่มขณะเดินเข้ามาภายในตำหนักส่วนตัวของหั่วโพ่งถึงกับตกตะลึง กระดาษมากมายที่ถูกขยำทิ้งเกลื่อนกลาดจนกองสูงจำนวนนับไม่ถ้วน เพียงมองด้วยสายตาก็คาดได้แล้วว่าหลายวันมานี้หั่วโพ่งร่างแบบลงบนกระดาษพวกนี้ไม่ต่ำกว่าพันแบบ
สิ่งนี้ทำให้หยางอี้ทึ่งและให้ความเคารพกับชายชราผู้นี้มากขึ้น อย่างไรอาวุธชิ้นนี้หั่วโพ่งก็สร้างให้เขา แถมยังไม่คิดค่าจ้างแม้แต่แต้มเดียวอีกด้วย หยางอี้ได้แต่คิดในใจว่าต้องมอบบางอย่างให้เป็นการตอบแทนชายชรา ก่อนจะรับแบบแปลนออกมาคลี่ดู
ชายหนุ่มจ้องมองไปยังรูปวาดที่ทำออกมาอย่างละเอียดพร้อมกับคำอธิบายถึงส่วนต่างๆอย่างจริงจัง ดวงตาชายหนุ่มเบิกกว้างเป็นระยะๆ ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ ขณะจ้องมองแบบแปลนอาวุธ สิ่งนี้ยิ่งทำให้หั่วโพ่งหัวเราะร่าอย่างภูมิใจ
“สุดยอด ผู้อาวุโสหั่ว สมแล้วที่ท่านคืออันดับหนึ่งของจักรวรรดิแห่งนี้ ไม่สิ ด้วยอาวุธชิ้นนี้หากสร้างออกมาสำเร็จ ข้าว่าท่านต้องเป็นอันดับต้นๆของทวีปจันทร์กระจ่างอย่างแน่นอน”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างจริงใจตามที่รู้สึกโดยไม่ยกยอเลยแม้แต่น้อย ด้วยรายละเอียดที่เห็นบอกได้คำเดียวว่าศาสตราวุธชิ้นนี้จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่าแน่นอน และหยางอี้มั่นใจด้วยรูปแบบพวกนี้ศาสตราวุธชิ้นนี้จะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทวีปแน่นอน
“ถูกใจเจ้าไหมล่ะ เจ้าหนู ข้าคนนี้ลงทุนลงแรงอย่างหนักเชียวนะกว่าจะได้แปลนนี้มา”
“แน่นอนอาวุโสหั่ว ข้าพูดได้คำเดียวว่ายอดเยี่ยม”
“ฮี่ๆ เช่นนั้นก็ดี หลังจากได้วัสดุครบแล้วข้าคาดว่าจะใช้เวลาทำราวๆหนึ่งเดือน ที่สำคัญมีสิ่งหนึ่งที่ข้ายังขาดอยู่”
หั่วโพ่งกล่าวออกมาด้วยความกังวลเล็กน้อยก่อนที่หยางอี้จะถามออกไปอย่างสงสัย
“ผู้อาวุโสท่านยังกังวลสิ่งใดอีก”
“เฮ้อ เจ้าหนู แม้ข้าจะมีความชำนาญและแบบแปลนก็จริง แต่ว่าการปลุกดวงจิตและระหว่างหลอมศาสตราจำเป็นต้องมีพลังปราณระดับเดียวกับอาวุธ”
หยางอี้เข้าใจความหมายของหั่วโพ่งในทันทีก่อนจะยิ้มออกมาแล้วรับปากว่าไม่มีปัญหา สำหรับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิเขาจะเป็นคนหามาให้เอง อย่าว่าแต่หั่วโพ่งต้องการ 2 คน หยางอี้คาดว่าตอนนี้หากชายหนุ่มขอร้องเกรงว่าเจ้าสำนักและบรรพชนก็ยังยินดีเข้าช่วยเหลือแน่นอน
หั่วโพ่งแปลกใจเล็กน้อยแต่เมื่อเห็นใบหน้าของหยางอี้ที่ไม่กังวลแม้แต่น้อย ชายชราจึงปล่อยให้หยางอี้จัดการ เดิมทีหั่วโพ่งกังวลกับเรื่องนี้มาก เขารู้ว่าหากเป็นเหล่ยโหลวชายหนุ่มอาจจะขอให้ช่วยได้แต่กับคนอื่นๆในสำนักถือว่าเป็นเรื่องยากอย่างมาก ตัวตนระดับจักรพรรดิมิใช่ผักปลาที่เดินไปไหนก็เจอ
หยางอี้ก้มมองแบบแปลนอีกครั้งอย่างพึงพอใจ จนแทบจะอดใจรอวันที่มันถูกหลอมขึ้นมาไม่ไหว
‘หมื่นสวรรค์เหมันต์โลกันต์’
สิบวันเวียนผ่าน…
รุ่งอรุณยามตะวันสาดแสง หยางอี้เร่งออกจากที่พักด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันที่หยิงเฟยนัดหมายไว้ว่าจะส่งมอบวัตถุดิบให้ ชายหนุ่มจึงรีบมุ่งหน้าเข้าสู่หอประมูลแต่เช้าตรู่ ตลาดแลกเปลี่ยนยังคงคึกคักเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สินค้ามากมายถูกเหล่าศิษย์นำมาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันอย่างคับคั่ง อีกครึ่งชั่วยามจะเป็นเวลานัดหมาย หยางอี้จึงใช้เวลาที่เหลือเพื่อเดินชมสิ่งของในตลาด เผื่อว่าจะมีโชคได้พบของบางอย่าง
หลายวันที่ผ่านมา หยางอี้ปรุงยาระดับหนึ่งขึ้นมากว่า 100 เม็ด ทั้งยาสมานกระดูกและยาฟื้นฟูคุณภาพสูงมีอย่างละ 50 เม็ด หยางอี้แบ่งไว้จำนวนหนึ่งเพื่อเก็บไว้ใช้เองยามจำเป็นและอีกจำนวนหนึ่งชายหนุ่มเลือกที่จะนำออกมาขาย ความตื่นเต้นจำนวนไม่น้อยปรากฏขึ้นภายในจิตใจของเขา ด้วยนี่เป็นครั้งแรกที่จะได้ขายสินค้าซึ่งเป็นของที่เขาปรุงขึ้นมาเอง การตอบรับจากผู้ชื้อนับว่าเป็นสิ่งที่หยางอี้คาดหวังเป็นอย่างมาก ยิ่งใช้เวลากับเสี่ยวเฮยมากขึ้นหยางอี้ยิ่งเข้าใจมาตราฐานของเจ้างูตัวนี้
สิ่งใดที่เสี่ยวเฮยบอกว่าไร้ประโยชน์นั่นอาจจะหมายถึงเป็นสิ่งที่ผู้คนตามหา ส่วนสิ่งใดที่เสี่ยวเฮยบอกว่าพอใช้ได้นั่นหมายถึงเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับผู้อื่น ส่วนสิ่งที่งูน้อยนี่จะมองว่าล้ำค่า เฮอะ ! ช่างเถอะ นอกจากเพลิงพิสุทธิ์แล้วกระทั่งดวงจิตระดับจักรพรรดิเจ้างูน้อยยังไม่ชายตาแล
หยางอี้เดินดูสิ่งของไปพลางๆ เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรน่าสนใจชายหนุ่มจึงมุ่งหน้าตรงไปยังย่านร้านขายโอสถที่อยู่ทางทิศเหนือของภูเขา บริเวณนี้อยู่ติดชายขอบของเขาแลกเปลี่ยน ร้านโอสถส่วนมากมิได้เป็นแผงลอยเหมือนภายในส่วนกลางแต่เป็นร้านใหญ่ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ร้าน หนึ่งร้านเป็นของสำนัก อีกสองร้านเป็นของเขาโอสถและตระกูลเตียว
หยางอี้เลือกมุ่งหน้าไปยังร้านยาฮงเทียน ที่เป็นของเขาโอสถจึงเดินเข้าไปภายในร้าน หยางอี้กวาดสายตามองไปภายในที่ถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบง่ายทว่ากลับเต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพรหอมชวนให้รู้สึกสบายเมื่ออยู่ในนี้ ด้านในมีชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งพริ้มตาทอดอารมณ์อยู่
หยางอี้เดินเข้าไปก่อนจะสังเกตใบหน้าชายชราผู้นี้อย่างชัดๆ ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาปรากฏในจิตใจ เสียงกระทบพื้นของชายหนุ่มปลุกให้ชายชราปรายตามามองเขาก่อนที่ชายชราจะยิ้มออกมา
“เป็นเจ้านี่เอง”
“ท่านรู้จักข้า? ผู้อาวุโสเราเคยเจอกันหรือเปล่า?”
ชายชราเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวนามของตนออกมา
“ข้าคือ เตียลี่ยี้”
หยางอี้ขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะครุ่นคิด ชื่อนี้คุ้นเป็นอย่างมาก หยางอี้พยายามนึกย้อนกลับไปก่อนจะจดจำนามเตียลี่ยี้ได้ ครั้งแรกที่เดินทางมายังหอประมูลเทียมฟ้า ขากลับนั้นชายหนุ่มได้รับจดหมายลึกลับฉบับหนึ่ง บอกว่าให้ไปพบที่เขาโอสถ แล้วลงท้ายว่า เตียลี่ยี้ คาดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นก็คือชายชราที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้ แต่กระนั้นหยางอี้ก็ยังคงรู้สึกคุ้นหน้าเขาอยู่ดี หากเป็นเพียงอีกฝ่ายส่งจดหมายมาความรู้สึกเช่นนี้ไม่น่าปรากฏขึ้น
“เป็นผู้อาวุโสนี่เอง ต้องขออภัยด้วยที่ข้านั้นยุ่งจนไม่มีเวลาไปพบท่านตามคำเชิญ”
อันที่จริงตัวชายหนุ่มเองก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยได้รับจดหมายฉบับนี้ ตอนนี้ก็ได้แต่ถูไถไปตามสถานการณ์เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคับข้องใจ
“ฮ่าๆ มิได้ๆ ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าระยะนี้เจ้าวุ่นวายแค่ไหน แล้วกันเถอะ อย่าได้ใส่ใจกับเรื่องในอดีต”
ชายชรายังคงยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นขณะมองมายังหยางอี้ ซึ่งชายหนุ่มเองก็ยิ้มตอบกลับไปก่อนจะเอ่ยถามถึงความต้องการของชายชราที่อยากพบเขาก่อนเป็นอันดับแรก
“ขอบคุณในความใจกว้างของผู้อาวุโส หากท่านมีอะไรเชิญกล่าวออกมาได้เลย”
“ฮ่าๆ ข้าอยากพบเจ้าเพราะมีเรื่องเล็กน้อยต้องการแลกเปลี่ยน ก่อนหน้านั้นข้าขอคำยืนยันให้แน่ใจก่อนว่า เจ้าคือผู้นำหญ้าบัวราตรีเข้าประมูลใช่หรือไม่”
หยางอี้แปลกใจเล็กน้อย แม้ว่าการปกปิดเรื่องนี้ทางหอประมูลจะรับปากแล้ว แต่ช่วงหลังนี้หยางอี้นำวัตถุดิบออกมาขายจำนวนไม่น้อยซึ่งชายหนุ่มเองก็รู้ว่าคงไม่สามารถปกปิดได้อย่างมิดชิดอีกต่อไป ทว่าชายชราคนนี้กลับส่งจดหมายมาในวันแรกที่ชายหนุ่มเข้าหอประมูล
“เป็นข้าเอง แต่ว่าท่านรู้ได้อย่างไร”
“วันนั้นข้าเป็นผู้ชนะการประมูลหญ้าบัวราตรีของเจ้า และตอนเจ้าออกไปข้าบังเอิญเห็นเจ้ากับผู้ดูแลเข้า จึงทำให้เดาเรื่องนี้ได้ไม่ยาก”
คำพูดของชายชราทำให้หยางอี้นึกออกในทันที
“ท่านคือเจ้าเขาโอสถ ผู้เยาว์ต้องขออภัยด้วยที่เสียมารยาท”
“ช่างเถอะๆ เอาเป็นว่ามาเข้าเรื่องกันดีกว่า สิ่งที่ข้าต้องการคือหญ้าบัวราตรี”
หยางอี้สงบสติอารมณ์ลงก่อนจะเริ่มคุยรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เตียลี่ยี้ต้องการ ชายชราเริ่มตั้งข้อตกลงกับหยางอี้อย่างเป็นไปโดยไม่มีการกดขี่แต่อย่างใด หยางอี้ไม่รู้ว่านี่เป็นนิสัยของเขาหรือเพราะสถานะของตนในตอนนี้กันแน่ หญ้าบัวราตรี 20 ปี 1 ตัวราคา 50,000 แต้ม ถือว่าหยางอี้ยังคงได้เปรียบอยู่อีกเล็กน้อยด้วยซ้ำ
หยางอี้นำหญ้าบัวราตรีออกมาให้กับเตียลี่ยี้เพียง 10 ต้นเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าชายชราผู้นี้จะมั่งคั่งขนาดใช้จ่ายออกมา 5 แสนแต้มได้อย่างง่ายดาย แม้จะเหลืออยู่เพียงไม่กี่ต้นแต่ชายหนุ่มก็มิได้กังวลไป อย่างไรแต้มของสำนักวิหารสวรรค์สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้เช่นกัน มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการมัน คุณชายทั้งหลายไม่ว่าจะมั่งคั่งแค่ไหนเมื่ออยู่ภายนอก แต่เมื่อเข้ามาอยู่ภายในสำนัก เงินทองเหล่านั้นกลับไม่มีความสำคัญแม้แต่น้อย ยิ่งคนที่ต้องการนำแต้มมาแลกยิ่งไม่มีให้เห็นเช่นกัน เพราะทรัพยากรสำหรับฝึกฝนทุกอย่างล้วนใช้แต้มในการแลกเปลี่ยน
หลังจากเสร็จสิ้นการแลกเปลี่ยน หยางอี้จึงนำยาที่ปรุงออกมาให้กับเตียลี่ยี้ตรวจสอบเพื่อจะขายออกไปอีกเช่นกัน ใบหน้าของเตียลี่ยี้ยิ่งมายิ่งปั้นยากขณะตรวจสอบเม็ดยาของหยางอี้ แม้ว่าทั้งสองชนิดจะเป็นเพียงยาธรรมดาระดับหนึ่ง ทว่าความบริสุทธิ์ของพวกมันสูงมาก แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบเลยเสียด้วยซ้ำ
ด้วยการฝึกฝนของเสี่ยวเฮยรวมกับความรู้จากตำราของเทพโอสถทำให้หยางอี้สามารถปรุงยาเช่นนี้ออกมาได้ แม้ชายหนุ่มจะทุ่มเทแรงกายในการฝึกฝนอยู่กว่าครึ่งปี ทว่าภายนอกนี้กลับผ่านไปเพียงเดือนกว่าๆ เท่านั้น หากเตียลี่ยี้รู้ว่าหยางอี้เพิ่งเริ่มปรุงยาได้ไม่นาน หัวใจของเขาคงได้แต่ร่ำร้องด้วยความอับอาย
“เป็นอย่างไรบ้าง ผู้อาวุโสเตีย หรือว่าข้าทำผิดพลาดตรงไหน”
หยางอี้ที่เฝ้ารอคำตอบถามออกไปอย่างคาดหวัง เดิมทีชายหนุ่มอยากจะกอดอกยิ้มอย่างภูมิใจขณะที่ชายชราทำหน้าตกตะลึง ทว่าใบหน้าของเตียลี่ยี้กลับดูมืดมนไปชั่วขณะ สิ่งนี้ทำให้หยางอี้คิดว่าเม็ดยาทั้งสองนั้นเขาทำขึ้นมาผิดพลาดหรือเปล่า แม้จะเป็นตำราของกู่เทียนชาง ทว่าทุกสิ่งเป็นตัวเขาที่ลองผิดลองถูกขึ้นมาเอง ชายหนุ่มยังคงไม่กล้าที่จะดูแคลนการตรวจสอบของชายชราเบื้องหน้าในตอนนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้น อ่า... เจ้าเป็นคนปรุงมันขึ้นมาเองจริงๆหรือ”
“แน่นอนขอรับ”
เตียลี่ยี้รีบปรับอารมณ์ให้คงเดิมก่อนจะกล่าวถามออกมา ส่วนหยางอี้นั้นแม้จะไม่เข้าใจความคิดของชายชราแต่ก็ตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“ไม่ใช่ว่ามันผิดพลาด แต่มันเกือบจะเรียกว่าสมบูณ์แบบเลยต่างหาก เม็ดยาทั้งสองนี้ ถูกขจัดสิ่งสกปรกออกไปทั้งหมด สมุนไพรที่ใช้ในการปรุงนั้นเรียกได้ว่าเหลือเพียงแค่ส่วนสำคัญสำหรับตำหรับยาเท่านั้น หากเพิ่มความสมดุลของวัตถุดิบแต่ละส่วนอีกหน่อยมันจะเรียกได้ว่าเป็นเม็ดยาที่สมบูณ์แบบและบริสุทธิ์เต็ม 100 ส่วนเลยทีเดียว หยางอี้เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าใครเป็นอาจารย์สอนเจ้าปรุงยา”
เตียลี่ยี้กล่าวถามออกไปอย่างร้อนรน ในความคิดของเขาหยางอี้จะต้องฝึกฝนการปรุงยามาตั้งแต่เด็กแน่นอน ส่วนอาจารย์ผู้ที่สั่งสอนหยางอี้ให้มีความสามารถเช่นนี้ได้ หากเขาสามารถขอคำชี้แนะจากคนผู้นั้นได้สักเล็กน้อย ไม่แน่ว่าวิถีแห่งการปรุงยาของเขาจะก้าวหน้าไปได้อีกไม่มากก็น้อย
“เรื่องนี้ก็อย่างที่พวกท่านรู้ ข้านั้นมีอาจารย์เพียงคนเดียว”
หยางอี้ตอบตัดคำออกไปก่อนจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
เตียลี่ยี้ยิ้มออกมาเจื่อนๆ เมื่อได้ยินหยางอี้ตัดบท ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่น ยาของหยางอี้นั้นแม้จะดีขนาดไหนก็เป็นเพียงยาระดับหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นยาประเภทรักษาการบาดเจ็บไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเพิ่มพูนพลังปราณแต่อย่างใด แม้เตียลี่ยี้จะให้ราคามากที่สุดเท่าที่รับได้แต่ก็ยังไม่ถือว่ามากมายนัก
เตียลี่ยี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมาเมื่อเห็นคุณภาพของยาที่หยางอี้ปรุง
“อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ที่เขาโอสถจะจัดงานประชันโอสถขึ้น ซึ่งครั้งนี้สำนักวิหารสวรรค์ของเราเป็นเจ้าภาพ การแข่งขันแบ่งออกเป็นสองรุ่น คือระดับผู้อาวุโสและระดับศิษย์ของสำนัก โดยงานนี้จะมีสำนักใหญ่อีก 3 สำนัก และสำนักระดับกลางอีก 4 สำนักเข้าร่วม ไม่รู้ว่าเจ้าจะสนใจหรือไม่ แต่การจะเข้าร่วมนั้นเจ้าต้องปรุงยาให้ได้อย่างน้อยระดับ 2 ขึ้นไป”
“งานประชันโอสถ?”
หยางอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย แน่นอนว่าชายหนุ่มมีนิสัยชอบการแข่งขันอยู่แล้ว ทว่ายาระดับสองนั้นหยางอี้ยังไม่เคยลองปรุงแม้แต่ครั้งเดียว เตียลี่ยี่เห็นท่าทางของหยางอี้จึงกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“การแข่งขันของศิษย์รุ่นเยาว์นั้นจะกำหนดให้ปรุงยาระดับ 2 ส่วนระดับผู้อาวุโสนั้นคือระดับ 3 ส่วนจะให้ปรุงยาอะไรข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ความเป็นไปได้ที่จะให้แต่ละคนเลือกเม็ดยาที่ดีที่สุดของตัวเองก็มีเช่นกัน”
หยางอี้พยักหน้ารับคำอย่างเข้าใจ ภายในจักรวรรดิแห่งนี้ระดับปรมาจารย์นั้นยังปรุงโอสถได้เพียงระดับ 4 ส่วนเตียยี่ลี้เองระดับ 5 ก็ถือเป็นขีดจำกัดแล้ว การที่ให้ศิษย์รุ่นเยาว์ปรุงยาระดับ 2 ในการแข่งขันถือเป็นการท้าทายความสามารถของผู้มีความสามารถเป็นอย่างมาก
“ผู้อาวุโส ข้าต้องการเข้าร่วม เรื่องนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าก็จะเป็นคนสุดท้ายของสำนักวิหารสวรรค์ที่เข้าร่วมงานนี้ แต่ละสำนักสามารถส่งผู้เข้าแข่งขันได้ 3 คน หลังจากนี้อีก 10 วัน ให้เจ้าไปพบข้าในยามตะวันพ้นขอบฟ้า”
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เป็นธุระให้... ข้ามีเรื่องอยากจะรบกวนท่านอีกเล็กน้อย”
“เจ้ามีอะไรก็กล่าวออกมาอย่าได้เกรงใจ”
“ข้าต้องการเตาหลอมโอสถหนึ่งเตา ไม่ทราบว่าท่านพอจะหาให้ข้าได้หรือไม่ เรื่องราคานั้นเชิญท่านกล่าวออกมาได้เลย”
เตียลี่ยี้คิดอยู่ไม่นานก็กล่าวออกมา เตาหลอมโอสถนั้นเป็นสิ่งที่หายากภายในสำนัก แม้เขาโอสถเองก็มิใช่ว่าจะมีใช้อย่างเหลือเฟือ เนื่องด้วยจำนวนศิษย์ของเขาโอสถมีไม่น้อยและศิษย์สายในทุกคนที่เข้าร่วมกับเขาโอสถได้จะได้รับเตาหลอมโอสถคนละเตา นี่ทำให้เขาโอสถต้องแจกจ่ายเตาหลอมโอสถออกไปอย่างจำกัด
“อืม... เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำไปให้เจ้าที่เขาทดสอบเอง”
หยางอี้กล่าวขอบคุณก่อนจะเดินออกจากร้านยาฮงเทียน เตียลี่ยี้นั้นแน่นอนว่าต้องการเห็นทักษะการปรุงยาของหยางอี้ จึงได้กล่าวเรื่องนี้ออกไป ในใจเขาใคร่รู้เป็นอย่างมากว่าหยางอี้ปรุงยาเช่นไรถึงได้ออกมามีความบริสุทธิ์ขนาดนี้
หยางอี้เมื่ออกจากร้านยาฮงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังหอประมูลเทียมฟ้าทันที ตอนนี้ใกล้จะได้เวลานัดแล้ว ชายหนุ่มเองก็ไม่มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าหยิงเฟยจะสามารถหาสิ่งที่เขาต้องการมาได้ครบ ทว่าในใจก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดีเมื่อนึกถึงแบบแปลนที่หั่วโพ่งเอาให้เขาดู
ภายในห้องรับรอง หยางอี้นั่งมองกล่องหยกทั้ง 3 ที่วางอยู่เบื้องหน้าอย่างแปลกใจ สิ่งที่ชายหนุ่มต้องการคือ แร่บริสุทธิ์ระดับ 8 หนึ่งชิ้น และแหล่งพลังงานระดับสวรรค์ขั้นกลาง 2 ชิ้น หากเป็นไปตามนี้มิได้หมายความว่าหยิงเฟยสามารถหาของมาให้เขาได้ครบถ้วนหรอกหรือ
“นี่คือของที่เจ้าต้องการทั้งหมด รู้ไหมพี่สาวคนนี้ต้องเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะหามาได้ครบ”
หยิงเฟยทำสีหน้าเหนื่อยล้าน่าสงสารออกมาก่อนจะกล่าว
“แม่นางหยิงเฟย ข้าต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”
หยางอี้ไม่รู้ว่าหยิงเฟยมีเบื้องหลังขนาดไหน สิ่งของเหล่านี้แม้จะอยู่ในโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ ทว่าก็หาได้ไม่ง่ายนัก เพราะทุกอย่างต่างเป็นของระดับสูง หยางอี้เองก็รู้สึกซาบซึ้งกับการทุ่มเทของหญิงสาว ในอนาคตหากมีเรื่องเดือดร้อน หยางอี้จะยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างแน่นอน
“ฮี่ๆ เอาเถอะอย่าได้ใส่ใจ ข้าเพียงหวังว่าอนาคตเราจะสามารถพึ่งพากันได้”
หยิงเฟยยิ้มร่าก่อนจะกล่าวออกมา รอยยิ้มของสตรีนางนี้เรียกได้ว่าล่มเมืองเลยทีเดียว ความงดงามของหญิงสาววัยกำลังเติบโตช่างยั่วยวนผู้คนมิน้อย
การสนทนาดำเนินไปอีกสักพักหยางอี้จึงออกจากเขาแลกเปลี่ยนเพื่อมุ่งหน้าไปหาหั่วโพ่งในทันที เรื่องการขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสเหล่ยโหลวและผู้อาวุโสข่งยี่จาง ชายหนุ่มได้ติดต่อไปก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อคิดถึงอาวุธชิ้นใหม่ทำให้วันนี้หยางอี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ภายในเขาเตาหลอม ตำหนักของหั่วโพ่งบัดนี้มีชายชรา 3 คนกำลังนั่งสนทนากันอยู่จนกระทั่งสายตาทั้งสามเบนมายังชายหนุ่มผู้มาใหม่ หยางอี้จึงรีบทำความเคารพทั้งสามคน สำหรับข่งยี่จางนั้นในตอนนี้ภายในใจเขาเริ่มยอมรับชายหนุ่มอย่างช้าๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้แม้หยางอี้จะสามารถข่มเหงเขาได้ทว่าเรื่องราวกลับผิดคาด เดิมทีข่งยี่จางนั้นทำใจยอมรับการแก้แค้นของหยางอี้เอาไว้แล้ว แต่ชายหนุ่มไม่เพียงแต่มิกระทำการอันใดกับเขาซ้ำแล้วหยางอี้ยังคงให้ความเคารพและสุภาพกับเขาราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ข่งยี่จางได้แต่โทษตัวเองที่หน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ
“คารวะผู้อาวุโสทั้งสาม ต้องลำบากพวกท่านแล้ว”
“เร็วเข้าเจ้าหนูอย่ามัวพิธีรีตอง ได้ของมาหรือเปล่า”
หั่วโพ่งรีบกล่าวออกมาทันทีอย่างตื่นเต้น กับอาวุธชิ้นใหม่นี้ ไม่เพียงแค่หยางอี้แต่เขาเองก็เฝ้าฝันในวันที่สร้าง หมื่นสวรรค์เหมันต์โลกันต์ สำเร็จแทบไม่ไหวแล้ว
“แน่นอนผู้อาวุโสหั่ว”
หยางอี้พูดขึ้นก่อนจะนำวัตถุดิบทั้งหมดออกมาวางไว้บนโต๊ะ รวมถึงดวงจิตราชันย์ทั้งสองด้วยซึ่งการปลุกดวงจิตทั้งสองจำเป็นต้องให้ผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิช่วยกระตุ้นมันขึ้นมา ระหว่างนั้นกลับมีลมหอบหนึ่งพัดผ่านเข้ามาภายในตำหนัก ทั้ง สี่คน พลันระวังตัวขึ้นมาในทันทีส่วนหยางอี้ไม่รอช้า สองมือคว้าเอาดวงจิตขึ้นมากำไว้แน่น
“เฮ้ พวกเจ้าระวังตัวเกินไปแล้ว นี่ข้าเอง”
ทุกคนมองไปยังร่างชราที่กระเซอะกระเซิงอย่างประหลาดใจ ทั่วร่างกายยังคงมีเกล็ดน้ำแข็งจับอยู่เล็กน้อย
“ท่านบรรพชน? ทำไมท่านถึงมาที่นี่ อีกอย่างทำไมสภาพท่านถึงเป็นเช่นนี้?”
ข่งยี่จางกล่าวถามออกมาอย่างงงงวย ทว่าบรรพชนเพียงโบกมือไม่ตอบอะไรก่อนจะหันมาหาหยางอี้แล้วนำวัตถุขนาดใหญ่สีฟ้าคราม 3 ชิ้นออกมา หยางอี้มองไปยังรูปร่างของมันก่อนจะรู้ในทันทีว่านี่คือสิ่งใด
“หยางอี้ ฝากบอกสหายของเจ้าด้วย นี่คือเกล็ดของราชันย์น้ำเงินที่ข้าบากบั่นลงไปเอามาจากใต้ทะเลสาบ หวังว่าสหายของเจ้าจะเห็นแก่ความพยายามของข้าแล้วไม่ถือสาเรื่องในอดีตอีก”
บรรพชนทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมา ส่วนหยางอี้นั้นหรือ เขาเร่งกล่าวออกไปอีกในทันที
“ท่านบรรพชน เช่นนั้นท่านได้เอาสิ่งใดมาอีกหรือไม่ แล้วที่นั่นมีสมบัติใดอยู่อีก?”
“อ่า สหายน้อย เพียงแค่เกล็ดสามชิ้นนี้ข้าก็สุดความสามารถแล้วในการนำมันออกมา ส่วนยังมีสิ่งใดอีกหรือไม่ข้าไม่มีเวลาได้ตรวจสอบอย่างชัดเจน”
หยางอี้ถอนหายใจด้วยความเสียดายก่อนจะถามเสี่ยวเฮยที่อยู่ภายในมิติ คำตอบคือตั้งแต่ครั้งก่อนที่เกิดเรื่องเสี่ยวเฮยได้ส่งข้อความทางจิตไปยังบรรพชนให้ทำเรื่องนี้เพื่อไถ่โทษ ส่วนที่นำหยางอี้ไปยังป่าสวรรค์ครั้งที่แล้วนั้นเพราะเขารู้ว่าหยางอี้เป็นคนดื้อด้านจึงปล่อยให้ไปสัมผัสด้วยตัวเองถึงเหล่าอสูรที่อยู่เบื้องล่างพวกนั้น
“วางใจได้ท่านบรรพชน สหายข้ายอมรับการไถ่โทษของท่านแล้ว”