ตอนที่ 25 พิพากษา
ตั้งแต่ครั้งที่เทพธิดาเอ็ชสรรค์สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา ตั้งแต่ครั้งที่เทพธิดาแห่งกฎระเบียบ แอสเทีย และเทพธิดาแห่งความโกลาหล ซินเทีย ต่างสรรค์สร้างผู้อยู่อาศัยกลุ่มแรกบนโลกใบนี้ขึ้น นับแต่นั้นสงครามระหว่างกฎระเบียบและความโกลาหลก็กลายเป็นสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นควบคู่กับโลกใบนี้เสมอมา
ศึกนี้ดำเนินต่อไปจนเทพธิดาทั้งสองผู้มีพลังเทียบเคียงกันได้ใช้พลังไปจนสิ้น จนท่านทั้งสองต้องเข้าสู่นิทราอันยาวนานไปอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นเหล่าเผ่าพันธุ์ที่ท่านทั้งสองสรรค์สร้างขึ้นก็ได้สานต่อสงครามที่พวกท่านทิ้งไว้ หลังจากที่ทั้งเผ่าทองคำและเผ่ากำมะถันต่างต่อสู้กันจนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ เหล่าเอลฟ์จันทราที่เป็นตัวแทนแห่งเผ่าเงินและเผ่าคนยักษ์ที่เป็นตัวแทนแห่งเผ่าปรอท ได้สืบต่อสงครามแห่งความเชื่อนี้ต่อไป
สงครามครั้งนี้ไม่เคยจบสิ้นลงเลยตั้งแต่ครั้งที่โลกใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมา
เมื่อครั้งที่กฎระเบียบได้ชัยเหนือความโกลาหล ยุคแห่งกฎระเบียบอันมั่นคงก็จะเริ่มต้นขึ้น แต่เมื่อครั้งใดที่ความโกลาหลได้ชัย ยุคแห่งความโกลาหลอันวุ่นวายก็จะเริ่มต้นขึ้น การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยนี้ได้แสดงถึงความรุ่งโรจน์และความเสื่อมสลายของเผ่าพันธุ์มากมายนับไม่ถ้วน
วิกฤตทั้ง 7 ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นย่อมเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อยก็สงครามนิรันดร์นี้ หรือว่าควรจะบอกว่าวิกฤตทั้ง 7 นั้นเป็นเพียงส่วนเสริมของสงครามนิรันดร์นี้ก็คงได้
หลังจากที่เทพธิดาทั้งสองซึ่งถือเทพรุ่นที่สองได้เข้าสู่นิทราอันยาวนานจนบางคนยังบอกเลยว่าท่านเทพธิดาทั้งสองน่ะได้ตายจากไปแล้ว ข้ารับใช้แห่งเทพธิดาแอสเทีย เทพแห่งแสง เทพผู้สรรค์สร้างแสงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นด้วยตัวคนเดียวก็ได้ขึ้นเป็นแกนหลักของเทพรุ่นที่สามของทางฝั่งกฎระเบียบไป
และแน่นอนว่านี่ก็เป็นเหมือนดั่งผู้มีอำนาจที่ขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยโชคช่วย เหล่ามนุษย์ผู้มีอายุขัยแสนสั้นเอาแต่สรรเสริญในความยิ่งใหญ่ของแสงศักดิ์สิทธิ์ จนหลงลืมความยิ่งใหญ่ของผู้ปกครองยุคก่อนๆไปจนสิ้น
ส่วนทางด้านฝั่งความโกลาหล ข้าต้องขออภัยแต่เนื่องด้วยเหล่าเทพฝั่งความโกลาหลนั้นยึดถือพลังและอิสรเสรีเป็นคติประจำใจอยู่แล้ว ทำให้เหล่าเทพของฝั่งนี้มิอาจตัดสินกันได้ว่าใครจะขึ้นเป็นผู้นำ... ทั้งๆที่ถ้าเทพฝั่งนี้รวมตัวกันได้จะมีพลังเหนือกว่าฝั่งกฎระเบียบไปหนึ่งขุมเสมอแท้ๆ เพราะจะอย่างไรซะ ขุมกำลังฝั่งความโกลาหล ก็เป็นสถานที่ที่ใช้พลังปกครองทุกสิ่ง ผู้อ่อนแอมิอาจอยู่รอด
และเมื่อครั้งที่บุตรรุ่นแรกแห่งกฎระเบียบ เหล่าเทวดา(นางฟ้า)หลงเหลือเป็นเพียงคำบอกเล่าในประวัติศาสตร์ เหล่าเทวดาที่ยังเหลือรอดต่างผันตัวเป็นข้ารับใช้ของเหล่าเทพ ทางด้านปิศาจรุ่นแรกเริ่มแห่งความโกลาหลกลับยังคงใช้ชีวิตสุขสันต์อยู่ภายในขุมอเวจี และนานๆทีถึงจะโผล่หัวขึ้นมาก่อเรื่องบนพื้นทวีปสักครั้ง
ถ้าจะให้ชี้ชัดกว่านั้นล่ะก็ ทั้งๆที่ฝั่งกฎระเบียบมีเทพผู้เป็นเสาหลักอยู่เพียง 7 องค์เท่านั้น แต่ฝั่งความโกลาหลกลับมีตัวตนที่มีพลังเทียบเท่ากันอยู่ถึง 13 ตน ถ้าเกิดฝั่งความโกลาหลรวมตัวกันได้ล่ะก็ บางทีอาจจะเพียงเทพธิดาซินเทียเท่านั้นก็ได้ ที่จะหวนคืนกลับสู่แผ่นดินนี้
เอาล่ะ ต่อไปก็เซ็ตติ้งพื้นฐานของเกมวิกฤตแห่งเอ็ช ภายในเกมนั้นจะมีฝักฝ่ายให้เลือก 2 ฝั่ง ฝั่งกฎระเบียบและฝั่งความโกลาหล ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวเกม ผู้เล่นทุกคนจะต้องเลือกฝ่ายจากตัวเลือกสองตัวนี้ ซึ่งผู้เล่นจะต้องอยู่ภายในฝ่ายที่เลือกไปตลอด นอกเสียจากว่าจะลบตัวละครทิ้งแล้วเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
สงครามของ 2 ฝั่งนี้ได้ดำเนินสืบต่อมาจนมาถึงยุคปัจจุบัน ต่างฝ่ายต่างเคยมีชัยเหนืออีกฝ่าย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นทางฝั่งกฎระเบียบที่ถือไพ่เหนือกว่า
ก็นะ ทุกคนคงพอจะเข้าใจเหตุผลกันอยู่แล้ว ในเมื่อฝ่ายความโกลาหลยึดถือกฎแห่งป่า(ปลาใหญ่กินปลาเล็ก)อันคร่ำครึและดิบเถื่อน ซึ่งย่อมไม่มีผู้ใดที่คงความแข็งแกร่งเอาไว้ได้เสมอ แล้วยังคำถามที่คอยฝังรากอยู่ในใจทุกคนว่า ทำไมถึงเป็นเจ้ากันที่ได้นั่งบนบัลลังก์ ทำไมถึงไม่ใช่ตัวข้า? จนสุดท้ายก็กลายเป็นการแก่งแย่งชิงดีไปในที่สุด ยามที่จะต้องออกไปรับศึกภายนอกก็คอยขัดขากันเอง ท้ายที่สุด ฝ่ายความโกลาหลที่ดูแข็งแกร่ง กลับพากันล่มจมเมื่อออกไปทำศึกจริง
เผ่ากำมะถันและเผ่าทองคำนั้นต่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด ผู้ที่อ่อนแอที่สุดของสองเผ่าพันธุ์นี่เมื่อเติบโตขึ้นขั้นต่ำก็ยังเป็นถึงชั้นทองคำหรือสูงกว่านั้น ชนชั้นผู้ปกครองของสองเผ่าพันธุ์นี้นั้นไม่ได้อ่อนด้อยกว่าเหล่าเทพเจ้าเลย แล้วด้วยนิสัยของผู้ที่อยู่ฝั่งความโกลาหลที่ยิ่งสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง ซึ่งตรงข้ามกับฝั่งกฎระเบียบที่ไม่ว่าจะสู้เท่าไหร่ก็แข็งแกร่งเท่าเดิมมิเปลี่ยนแปลง
แม้จะเป็นเช่นนั้น ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็ยังมีพลังสูสีกันไม่เปลี่ยนแปลง จนสุดท้าย หลังผ่านสงครามไปครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าร้อยละ 90 ของเผ่ากำมะถันและเผ่าทองคำต่างก็สิ้นชีพไปในสนามรบ เหล่ามังกรธาตุและเหล่ามังกรโลหะที่เห็นภัยในการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์จากศึกครั้งนี้ ต่างก็ไม่ยินยอมที่จะเป็นเหยื่อในสงครามนี้อีกต่อไป เหล่ามังกรทั้งสองฝ่ายต่างร่วมกันจับมือก่อตั้งเผ่ามังกรที่สืบมาจนถึงยุคปัจจุบันขึ้น แล้วปลีกตัวออกจาก ‘สงครามศักดิ์สิทธิ์’ อันเป็นนิรันดร์นี้ไป
ด้วยความดื้อรั้นของเหล่าเทพเจ้าจากทั้งสองฝั่ง สงครามครั้งนี้จึงได้ดำเนินต่อไป... เหล่าเอลฟ์ชั้นสูงได้แบ่งภาคตัวเองออกเป็นเอลฟ์ป่า เอลฟ์จันทรา เอลฟ์ราตรี เอลฟ์เงิน และเผ่าพันธุ์เอลฟ์อื่นๆที่คล้ายคลึงกัน แม้แต่เหล่าเทวดาเองก็สรรค์สร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ขุนเขายุคแรกเริ่มขึ้นมา เผ่าพันธุ์ที่ข้าได้กล่าวไปนี้ เมื่อเติบโตขึ้น ความสามารถในการต่อสู้ขั้นต่ำจะอยู่ที่ชั้นเงิน ฉะนั้นเผ่าพันธุ์เหล่านี้จึงได้รับการขนานนามว่า เผ่าเงิน
แล้วเมื่อมีขุมกำลังสายเลือดใหม่ๆปรากฏขึ้นในฝ่ายๆหนึ่ง แต่ขุมกำลังของอีกฝ่ายกลับมีแต่ถดถอยลงเนื่องจากสงครามอันยาวนาน เช่นนี้ย่อมเป็นธรรมดาที่สถานการณ์ของสงครามจะโอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งแทน
แต่แล้ว เผ่ากำมะถันที่ไร้ซึ่งความสามารถในการสรรค์สร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ๆก็หาทางออกของปัญหานี้จนเจอ
เหล่าปิศาจได้ใช้ พลัง ชีวิตนิรันดร์และความรู้มาเป็นข้อเสนอแสนเย้ายวนจนสามารถล่อลวงเผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคแรกเริ่ม เผ่าขุนเขา ให้เข้าร่วมกับฝั่งความโกลาหลได้สำเร็จ จนทุกวันนี้ เผ่าขุนเขานั้นต่างเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ร่อนเร่อยู่ในขุมนรกอเวจี – เผ่าอสูร
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมา เหล่าปิศาจและเหล่าอสูรต่างก็ได้เริ่มศึกนองเลือดที่ไม่มีวันจบสิ้นซึ่งกันและกัน เพื่อค่อยชิงมงกุฎแห่งความชั่วมาเป็นของตน ซึ่งนี่ทำให้เหล่าปิศาจรู้สึกเสียใจอย่างหาที่สุดไม่ได้กับการตัดสินใจครั้งนั้นของพวกตนในอดีต แต่การที่เผ่าขุนเขาร่วงหล่นลงสู่ความชั่วร้ายเอง ก็เป็นการเสริมสร้างกองกำลังสำคัญของฝ่ายความโกลาหลในยามนั้นเช่นกัน
หลังจากลิ้มลองความหอมหวานของข้อเสนอจากเหล่าปิศาจ แม้แต่เหล่าเทวดาตกสวรรค์ มังกรแดง มังกรดำ ยักษ์ไฟและยักษ์มารเองก็แปรพรรคหันมาเข้าร่วมกับฝ่ายความโกลาหล ก่อตั้งเผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมาในชื่อ เผ่าปรอท ซึ่งกลายเป็นเผ่าพันธุ์คู่อาฆาตของเผ่าเงินไปในที่สุด
จากการทรยศของเหล่ามนุษย์ยุคแรก เผ่าขุนเขา ทำให้เหล่าเทพเจ้าฝั่งกฎระเบียบขับไล่เหล่ามนุษย์ยุคแรกออกไปจนสิ้น แล้วสรรค์สร้างเผ่ามนุษย์ยุคที่สองขึ้นมาแทนที่ ซึ่งเป็นสังคมมนุษย์ที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนั้นเอง
แต่มนุษย์ยุคนี้กลับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวเบี้ยชั้นล่างเนี่ยสิ
เมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์ที่มีมาในอดีตแล้ว มนุษย์นั้นช่างอ่อนแอ อายุขัยก็แสนสั้นจนน่าใจหาย ผู้ที่สร้างเหล่ามนุษย์ยุคนี้ขึ้นมานั้นมุ่งหวังที่จะสร้างตัวหมากทหารที่ไม่ส่งผลเสียมากนัก ถ้าเกิดถูกสิ่งที่ตนสร้างมาทรยศหักหลังไป
แต่น่าประหลาดใจยิ่งที่เผ่าพันธุ์แสนอ่อนแอนี้สามารถเปลี่ยนกระแสของสงครามไปได้
เกิดมาอ่อนแอ? นั้นยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เหล่ามนุษย์ไขว้คว้าหาพลัง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ เวทมนต์หรือสิ่งต่างๆอีกมากมายมนุษย์ล้วนศึกษาจนหมดสิ้น มนุษย์ร่ำเรียนวรยุทธจากเหล่ามนุษย์สัตว์ การตีเหล็กจากเหล่าคนแคระและเหล่าคนยักษ์ และเวทมนต์จากเหล่าเอลฟ์
อายุขัยแสนสั้น? นั้นยิ่งทำให้เหล่ามนุษย์หวงแหนเวลาของพวกตนยิ่งขึ้น แล้วด้วยความกระหายในความรู้และแรงผลักดันในตัวของมนุษย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เหล่ามนุษย์สามารถฝากรอยเท้าได้ไม่ว่าที่นั้นจะเป็นสรวงสวรรค์ ขุมนรกหรือมิติอื่นก็ตาม
ยิ่งกว่านั้น ด้วยกฎเหล็กของโลกนี้ที่บัญญัติไว้ว่ายิ่งเผ่าพันธุ์นั้นแข็งแกร่งมากเท่าไร ยิ่งยากต่อการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เหล่ามนุษย์ผู้อ่อนแอย่อมมีความสามารถในการเพิ่มจำนวนในระดับที่น่ากลัว
ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อจำนวนยิ่งเยอะ เผ่าพันธุ์มนุษย์ย่อมไม่ขาดแคลนอัจฉริยะที่จะเข้าเผชิญหน้ากับเหล่าเทพเจ้าและเหล่าปิศาจได้ตรงๆ
หลังจากผ่านพ้นสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน ก็ถึงเวลาที่ยุคของเหล่ายักษ์มารจะมาถึงจุดสิ้นสุด นับตั้งแต่นั้นมาจนถึงในยุคสมัยปัจจุบันแผ่นดินนี้เกือบจะตกเป็นของมนุษยชาติแต่เพียงผู้เดียว และนี่แหละคือตัวอย่างที่ดีที่สุดในการบอกเล่าถึงพลังของมวลมนุษย์
แต่เหล่าตัวตนอันแข็งแกร่งในฝ่ายความโกลาหลเองก็ไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นเพียงไม้ประดับเช่นกัน ถึงแม้ตัวตนเหล่านี้จะมิอาจสร้างสรรค์สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ใหม่ๆขึ้นมาได้ แต่ตัวตนเหล่านี้ก็สามารถบิดเบือนกฎของโลกใบนี้ได้... แล้วด้วยประการฉะนี้เอง ราชันย์บรรพกาลแห่งมวลมนุษย์ จอมทรราชผู้ปกครองโลกใบนี้ในอดีตกาลได้คืบคลานออกจากที่หลับใหลของตน สูบฉีดด้วยพลังแห่งความตายอันไร้สิ้นสุดแทนที่จะเป็นแรงกายและกระแสชีพจร
ใช่แล้วชายผู้ขึ้นเป็นอันเดดตนแรก เทพแห่งความตายผู้เก่าแก่ที่สุด ไอเยอร์
เป็นช่วงเวลาอันแสนยาวนาน ที่เหล่าอันเดดต้องทำหน้าที่รับใช้เป็นเครื่องมือในสงครามของเหล่าปิศาจและเหล่าเทพชั่วร้าย
ข้าต้องขอบอกไว้เลยว่า เหล่าอันเดดกระหายเลือดที่คอยควานหาวิญญาณคนเป็นเพื่อมาเติมเต็มความว่างเปล่าในตนเองนั้นเป็นเครื่องมือสงครามแสนสะดวก ที่ไม่กลัวตายแถมจำนวนยังไม่รู้จักหมดสิ้น
แต่ไม่มีผู้ใดที่อยากเห็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของตนโดนปฏิบัติเยี่ยงตัวหมากใช้แล้วทิ้งหรือเป็นเพียงเครื่องมือในสงครามหรอก เช่นนั้น เทพแห่งความตาย ไอเยอร์ จึงได้แอบมอบภูมิปัญญาของเหล่าปิศาจให้กับเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ แม้จะมีเพียงอันเดดชั้นเงินหรือสูงกว่าเท่านั้นที่จะมีความนึกคิดเป็นของตัวเองได้ แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างเหล่าอันเดดลอร์ดยุคแรกๆขึ้นมา ภายใต้คำบัญชาจากเหล่าอันเดดลอร์ด เหล่าอันเดดจำนวนนับไม่ถ้วนก็พร้อมจะต่อสู้โดยไม่หวาดเกรงสิ่งใด
ในเมื่ออันเดดไม่เกรงกลัวต่อความตาย แล้วทำไมอันเดดยังต้องทนอยู่เป็นทาสด้วยล่ะ?
เอาล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็คือการทรยศจากทั้งเผ่าพันธุ์
ซึ่งในปัจจุบัน ก็อย่างที่เจ้าเห็นจากจักรวรรดิซีหลัว อันเดดนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถือตัวเป็นเอกเทศ แต่ก็มีบ่อยครั้งที่จอมเวทย์เผ่ามนุษย์ที่เกรงกลัวต่อความตายและคอยเฝ้าหาชีวิตอันเป็นนิรันดร์ จนสุดท้ายก็เปลี่ยนตัวเองให้เป็นอันเดดผู้เป็นอมตะ และขึ้นเป็นเสาหลักของเผ่าพันธุ์อันเดด – ลิช เหล่าลิชทั้งหลายก็เกิดขึ้นได้ด้วยประการฉะนี้แล
สงครามที่ไม่รู้จักจบสิ้นของกฎระเบียบและความโกลาหลไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่คนตายจะหลีกหนีไปได้ เมื่อครั้งที่มีคนตาย วิญญาณของผู้ที่เชื่อในเทพเจ้าฝั่งกฎระเบียบจะโดนส่งขึ้นไปบนแดนสวรรค์สถานที่ซึ่งเทพเจ้าทั้งหลายสถิตอยู่ วิญญาณของผู้แข็งแกร่งจะได้รับสิทธิ์ขึ้นเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้า แล้วค่อยต่อสู้รับใช้องค์เทพเจ้าทั้งหลายต่อไป ส่วนผู้ที่ไร้ศรัทธา พวกลัทธิทั้งหลายและเหล่าคนชั่ว วิญญาณของบุคคลเหล่านี้จะโดนส่งให้ไปไหลเวียนในแม่น้ำปรภพที่ไหลตัดผ่านขุมอเวจีและขุมนรก ซึ่งดวงวิญญาณเหล่านี้มีสิทธิ์ที่จะแปลงเปลี่ยนไปเป็นปิศาจหรืออสูรได้ทุกเวลาตราบใดที่ดวงวิญญาณดวงนั้นสามารถขึ้นฝั่งออกจากแม่น้ำปรภพไปได้
สงครามมิติระหว่างขุมอเวจีและแดนสวรรค์ สงครามนิรันดร์ระหว่างขุมกำลังฝ่ายกฎระเบียบและฝ่ายความโกลาหลนั้นยังดำเนินต่อไปเฉกเช่นสายพานเครื่องบดเนื้อที่ไม่รู้จักหมดสิ้น
สำหรับพวกผู้เล่นแล้ว นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นพล็อตเนื้อเรื่องและสิ่งที่จะเป็นขึ้นในอนาคตอีกด้วย
เมื่อครั้งที่เจ้าเลือกแล้วว่าจะอยู่ฝักฝ่ายใด และจุติลงมายังโลกใบนี้ สงครามและหายนะอันไร้สิ้นสุดจะติดตัวเจ้าไปเสมอ
วิกฤตทั้ง 7 แห่งเอ็ช วิกฤต 2 ครั้งแรกนั้นจะเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวมนุษย์เอง ซึ่งเวลา ณ จุดนั้น ผู้ที่มีระดับชั้นเงินบนพื้นทวีปยังมีพลังเพียงพอที่จะเป็นกองกำลังโจมตีหลักได้อยู่ แต่เมื่อครั้งที่วิกฤตที่ 3 ภัยพิบัติอันเดดและวิกฤตที่ 4 การหวนคืนของเหล่าปิศาจและอสูร เริ่มต้นขึ้น สงครามจะยกขึ้นถึงระดับที่เผ่าทองคำต้องยื่นมือมายุ่งในสงครามโดยตรง เหล่ามนุษย์ชั้นทองคำจะเป็นได้เพียงแค่เป้ายิงชั้นสูงหน่อยเท่านั้น
สำหรับวิกฤตที่ 5 และ 6 เราอย่าพึ่งไปพูดถึงในตอนนี้เลย ในวิกฤตที่ 7 ซึ่งเป็นหายนะครั้งสุดท้ายนั้น จะเป็นการฟื้นคืนชีพของเหล่าเทพธิดาทั้งสอง และเป็นการเปิดม่านเริ่มมหากาพย์สงครามเทพเจ้าบรรพกาลขึ้นอีกครั้ง ในเวลานั้น แม้แต่ผู้ที่มีพลังอยู่ในระดับชั้นกึ่งเทวะที่ข้าเคยไปถึงยังเป็นได้แค่เป้ายิงชั้นสูงนิดหน่อยเท่านั้นเอง
เมื่อเวลานั้นมาถึง เหล่าเทพเจ้าจะเปิดฉากรบกันบนโลกที่คนธรรมดาอาศัยอยู่กันแห่งนี้ ทวีปเอ็ชเริ่มพังทลายปริแตกออกจากกัน ประตูที่เชื่อมสู่โลกอื่นทั้งหมดจะเปิดออกชักพาเผ่าพันธุ์ผู้แข็งแกร่งจากโลกอื่นมาแปลงเปลี่ยนให้โลกใบนี้กลายเป็นนรกบนดินโดยสมบูรณ์
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงไม่มีวิกฤตที่ 8 ก็เพราะในเมื่อโลกใบนี้โดนผ่าแยกเป็น 3000 ชิ้นหรือมากกว่านั้น เรื่องวิกฤตอะไรนั่นก็คงไม่สำคัญอะไรอีกแล้วล่ะ...
ไม่ต้องสงสัยแล้วล่ะว่าทำไมพวกนักพยากรณ์(หมอดู)ถึงชอบเป็นบ้ากันนัก แล้วจะให้ข้าทำตัวอยู่เฉยๆได้อย่างไรกัน ในเมื่อข้ารู้โชคชะตาแห่งการล่มสลายกำลังรอข้าอยู่ในวันข้างหน้า...
บางที ข้าอาจจะเป็นบ้าไปแล้วตั้งแต่วินาทีที่ข้ารู้ว่ามีหายนะรอข้าอยู่ในวันข้างหน้าก็เป็นได้ ข้าที่รู้ความจริงก็เอาแต่ไขว้คว้าหาพลังอย่างบ้าคลั่ง ฆ่าผู้อื่นไปมากมาย เอาแต่ใช้ระบบนิ้วทองคำนี้เพิ่มพลังให้กับตัวข้าอย่างคลุ้มคลั่ง ซึ่งในขณะเดียวกัน ความผิดที่ข้าได้ก่อก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวข้าไป
ตามกฎหมายที่ข้าร่างไว้ว่าผู้กระทำผิดต้องได้รับการพิพากษา ข้าเกรงคนที่สมควรจะโดนจับไปเผาทั้งเป็นเป็นอันดับแรกควรจะเป็นตัวข้าเสียมากกว่า
ถึงจะเป็นเช่นนั้น ตัวข้าก็ไม่ขอเถียงให้พ้นผิดแต่อย่างใด ข้าขอยอมรับความผิดที่ข้าก่อไปทุกประการ แต่ข้าไม่เสียใจกับสิ่งที่ข้าได้ทำไปหรอก แต่แล้ว... ตัวข้าก็ดูเหมือนจะสามารถหาวิธีเปลี่ยนกระแสของโลกใบนี้เจอจนได้ ข้าที่เห็นเช่นนั้นก็ลงมือเตรียมการเรื่องต่างๆไปอย่างมากมาย
ซึ่งในปัจจุบันนี้ ช่วงเวลาที่ข้าเฝ้ารอคอยมานานแสนนานก็มาถึง ช่วงเวลาที่ระบบแจ้งข้าว่าเนื้อเรื่องหลักของตัวเกมหรือในชื่อวิกฤตที่ 1 ‘เสียงกระซิบของปิศาจ’ จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
การเริ่มต้นของเนื้อเรื่องหลัก สำหรับใน ‘ประวัติศาสตร์’ ต้นฉบับก็หมายถึงการมาถึงของเหล่าผู้เล่นที่จะคอยเปลี่ยนโชคชะตาของโลกใบนี้
ถ้าเกมนี้เป็นไปตามสโลแกนโฆษณาแปลกๆที่ว่า ‘โลกใบใหม่กำลังรอคุณอยู่ อนาคตอยู่ในมือท่านแล้ว’ ล่ะก็บางทีเหตุการณ์วิกฤตทั้ง 7 อาจจะเกี่ยวข้องกับความโง่เง่าไร้หัวคิดของพวกผู้เล่นก็เป็นได้
เช่นพวกที่ไปเปิดผนึกขุมอเวจีปล่อยให้เหล่าอสูรและปิศาจหวนคืนสู่พื้นทวีป ก็คือพวกผู้เล่นทหารรับจ้างที่ถูกความโลภเข้าครอบงำ แถมภัยพิบัติโครงกระดูกขาวที่ลากแผ่นดินนี้เข้าสู่การรุกรานของอันเดดก็เป็นฝีมือของผู้เล่นอันเดดระดับลอร์ด
เหล่าผู้มาจากต่างโลกที่ไร้ความรับผิดชอบได้ต่อสู้เพื่อเพียงเหรียญทองคำและไอเท็มเครื่องสวมใส่ เหล่าผู้เล่นมองผู้ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้เป็นเพียงตุ๊กตาหุ่นเชิดที่มีไว้ให้รีดไถทรัพย์สิน เหล่าผู้เล่นได้ทำให้วิกฤตที่ยากจะอยู่รอดยกระดับขึ้นเป็นนรกที่ไม่มีทางอยู่รอดได้แทน
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นโลกก็ยังต้องหมุนต่อไป เหล่าผู้เล่นได้ต่อสู้ในสงครามและพลีชีพไปหลายครั้งหลายคราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขนาดที่บางคนรับไม่ไหวจนต้องลบไอดีทิ้งไป ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ก็ยังมีแขกจากโลกอื่นกลุ่มใหม่เข้ามาเติมเต็มอยู่ดี
แต่ครั้งนี้ ที่นี่คือโลกจริง ที่นี่ไม่มีเหล่าผู้เล่นที่คอยกุมอนาคตไว้ในมืออยู่อีกแล้ว ผู้ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโลกใบนี้ได้ก็มีแต่ข้าผู้เฝ้ามองที่เหลือแต่โครงกระดูกอันไม่สมประกอบคนนี้เท่านั้น
“ข้าขอสาบานที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคต เปลี่ยนชะตากรรมของโลกใบนี้ ข้าจักนำพาเหล่าประชาชนให้รอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ให้จงได้”
เอาเถอะ หลังจากที่ข้าพร่ำบ่นมาซะขนาดนี้ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนคงจะเบื่อที่จะรับฟังเรื่องราวเบื้องหลังเบื้องลึกของโลกใบนี้กันแล้ว งั้นเรามากลับเข้าเรื่องที่สลักสำคัญกว่านี้กันเถอะ
ข้าได้คิดหาวิธีที่จะอยู่รอดจากภัยพิบัติทั้งหมดที่จะมาถึงนี้อยู่นานสองนาน อืม อย่างน้อยก็ขอให้เป็นวิธีที่จะหยุดวงจรสงครามนิรันดร์นี้
“แสงศักดิ์สิทธิ์ ห่ะ?”
และแล้วแสงศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้คนนับถือกว่าร้อยละ 30 จากทั่วทุกมุมโลกก็กลายเป็นเป้าหมายทดลองของข้าไป
เทพแห่งแสงผู้แสนโง่เง่าได้ทำเป้าหมายของตนได้สำเร็จลุล่วงแล้วขึ้นเป็นเทพที่แข็งแกร่งที่สุดได้จริงๆ แต่เทพแห่งแสง ในตอนนี้ ด้วยความศรัทธาที่หลั่งไหลเข้ามามากจนเกินไป ทำให้เทพแห่งแสงนั้นถูกหลอมรวมเข้ากับความศรัทธาที่หลั่งไหลเข้ามานั้น จนสูญเสียสติสัมปชัญญะของตนไปในที่สุด หลงเหลือไว้เพียงตัวตนกึ่งแนวคิด
เข้าใจยากเกินไปหน่อยงั้นเหรอ? ก็เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าๆที่โหลดข้อมูลทั้งหมดในอินเตอร์เน็ตเข้ามาในทีเดียวนั้นแหละ ข้อมูลที่มากเกินไปจนทำให้ CPU ระเบิดในที่สุด ระบบทั้งระบบหยุดทำงานลง เหลือไว้เพียงฮาร์ดแวร์ที่ยังคงทำงานต่อไป
อืม เทพแห่งแสงก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ระเบิดไปนั้นแหละ ในตอนนี้เทพแห่งแสงนั้นทำได้เพียงรักษาระบบปฏิบัติการณ์ขั้นพื้นฐานของตัวเครื่องเอาไว้โดยที่ผู้ใช้ขาดการเชื่อมต่อไปแล้วเท่านั้นเอง หรือก็คือ เทพแห่งแสงนั้นคือตัวแนวคิดเรื่องแสงศักดิ์สิทธิ์เอง ซึ่งการสูญเสียเจ้าของ(สติสัมปชัญญะ)ไปเช่นนี้ยิ่งทำให้เจ้าตัวแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
ก็เหมือนกับเทพเจ้ากึ่งแนวคิดองค์อื่นๆนั้นแหละ พระแม่ธรณี ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ กับ เทพีแห่งเวทมนต์ ‘ผู้ปราดเปรื่อง’ ทั้งคู่นั้นแข็งแกร่งแบบไม่น่าเชื่อ แต่นอกเสียจากการมอบพลังให้กับผู้ที่นับถือพระองค์ ทั้งคู่นั้นไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะที่จะทำการอื่นใดได้อีก ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องความสามารถในการแทรกแซงโลกมนุษย์เลย
“บุตรแห่งกฎระเบียบทั้งหลายเอ่ย ตราบใดที่เจ้ายังเชื่อมั่นในแสงศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็ยังมีสิทธิ์ที่จะถือครองในแสงศักดิ์สิทธิ์”
คำสอนของแสงศักดิ์สิทธิ์นี้แลดูจะสูงส่ง แต่ที่จริงแล้ว คำสอนนี่ก็เป็นเพียงวิธีประมวลผลดั่งพวกเครื่องจักรในการจัดการเรื่องคุณสมบัติในการใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ คำสอนนี้ได้กล่าวถึงเงื่อนไขสองประการในการใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ และตราบใดที่มันผู้นั้นสามารถเติมเต็มเงื่อนไขนี่ได้ มันผู้นั้นก็สามารถใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้อแรก มันผู้นั้นต้องมีสายเลือดแห่งกฎระเบียบไหลเวียนอยู่ ข้อสอง มันผู้นั้นต้องเชื่อในแสงศักดิ์สิทธิ์...
เอาล่ะ จากการทดลองของข้าได้พิสูจน์แล้วว่าคำสอนนี้นั้นไร้สาระทั้งเพ แม้แต่ปิศาจในร่างมนุษย์ก็ยังสามารถใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นกัน ขอแค่ให้เจ้าล้างสมองตัวเจ้าเองจนเทพแห่งแสงหลงเชื่อว่าตัวเจ้านั้นเชื่อในแสงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เท่านี้เจ้าก็สามารถใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว
แต่เพียงแค่แสงศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เพียงพอต่อแผนการของข้าแต่อย่างใด
แสงศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ต่ำกว่ากฎระเบียบขั้นหนึ่ง แกนกลางของแนวคิดนี้ก็คือ ‘การชำระล้าง’ ถ้าจะให้พูดล่ะก็ แสงศักดิ์สิทธิ์นั้นจะส่งผลให้ทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้เป็นไปตามครรลอง เช่นนั้น สิ่งที่ฝ่าฝืนครรลอง อาทิเช่น เหล่าอันเดดที่ฝ่าฝืนกฎแห่งความตาย เหล่าปิศาจและอสูรที่ไม่ยอมศิโรราบต่อกฎใดๆทั้งนั้น ตัวตนเหล่านี้ย่อมเป็นศัตรูตัวฉกาจของแสงศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งในความเป็นจริง แสงศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นฝันร้ายของสิ่งมีชีวิตฝั่งความโกลาหลทั้ง 2 เผ่าจริงๆนั้นแหละ... ฉะนั้น พวกที่ใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ป่าวประกาศหาสันติสุขนั้นก็ไม่ต่างจากพวกที่ใช้กำลังทหารบังคับให้โลกนี้เข้าสู่ความสงบนั้นแหละ ยังไงซะ ผลที่ออกมาก็ยังเหมือนเดิมก็คือ บดขยี้ศัตรูของตนให้สิ้นซาก
แต่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเอ็ชก็ได้พิสูจน์แล้วว่า การทำลายล้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้สิ้นไปนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กฎระเบียบและความโกลาหลต่างฝ่ายต่างมิอาจกวาดล้างอีกฝ่ายให้สิ้นไปได้ จะมีก็แต่ชัยชนะแสนสั้นที่จะตามมาด้วยการแก้แค้นแสนเจ็บแสบ
ในเมื่อการทำลายล้างอีกฝ่ายให้สิ้นนั้นเป็นสิ่งที่ไปเป็นไม่ได้ เช่นนั้นการอยู่ร่วมกันก็เป็นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวงั้นเหรอ... จะให้อยู่ร่วมกันกับพวกฝ่ายความโกลาหลที่ไร้เหตุผลเนี่ยนะ? ถ้ามีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปว่าข้าพูดเช่นนี้ล่ะก็ ข้าคงได้รับหลักฐานยืนยันที่มาของฉายาสูงศักดิ์ของข้าที่ว่า ‘ลิชที่ชอบเอาหัวไปราน้ำ โรแลนด์’ แล้วล่ะ
“ถ้าหากมีเส้นขอบเขตที่ทุกคนสามารถปฏิบัติตามได้ล่ะก็”
นั้นคือความคิดแรกสุดที่ผุดเข้ามาในหัวข้า หลังจากนั้น ข้าก็ระลึกได้ถึงอนุสัญญาระหว่างประเทศในชาติก่อนของข้า ต่อมา ข้าก็นึกได้ถึงอาชีพทางกฎหมายที่ข้าเฝ้าทำด้วยใจรักในชีวิตก่อนของข้า...
“เอาเถอะ ในเมื่อตัวข้าก็ยังว่างอยู่ แถมยังโดนจับขังอยู่ที่นครภูผาหลิวฮวงแห่งนี้อีก แล้วทำไมข้าไม่ลองดูซักตั้งล่ะ ไงซะข้าก็ไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว”
จากนั้น ‘ตัง ตัง ตัง’ ศาลสูงสุดสร้างเสร็จเรียบร้อย ‘ตัง ตัง ตัง’ 4 สำนักก่อตั้งเสร็จสิ้น ‘ตัง ตัง ตัง’ ระบบกฎหมายทั้งระบบจัดตั้งเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย...
แล้วเมื่อครั้งที่จู่ๆสมุดโน๊ตหนาเตอะที่อัดแน่นด้วยกฎหมายนานับประการได้รับการยอมรับจากต้นกำเนิดแห่งกฎระเบียบ ให้กลายเป็นอุปกรณ์ชั้นเทวะต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมาย แล้วพลังแห่งกฎหมายเองก็ได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นพลังที่เทียบเท่ากับแสงศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ยากที่จะยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริงที่สุดก็คือ ตัวข้าคนนี้นี่แหละ
หลังจากสภาวะไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นอันยาวนานของข้าได้ผ่านพ้นไป ตัวข้าก็เข้าสู่สภาวะมิอาจควบคุมให้หยุดหัวเราะได้อีก ตัวข้านั้นมีความสุขเหลือเกิน... ข้าหัวเราะ แล้วก็หัวเราะ แล้วข้าก็ร้องไห้ ตัวข้าเองมิอาจจดจำได้เสียด้วยซ้ำว่าชีวิตนี้ข้านั้นต้องทนทุกข์เป็นบ้าเพราะเรื่องนี้มานานเท่าใด นานเท่าใดที่ข้าต้องพยายามดิ้นรนแก้ไขเรื่องนี้...
“ฮาฮาฮาฮาฮา สุดท้ายคำตอบมันก็ง่ายดายแค่นี้เองแท้ๆ ตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมานี้ เป็นข้าเองที่เอาแต่เดินเป็นวงกลม ให้คิดว่ากุญแจที่จะไขเรื่องทุกอย่างนั้นอยู่กับข้ามาตั้งแต่ต้นแล้วแท้ๆ” หลังจากความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสถึงสิ่งที่เรียกว่าวันแห่งความหวัง
แกนกลางของแสงศักดิ์สิทธิ์ก็คือ ‘การชำระล้าง’ เป็นการกวาดทุกสิ่งอย่างให้กลับเข้าสู่กฎระเบียบที่ควรจะเป็น แต่แกนกลางของพลังแห่งกฎหมายของข้านั้นคือ ‘ความเท่าเทียม’ ทุกชีวิต ทุกตัวตนต่างมีเหตุผลและกฎระเบียบอยู่ในตัวตนนั้น แม้แต่ความโกลาหลเองก็เป็นกฎระเบียบที่บิดเบือนไปในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายสามารถทำงานอยู่ภายใต้ขอบเขตที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับกันได้ล่ะก็ เช่นนี้การอยู่ร่วมกันก็ย่อมเป็นไปได้
ขอบเขตนี้เองที่เป็นรากฐานของพลังแห่งกฎหมาย
“มันผู้ใดที่ก้าวล้ำออกจากขอบเขตจะต้องถูกลงทัณฑ์ หรือแม้แต่โดนตัดสินโทษ ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใคร แข็งแกร่งเพียงใด ถือเผ่าพันธุ์ใด เมื่อมาอยู่ต่อหน้าตาช่างแห่งกฎหมาย ทุกคนนั้นเท่าเทียมกัน”
พลังแห่งกฎหมายยุคแรกเริ่มนั้นคล้ายคลึงกับกฎหมายในยุคโบราณที่พวกเราเคยมีนัก นั้นคือการที่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งเป็นพลังที่แสนจะหยาบกร้านและยากที่จะควบคุม พลังนี้นั้นทำร้ายไม่ว่าจะทั้งตัวศัตรูและตัวผู้ใช้เอง แต่โชคยังดีที่ ตราบใดที่ฮอร์ครักซ์ของข้ายังไม่เสียหาย ข้าก็ยังสามารถคืนชีพขึ้นมาได้อีก ไงซะข้าก็คุ้นชินกับการต้องตายอยู่แล้วนิ... แค่ก หลังจากที่ข้าเพิ่มเติมกฎหมายเข้าไปและเปลี่ยนแปลงแก่นหลักของกฎหมายซะใหม่ พลังแห่งกฎหมายในตอนนี้ก็ยิ่งเข้าใกล้ ‘กฎหมายแห่งความเท่าเทียม’ ที่ข้าหวังจะสร้างขึ้นเข้าไปทุกที
“ตราบใดที่ผู้บังคับใช้กฎหมายยอมละทิ้งความเป็นส่วนตน แล้วตัดสินใจที่จะสู้เพื่อความเท่าเทียมและความยุติธรรม มันผู้นั้นก็จักสามารถถือครองพลังแห่งกฎหมายได้”
ข้าได้ลอกเลียนหลักการคำสอนอันเรียบง่ายของแสงศักดิ์สิทธิ์มา แต่วันที่กฎหมายของข้าจะไปถึงระดับแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นยังอยู่ห่างไกลนัก
ด้วยฐานะแนวคิดที่พึ่งเกิดขึ้นใหม่ พลังแห่งกฎหมายนั้นยังอ่อนแอและยังต้องการศรัทธาอีกมากเพื่อที่จะเติบโตขึ้น ในตอนนี้ มีเพียงที่นครภูผาหลิวฮวงเท่านั้นที่มีพลังแห่งกฎหมายอยู่อย่างหนาแน่น โดยมีแต่บริเวณรอบๆต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมายเท่านั้นที่พลังแห่งกฎหมายจะมีพลังเทียบเท่ากับแสงศักดิ์สิทธิ์
“ถึงยังไงซะ ตอนนี้พวกเราก็ยังไม่มีเทพแห่งกฎหมายเป็นตัวเป็นตนอยู่ดี แต่สักวันพวกเราจะต้องมีแน่...”
ก็อย่างที่ข้ากล่าวไปตอนที่ข้าแกล้งเหล่าหน่วยรักษาความสงบ(ที่สวนสนุกอันเดด) ว่าสักวัน จะต้องมีเทพแห่งกฎหมายเกิดขึ้นและพลังแห่งกฎหมายจะได้รับการยอมรับไปทั่วแผ่นดิน ตราบใดที่แผนชั่ว... เหเห ข้าว่าเรามาใช้คำว่าแผนการแทนกันดีกว่า เป็นไปตามที่ข้าวางไว้ล่ะก็ อะไรที่ควรจะเกิดก็ต้องเกิด
“สักวันหนึ่ง เทพแห่งกฎหมายและเหล่าผู้บังคับใช้กฎหมายจะใช้พลังแห่งกฎหมายนี้โรมรันไปทั่วหล้า ทุกหัวเมืองนครจะก่อตั้งระบบกฎหมายอันเที่ยงธรรมของตนขึ้น...”
...ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้น! ข้าขอสาบานต่อฮอร์ครักซ์ของข้า!
ครั้งนี้ ข้าจะไม่ขอเป็นไอ้โง่ที่เอาตัวเข้าแลกใช้แขนอันเปราะบางทั้งสองข้างหยุดรถบรรทุกที่ชื่อว่าการเปลี่ยนแปลง ‘ประวัติศาสตร์’ อีกแล้ว ครั้งนี้ ข้า และเหล่าผู้ใช้กฎหมายที่เชื่อมั่นในกฎหมายทุกคนจะเป็นผู้ขีดเขียนประวัติศาสตร์ผืนใหม่นี้ขึ้นเอง
เมื่อครั้งที่อดัม เจ้าบื้อนั้นถามข้าว่านี่มันคุ้มกันเหรอที่ข้าต้องเสียสละไปมากมายขนาดนี้เพื่อความฝันลมๆแล้งๆ คำตอบของข้าก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิม
“แน่นอนสิว่าต้องคุ้ม ความฝันของข้านั้นเป็นดั่งฝืนสมุทรแห่งดวงดารา สักวันหนึ่งพลังแห่งกฎหมายของข้าจะต้องก้าวข้ามพลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์อันกระจ้อยร่อยนั้นไปให้ได้”
ใช่แล้ว สิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นการลิดรอนฐานความเชื่อของแสงศักดิ์สิทธิ์อย่างมิต้องสงสัย บางทีข้าควรจะดีใจก็ได้ที่เทพแห่งแสงสูญเสียสติสัมปชัญญะของตนไปแล้ว ไม่เช่นนั้นตัวข้าอาจจะต้องพบจุดจบที่จู่ๆก็มีลำแสงจากฟากฟ้าส่องลงมาลบตัวตนของข้าให้หายไปจากโลกใบนี้ก็เป็นได้
แต่ ณ ตอนนี้ แทนที่พวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้โง่ง่มทั้งหลายจะเป็นเดือดเป็นร้อนกับสิ่งที่ข้าทำ พวกมันกลับปิติยินดีที่มีพลังจากต้นกำเนิดแห่งกฎระเบียบเกิดขึ้นใหม่ ขนาดที่ส่งคนมาร่ำเรียนกฎหมายของข้าไป...
เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ขอให้ข้าได้ไปหลบมุมหัวเราะสักนิดละกัน เมื่อครั้งที่พลังแห่งกฎหมายขึ้นเป็นพลังสายหลักและระบบกฎหมายถูกก่อตั้งขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน เช่นนี้จะยังมีใครต้องการตัวตนเยี่ยงโบสถ์แสงศักดิ์สิทธิ์ที่คอยเอาแต่พร่ำบ่นคำสอนล้าสมัยอยู่อีกล่ะ? หรือว่านี่จะเป็นการเดินหมากทำลายตัวเองในตำนานกัน?
เรื่องนี้ทำให้ข้านึกถึงเหตุการณ์ในโลกอื่นที่บาทหลวงผู้คอยสอนหนังสือตามโบสถ์ กลับกลายมาเป็นผู้ริเริ่มสรรค์สร้างวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่เป็นส่วนช่วยกลบฝั่งความเชื่อที่พระเจ้าสร้างโลกซะเอง... ประวัติศาสตร์ทั่วโลกนี่ช่างคล้ายคลึงกันซะจริงๆ ผู้แรกที่ขุดหลุมทำลายตัวเองย่อมเป็นคนในเองเสมอ
อืม เมื่อเวลานั้นมาถึง เหล่าผู้นับถือแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องตกงานกันน่ะสิ เช่นนั้นเพื่อเป็นการชดเชย ข้าก็ขอเปิดระบบเปลี่ยนอาชีพจากอัศวินศักดิ์สิทธิ์เป็นอัศวินแห่งความยุติธรรม จากนักบวชเป็นผู้พิพากษา จากจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้เอ่ยวลีมนตราแห่งกฎหมายขึ้นมาละกัน เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
“ท่านค่ะ พวกเราเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
น้ำเสียงของอิลิซ่าได้เข้ามาหยุดฝันกลางวันสุดแสนวิเศษของข้าไป
ที่นี่คือหอประชุมแห่งแรกของศาลสูงสุด และในขณะเดียวกันก็เป็นชั้นศาลที่ใหญ่ที่สุดด้วย ที่แห่งนี้สามารถจุคนได้กว่าหนึ่งพันคน แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่โต ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่นี่นั้นมีค่าที่สูง ฉะนั้น ข้าจึงได้ใช้งานที่นี่ไปเพียงไม่กี่วาระเท่านั้น
“บัดนี้ ถึงเวลาที่พวกเราจะแสดงให้โลกเห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงของพลังแห่งกฎหมายเสียที นับจากนี้ไป มีที่นี่นครภูผาหลิวฮวงเป็นจุดกำเนิด พลังแห่งกฎหมายจะขจรไปไกลทั่วทุกมุมโลก...”
น้ำเสียงนุ่มลึกได้เอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย แต่น้ำเสียงนี้กลับสะท้อนก้องทั่วทั้งหอประชุมขนาดมโหฬาร จนกลับกลายเป็นเสียงสะท้อนอันโบราณหนักแน่น ราวกับเสียงที่ดังก้องออกมาจากประวัติศาสตร์ ราวกับสิ่งที่เสียงนี้เอ่ยมานั้นเป็นอนาคตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
ตอนนี้ ตัวข้าได้นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงสุดของชั้นศาล ทางฝั่งที่นั่งสักขีพยาน(ผู้ชมการพิพากษา)ยังคงว่างเปล่าดังเดิม ในขณะที่ที่นั่งด้านซ้ายของข้าคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในระบบกฎหมาย ผู้พิพากษา เคล ดีย่า และทางด้านขวาของข้าก็คือ เสวี่ยถีผู้ที่อยู่ในระดับชั้นตำนานที่ตอนนี้กำลังมีสีหน้าบูดบึ้ง
อิลิซ่าได้ส่งหนังสือเก่าแก่เล่มหนาเตอะที่หน้ากระดาษภายในเหลืองกรอบไปหมดแล้วให้กับข้าอย่างระมัดระวัง หนังสือเก่าแก่ขนาดที่อาจจะสลายหายไปเมื่อต้องลมเล่มนี้ก็คืออุปกรณ์เทวะที่มีพลังแห่งกฎหมายสูงที่สุด ต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมาย
“ไงไอ้เพื่อนยาก ข้าไม่เคยใช้เจ้าอีกเลยตั้งแต่วันที่เจ้ากลายเป็นอุปกรณ์เทวะ”
เมื่อได้สัมผัสถึงสัมผัสอันคุ้นชิน ตัวข้าก็ถอดหายใจเล็กๆออกมา ก่อนที่จะมองดูไปรอบๆ ทั้งเคลและเสวี่ยถีก็ต่างผงกศีรษะให้ข้า บ่งบอกว่าพวกตนก็พร้อมจะลุยแล้วเหมือนกัน เช่นนั้น ข้าก็ขอเริ่มการว่าความครั้งนี้
“ข้า ผู้พิพากษาสูงสุด วูเมี้ยนเจ้อ”
“ข้า ผู้พิพากษาขั้นหนึ่ง เคล ดีย่า”
“ข้า ผู้พิพากษาขั้นสอง เสวี่ยถี”
“พวกเราขอเรียนเชิญเปิดศาล! เริ่มว่าความได้!”
สิ้นสุดคำประกาศของพวกเรา ละอองแสงสีเงินแห่งกฎหมายก็ได้โปรยลงมาดังดวงดาวที่เจิดจรัสไปทั่วฟ้า ก่อนที่ทั่วทั้งหอประชุมจะเจิดจ้าไปด้วยแสงสีเงิน ในวินาทีถัดมา พวกเราก็ไม่ได้อยู่ในชั้นศาลอันเก่าแก่อีกแล้ว ตอนนี้พวกเราอยู่ในห้วงมิติอันว่างเปล่าไร้สิ่งใด
“เคล”
เคลได้รับอุปกรณ์ชั้นเทวะต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมายไป ก่อนที่ผู้เอ่ยวลีมนตราแห่งกฎหมายชั้นผู้บรรลุ เคล ดีย่า ผู้นี้จะลูบหนวดที่ตนภาคภูมิ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันนุ่มลึก
“ชั้นศาลแห่งดวงดารา!”
ยอดฝีมือชั้นตำนานนั้นจะทิ้งห่างจากยอดฝีมือชั้นทองคำด้วยการแสดงให้โลกได้เห็นถึงความเจิดจรัสในดวงวิญญาณของตนผ่านตราประทับวิญญาณ ถ้าเช่นนั้น แล้วยอดฝีมือชั้นผู้บรรลุจะทิ้งห่างจากยอดฝีมือชั้นตำนานเช่นไรล่ะ
“คำตอบก็คือโลก ยอดฝีมือชั้นผู้บรรลุนั้นต่างมีโลกวิญญาณเป็นของตน โลกวิญญาณนี้จะช่วยให้เหล่ายอดฝีมือได้ฉายโลกในอุดมคติในหัวใจของตนออกมาสู่โลกความเป็นจริง ภายในโลกที่ตนสร้างขึ้นมานั้น เหล่ายอดฝีมือจะสามารถแสดงพลังออกมาได้เป็นสามเท่าจากในยามปกติ”
ด้วยความช่วยเหลือจากต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมาย เคลก็สามารถสร้างโลกวิญญาณของตนออกมาได้อย่างรวดเร็ว
ที่นี่คือชั้นศาลที่สร้างสรรค์ขึ้นจากแสงดาว ที่แห่งนี้นั้นมีที่นั่งผู้พิพากษา ที่ยืนจำเลย ที่ยืนโจทก์ ทุกสิ่งที่ชั้นศาลพึ่งมีที่แห่งนี้ก็มีทั้งสิ้น ที่ชั้นศาลแห่งนี้ ทักษะและอุปกรณ์ที่มีไว้รบราฆ่าฟันมิอาจใช้ได้ คำโป้ปดนานัปการมิอาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ สิ่งเดียวที่จะพึ่งพิงได้ที่นี่ก็คือความจริงและวาทะผ่านกฎหมายเพียงเท่านั้น
แต่ ณ ตอนนี้ ที่นั่งฝั่งสักขีพยานที่เคยว่างเปล่าได้ถูกเติมเต็มด้วยแสงจากประกายดาว เหล่าวิญญาณวีรชนบรรพกาลแห่งดวงดาราได้ถูกเชื้อเชิญมาร่วมเป็นสักขีพยานในการพิพากษาครั้งยิ่งใหญ่ครานี้
แต่ไม่ใช่เช่นเดียวกับสักขีพยานผู้รับชมธรรมดา เหล่าดวงวิญญาณทั้งหลายจะใช้ความยุติธรรมในตัวเองที่โลกเคยสรรเสริญเมื่อครั้งอดีตมาร่วมตัดสินด้วย ถ้าเหล่าดวงวิญญาณเห็นว่าการพิพากษาครั้งนี้ไม่เป็นธรรม เหล่าดวงวิญญาณก็สามารถบังคับระงับการพิพากษาครั้งนี้ไปได้ ในทางกลับกัน ถ้าเหล่าดวงวิญญาณเห็นว่าการพิพากษาครั้งนี้เที่ยงธรรม เหล่าดวงวิญญาณเองก็ไม่งกที่จะปรบมือให้เช่นกัน
“อันดับแรก ความผิดฐานหลบหนีจากเรือนจำ!”
“ปัง!” ค้อนพิพากษาได้ฟาดลงก่อนที่แสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ที่ยืนฝั่งจำเลยที่เคยว่างเปล่าได้อัดแน่นไปด้วยร่างโปร่งใสจำนวนหนึ่ง และขณะเดียวกันเหล่านักโทษหลบหนีจากเรือนจำนครภูผาหลิวฮวงทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ในภวังค์อย่างพอเพียงกัน
ร่างกายของเหล่านักโทษตอนนี้เอาแต่จ้องไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า โดยที่แขนขาต่างไร้เรี่ยวแรงใดๆ เหล่านักโทษต่างเอาแต่ยืนนิ่งๆเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ราวกับว่าวิญญาณได้ลอยออกจากร่างไปแล้ว ที่จริง ก็ลอยออกจากร่างไปจริงๆนั้นแหละ
“ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่กัน...”
“ที่นี่คือ?”
เมื่อเห็นถึงเหล่าวิญญาณนักโทษหลบหนีที่เริ่มจับกลุ่มพูดคุยกัน ข้าก็เคาะค้อนพิพากษาในมืออย่างเบาๆ
“วลีมนตราแห่งกฎหมาย: จงอยู่ในความสงบ!”
จากนั้น ก็มีแต่เสียงของเสวี่ยถีที่กำลังพึมพำเวทมนต์อยู่เท่านั้นที่ยังคงดังอยู่
ที่ศาลแห่งนี้ อัตราการกินมาน่าและผลที่ได้จากวลีมนตราแห่งกฎหมายนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากมายนัก แม้จะเป็นเพียงวลีมนตราแห่งกฎหมายชั้นหนึ่งวงเวทย์ แต่ตัวเสวี่ยถีก็ยังต้องใช้เวลาในการร่ายไปกว่า 30 วินาที !
“วลีมนตราแห่งกฏหมาย: คำตัดสิน!”
เมื่อครั้งที่เสวี่ยถีได้ร่ายวลีมนตราแห่งกฎหมายเสร็จสิ้น แสงสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นบนตัวเหล่าวิญญาณทุกดวงพร้อมกับภาพฉายอันคลุมเครือที่ปรากฏขึ้นบนหน้าผากดวงวิญญาณแต่ละดวง ภาพฉายที่ฉายถึงความผิดที่เหล่าดวงวิญญาณได้ก่อขึ้น ภาพที่ฉายว่าพวกมันได้ทำร้ายผู้คุมเรือนจำเช่นไร หนีออกจากเรือนจำเยี่ยงไร ฆ่าหน่วยลาดตระเวนที่ขวางทางไปเยี่ยงไรและทำร้ายเหล่าประชาชนที่อยู่ตามทางเช่นไร
“มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตไปกว่า 147 ชีวิตและมีความเสียหายโดยประมาณอยู่ที่ 3.62 ล้านเหรียญทองคำ”
เหล่าดวงวิญญาณแห่งดวงดาราที่อยู่ทางฝั่งที่นั่งสักขีพยานเริ่มที่จะสบถออกมาด้วยความโกรธเคือง สำหรับวีรชนในอดีตกาลเหล่านี้แล้ว การทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์นั้นถือเป็นเรื่องน่าอดสูของผู้แข็งแกร่ง นี่เป็นการกระทำที่เหล่าวีรชนมิอาจยอมรับได้ ขนาดที่ว่ามีวีรชนมากมายหลายคนยกนิ้วโป้งลงให้กับเหล่าวิญญาณนักโทษหลบหนี
“ประหาร!!”
“ประหาร!!”
จากนั้น เหล่าภาพฉายทั้งหมดก็เล่นมาถึงฉากสุดท้าย ฉากที่ฉายถึงอนุสรณ์หน้าประตูเรือนจำนครภูผาหลิวฮวง บนอนุสรณ์นั้นได้มีกฎหมายหลากหลายข้อที่ข้าเป็นคนสลักไว้เองกับมือ
“กฎหมายนครภูผาหลิวฮวงมาตราที่ 97: ผู้หลบหนีออกจากเรือนจำจักต้องถูกแขวนคอ!”
“ปัง!”
ค้อนพิพากษาในมือข้าได้ฟาดลงทันทีหลังจากนั้น
“จำเลย 1461 คนถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงในข้อหาหลบหนีออกจากเรือนจำ ทางศาลขอตัดสินให้จำเลยต้องถูกประหารด้วยการแขวนคอ! คำตัดสินนี้ต้องได้รับการดำเนินการในทันที!!”
ในวินาทีต่อมา วิญญาณของเหล่านักโทษทั้งหมดก็ได้กลับเข้าร่างตน ตัวพวกมันนั้นยังปกติดังเดิม นอกเสียจากเหงื่อเย็นๆที่อาบอยู่ทั่วร่าง เหล่านักโทษต่างดีใจที่เรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงฝันร้าย จนพวกมันไม่รู้สึกตัวเลยว่าที่คอของพวกมันได้มีสัมผัสที่ทำให้พวกมันหายใจยากขึ้น ยากขึ้น...
เมื่อสิ้นเสียง ‘ฮูลา’ อันบาดหู ศีรษะของพวกมันก็โดนดึงขึ้นด้วยเชือกที่มองไม่เห็น หลงเหลือไว้เพียงขาทั้งสองข้างที่เตะอากาศอย่างร้อนรน
แม้ว่าตัวพวกมันจะคว้าจับลำคอตัวเองอย่างรุนแรง จนเกิดเป็นบาดแผลมากมายซักเพียงใด พวกมันก็มิอาจที่จะจับต้องเชือกที่ไร้รูปร่างได้ หลังจากดิ้นรนไปหลายอึกใจ สุดท้ายแขนทั้งสองข้างของพวกมันลู่ลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลังจากพิพากษาปิดคดีแรกเสร็จสิ้นไป ตัวข้าก็สูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ
“ประหารชีวิตเสร็จสิ้น ความผิดที่ 2! ความผิดฐานทรยศต่อบ้านเมือง!”
ขั้นตอนการตัดสินรอบนี้ก็คล้ายคลึงกับเมื่อสักครู่ จะต่างไปก็แค่จำเลยคราวนี้คือสมาชิกสภาที่สมคบคิดกับนครใต้พิภพนครอื่นที่ยังคงเหลือรอดอยู่ พวกโทรลที่ฉวยโอกาสจากความวุ่นวายออกปล้นสะดม ฆ่าฟันผู้อื่น แล้วก็พวกอื่นๆที่กระทำการประมาณนี้...
“ประหาร!! ตัดหัว!”
สิ้นเสียงค้อนพิพากษา ศีรษะนับพันก็ร่วงหล่นสู่พื้นดินเบื้องล่าง เหล่าประชาชนในนครที่เห็นเหล่าผู้กระทำผิดได้ตกตายอย่างฉับพลัน ก็ได้คุกเข่าลงขอบคุณปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น!
“ความผิดที่ 3 ความผิดฐานก่อสงครามและรับสินบน!!”
ครั้งนี้ เมื่อสิ้นเสียงค้อนพิพากษาในมือข้า ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้าก็เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง จนท้ายที่สุด ข้าก็มาถึงสนามรบในระยะห่างพอสมควร ภาพที่ปรากฏขึ้นตอนนี้ก็คือเทือกเขากำมะถันที่โดนเปลี่ยนเป็นทุ่งน้ำแข็ง!
ทั้งสองฟากฝั่งที่กำลังรบพุ่งในสนามรบต่างไม่มีท่าทีที่จะรับรู้ถึงการมาถึงของชั้นศาลแห่งดวงดารา มีเพียงมากาเร็ตและหัวหน้าของเหล่ามนุษย์สัตว์เท่านั้นที่เอียงคอหันหน้ามองมาทางนี้
“ย่อมเป็นธรรมดาที่มากาเร็ตผู้ที่ก้าวไปถึงระดับชั้นกึ่งเทวะจะรู้สึกถึงตัวข้าได้ แต่เจ้ามนุษย์สัตว์นี่... ดูท่าเจ้าหมอนี่จะไม่ใช่ชั้นผู้บรรลุธรรมดาๆงั้นสินะ”
แต่ในเมื่อลูกธนูได้ขึ้นสู่แล่งแล้ว ข้าย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากจะว่าความต่อไป
“ข้าขอเตือนต่อชั้นศาลในขณะนี้ผู้กระทำผิดยังคงดำเนินการทำความผิดอยู่ การรุกรานกำลังเกิดขึ้นเบื้องล่างตอนนี้ เช่นนั้นการพิพากษาต้องได้รับการดำเนินการโดยพลัน เพื่อเป็นการลดจำนวนของผู้เสียหายลง!”
“ปัง!” ข้อเสนอของเคลนั้นสมเหตุสมผล แถมยังสามารถช่วยรักษาพลังของต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำลังจะหมดลงอยู่ร่อมร่อได้อีกด้วย เช่นนั้นย่อมไม่มีเหตุผลอันใดที่ข้าจะปฏิเสธ
“เห็นด้วย ลัดขั้นตอนลงแล้วเริ่มพิพากษาในทันที!”
“แผ่นดินนี้อยู่ภายใต้การครอบครองของนครภูผาหลิวฮวง ซึ่งเห็นได้ชัดๆว่า ผู้รุกรานคือ กองทัพพันธมิตรโลกใต้พิภพ ผู้เสียหายคือ นครภูผาหลิวฮวง เช่นนั้นตามประมวลกฎหมาย...”
“ประหาร!”
“ประหาร!”
“ประหาร!”
ผู้พิพากษาทั้ง 3 ได้กล่าวคำตัดสินออกมาเหมือนกัน พร้อมกับเสียงโห่ร้องว่า ‘ประหาร’ ที่ดังก้องขึ้นจากทางฝั่งที่นั่งสักขีพยาน คำพิพากษาจากชั้นศาลได้แสดงผลในทันที ทันใดนั้น...
ทันใดนั้น บนภาคพื้นดิน ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นนายทหารเผ่ามนุษย์สัตว์ยศสูงเพียงไร หรือมากประสบการณ์เพียงใด หลังจากที่โดนตีตราว่ามีความผิดจริง หยาดโลหิตก็เริ่มหลั่งรินจากดวงตา จมูก ริมฝีปากและใบหูของพวกมัน ก่อนที่พวกมันจะล้มลงสู่ผืนแผ่นดินเบื้องล่าง ตกตายไปในที่สุด เหล่ามังกรแดงและมังกรดำที่โผบินอยู่บนท้องนภาต่างมีดวงตากรอกขึ้นก่อนที่จะร่วงหล่นลงสู่ความตายเบื้องล่าง
เหล่านักรบผู้แข็งแกร่งต่างสิ้นชีพไปอย่างเป็นปริศนาตนแล้วตนเล่า เพียงไม่นานความเงียบเชียบอันน่าขนลุกก็แผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทั้งสนามรบ แม้แต่มากาเร็ตผู้ปราดเปรื่องก็ยังต้องตกตะลึงต่อภาพที่เกิดขึ้น
สมรภูมิที่เคยเดือดพล่านเมื่อครู่ได้สงบลงในทันทีหลังจากที่คำพิพากษาถูกถ่ายทอดลงมา
บนผืนแผ่นดินถูกเติมเต็มไปด้วยซากศพของผู้รุกราน...
ณ ตอนนี้ กองทัพพันธมิตรโลกใต้พิภพแทบจะถูกทำลายไปจนสิ้น ข้อยกเว้นก็คงมีเพียงจักรพรรดินีมังกรที่ตอนนี้กำลังบินวนอยู่บนท้องฟ้า
หลังจากที่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดแปลกไป มังกรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใต้พิภพตนนี้ก็ทิ้งเหล่าสหายของตน ถอยออกจากสมรภูมิไปโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ก่อนที่จะสะบัดหางหนีไปทั้งๆแบบนั้น
ตั้งแต่ต้นแล้ว ข้าไม่ได้ใส่จักรพรรดินีมังกรชั้นกึ่งเทวะเข้าไปในการพิพากษาด้วย ด้วยฐานะผู้ที่อยู่ชั้นกึ่งเทวะ นางนั้นแข็งแกร่งเกินไป แม้จะเอาพลังของเคลร่วมกับความช่วยเหลือจากอุปกรณ์เทวะก็ยังไม่มีพลังพอที่จะพิพากษานางได้ ถ้าเคลจะฝืนพิพากษานางล่ะก็ โลกวิญญาณนี้อาจจะเป็นฝ่ายต้องแตกสลายไปเองก็เป็นได้
“ถ้าข้ายังอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดล่ะก็...” ข้าได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก็อย่างคำที่มากาเร็ตชอบกล่าว ‘เอาแต่มโนไปก็เปล่าประโยชน์ คำว่า [ถ้า] น่ะเป็นเพียงคำอ้างที่ผู้อ่อนแอใช้ปลอบตัวเองเท่านั้นแหละ’ ข้าว่าเรามาใส่ใจในสถานการณ์ปัจจุบันจะเป็นการดีเสียกว่า
การพิพากษาได้สิ้นสุดลงแล้ว เหล่าวิญญาณแห่งดวงดาราเองก็เริ่มที่จะสลายไปแล้วเช่นกัน ตัวข้าที่กวาดสายตาไปรอบสนามรบ ก็ได้เห็นผู้ปกครองแห่งมนุษย์สัตว์ที่สิ้นชีพไปแล้วกำลังลุกขึ้นมาพร้อมกับจ้องมาทางข้าด้วยดวงตาวาวโรจน์
ในดวงตาสัตว์ป่าคู่นั้น ได้มีเพลิงโลกันต์สีเขียวดำลุกโชนอย่างโชติช่วงด้วยความเกลียดชังอันจับกระดูก
“เป็นฝีมือของพวกปิศาจจริงๆงั้นสินะ? ดูท่าจะเป็นชนชั้นสูงเสียด้วย เห็นทีครานี้ข้าคงจะจัดการเจ้าสิงโตนี่ไม่ได้งั้นสินะ”
ข้านั้นคุ้นชินกับเปลวเพลิงนี้ดี นี้คือเปลวเพลิงแห่งความโกลาหลที่มีต้นกำเนิดมาจากขุมอเวจี มีเพียงพวกปิศาจที่มีสายเลือดชนชั้นสูงเท่านั้นถึงจะถือครองเพลิงนี้ได้
ในวินาทีถัดมา ร่างของโชว นูย่าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยท่ามกลางหมู่ควันสีดำ
ทางฝ่ายพวกเราเอง การสลายตัวของโลกวิญญาณเองก็ดำเนินมาถึงขั้นสุดท้ายแล้วเช่นกัน
“ท่าน ดูท่าข้าเองคงต้องขอยื่นเรื่องลาหยุดสัก 2 เดือน” ทันทีที่กล่าวจบ ผู้เฒ่าเคลที่ฝืนตัวเองจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ล้มลงสลบไสลไปในทันที
“เจ้าทำได้ดีมาก” หลังจากที่ให้เสวี่ยถีช่วยดูแลเคลต่อ ข้าก็จ้องไปที่ต้นฉบับประมวลบัญญัติแห่งกฎหมายที่สูญเสียแสงสว่างที่เปล่งออกมาอย่างจนใจ หลังจากที่ใช้พลังไปมากมาย ดูท่าอุปกรณ์เทวะเองก็ต้องลาหยุดไปแบบยาวๆเหมือนกันสินะ
แต่เมื่อข้าได้เห็นถึงตัวเมืองที่เริ่มกลับสู่ความสงบ เหล่าผู้รอดชีวิตต่างร่วมขอบคุณในปาฏิหาริย์ เหล่าประชาชนร่วมโอบกอดกันและกัน ขอบคุณที่ยังปลอดภัย ตัวข้าก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปช่างคุ้มเหลือเกิน
สุดท้ายนี่ ข้าก็เคาะค้อนพิพากษาลงอย่างเบาๆ
“ยุติการว่าความ เลิกศาลได้”