ตอนที่ 22 การเป็นคนดีนั้นยากจริงๆ
“ข้าเป็นคนดี ข้านั้นเป็นคนดีจริงๆ”
คำพูดประโยคนี้ได้กลายเป็นคำพูดติดปากของข้าไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่ข้าเอ่ยประโยคนี้ออกไปผู้ที่รับฟังข้าต้องแสดงสีหน้าหรือท่าทางแปลกๆออกมาทุกที
“เหะ เหะ อากาศของวันนี้ถือว่าไม่เลวเลย ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งแถมยังมีสายลมเบาๆอีก ช่างเหมาะกับการไปปิกนิกยิ่งนัก จริงด้วย พวกเราชาวธอร์เร็นนั้นไม่ค่อยเพลิดเพลินกับการกินหญ้ากันสักเท่าไหร่ ครั้งหน้าตอนที่พวกเราออกไปปิกนิกกัน เจ้าช่วยเอาสเต็กมาแทนหญ้าได้รึเปล่า? ข้าชอบแบบมีเดียมแรร์นะ ย่างแบบที่มีเลือดเหลือนิดๆน่ะจะสุดยอดเลย”
เจ้าวัวนี่มันบื้อขนาดไหนกัน ถึงได้อ้างออกมาว่าชอบกินเนื้อแบบนี้เนี่ย เจ้าหมอนี่ตั้งใจเปลี่ยนเรื่องคุยกันเห็นๆ แต่นี่น่ะเป็นการตอบรับที่ดีที่สุดที่ข้าได้รับ
“เฮเฮ นายท่านล่ะก็ ท่านนี่ชอบปล่อยมุกตลกจริงๆเลย แต่ว่ามุกนี้มันเก่าไปแล้วนะคะ”
“ฮาฮา คนดีเนี่ยนะ? ข้าเกือบจะหัวเราะจนขาดใจตายแล้วเนี่ย เห็นมั้ย! ถ้าเจ้าเป็นคนดีจริงๆ ข้าก็เป็นนักรักไปแล้วล่ะ!” เจ้าอดัมไม่ไว้หน้าข้าเลยสักนิด
“ไม่หรอก แม้แต่โรแลนด์เองก็มีสิทธิ์เป็นคนดีได้ แต่สำหรับเจ้าน่ะไม่มีทางที่จะเป็นนักรักได้หรอก อดัม ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีเป้าหมายอันสูงส่งเช่นนี้ นักรักงั้นเหรอ ห่ะ? หรือว่าข้าควรจะสร้างเมืองต้องห้ามไว้ให้เจ้าดีล่ะ เผื่อว่าเจ้าจะได้เอาสาวงามมาเก็บสะสมไว้?” ในทันควัน รังสีอำมหิตของมากาเร็ตแผ่ออกมาจนสัมผัสได้ เจ้าอดัมคงรู้แล้วสินะว่าปลาหมอตายเพราะปากเป็นเช่นไร อืม ที่จริงข้าเป็นคนเอาเรื่องนี้ไปบอกมากาเร็ตเองแหละ
ก็นะ คนส่วนใหญ่ที่รู้จักข้าก็มักจะมีรีแอ็คชั่นเช่นเดียวกับอิลิซ่าและเจ้าบ้าอดัมนั่นแหละ ที่มองว่า ‘คำประกาศตนเป็นคนดี’ ของข้าเป็นมุกตลกอย่างนึง
แม้กระนั้น ตัวข้าเองก็พยายามที่จะเป็นคนดี ในแบบของข้าเช่นกัน
“ด้วยฐานะลิช ถ้าข้าพยายามไปช่วยคนแก่ข้ามถนน คนแก่คนนั้นคงวิ่งแจ้นไปหาหน่วยรักษาความสงบเพื่อร้องขอความช่วยเหลือว่าจะโดนลิชทำร้ายแทนซะละมั้ง แต่การกำจัดเหล่าคนชั่วก็ถือเป็นการทำความดีรูปแบบนึงเช่นกัน กำจัดอาชญากรคนนึงยังเห็นผลเสียยิ่งทำความดีเล็กๆสิบอย่าง คืนความสงบให้แก่นครจนประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ไม่ว่าข้าจะมองยังไง นี่ก็เท่ากับว่าการทำความดีกว่า 10,000 อย่าง อย่างมิต้องสงสัย”
แต่ เจ้าระบบลิชแสนชั่วร้ายก็ปฏิเสธที่จะยอมรับข้อกังขานี้ แล้วคอยเอาแต่ส่งภารกิจประจำวันอันแสนชั่วช้ามาอันแล้วอันเล่า
แล้วยิ่งกว่านั้น ตัวข้ามิอาจหลีกเลี่ยงที่จะทำภารกิจเหล่านี้ได้ ถ้าข้าไม่ทำแต้มชั่วช้าของก็จะมีแต่ลดลง แล้วข้าจะคืนชีพได้อย่างไรกันถ้าเรื่องเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยฐานะผู้บังคับกฎหมายแล้ว ข้าก็มิอาจสั่งแต่ทำตามใจตนได้ ฉะนั้นข้าจึงต้องรีดเค้นมันสมองของข้าเพื่อเปลี่ยนภารกิจประจำวันจอมทำลายล้างไปเป็นการกลั่นแกล้งชาวบ้านแบบที่ไม่ข้ามเส้นของกฎหมายไป
“ทำให้คนร้อยคนลงไปกลิ้งเกลือกอยู่ตามพื้นด้วยความสิ้นหวังงั้นเหรอ? งั้นมาลองนรกจั๊กกะจี้กัน...” ผลข้างเคียงจากการที่ข้าเอาขนไก่ไปใช้ในปฏิบัติการณ์นรกจั๊กกะจี้ก็คือ ค่าปรับและค่าเสียหายจำนวนมหาศาล...
“ให้ทรมานสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่อหน้าสาธารณชน ยิ่งตายโหดเท่าไหร่ ยิ่งดี? งี้ก็ง่ายสิ ข้าเลือกเจ้า แมลงสาบคุง เริ่มด้วยมนตราเพิ่มภูมิปัญญาจากนั้นก็สิบตำรับการทรมานสุดโฉดของข้า เหเห ข้าควรจะเริ่มด้วยห้าม้าแยกร่างดีหรือแทงด้วยมีดพันเล่มดีล่ะ อิลิซ่า ข้าขอยืมเข็มที่เจ้าใช้เย็บผ้าหน่อย ข้าจะเอาไปทำไมงั้นเหรอ? แน่นอนอยู่ว่าต้องเอาไปใช้ในการผ่าตัดน่ะสิ ถามได้”
ผลข้างเคียงจากเหตุการณ์นี้ก็คืออิลิซ่าเมินข้าไปหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ แล้วไม่ยอมเข้าใกล้ข้าในระยะ 3 เมตรไปอีกทั้งเดือน และแววตาที่นางใช้มองข้าก็เต็มไปด้วยความหยามเหยียด และเมื่อครั้งที่นางไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเรียกข้าจริงๆ นางก็จะตะโกนออกมาว่า ‘นายท่านแมลงเหม็นเน่า’...
การไปป่วนสร้างเรื่องไปทั่วเช่นนี้ถึงจะเหนื่อยในตอนแรก แต่สุดท้ายการสร้างเรื่องเช่นนี้ก็กลายเป็นศึกชิงไหวพริบแสนสนุกกับพวกหน่วยรักษาความสงบไปในที่สุด หืม? ดูท่าข้าจะเข้าใจสักทีล่ะว่าทำไมเสวี่ยทีกับลิลลี่ถึงได้เข้าร่วมกองกำลังต่อต้านหน่วยรักษาความสงบ ที่คอยเอาแต่ทดสอบความกล้าและไหวพริบของเหล่าหน่วยรักษาความสงบ หยั่งกับที่นักปราชญ์ในอดีตว่าไว้ไม่มีผิดเลย ว่าความสุขและความโรคจิตนั้นถ่ายทอดถึงกันได้
หืม แต่ด้วยฐานะผู้บังคับใช้กฎหมาย ทั้งคู่ก็ไม่ควรจะสร้างปัญหาให้กับหน่วยรักษาความสงบบ่อยๆเช่นนี้ ดูท่าข้าต้องหาโอกาสไปคุยกับทั้งคู่เรื่องนี้แล้วสิ
แค่ก ดูท่าข้าจะนอกเรื่องไปหน่อย เรากลับมาคุยเรื่องสำคัญกันต่อเถอะ
ตัวข้าที่เคยไม่เข้าใจว่าทำไมระบบถึงปฏิเสธที่จะยอมรับว่าข้าเป็นคนดี ไม่ว่าข้าจะทำอะไรข้าก็ยังถูกตราหน้าว่าลิชแสนชั่วร้ายอยู่ตลอด แต่แล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง ในระหว่างที่ข้ากำลังพิพากษาอาชญากรผู้หนึ่งอยู่ ข้าก็ได้รู้เหตุผลว่าทำไม
“เจ้าคิดว่าหลังจากไปฆ่าบิดาคนอื่น แล้วใช้ทรัพย์สินของเจ้าทั้งหมดชดเชยให้แก่บุตรสาวของคนที่เจ้าฆ่า รวมทั้งทำความดีอื่นๆ แล้วตัวเจ้าจะไร้ความผิดงั้นเหรอ? นั้นเจ้าก็แค่กำลังหลอกตัวเองอยู่เท่านั้นเอง! ไอ้คนลวงโลกเอ่ย!”
“ไม่ว่าเจ้าจะทำการใดต่อจากนี้ ตัวเจ้าก็ยังมีความผิดบาปติดตัวไปเสมอ ความเจ็บปวดที่ผู้เสียหายต้องลิ้มรสน่ะมันเป็นจริงขึ้นมาตั้งแต่วินาทีที่เจ้าทำความผิดแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะอธิบายหรือชดใช้เช่นไรก็ตาม เจ้าก็มิอาจเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เจ้าทำลงไปแล้วได้ จะมีก็เพียงแต่คำพิพากษาและการลงทัณฑ์จากกฎหมายเท่านั้นที่จะชำระล้างความผิดที่เจ้าก่อไว้ได้ ถ้าเจ้าเสียใจกับสิ่งที่เจ้าทำลงไปจริงๆล่ะก็ เช่นนั้นเจ้าก็จงไปปรับตัวเป็นคนใหม่ในคุก ชดเชยต่อความผิดที่เจ้าก่อไว้ แล้วค่อยออกมาเริ่มต้นใหม่ซะ”
แต่ทางลูกสาวของผู้เสียหายได้อ้อนวอนให้ผ่อนปรนโทษของชายผู้นี้ ทำให้โทษของชายผู้นี้ลดลงเหลือเพียงโทษจำคุก 15 ปีในข้อหาฆาตกรรมผู้อื่นโดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน
หลังจากที่คดีนี้เสร็จสิ้นไป ตัวข้าก็รู้สึกอ่อนล้าอย่างที่สุด ข้าไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองช่างไม่ได้เรื่องขนาดนี้เลย...
ในห้องหับอันเงียบเชียบแห่งหนึ่ง ตัวข้าได้แต่นั่งจมปลักอยู่บนเก้าอี้ คอยแต่เอามือกุมศีรษะตนเอง แต่เมื่อครั้งที่ข้าเห็นแต่เพียงโครงกระดูกที่อยู่บนแขนของข้าทั้งสองข้าง จู่ๆข้าก็บรรลุความจริงข้อนึงขึ้นมาได้
ไม่ว่าข้าจะทำการใดในอนาคต ความผิดบาปในอดีตก็ยังคอยฉุดรั้งข้าไว้ เหล่าดวงวิญญาณที่ต้องดับสูญไปเพราะข้านั้นมีมากมายพอที่จะเติมเต็มแม่น้ำปรภพ ไม่ว่าข้าจะช่วยเหลือผู้คนไปสักเพียงใด ทำความดีสักเพียงไหน ข้าก็ยังคงเป็นผู้กระทำผิดมิเปลี่ยนแปลง ข้ามิอาจโกหกต่อดวงใจของข้าเองได้ เช่นนี้แล้วข้าจะให้ระบบยอมรับว่าข้าเป็นคนดีได้อย่างไรกัน
“คำพูดที่สลักอยู่ที่อนุสรณ์หน้าทางเข้าศาลสูงสุดนั้นถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือข้าเองว่า [จะมีก็เพียงแต่คำพิพากษาและการลงทัณฑ์อันเที่ยงธรรมเท่านั้นที่จะชำระล้างความผิดบาปไปได้ ไม่มีผู้ใดถือเป็นข้อยกเว้น]”
แต่ ดูท่าจะไม่มีผู้ใดที่สามารถพิพากษาข้าได้ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงย่างก้าวไปในเส้นทางแห่งความดีและความชั่วนี้ต่อไป คอยเฝ้ารอถึงวันที่อาจจะไม่มีวันมาถึง วันที่ตัวข้าเองจะได้รับการพิพากษา...
บางทีในใจของข้าเองก็มีความรู้สึกอันคลุมเครือที่คอยเฝ้าแดกดันข้าที่เป็นคนบาปหนาผู้เกือบทำลายโลกทั้งใบ แต่สุดท้ายคนบาปหนาผู้นี้ดันกลับมานั่งจองหองอยู่บนเก้าอี้ผู้พิพากษาค่อยตัดสินโทษเหล่าอาชญากรที่ฆ่าคนไปเพียงไม่กี่คนเนี่ยนะ ช่างน่าขันสิ้นดี...
“หึ ถ้าข้าเป็นแค่ไอ้คนลวงโลกแล้วจะทำไมกัน ข้าจะไม่ขอเอื้อนเอ่ยคำพูดสวยหรูปลอบประโลมให้ใจข้าเป็นสุขหรอก สิ่งที่ข้าคิดนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ในเมื่อทวีปเอ็ชแห่งนี้ยังมิสูญสิ้นและ ‘ประวัติศาสตร์’ ดั่งเดิมได้พิสูจน์แล้วว่าวิธีธรรมดามิอาจทำให้พวกเรารอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ได้ เช่นนั้นก็ให้ข้า ไอ้คนลวงโลกคนนี้ได้ใช้วิธีสกปรกเพื่อช่วยเหลือโลกใบนี้ด้วยเถอะ”
ด้วยเหตุนี้ ตัวข้าก็เฝ้าทำตามปณิธานที่ข้าตั้งไว้ แต่แล้ว ตัวข้าก็ต้องพบกับปัญหาเล็กๆน้อยๆเข้า
ณ ปัจจุบัน พวกเราได้รับข้อมูลจากทาง ‘ผู้สังเกตการณ์’ แล้วว่าผู้ที่กำลังเคลื่อนทัพมาบุกนครภูผาหลิวฮวงทางประตูตะวันออกก็คือ กองทัพแบล็ควอเตอร์จากนครโครม ราชองครักษ์แห่งเจ้านครหมูหลังเหล็ก อู๊ด อู๊ด
อืม ‘อู๊ด อู๊ด’ นั้นคือชื่อของเจ้านครเผ่ามนุษย์สัตว์ โปรดเคารพต่อธรรมเนียมของมนุษย์หมูด้วย ที่จะเรียกบุตรหลานของตนด้วยเสียงร้องแรกเกิดของเด็กที่เกิดมา
แต่ช่างน่าเสียดายที่ธรรมเนียมนี่เองก็มีข้อเสียเช่นกัน อาทิเช่นเวลาที่เจ้าตะโกนออกไปว่า ‘อู๊ด อู๊ด ข้าจะทำกับXของเจ้า’ ในสถานที่ที่มนุษย์หมูรวมตัวกันอยู่ เช่นนั้นก็จะมี อู๊ด อู๊ด กว่า 300 ถึง 400 ตนวิ่งเข้ามาหาเรื่องเจ้า...
แม้ครั้งหนึ่งจะเคยมีปราชญ์ผู้ทรงปัญญาจากเผ่าหมูแดงสวรรค์ ที่เสนอแนวคิดว่าให้ใส่เลขต่อท้ายชื่อซะปัญหานี้จะได้หมดไป แต่ก็เนื่องด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของมนุษย์สัตว์เผ่าหมู ทำให้เหล่ามนุษย์หมูนับเลขได้ถึงแค่เลข 20 โดยใช้นิ้วเท้าร่วมเข้าไปนับด้วย ซึ่งนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาแนวคิดนี้มาใช้จริง ด้วยประการฉะนี้ นักปราชญ์ผู้นั้นจึงได้แต่ยอมแพ้อย่างผิดหวังไป
เอาเถอะ ไงท่านผู้สร้างก็ยังยุติธรรมอยู่บ้าง ถึงเผ่ามนุษย์หมูจะมีสติปัญญาที่ต่ำต้อย รูปลักษณ์ก็น่าเกลียด อุบาทว์ อัปลักษณ์ ตัวก็เหม็นเน่าระดับว่ามาจากคอกสุกร แต่เหล่ามนุษย์หมูก็เกิดมาพร้อมพละกำลังอันมหาศาลและผิวหนังที่หนา รวมทั้งยังสามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และนี่คือข้อเท็จจริงที่รู้กันทั่วในทุกเผ่าพันธุ์ว่า ตราบใดที่เผ่าพันธุ์เจ้ามีจำนวนประชากรเยอะ เหล่าอัจฉริยะและยอดฝีมือก็จะปรากฏตัวขึ้นในเผ่าของเจ้าเอง
ซึ่งกองทัพแบล็ควอเตอร์ถือเป็นตัวอย่างในอุดมคติของข้อเท็จจริงนี้เลย เหล่าทหารใหม่ของกองทัพนี้จะถูกคัดเลือกขึ้นมาจากมนุษย์หมูกว่าพันตน จากนั้นก็นำมาฝึกฝนด้วยการฆ่ากันเอง ผู้อ่อนแอต้องถูกกำจัด ผู้แข็งแกร่งถึงอยู่รอด โดยผู้เหลือรอดสิบตนสุดท้ายจะได้รับเกียรติขึ้นเป็นราชองครักษ์แห่งเจ้านครอู๊ด อู๊ด
แม้กองทัพแบล็ควอเตอร์จะมีทหารอยู่เพียง 3000 ตน แถมยังเป็นทหารเดินเท้า ทำให้จุดอ่อนของกองทัพนี้เปิดเผยออกมาเห็นๆว่าคือ เรื่องความคล่องตัว แต่ด้วยความแข็งแกร่งของกองทัพนี้ที่เฉลี่ยอยู่ที่ ระดับ 50 ชั้นเงิน กระบวนทัพของกองทัพนี้นั้นสุดจะธรรมดาสามัญซึ่งประกอบไปด้วย นักรบคลั่งเผ่ามนุษย์สัตว์ที่มาคู่กับชาแมนเผ่ามนุษย์สัตว์ เผ่ามนุษย์หมูที่เกิดมาพร้อมผิวหนังที่หนา แล้วเมื่อได้รับการเสริมด้วยศาสตร์มนตรากระหายโลหิต เหล่ากองทัพหมูก็เข้าสู่สถานะคลุ้มคลั่ง จนเมื่อเข้าสู่สมรภูมิกองทัพนี้ก็มิต่างจากภูเขากายเนื้อที่บุกเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเลย ซึ่งยากต่อการเข้าปะทะตรงๆนัก ด้วยเหตุนี้ทำให้กองทัพนี้นั้นถือเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งอยู่พอสมควรเลย
และแน่นอนว่า ที่บอกว่าแข็งแกร่งอยู่พอสมควรนั้นก็เพราะที่นี่คือโลกใต้พิภพ สถานที่ซึ่งยอดฝีมือมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเกิดกองทัพเช่นนี้ไปปรากฏตัวบนพื้นทวีปล่ะก็ คงจะมีระดับเดียวกับกองทัพหลวงของจักรวรรดิของเหล่ามนุษย์เลยล่ะ
เมื่อ 15 นาทีก่อน ทหารเดินเท้าและแบล็คชาแมนจากกองทัพแบล็ควอเตอร์กว่าพันตน ได้บุกเข้ามาทางประตูตะวันออกที่เปิดอยู่ บุกตรงเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
ดูท่าเพื่อเอาใจพันธมิตรโลกใต้พิภพในการตีนครภูผาหลิวฮวงให้แตก เจ้านคร อู๊ด อู๊ด ขนาดยอมส่งกำลังทหารกว่าครึ่งจากทั้งหมดของตนมาเลยสินะ ส่วนเจ้าพวกสมาชิกสภาฟอนเฟะนั้นคงแอบไปหลบอยู่ข้างนอกนครกันสินะ
พวกแรกที่ต้องปะทะเข้ากับกองทัพหมูก็คือ หน่วยลาดตระเวนของกองกำลังรักษาความสงบที่เป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่ได้รับแจ้งข่าว ซึ่งหน่วยนี้เป็นเพียงหน่วยเล็กๆที่มีลูกทีมเพียงแค่ 10 คนเท่านั้น...
เพื่อคุ้มกันทางหนีให้แก่เหล่าประชาชน อัศวินศักดิ์สิทธิ์ดาร์ดเอลฟ์หน่วยเล็กๆ หน่วยนี้ได้สู้จนตัวตายโดยไม่ถอยแม้เพียงซักก้าว แล้วด้วยการที่เหล่าดาร์ดเอลฟ์นั้นขึ้นชื่อในเรื่องความงามและเหล่ามนุษย์หมูก็ขึ้นชื่อว่าเกิดมาโฉดและมักมากในกามอยู่แล้ว ขนาดที่เจ้าพวกนี้ไม่เลือกว่าอีกฝ่ายจะเป็นหรือตาย...
เหล่ามนุษย์หมูได้เล่นและทำให้เหล่าศพแปดเปื้อนพร้อมทั้งกัดกินเหล่าศพไปด้วย ศพของเจ้าหน้าที่ผู้คุ้มกันประชาชนได้ตกไปเป็นของเล่นของพวกมนุษย์สัตว์ นี่ข้าควรจะรู้สึกขอบคุณในความไร้วินัยทางทหารกับความโง่เขลาของพวกมนุษย์หมูรึเปล่าเนี่ย? ที่ต่อยตีแย่งสิทธิ์ว่าใครจะได้ใช้ ‘สินสงคราม’ ก่อนกันน่ะ
เมื่อครั้งที่ข้ามาถึง ภาพที่ปรากฏต่อสายตาข้าก็มิต่างจากภาพวาดนรกบนดินที่เคยมีคนรังสรรค์ไว้
“หึ แต่ว่านะ ข้าเองก็รู้สึกขอบคุณไม่น้อยเลยที่มีระบบลิชแสนชั่วร้ายอยู่เช่นนี้ เพราะตราบใดที่ข้าทำตามใจ ข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้น ช่างง่ายดายเสียนี่กระไร เพราะไงซะ คนชั่วเองก็ต้องการคนชั่วมาไว้ลับคมเหมือนกัน อีกอย่าง การจะให้ชั่วยิ่งกว่าปิศาจ โฉดเสียยิ่งกว่าพวกถ่อยเนี่ย ช่างเป็นสิ่งที่ทำให้ข้าสุขใจดีจริงๆ”
คำสาปแช่งอันเราะร้ายเย็นชาได้ดังกึกก้องในดวงวิญญาณข้า จิตสังหารอันท่วมท้นคำรามลั่นในห้วงความคิดข้า จนสุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็น วลีอันแสนเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง
“ฆ่าให้หมด!!”