บทที่ 242 ศาสตร์ลับแห่งการล่อลวง
“มีคนไล่ตามมาถึงสี่คน? ดูจากความเร็วแล้วพวกมันต้องอยู่ในขั้นที่ห้าถึงเจ็ดของขอบเขตเสินโหยวแน่นอน!”
ด้วยอิทธิฤทธิ์ของแก่นแท้พลังสีดำทำให้ศักยภาพในการฟังของเจียงอี้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากนั้นไม่นานดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นความเย็นชา เมื่อตระหนักได้ว่าความเร็วของพวกมันมากกว่าเจ้าเหลืองใหญ่เสียอีก
หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป อีกไม่นานพวกมันจะต้องไล่ตามมาทันแน่!
ความจริงแล้ว เจียงอี้สามารถหันกลับไปทำลายอุโมงค์ด้านหลังได้ทุกเมื่อเพื่อที่จะสร้างความยากลำบากให้กับคนทั้งสี่
อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกอีกฝ่ายเพ่งเล็งไว้แล้ว มันก็เป็นเพียงแค่การยื้อเวลาเท่านั้น เมื่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือกำจัดพวกมันทั้งหมด
“เจ้าเหลืองใหญ่ เลี้ยวเลย!”
เจียงอี้ไม่ปล่อยให้เจ้าเหลืองใหญ่วิ่งเป็นเส้นตรงอีกต่อไป เขาบังคับให้มันเคลื่อนที่แบบคดเคี้ยวไปมา แม้ว่าจะทำให้ความเร็วลดลง แต่ก็ทำให้ฝ่ายศัตรูไม่สามารถโจมตีด้วยคลื่นพลังได้เช่นกัน
“เจียงอี้ หยุดวิ่งเถอะ! ความเร็วของสัตว์วิญญาณของเจ้าสู้พวกเราไม่ได้หรอก ยอมให้พวกเราจับกุมเสีย แล้วเจ้าจะไม่เจ็บตัว”
“หากเจ้ายอมกลับไปรับโทษแต่โดยดี องค์ราชาจะไม่เอาชีวิตเจ้าเป็นแน่เพราะอย่างน้อยพระองค์ก็จะต้องเห็นแก่หน้าท่านจอมพลอยู่บ้าง แต่ถ้าหากเจ้าไม่ยอมหยุด เจ้าจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่กำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หนึ่งในพวกมันก็ตะโกนขึ้นมา ไม่ใช่แค่นั้น แต่น้ำเสียงของเขายังแฝงไปด้วยพลังลึกลับบางอย่างเมื่อลอยเข้าไปในหูของเจียงอี้
ทันใดนั้นเขาก็เหมือนกับถูกต้องมนต์ ดวงตาเริ่มเหม่อลอยจนในที่สุดก็สั่งให้เจ้าเหลืองใหญ่หยุดเคลื่อนไหว
“พี่สาม ศาสตร์ลับแห่งการล่อลวงของเจ้ายังคงน่าทึ่งเช่นเคย!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวอีกสามคนลอบยกนิ้วให้ เมื่อผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่สามได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจออกมาและหัวเราะ
“ฮ่าฮ่า ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์สูงส่งแค่ไหน แต่มันก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยขอบเขตจื่อฝู่คนหนึ่ง ดวงจิตของมันจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันเชียว?”
“ถึงแม้ว่ามันจะมีสิ่งประดิษฐ์ระดับสูงหรือมีสุดยอดท่าไม้ตาย แต่อย่างมากก็คงอยู่ในระดับเดียวกันกับสุ่ยเชียนโหรวเท่านั้น!”
จากนั้นไม่นาน คนทั้งสี่ก็ตามเจียงอี้มาทันและเห็นเขานั่งอยู่บนหลังของสัตว์วิญญาณด้วยท่าทีเหม่อลอยไร้สติ
“จะฆ่าหรือจับเป็นดี?”
“จับตัวมันไว้ก่อนดีกว่า ข้าคิดว่าฝ่าบาทเองก็คงต้องการเช่นนั้น!”
ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์วิญญาณกล่าวขณะที่หันไปมองเจียงอี้และกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าจะใช้ศาสตร์ลับแห่งการล่อลวงอีกครั้งเพื่อที่จะทำให้มันสูญเสียแรงต่อต้านอย่างสมบูรณ์ น้องห้า น้องหก พวกเจ้าเตรียมทำลายตันเทียนของมันซะและสังหารสัตว์วิญญาณของมันด้วย”
“แต่ก็น่าเสียดายยิ่งนัก หากข้าเดาไม่ผิด สัตว์วิญญาณตัวนี้จะต้องเป็นสัตว์อสูรสายพันธุ์โบราณ - เถาอู้!”
“เถาอู้?”
สีหน้าของสามคนที่เหลือเปลี่ยนไปขณะที่หันไปสำรวจอย่างละเอียดใหม่อีกครั้ง พวกเขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เถาอู้ปรากฏตัวตนเมื่อหลายพันปีก่อน
มันเป็นสัตว์อสูรใต้ดินที่แข็งแกร่งที่สุดตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้มันได้ถูกเจียงอี้ปราบและเปลี่ยนให้กลายเป็นสัตว์วิญญาณของเขาไปแล้ว หากว่าเจ้าของตาย ตัวมันเองก็จะตายไปด้วย
“ดีมากเจียงอี้! จงลงมาจากหลังของเถาอู้อย่างว่าง่ายซะและโยนอาวุธทั้งหมดทิ้งลงบนพื้นด้วย ข้าขอรับประกันเลยว่าเจ้าจะปลอดภัยเมื่อกลับไปถึงอาณาจักร”
“ด้วยศักยภาพของเจ้า หากยอมรับใช้อาณาจักรแต่โดยดี เจ้าจะได้เพลิดเพลินไปกับลาภยศและสาวงามตลอดทั้งชีวิต!”
ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์วิญญาณเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าคำพูดของเขาจะดูไร้ความน่าเชื่อถืออย่างสิ้นเชิงแต่มันกลับฟังแล้วสบายใจอย่างน่าประหลาด
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญอีกสามคนที่เหลือก็เกือบจะหลงเชื่อคำพูดของเขาที่ว่าเจียงอี้จะต้องอยู่รอดปลอดภัยเมื่อกลับไปถึงอาณาจักร แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็รีบส่ายหน้าและดึงสติกลับมา เพราะรู้อยู่แล้วว่านี่คือผลจากศาสตร์ลับแห่งการล่อลวง!
เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น เจียงอี้ที่อยู่ในสภาพกึ่งมีสติก็ลงจากหลังของเจ้าเหลืองใหญ่ด้วยท่าทีเหม่อลอยเช่นเดิม เขายืนอยู่ตรงนั้นและมองกลับมายังผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่โดยไร้ซึ่งร่องรอยจิตสังหารหรือการเคลื่อนไหวใดๆ
“ลงมือ!”
ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์วิญญาณออกคำสั่ง ผู้เชี่ยวชาญที่ถูกเรียกว่าน้องห้าและน้องหกก็ปรี่เข้าไปหาเจียงอี้ด้วยความเร็วสูงสุด
หนึ่งในนั้นชักดาบยาวออกมาและเตรียมที่จะแทงไปยังท้องน้อยของเจียงอี้เพื่อที่จะทำลายตันเทียนของเขา
“ไอ้พวกโง่!”
แต่ในจังหวะนั้นเอง ในขณะที่ทั้งสองอยู่ห่างจากเจียงอี้เพียงแค่สิบเมตร ความงุนงงในดวงตาของเขาก็หายไปและถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา
เจียงอี้รีบนำเจ้าเหลืองใหญ่กลับเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณและปลดปล่อยเพลิงโลกาออกมา จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้เพื่อบังคับปรับเปลี่ยนให้เพลิงโลกากลายเป็นงูเพลิงที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า
“บัดซบ! พวกเราถูกหลอก!”
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองตกตะลึงอย่างยิ่งยวดเมื่อเห็นว่าเจียงอี้ลงมือจู่โจมอย่างกะทันหัน โดยไม่รอช้า พวกเขารีบถอยหนีในทันที
โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ปลดปล่อยแก่นแท้พลังออกไปต้านไว้มิฉะนั้นผลลัพธ์ของมันคงจะออกมาเลวร้ายมาก
แต่ทางด้านเจียงอี้เองก็ไม่คิดที่จะปล่อยคนพวกนั้นไปอยู่แล้ว เพลิงโลกาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลบหนี
ในเวลาเดียวกันเขาก็ใช้ออกด้วยฝ่ามือระเบิดแก่นแท้อีกครั้งทำให้เพลิงโลการะเบิดออกและสร้างความเสียหายในวงกว้าง
“เจตจำนงสังหาร! เพลงดาบเงาวายุ!”
เจียงอี้งัดไม้ตายของเขาออกมาอีกครั้ง แม้ว่ามันจะไม่ส่งผลมากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะชะลอการเคลื่อนไหวของสองผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวได้ในเวลาสั้นๆ
ในขณะที่ดาบเกล็ดทมิฬเริ่มกวัดแกว่ง กระแสลมที่ไม่สมควรมีในสถานที่เช่นนี้ก็พัดผ่านอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นมันก็แปรเปลี่ยนเป็นมังกรวายุจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งเสริมพลังให้กับเพลิงโลกาจนมันกลายเป็นพายุเพลิง
“อ๊ากก! อ๊ากก!”
ทั้งสองคนนั้นอยู่ใกล้กับเจียงอี้มากเกินไป แม้ว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วแต่มันก็ไม่ทันการเสียแล้ว
เปลวเพลิงเริ่มแผดเผาลงบนร่างของพวกเขาโดยไหลผ่านชุดเกราะและทำให้เกิดรอยไหม้ที่รุนแรง หนึ่งในนั้นสิ้นชีพทันที ในขณะที่อีกคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเพลิงโลกาไม่ได้มีพลังทำลายล้างสูงพอที่จะทำลายสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ในทันทีแต่ทำให้มันได้รับความเสียหายเท่านั้น
ฟึ่บ!
อาศัยจังหวะในช่วงชุลมุน เจียงอี้รีบทะยานไปข้างหน้าพร้อมกับร่างที่ลุกท่วมไปด้วยเพลิงโลกา เมื่อไล่ทันผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็ลงมือสังหารอีกฝ่ายจนกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที
“เป็นไปได้ยังไง?!”
ดวงตาของผู้เชี่ยวชาญศาสตร์วิญญาณเต็มไปด้วยความตกตะลึงและสับสน เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเจียงอี้จะมีดวงจิตที่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานศาสตร์ลับของเขาได้
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาทั้งสองก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่มากไปด้วยประสบการณ์ โดยไม่รอช้า พวกเขารีบปลดปล่อยคลื่นพลังออกไปเพื่อบั่นทอนพลังของเพลิงโลกาในทันที
ปัง! ปัง! ปัง!
ทุกครั้งที่โจมตีออกไป เปลวเพลิงเหล่านั้นก็เริ่มสูญเสียสมดุลก่อนที่จะระเบิดเป็นครั้งสุดท้ายและหายไปในที่สุด
แม้ว่าความเร็วของเจียงอี้จะน่าตกตะลึงเมื่อเทียบกับนักสู้ในระดับเดียวกัน แต่เขาจะเทียบกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวได้หรือหากว่าอีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาที่จะหนีลูกเดียว?
“ตาย—!”
เจียงอี้คำรามออกมาโดยที่ดวงตายังคงปราศจากความตื่นตระหนก ในขณะเดียวกันไข่มุกวิญญาณเพลิงก็ส่องแสงพร้อมกับดาบมังกรเพลิงที่โผล่ออมกาและประกอบเข้าด้วยกัน
ยังไม่หมดเท่านั้น หินวิญญาณเพลิงก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา จากนั้นเขาก็ขว้างมันออกไปพร้อมกับอาศัยแรงส่งจากเคล็ดวิชาประเภทฝ่ามือเพื่อเพิ่มแรงส่งอีกที
“หืม?”
“หนี!”
ในตอนแรก ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่เหลือรอดทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้ใส่ใจกับหินวิญญาณเพลิงมากนัก แต่เมื่อมันเข้ามาใกล้ พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่น่าหวาดกลัวซึ่งร้อนแรงยิ่งกว่าเพลิงโลกานับร้อยเท่า
พริบตาเดียว พวกเขาก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังถูกเผาไหม้แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปสามร้อยเมตรก็ตาม
วูบบบบ!
บนพื้น สิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ทั้งสองชิ้นที่ไม่ได้ถูกเพลิงโลกาทำลายก่อนหน้านี้ก็ถูกหินวิญญาณเพลิงหลอมละลายในพริบตาจนมีสภาพคล้ายกับเหล็กหลอมเหลว นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าหินวิญญาณเพลิงทรงพลังขนาดไหน!
“ม่ายยย!”
อุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างฉับพลับทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนหายใจไม่ออก แม้แต่เลือดลมในร่างกายก็เกิดความผิดปกติราวกับกำลังเดือดพล่าน
ทันทีที่หินวิญญาณเพลิงเข้ามาใกล้ ดวงตาของพวกเขาก็เผยให้เห็นความหวาดกลัวที่หยั่งลึกไปถึงดวงวิญญาณ ทันใดนั้นร่างของเขาพวกก็เริ่มลุกไหม้ กระทั่งสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ในมือก็ยังถูกทำลาย
“อ๊ากกก!”
เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาก็ดังสะท้อนไปทั่วทั้งอุโมงค์ซึ่งทำให้ร่างของบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่ถูกส่งลงมาใต้ดินหยุดชะงักพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ต้องไปแล้ว!”
เจียงอี้ไม่กล้ารอช้า เขารีบเก็บทุกอย่างกลับเข้าไปในไข่มุกวิญญาณเพลิงพร้อมทั้งเรียกเจ้าเหลืองใหญ่ออกมา การปะทะกันในครั้งนี้ทำให้ศัตรูที่อยู่ในเส้นทางอื่นๆกำลังมารวมตัวกันที่นี่ ดังนั้นเขาจึงใช้ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้เพื่อทำลายเส้นทางเสีย
ครู่ต่อมา เมื่อเจียงอี้หลบหนีไปแล้ว บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่เหลือต่างก็มาถึงยังจุดเกิดเหตุและยังคงมีคนตามมาสมทบอีกเรื่อยๆ
แต่เมื่อพวกเขาเห็นฉากตรงหน้า สีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดผวา เพราะในบริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยคราบสีดำของเปลวเพลิง ในขณะเดียวกันก็ได้กลิ่นของเลือดเนื้อที่ถูกแผดเผาจนส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วทั้งบริเวณ