ตอนที่แล้วตอนที่ 22 การเป็นคนดีนั้นยากจริงๆ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 24 พลังแห่งกฎหมาย

ตอนที่ 23 นองเลือดและเวทมนต์ต้องห้าม


ในยามที่ทั่วนครภูผาหลิวฮวงตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวาย สามผู้นำกลับนิ่งเงียบจนน่ากลัว มีกระทั่งข่าวลือออกมาว่าตัว 3 ผู้นำนั้นกำลังใช้โอกาสนี้ในการกำจัดกลุ่มหัวรุนแรงต่างๆ แม้จะมองข้ามอีกสองคนไปได้ก็จริง แต่ถ้าสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเยี่ยงอดัมยังอยู่ในนครล่ะก็ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ออกมาจัดการ ในความเป็นจริง ขณะนี้ทั้งสามคนไม่มีใครเลยอยู่ในนคร ที่จริงแม้แต่ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้านครอย่างแอนนี่ ก็ไม่ได้อยู่ในนครด้วยเช่นกัน เมื่อข้าแจ้งทั้งสามคนถึงเรื่องที่เทพอสูรแห่งธาตุไฟน่าจะถูกผนึกอยู่ใต้ภูเขากำมะถัน มากาเร็ตก็รีบตรวจสอบทันที ปรากฎว่ามีอสูรธาตุไฟระดับชั้นกึ่งเทวะหรือสูงกว่านั้นยังมีชีวิตอยู่ภายในเทือกเขานี้จริงๆ “ยุ่งยาก ช่างยุ่งยากจริงๆ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าใครมันมาผนึกอสูรธาตุไว้ที่นี่ แต่ไอ้บ้าที่ลงผนึกนี้ดันใช้ภูเขากำมะถันทั้งลูกมาช่วยเสริมผนึก แถมยังเชี่ยวชาญขนาดใช้สายธารพลังงานใต้พิภพมาหยุดแหล่งพลังงานไม่ให้รั่ว ทำให้ผนึกเสถียรมาก แต่ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็ มีหวังภูเขาทั้งลูกได้ระเบิดไปพร้อมนครภูผาหลิวฮวงแน่” เช่นนี้ทุกคนต้องเป็นกังวลอยู่แน่เลย เจ้าของเสียงปริศนาได้คิดเช่นนั้นก่อนจะเบนสายตาเพื่อมองไปรอบข้าง... เอาล่ะอันที่จริง เสี้ยวหงส์กำลังงีบหลับอยู่ ส่วนตัวข้าก็ยุ่งอยู่การเล่นซ่อนหากับหน่วยรักษาความสงบ เจ้าอดัมก็เอาแต่มองพวกเราพร้อมกับปันยิ้มโง่ๆออกมา อย่างน้อยก็มีมากาเร็ตคนนึงแหละที่เป็นกังวลอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนพูดไม่ออกเลยก็คือ เจ้าอดัมที่ยิ้มระรื่นมาเสนอ ‘ความคิดสร้างสรรค์สุดอัจฉริยะ’ ที่ตนคิดขึ้นออกมา “แหล่งความร้อนธรรมชาติใต้พิภพงั้นเหรอ ถ้างั้น พวกเราก็แค่เติมน้ำเข้าไปนิดหน่อย พวกเราก็ได้บ่อน้ำร้อนแล้วไม่ใช่เหรอ! บ่อน้ำร้อนกำมะถันด้วยนะ ว่ากันว่าบ่อน้ำร้อนรักษาปัญหาผิวหนังได้ผลชะงัดนักแล แถมยังช่วยผ่อนคลายความอ่อนล้าอีกแน่ะ ข้าเองก็อยากจะสร้างบ่อน้ำร้อนขึ้นซักบ่อมานานแล้ว” แน่นอน การกระทำของมันเร็วยิ่งกว่าความคิด สมเป็น ‘ไอ้ลิงที่สมองถูกสั่งการด้วยแขนขา(byโรแลนด์)’ อดัมรีบดำเนินการขุดทันที ในเวลาไม่ถึง 1 วันเจ้าตัวก็หาแหล่งต้นกำเนิดความร้อนจนเจอ แถมยังใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ของตนขุดพื้นที่รอบๆเป็นแอ่ง แล้วยังทำแม้กระทั่งเชิญพวกดรูอิดในนครมาใช้เวทย์สร้างฝนเพื่อเติมน้ำจนเต็มบ่ออีก…. จนเมื่อครั้งที่ข้าและมากาเร็ตกำลังจะสั่งสอนเจ้าบื้อนี่ว่าทำไมดอกไม้ถึงเป็นสีแดง อดัมที่จมูกช้ำใบหน้าบวมปูมก็พยายามที่จะอธิบาย หรือควรจะบอกว่ากำลังหาข้ออ้างอยู่ดีล่ะ ทำไมจมูกอดัมถึงช้ำแล้วใบหน้ายังบวมปูมอีก ทั้งๆที่กำลังจะอธิบายแล้วแท้ๆงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าหลังจากเล่นกับความรู้สึกของทุกคนแล้ว เจ้าจะรอดจากการถูกรุมกระทืบเพียงเพราะเจ้าอธิบายเหตุผลงั้นเหรอ? ข้าที่เห็นเช่นนั้นก็รีบฉวยโอกาสเปิดก่อนเป็นคนแรก ตัวมากาเร็ตเองก็อาศัยโอกาสนี้ระบายความอัดอั้นที่มีต่อเจ้าอดัมมานาน ส่วนทางเสี้ยวหงส์ก็ร่วมด้วยเพื่อความสนุกในชีวิต... แค่ก พวกเราอย่าไปพูดถึงเรื่องเหตุการณ์สนุกสุดหรรษา 3 รุม 1 กันเลย เรามากลับเข้าเรื่องกันเถอะ คำอธิบายที่เจ้าบื้ออดัมพูดออกมานั้น ทำให้พวกเราคล้อยตามได้จริงๆ “การคืนชีพของฟินิกซ์นั้นต้องอาศัยให้ข้าแผดเผาตัวเองในเพลิงโลกันต์อันร้อนแรง ส่วนมรดกแห่งฟินิกซ์เองก็จำเป็นต้องอาศัยปริมาณความร้อนจำนวนมหาศาลเช่นกัน ถ้าใช้บ่อน้ำร้อนนี่ ข้าก็จะสามารถช่วยให้แอนนี่สืบทอดมรดกในสภาพสมบูรณ์ที่สุดได้ นางจะสามารถคงพลังส่วนใหญ่ของฟินิกซ์หลังการคืนชีพช่วยให้ตัวนางเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น แหล่งความร้อนนี้ก็ถือเป็นพลังกายและมาน่าของเทพอสูรแห่งธาตุไฟด้วย ถ้าข้าดึงเอาไปใช้มากๆเข้า เทพอสูรแห่งธาตุไฟเองก็ไม่ต่างจากพิการไปครึ่งร่าง” ข้าต้องขอบอกไว้เลยว่า ถึงแม้เจ้าบื้อนี่จะชอบทำตัวพึ่งไม่ได้เกือบจะตลอดเวลาก็เถอะ แต่เจ้าอดัมเองก็เป็นคนที่คู่ควรกับสมญานามว่า ‘ผู้กล้า’ จริงๆ โชคและลางสังหรณ์ของเจ้าหมอนี่จะมาได้ถูกที่ถูกเวลาเสมอ แม้การกระทำของหมอนี่จะแลดูมั่วซั่ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าอดัมจะแทงเข้าตรงจุดที่ศัตรูเจ็บที่สุดเสมอ สำหรับบุคคลบางกลุ่มแล้ว การคลายผนึกของเทพอสูรธาตุไฟนั้นย่อมมีผลโดยตรงต่อการมาถึงของกระแสพลังธาตุ ซึ่งนี่ย่อมส่งผลกระทบต่อ ‘ประวัติศาสตร์’ ทั้งหมดของโลกใบนี้ แล้วถ้าเกิดพวกมันรู้ว่าอโรล่าไวส์กำลังอ่อนแอลง หรือแย่กว่านั้น ไม่สามารถเร่งให้เกิดกระแสพลังธาตุเร็วขึ้นได้อีกแล้ว พวกมันไม่มีทางยอมอยู่เฉยเป็นแน่ ฉะนั้น เจ้านครและหัวหน้าฝ่ายกิจการภายในจึงได้แอบพาผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้านครมาที่ภูเขากำมะถันอย่างเงียบๆ และเพื่อความปลอดภัย ทั้งสามจึงเลือกถ้ำของเสี่ยวหงเป็นแหล่งกบดาน แน่นอน บนโลกนี้ย่อมไม่มีข่าวใดที่ไม่รั่วไหล โลกแห่งนี้คือโลกที่ศาสตร์มนตราการพยากรณ์ได้รับการพัฒนาจนก้าวหน้าไปไกล ย่อมไม่มีสิ่งใดที่เป็นความลับสมบูรณ์แบบ บางทีพวกมันอาจจะได้ข่าวจากสายลับภายในนครว่าตัวเจ้านครไม่อยู่ในนคร หรือบางทีพวกมันอาจจะตรวจสอบเรื่องเทพอสูรธาตุแล้วพบว่ามีอะไรผิดปกติ หรือบางทีบุคคลกลุ่มนั้นอาจจะแค่ใช้มนตราการพยากรณ์แล้วพบว่ามีเรื่องน่าสงสัยเกิดขึ้น แม้จะเป็นอย่างใดก็ตาม แต่นั้นก็ทำให้ทางกลุ่ม 3 ผู้นำต้องพบกับปัญหาเข้าอย่างจัง... ภายใต้อาภรณ์ชุดคลุมสีฟ้าอ่อน สาวน้อยนางหนึ่งได้ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพัง คทาไม้อันเรียวยาวปราศจากร่องรอยการปรับแต่งใดๆเฉกเช่นเดียวกับเจ้าของผู้ถือครองที่งดงามอย่างเป็นธรรมชาติไร้การปรุงแต่งใดๆ แม้เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ให้ความรู้สึกราวกับจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ดั่งสายนทีแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน เก่าแก่ นิ่งสงบไหลเวียนไปตามธรรมชาติ รูปโฉมของเธอจัดได้ว่าไม่เลว เธอนั้นไว้ทรงผมตัดสั้นสีฟ้าดูเรียบร้อย บนใบหน้าของเธอนั้นมีแว่นตากรอบทองที่แลดูเกือบจะลื่นหล่นจากจมูกของเธอ ถ้าไม่มีโซ่ที่คอยคล้องขาแว่นไว้กับหูเอลฟ์ของเธอ ป่านนี้แว่นตานี้คงร่วงหล่นตกพื้นไปแล้ว เธอผู้มีชีวิตนิรันดร์ได้ยืนอยู่อย่างสงบเงียบเชียบ ที่ตัวของเธอนั้นมีกลิ่นของหนังสือและตำรับตำราล่องลอยออกมา ถ้าดูเพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอก แทนที่จะบอกว่าเธอผู้นี้คือบักบุญผู้ปราดเปรื่อง ผู้ซึ่งถือครองอำนาจมากมายอยู่ในมือ ควรจะบอกว่าเธอคือบรรณารักษ์ที่เอาแต่อ่านหนังสือเพลินจนลืมกินข้าวกลางวันเป็นประจำเสียมากกว่า แต่ ณ วินาทีนี้ ‘บรรณารักษ์’ ผู้นี้กำลังจะเข้าสู่ทะเลแห่งการฆ่าฟันอันคลุ้มคลั่ง “สวรรค์เบื้องบน ปฐพีเบื้องล่าง ด้วยพันธะแห่งหนังสือและดวงดารา ข้าขอใช้ชีวิตของข้านักบุญมากาเร็ตเป็นเครื่องยืนยัน ข้าขอวิงวอนต่อเหล่าดวงวิญญาณบรรพกาลแห่งดวงดาราให้โปรดสดับรับฟังเสียงอัญเชิญจากข้า กลุ่มดาวคิเมร่า กลุ่มดาวสิงโต กลุ่มดาวยูนิคอร์น กลุ่มดาวรถศึก จงมา!” ด้วยการโบกสะบัดคทาเล่มยาวในมือเธอ เหล่าดวงวิญญาณชั้นสูงนับไม่ถ้วนก็จุติลงสู่แดนมนุษย์พร้อมกับเหล่าดวงดาราที่ร่วงหล่นจากท้องนภา รถศึกคนยักษ์ที่สูงใหญ่ตระหง่านดังหอคอย อสูรเวทย์สามหัวผู้ชำนาญศาสตร์เวทมนต์ไฟ สายฟ้าและน้ำแข็ง ม้ายูนิคอร์นสีขาวประกาย ตัวตนผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้องและความบริสุทธิ์ กองทัพราชสีห์ที่ทุกตนอยู่ในระดับชั้นทองคำ... เหล่าวีรชนผู้กล้าในตำนานเรื่องเล่าได้หวนคืนกลับสู่โลกความเป็นจริง เหล่านักรบชั้นตำนานต่างร่วมทำศึกภายใต้คำสั่งของนักบุญ นี่แหละคือพลังของจอมเวทย์ชั้นกึ่งเทวะ ตัวตนที่สามารถต่อกรกับคนทั้งประเทศได้ด้วยตัวคนเดียว แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่สถานการณ์ของเธอก็ไม่ได้ดีมากนัก นั้นก็เพราะศึกครั้งนี้นั้นไม่ได้ยุติธรรมมาตั้งแต่ต้นแล้ว เธอนั้นต้องต่อสู้เพียงลำพังกับศัตรูทั้งกองทัพ... ฝั่งศัตรูเองแม้จะไม่ได้มาเป็นอาณาจักรทั้งอาณาจักร แต่กองทัพศัตรูนั้นก็อันตรายกว่ากองทัพจักรวรรดิใดๆบนพื้นทวีปนัก กองทัพศัตรูที่มีชื่อว่า พันธมิตรโลกใต้พิภพ ทหารจากทัพแบล็ควอเตอร์ 2000 ตนที่เหลือได้รวมกันมาบุกที่แห่งนี้ เจ้านครอู๊ด อู๊ด ผู้สวมเกราะโคลนดำ ได้เป็นแนวหน้าบุกเข้าไป แม้ว่าเจ้าตัวจะเป็นถึงเจ้านครใต้พิภพก็ตาม ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่การเคลื่อนไหวของเจ้านครมนุษย์หมูก็ช่างอืดอาดนักเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าดวงวิญญาณชั้นสูง ถ้าไม่ได้เหล่าทหารอารักขาที่คอยสละตนเป็นโล่กำบังให้ ป่านนี้มนุษย์หมูตนนี้คงต้องตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เมื่อต้องมาเผชิญกับจอมเวทย์ชั้นกึ่งเทวะ นักรบชั้นตำนานเยี่ยงอู๊ด อู๊ดก็เป็นได้แค่เป้าระดับสูงหน่อยเท่านั้น แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่การที่เจ้านครใต้พิภพเฉกเช่นมนุษย์หมูตนนี้ยินยอมมาเป็นตัวหมากใช้แล้วทิ้งเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้ที่ออกคำสั่งในพันธมิตรโลกใต้พิภพนั้นแข็งแกร่งและทรงอำนาจเพียงใด ทรงอำนาจถึงขนาดที่แม้แต่เจ้านครใต้พิภพอย่างอู๊ด อู๊ดยังมิอาจต่อต้านคำสั่งที่ได้รับได้ “วู้ว ฮู้ววววววว!!” หลังสิ้นเสียงแตรเขา กองทัพมนุษย์สัตว์อีกกว่าหนึ่งพันตนก็รีบรุกเข้าสู่สมรภูมิ กองทัพที่มีตั้งแต่ เหล่าเลโอ(มนุษย์สิงโต)กระหายเลือด เหล่ามนุษย์หมาป่าที่รวดเร็วป่าเถื่อน ไปจนถึงเหล่าเอเลฟ(มนุษย์ช้าง)ที่มีพละกำลังมหาศาลไร้ขีดจำกัด แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดของกองทัพนี้ก็ยังเป็นถึงนักรบชั้นทองคำ กระนั้นเหล่ามนุษย์สัตว์ก็ยังคงเข้าสู่สมรภูมิไปอย่างเงียบเชียบไร้ซุ้มเสียงใดๆ ฝ่ายวิญญาณแห่งดวงดาราผู้ไร้ซึ่งโลหิตและกายเนื้อเองก็เข้าร่วมศึกบดขยี้เลือดเนื้อสาดกระเซ็นนี้และสิ้นชีพไปอย่างเงียบงัน เพื่อเปิดทางให้แก่เหล่าวิญญาณตนอื่นๆได้จุติลงสู่แดนมนุษย์ “สัญลักษณ์ดวงตาสีดำข้างเดียว นี่เป็นสัญลักษณ์ประจำกองทัพอารักขาของเจ้านั่น ท่าทางมันเองก็มีเอี่ยวในเรื่องครั้งนี้ด้วยสินะ” เมื่อได้เห็นร่างอันใหญ่โตที่อยู่ตรงภูเขาอันไกลโพ้นที่ตอนนี้กำลังเอามือเท้าเอวของตนอยู่ ตัวมากาเร็ตก็ตกอยู่ในห้วงความคิด กระนั้นเวทมนต์ที่เธอกำลังร่ายอยู่ก็ไม่ได้หยุดลงแต่อย่างใด “ปฐพีเบื้องล่าง สวรรค์เบื้องบน ด้วยพันธะแห่งหนังสือและดวงดารา โปรดให้ความตายได้โปรยปรายลงสู่ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อข้า ฝนดาวตก!” ภายใต้คำร่ายเวทย์ของมากาเร็ต ดวงดาราก็ได้เจิดจรัสขึ้นในโลกใต้พิภพอันไร้ดาวแห่งนี้ พร้อมกันนั้นแสงดาวก็ได้ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ เศษซากจากการทำลายที่เหล่าดวงดาราทิ้งไว้ก็คือหลุมลึกกว่า 3 เมตรที่ข้างในเต็มไปด้วยร่างเนื้อและโลหิตของเหล่ามนุษย์สัตว์ ผู้ปกครองเหล่ามนุษย์สัตว์แห่งโลกใต้พิภพ โชว นูย่า ด้วยร่างที่สูง 3 เมตรของราชสีห์ตนนี้นั้นไม่ได้ถือว่ามากมายอะไรเลยในเผ่ามนุษย์สัตว์ที่ข้อได้เปรียบอยู่ที่ร่างกาย มนุษย์สิงโตหางแมงป่องตนนี้สวมใส่ที่ปิดตาสีดำไว้ที่ดวงตาข้างหนึ่งซึ่งแลดูจะลงความดุร้ายของตนลง และตอนนี้มันก็ยืนอยู่ด้านนอกสนามรบ คอยจ้องมองภาพที่เหล่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์และเหล่านักรบมนุษย์สัตว์ของตนต้องตายไปอย่างไร้ค่าอย่างเย็นชา “ความรู้สึกเช่นนี้ จุดสูงสุดแห่งชั้นผู้บรรลุ? ช่างน่าเสียดายนัก ดูท่าเจ้าสิงโตตนนี้จะยังหลงเหลือสติปัญญาอยู่บ้างสินะ ถึงได้ยืนอยู่นอกขอบเขตการโจมตีของข้าโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ ถ้าข้าอยู่ในหอคอยเวทย์ล่ะก็ ป่านนี้...” ถึงแม้กองทัพของตนจะถูกทำลายหมดสิ้น แต่ตัวราชันมนุษย์สัตว์ผู้เจนศึกก็ไม่มีท่าทีที่จะเข้าสู่สมรภูมิด้วยตัวเองแต่อย่างใด เพียงโบกมือเพียงหนึ่งครั้ง แตรเขาที่อยู่ข้างมันก็ดังขึ้น จากนั้นกองทัพนักรบชั้นยอดอีกพันตนก็เข้าสู่สมรภูมิไปอย่างเงียบเชียบ... เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามันรู้จุดอ่อนของอาชีพนักบุญของเธอ นักบุญนั้นเป็นอาชีพที่เชี่ยวชาญการวิเคราะห์เวทมนต์ของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเหมาะต่อการประลอง ทว่าขาดเวทมนต์ที่มีพลังทำลายล้างสูง ด้วยเหตุนี้ทางศัตรูของเธอซึ่งตั้งใจที่จะใช้จำนวนเข้าทอนแรงกายของเธอ “ดูท่าข้าจะโดนเจ้าพวกเด็กรุ่นใหม่ดูถูกอยู่สินะเนี่ย” มากาเร็ตยิ้มบางๆ จากนั้น ด้วยการสะบัดคทาเถาไม้ในมือเธอเบาๆ เส้นสายพลังเวทย์ที่ราวกับตัวโน๊ตก็ปรากฏขึ้นรอบศิลาเจ็ดก้อนที่กำลังทอแสงล่องลอยอยู่รอบตัวเธอ “หมายเลขหนึ่งถึงสาม ร่ายเวท ‘เหมันต์นิรันกาล’ หมายเลขสี่และห้า ร่ายเวทซ้ำตามข้า หมายเลขหกและเจ็ด กางบาเรียเวทซะ” ศิลานักบุญสีแดง ส้ม และเหลืองเริ่มลอยเข้าหากัน ก่อนที่จะเริ่มร่ายเวทเลียนแบบเวทมนต์สายธาตุบทสุดท้ายของลอร์ดหย่งเยี่ย ส่งผลให้ผืนแผ่นดินรอบข้างแปรเปลี่ยนเป็นแดนน้ำแข็ง หิมะเริ่มโปรยปรายลงจากท้องฟ้า เหล่าภูติ(แฟรี่)หิมะเริ่มเล่นซุกซนไปทั่ว นี่คือผลกระทบแรกเริ่มก่อนที่เวทมนต์ชั้นยุทธวิธีที่สามารถล้างกองทัพทั้งกองทัพได้บทนี้จะสัมฤทธิ์ผล ศิลานักบุญสีเขียวและฟ้าเองก็เริ่มร่ายเวทย์ที่นักบุญได้ร่ายไปเมื่อครู่นี้เช่นกัน “สวรรค์เบื้องบน ปฐพีเบื้องล่าง ด้วยพันธะแห่งหนังสือและดวงดารา ข้าขอใช้ชีวิตของข้านักบุญมากาเร็ตเป็นเครื่องยืนยัน ข้าขอวิงวอนต่อเหล่าดวงวิญญาณบรรพกาลแห่งดวงดาราให้โปรดสดับรับฟังเสียงอัญเชิญจากข้า กลุ่มดาวคิเมร่า กลุ่มดาวสิงโต กลุ่มดาวยูนิคอร์น กลุ่มดาวรถศึก จงมา!” “ปฐพีเบื้องล่าง สวรรค์เบื้องบน ด้วยพันธะแห่งหนังสือและดวงดารา โปรดให้ความตายได้โปรยปรายลงสู่ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อข้า ฝนดาวตก!” น้ำเสียงที่มิแตกต่างไปจากของมากาเร็ตได้ดังขึ้น ก่อนที่เวทมนต์ฝนดาวตกจะกวาดล้างกองทัพมนุษย์สัตว์พันตนที่เพิ่งเข้าสู่สมรภูมิเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้นอย่างง่ายดาย และในขณะเดียวกัน กองทัพวิญญาณแห่งดวงดาราที่เหมือนกันราวกับเป็นคู่แฝดก็เข้าแทนที่เหล่าดวงวิญญาณที่บาดเจ็บหรือดับสูญไป สร้างแนวป้องกันขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่สิ่งที่อันตรายที่สุดก็ยังคงหนีไม่พ้นเวทมนต์ชั้นยุทธวิธี เหล่าหน่วยจู่โจมระยะไกลของฝ่ายข้าศึกไม่มีทางจะยอมให้ ‘เหมันต์นิรันกาล’ ถูกร่ายจนเสร็จสิ้นได้ ลูกศรคมกริบและเวทมนต์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกยิงไปทางมากาเร็ต แต่ตัวนักบุญหญิงกลับไม่สนใจแม้แต่จะเหลียวมอง เธอนั้นยังคอยควบคุมศิลานักบุญอย่างใจเย็นต่อไป พร้อมกันนั้นศิลานักบุญ 2 ก้อนที่เหลือก็เริ่มลอยวนรอบตัวเธอ สร้างม่านบาเรียเวทย์ที่ผสมผสานระหว่างสีน้ำเงินและม่วงขึ้น เหล่าการโจมตีที่พุ่งเข้ามานั้นถูกบาเรียเวทย์หยุดไว้จนหมดสิ้น และอย่างรวดเร็ว ศิลานักบุญสีแดง ส้มและเหลืองก็เข้าขั้นสุดท้ายของการร่ายเวทย์ แต่ทันใดนั้น ลูกศรสีดำไร้ชื่อก็พุ่งเข้ามาที่พื้นดินตรงใจกลางที่ศิลานักบุญทั้งสามอยู่ “ปังแกร็ก!” ทั้งๆที่ยังไม่ตกกระทบพื้น ลูกศรที่พุ่งเข้ามานั้นก็สลายตัว กลับกลายเป็นพายุหมุนเวทมนต์สีดำทมิฬขึ้นมาแทรกแซงศิลานักบุญทั้งสามที่กำลังร่ายเวทย์อยู่ ความปั่นป่วนได้ปรากฏขึ้นในศิลาทั้งสามจนเวทมนต์ต้องห้ามเหมันต์นิรันกาลได้สัมฤทธิ์ผลก่อนเวลาอันสมควรไปในที่สุด! เหล่าหิมะสีขาวที่กำลังโปรยปรายได้ตกผลึกในทันที ก่อนที่จะระเบิดออกไปทั่วทุกสารทิศ! ละอองหิมะยังคงโปรยปรายสร้างความหนาวเย็นจับกระดูกต่อไป แต่ ณ วินาทีนี้ โลกทั้งใบได้ปกคลุมด้วยสีขาว ภายใต้พลังจากเวทมนต์ต้องห้าม แม้แต่ปากปล่องภูเขาไฟที่คุกกรุ่นยังต้องแปรเปลี่ยนเป็นยอดภูเขาหิมะ ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นวิญญาณแห่งดวงดาราหรือเหล่ามนุษย์สัตว์ ขอให้อยู่ในระยะของเวทมนต์ต้องห้ามมันผู้นั้นต้องแปรเปลี่ยนเป็นรูปสลักน้ำแข็ง ทางด้านมากาเร็ตเอง ด้วยการที่เวทมนต์ต้องห้ามสัมฤทธิ์ผลทั้งๆที่ยังไม่สมบูรณ์ ทำให้เธอเองก็ต้องตกเป็นเป้าหมายของเวทมนต์นี้ด้วยเช่นกัน แต่โชคยังดี ที่ม่านบาเรียเวทสีน้ำเงินม่วงได้ปกป้องตัวเธอเอาไว้ นักบุญหญิงได้แต่มุ่ยหน้าไม่สบอารมณ์ เพราะถ้าศิลานักบุญไม่ได้ร่ายเวทย์แทนเธอล่ะก็ ป่านนี้เธอคงบาดเจ็บจากการที่เวทมนต์ตีกลับไปแล้ว แถมคงไม่จบลงที่การกระอักเลือดคำสองคำเป็นแน่ “ลูกศรสันดาปเวทย์? ข้าไม่นึกเลยว่า มิเนียล นักล่าจอมเวทย์ผู้โด่งดังจะมาอยู่ที่นี่ด้วย ไม่ใช่ว่าชายผู้นี้เป็นหัวหน้าของมนุษย์สัตว์เผ่าเซนทอร์ ที่เป็นที่กล่าวขวัญในเรื่องถือตัวและไม่ยอมสยบต่อผู้ใดหรอกรึ? ข้าไม่เคยนึกฝันเลยว่าบุรุษเช่นนี้จะยอมสวามิภักดิ์ต่อ โชว นูย่า ได้ การหวนคืนสู่พื้นทวีปเนี่ย มันเย้ายวนถึงขนาดนั้นเลยรึ?” เหมันต์นิรันกาลที่สัมฤทธิ์ผลก่อนเวลาอันควรนั้นมีพลังเพียงแค่หนี่งในสามจากที่ควรจะเป็นเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเวทมนต์ที่ไม่สมบูรณ์นี้ก็ยังมีมากพลังพอที่จะเปลี่ยนภูเขาทั้งลูกให้กลายเป็นแดนน้ำแข็งอยู่ดี แม้แต่พื้นดินจุดที่ผู้ปกครองเหล่ามนุษย์สัตว์ยืนอยู่ก็ยังโดนเปลี่ยนให้เป็นน้ำแข็ง แต่ที่เบื้องหน้าของท่านจ้าวแห่งโลกใต้พิภพกลับมีมังกรดำร่างมหึมาสองตนมากำบังไว้อยู่ เหล่ามังกรดำนั้นถือกำเนิดมาพร้อมกับความสามารถต้านทานเวทย์ที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่นั้นก็ยังไม่เพียงพอเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับเหมันต์นิรันกาลที่อ่อนกำลังลง มังกรดำทั้งสองได้เสี่ยงชีวิตเข้ามาปกป้องเจ้านายของตนจนต้องกลับกลายเป็นรูปสลักมังกรน้ำแข็งสองรูปไป แต่การเสียสละของมังกรทั้งสองก็สามารถลดความเสียหายที่กองทัพมนุษย์สัตว์ต้องได้รับไปมากนัก แม้จะเป็นเช่นนั้น จ้าวแห่งราชสีห์หางแมงป่องก็ยังมิแต่จะชำเลืองมองลูกน้องที่สละชีวิตเพื่อปกป้องตน ด้วยการใช้แรงกายกระชากหางของมังกรทั้งสอง จ้าวแห่งราชสีห์ก็โยนร่างของมังกรทั้งสองไปทิ้งไว้ทางด้านหนึ่ง แม้ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าจะกลายเป็นภูเขาน้ำแข็ง ดวงตาของราชสีห์ตนนี้ก็ยังคงสงบนิ่งดั่งเดิม ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนี้นั้นอยู่ในการคำนวณที่ตนวางไว้ จ้าวแห่งราชสีห์หางแมงป่องได้เอื้อมมือไปหยิบแตรเขาจากลูกสมุนที่แข็งเป็นน้ำแข็ง ก่อนที่เป่าแตรนั้นด้วยตัวเอง “วู้วววว วู้วววว วู้ววว!!” สิ้นเสียงแตรสงคราม 3 ครา ระลอกคลื่นสีเขียวเข้มก็เคลื่อนตัวจากเส้นขอบฟ้า ระลอกคลื่นที่มาพร้อมกับเสียงกลีบเท้าบดขยี้ผืนแผ่นดินผสานไปกับเสียงเซ็งแซ่ของสัตว์ทั้งหลาย “ทหารม้าไม่ต่ำกว่า 3000 ตนงั้นเหรอ? ไอ้หยา นี่ข้าชักจะเริ่มปวดหัวขึ้นมาแล้วสิ” มากาเร็ตได้แต่หน้ามุ่ย ทั้งที่เธอนั้นบังคับให้อีกฝ่ายปล่อยไพ่ในมือมาตั้งขนาดนั้น แต่อีกฝ่ายกลับเตรียมตัวมาดีกว่าที่คาด ไม่สิควรจะบอกว่าฝ่ายศัตรูนั้นไม่สนใจเลยต่างหากว่าจะต้องเสียไพร่พลทหารไปสักเท่าไหร่ ซึ่งนี่ถือเป็นสิ่งที่เธอยากจะยอมรับได้ ศิลานักบุญสีแดง ส้มและเหลืองนั้นได้แตกสลายไปแล้วเนื่องด้วยผลจากการตีกลับของเวทมนต์ที่ปล่อยเวทมนต์ต้องห้ามก่อนเวลา ทางศิลาสีเขียวและฟ้าที่ร่ายเวทย์เลียนแบบเธอเองก็เริ่มหมดพลังเวทย์ลงแล้วเช่นกัน จะเหลือก็แต่เพียงศิลาสีน้ำเงินและม่วงที่รับผิดชอบด้านการป้องกันเท่านั้นที่ยังเหลือพลังเวทย์อยู่ “ตัวข้าเองก็ใช้มาน่าไปมากกว่าครึ่งแล้วเหมือนกัน แต่ทางศัตรูกลับยังปล่อยกองทัพออกมาได้อย่างไม่สะทกสะท้านดั่งเดิม แบบนี้ชักจะยุ่งยากจริงๆแล้วสิ” นักบุญหญิงได้จ้องมองไปทางด้านหลังของเธอ ที่แห่งนั้นมีทะเลสาบเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้อย่างโชติช่วง ณ ทะเลสาบแห่งนั้น ได้มีเปลวเพลิงที่ก่อร่างเป็นวิหคเพลิงอมตะ(ฟินิกซ์)คอยบินวนอยู่รอบๆและเสาเพลิงมากมายที่ปะทุขึ้นไปจนถึงสรวงสวรรค์ นี่เป็นหลักฐานยืนยันว่าการส่งต่อมรดกนั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนสำคัญแล้วตอนนี้ “จะให้ถอยตอนนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าข้ายังอยู่ในหอคอยเวทย์ล่ะก็... หึ ในโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าอยู่หรอก ถึงจะปลอบตัวเองเช่นนี้ไปก็คงไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาหรอก หมายเลข 6 และ 7 ร่ายเวทย์ตามที่ข้าร่ายไว้ซะ! หมายเลข 4 และ 5 เริ่มรวบรวมมาน่าใหม่ซะ” กองทัพที่บุกเข้ามาครั้งนี้ยังสูญสิ้นไปเฉกเช่นเดียวกับกองทัพ 2 กองเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้ใบหน้าอันไร้อารมณ์ของโชวกลับทื่อลง ฝ่ายศัตรู(มากาเร็ต)นั้นแข็งแกร่งเกินไป จำนวนทหารที่เสียไปในศึกครั้งนี้นั้นมากพอที่จะเอาไปยึดนครใต้พิภพแห่งใดก็ได้แล้ว ยิ่งกว่านั้น กลยุทธ์การโจมตีจากทางอากาศและการบุกพลีชีพของเหล่านักรบคลั่ง ที่ฝ่ายตนเชี่ยวชาญนั้นก็ไร้ประโยชน์ใดๆในศึกครั้งนี้ แต่ถ้าใช้จำนวนเข้าแลกแทน ฝ่ายตนจะต้องสละไพร่พลไปมากมายเท่าใดกันถึงจะสำเร็จก็มิอาจรู้ได้ บนฟากฟ้าเบื้องบน เหล่ากริฟฟอนทรงพลังและเหล่าราชสีห์หางแมงป่องต่างเข้าปะทะละเลงเลือดกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีผู้ใดเลยที่สนใจการละเลงเลือดที่เกิดขึ้นเบื้องบนนั้น ในสมรภูมิครั้งนี้ อสูรเวทย์สายนักล่าเหล่านี้แม้แต่จะเป็นฝ่ายสนับสนุนยังมิมีคุณสมบัติเพียงพอเป็นให้ได้เลย ทันใดนั้นก็มีเปลวเพลิงสีแดงชาดพุ่งลงมาจากท้องนภา พร้อมกับร่างใหญ่ยักษ์สีดำที่โดนแผดเผาสองร่างร่วงหล่นลงสู่ผืนดินเบื้องล่าง กลายเป็นกองเศษเนื้อขนาดยักษ์สองกอง จากกลิ่นที่ออกมาแล้ว คงต้องบอกว่านี่สุกแบบมีเดี่ยมแรร์เป็นอย่างน้อย ที่จริงเมื่อครู่นี้มีมังกรดำสองตนที่ตั้งใจจะแอบบินลอบเข้ามาโจมตีมากาเร็ตจากทางด้านหลัง แต่เมื่อครั้งที่มังกรทั้งสองเข้าระยะที่จะใช้ลมหายใจมังกรได้ จู่ๆก็มีลมหายใจมังกรพุ่งลงมาจากเบื้องบนย่างสดเหล่ามังกรทั้งสองแทน บนท้องนภาเบื้องบนตอนนี้นั้น ได้มีการปะทะกันอย่างรุนแรงที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่เกิดขึ้นเบื้องล่างเลย เบื้องบนนั้น ได้มีมังกรแดงร่างมหึมาตนหนึ่งเข้ารับมือกับฝูงมังกรที่ยกมาทั้งนครมังกรแต่เพียงผู้เดียว ใช้กลยุทธ์ดั่งเช่นเหล่ากองโจร มังกรแดงรุ่นเยาว์ 12 ตนได้แบ่งเป็น 3 หน่วยย่อยคอยสลับผลัดกันโจมตี เหล่ามังกรรุ่นเยาว์ต่างใช้เลือดเนื้อของตนบั่นทอนเรี่ยวแรงที่มังกรแดงโบราณ ไอน์ เมซุส มี แต่สิ่งที่ต่างจากสถานการณ์เบื้องล่างก็คือ กลยุทธ์ที่เหล่ามังกรใช้นั้นได้ผล ทำไมน่ะเหรอ? ที่รอบนอกของวงล้อม ได้มีมังกรตนหนึ่งที่คอยเคลื่อนที่หลบซ่อนไปในเหล่ามังกรทั้งหลาย มังกรแดงโบราณที่ขนาดตัวใหญ่เสียยิ่งกว่าไอน์ ซึ่งตอนนี้กำลังหัวเราะลั่นอย่างนางร้ายตนนี้นี่แหละสาเหตุ “มอลลี่ นางแพศยา! ออกมาสู้กับข้าสิ ถ้าเจ้าแน่จริง! คอยเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังพวกเดียวกันแล้วลอบกัดข้าเช่นนี้ เจ้านี่ช่างต่ำทรามและหน้าไม่อายกว่าเมื่อครั้งอดีตนัก!” ปีกข้างขวาของไอน์ เมซุสได้หักสะบั้นลง ดวงตาข้างซ้ายของเธอเองก็ยากจะลืมขึ้น บาดแผลมากมายได้ปรากฏขึ้นบนเรือนร่างของเธอ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เธอก็ยังขอยืนหยัดที่จะสู้บนท้องนภานี้ต่อไปอย่างหาญกล้าพร้อมกับคำรามลั่นด้วยโทสะ “ลูกสาวผู้แสนโง่งมของข้า เจ้านี่ช่างมีกล้ามต่างสมองจริงๆ วิถีการต่อสู้อันแสนภาคภูมิของพวกเราเผ่ามังกรแดงกลับถูกเจ้าหาว่าต่ำทรามเนี่ยนะ ดูท่าข้าจะคิดไม่ผิดจริงๆที่เนรเทศเจ้าออกไปจากนครมังกรเมื่อวันนั้น” ใช่แล้ว มังกรแดงโบราณหน้าไม่อายตนนี้คือหนึ่งในท่านจ้าวแห่งโลกใต้พิภพ จักรพรรดินีมังกร มอลลี่ ด้วยต้องคอยจัดการเหล่ามังกรรุ่นเยาว์ที่เข้ามาประชิด แล้วยังต้องระวังมอลลี่ที่คอยลอบโจมตี ทำให้ไอน์ต้องรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างยากลำบากนัก แล้วเมื่อครั้งที่เธอคิดจะเปลี่ยนสถานการณ์ เช่นเมื่อครั้งที่เธอจะรวบรวมพลังเวทย์เพื่อเตรียมใช้เวทมนต์ขนาดใหญ่ มอลลี่ผู้ที่รู้แจ้งถึงพลังของมังกรแดงเป็นอย่างดี ก็จะรีบเข้ามาขัดขวางก่อนที่เธอจะทำสำเร็จ ภายใต้สถานการณ์ตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ ถือว่ายอดมากแล้วที่เธอสามารถฝืนทนมาได้ถึงตอนนี้ แต่ ณ ตอนนี้ ไอน์ได้ถูกบังคับให้ใช้ลมหายใจมังกรของเธอเพื่อกำจัดเหล่ามังกรดำที่คิดจะเข้ามาลอบโจมตีมากาเร็ต จนได้เกิดช่องว่างขึ้นตรงคอของเธอในที่สุด ซึ่งมอลลี่ย่อมไม่ทิ้งโอกาสนี้เข้ามาขย้ำลำคอของเธออย่างรุนแรง โลหิตมังกรสีแดงสดได้หลั่งรินชโลมเป็นฝนโลหิตทั่วผืนแผ่นดินเบื้องล่าง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพพันธมิตรที่มีท่านจ้าวแห่งโลกใต้พิภพรวมอยู่ด้วยถึง 2 ตน แม้จะเป็นทาง 3 ผู้นำเองก็ยังถูกต้อนจนมุมในที่สุด “เร็วเข้าสิ อดัม ถ้าเจ้ายังไม่รีบจัดการผนึกแล้วส่งต่อมรดกให้เสร็จล่ะก็ วันนี้พวกเราได้ตายกันหมดแน่” แต่เมื่อครั้งที่ตัวเสี้ยวหงส์ถึงขีดจำกัด จู่ๆแสงสีเงินที่แยกท้องนภาออกจากกันก็ปรากฏขึ้นจากทางด้านนครภูผาหลิวฮวง “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? แสงแห่งกฎระเบียบงั้นเหรอ โรแลนด์ เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั้นยอมเอาจริงกับเค้าแล้วเหมือนกันเหรอ?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด