ตอนที่ 21 เหยื่อล่อ
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์การขยับขยายสภาผู้แทนราษฎรอันหน้าไม่อายของใครบางคนนั่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนครภูผาหลิวฮวงถือเป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับการนับหน้าถือตาของผู้คน
เหล่าสมาชิกสภาต่างเป็นตัวแทนถึงผลประโยชน์ในการค้าขายรวมถึงผลประโยชน์ที่แต่ละเผ่าพันธุ์จะได้รับ ทั้งนี้ เหล่าสมาชิกสภายังข้องแวะกับทางฝ่ายกิจการภายใน ฝ่ายกฎหมาย และท่านเจ้านคร พวกเขาเหล่านี้(เหล่าสมาชิกสภา) ยังสามารถที่จะเสนอข้อเสนอหรือข้อคิดเห็นขึ้นไปได้ ถ้าข้อเสนอหรือข้อคิดเห็นนั้นได้รับความเห็นชอบจากทั้งสภา ข้อเสนอหรือข้อคิดเห็นที่แม้แต่ท่านเจ้านครเองก็ต้องใส่ใจเอาไปคิดเป็นจริงเป็นจัง
ด้วยการที่อดัมทำตัวเป็นเพียงเครื่องรางนำโชค ปฏิเสธที่จะยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในนคร ส่วนทางฝ่ายกฎหมายก็สนใจแต่เพียงความสงบปลอดภัยของนครและการตัดสินโทษอาชญากรเพียงเท่านั้น ทำให้ในหลายวาระ ทางสภาสามารถที่จะสยบฝ่ายกิจการภายในที่อยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังลงได้ แม้ว่าหัวหน้าของฝ่ายกิจการภายในจะเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ มากาเร็ต ก็ตาม
และแน่นอนว่าอำนาจย่อมนำพาผลประโยชน์มาด้วย เพียงแค่การเปลี่ยนมูลค่าภาษีสินค้าหรืออนุมัติการนำเข้าสินค้าต่างๆ ก็นำพาเหรียญทองคำเงางามมาเข้ากระเป๋าได้มากมายเหลือคณา แล้วในเมื่อสมาชิกสภาที่เข้าใจถึงผลประโยชน์ที่ได้จากอำนาจในมือตนเช่นนี้ มีรือที่เหล่าสมาชิกสภาจะพึ่งพอใจที่ตนต้องเป็นเพียงพ่อค้าแม่ขายธรรมดาๆคนนึง
เพราะจะอย่างไรซะที่โลกแห่งนี้ ยังมีเหล่าชนชั้นสูงที่คิดว่าตน ‘เกิดมาใหญ่’ หรือแม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มองว่า ‘อาณาจักรทั้งอาณาจักรคือสมบัติส่วนตัวของตน’ เลยแล้วนับอะไรกับหัวใจของคนเราที่ไม่เคยรู้จักคำว่าพอ ยิ่งในนครที่มั่นคงสงบสุขเช่นนี้ เหล่าผู้คนผู้อยู่อาศัยย่อมกระหายในความเป็นใหญ่เป็นธรรมดา
แต่ ณ ตอนนี้ ที่แม้แต่คนงานธรรมดา ชาวนา คุณป้าข้างบ้าน หรือแม้แต่ชาวประมงยังขึ้นมาเป็นสมาชิกสภาได้ แล้วเมื่อหัวข้อถกเถียงเปลี่ยนจาก ’เราควรจะซื้อเหมืองทองคำนิลจากนครโครมดีรึไม่’ ไปเป็น ‘การเต้นออกกำลังกายตอนเช้าจะเป็นการรบกวนเหล่าราษฎรรึเปล่า’ ‘ทางสภาควรจะแจกอาหารกลางวันฟรีรึไม่’ แทน คุณค่าการเป็นสมาชิกสภาสำหรับพ่อค้าใหญ่โต หัวหน้าชนเผ่า และผู้อาวุโสต่างๆย่อมลดลงอย่างมาก ทำให้บุคคลข้างต้นที่กล่าวมาเหล่านี้ไม่พอใจอย่างสุดซึ้ง
แล้วเมื่อครั้งที่สภาผู้แทนราษฎรโดนขยับขยายเสียจนไร้ประสิทธิภาพ เหล่าสมาชิกสภาก็ทำได้เพียงถกเถียงพ้นน้ำลายใส่กัน จนสุดท้ายตึกสภาก็กลายเป็นสถานที่ไว้ให้ประชาชนเข้ามาดูมวยคู่เด็ดกัน เหล่าสมาชิกสภารุ่นดั่งเดิมที่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ใจสลาย และทำการสลักชื่อของคนผู้นึงไว้ในใจพวกตน บุคคลที่ทำตัวเหมือนเป็นมิตรยินยอมทุกอย่าง – บุคคลแสนชั่วร้ายที่เจ้าเล่ห์ดั่งพวกอสูร วูเมี้ยนเจ้อ
“ท่านประธานสภาแกรน กรุณาตัดสินใจด้วย!!”
ณ ตอนนี้ ที่ห้องทำงานของประธานสภาแกรน ได้มีเหล่าคนหนุ่มและเหล่าสมาชิกสภาฝ่ายพันธมิตรล้อมรอบประธานสภาเฒ่าที่แลดูเป็นคนธรรมดาๆคนนึงเอาไว้ ซึ่งในตอนนี้ฝ่ายที่ล้อมกำลังบังคับให้ประธานสภาแกรนผู้นี้ตัดสินใจอยู่
“ตอนนี้ นักโทษหลบหนีได้กระจายตัวออกไปสร้างเดือดร้อนทั่วนครแล้ว พวกเราต้องประท้วงเจ้านครที่มิยอมเคลื่อนไหวใดๆ แล้วปลดเจ้าหน้ากากโง่ที่บกพร่องในหน้าที่และลากมันไปไต่สวนซะ! รวมทั้งปลดเจ้าพวกโสเภณีดาร์ดเอลฟ์นั้นซะ!”
“ใช่แล้ว ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้านคร แอนนี่ยังเยาว์วัยและไร้ประสบการณ์ยิ่งนัก นางนั้นไร้ความสามารถที่จะนำผู้คนได้ เพราะนางถึงได้เกิดเหตุวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น นางเองก็ต้องโดนปลดจากตำแหน่งและลงทัณฑ์เช่นกัน!!”
ปัง ปัง โต๊ะทำงานที่ทำขึ้นจากไม้แดงเนื้อดีถูกตบลงอย่างต่อเนื่องโดยเหล่าสมาชิกสภาที่กำลังร้อนรน แต่ตัวประธานสภาเฒ่ากลับหันหน้าของตนมองออกไปนอกหน้าต่าง นี่ก็เป็นเวลาเลิกงานแล้ว ถ้าเป็นในวันอื่น เวลานี้ข้างนอกนั้นคงเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินทางกลับบ้านกลับช่องของตน เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ต่างนำพาบุตรหลานของตนออกมาเดินเล่น เหล่าคู่รักหนุ่มสาวต่างเดินเล่นพูดคุยไปตามสวนดอกไม้ในขณะที่ร้านค้าตามสองฟากฝั่งถนนต่างโฆษณามื้ออาหารอันเฉพาะตามแต่ละเผ่าพันธุ์ กลิ่นหอมหวนของอาหารขจรไปไกล...
แต่ในวันนี้ ข้างนอกนั้นกลับมีเพียงกลุ่มควันไฟให้เห็น ท้องถนนที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานในวันวาน กลับมีเพียงเสียงกรีดร้องและเปลวไฟที่คอยมอดไหม้ไปทั่วไร้ซึ่งสิ่งอื่นใดแล้วในวันนี้!!
“พอแล้ว” หลังจากที่สูดหายใจของตนเข้าลึกๆ ประธานสภาผู้เลื่องชื่อในด้านความธรรมดาไม่โดดเด่นก็ถอดแว่นตาของตนลงอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะจ้องมองไปเพื่อนร่วมงานที่ล้วนแต่งตัวมีฐานะของตน
“ว่าไงนะ?” ผู้นำของกลุ่มผู้ล้อมกรอบ สมาชิกสภาคาน ไม่คาดคิดเลยสักนิดว่าประธานสภาจะตอบสนองกลับมาเช่นนี้
“ปัง! ข้าบอกว่า พอแล้ว!”
เสียงตะโกนของชายชราผู้นี้สร้างความตระหนกตกใจให้กลับเหล่าสมาชิกที่อยู่รอบข้าง ดวงตาของชายชรานั้นแดงกล้ำราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องมองเหยื่ออันโอชะของตน แม้เหล่าสมาชิกสภาจะคุ้นชินกับความวุ่นวายในการประชุมสภา แต่เหล่าสมาชิกสภาก็ยังคงตกใจที่ได้เห็นว่าประธานสภาที่ธรรมดาเรียบง่ายในอดีตที่ผ่านมา ชายชราที่คอยเอาแต่ดื่มชาและแอบงีบหลับในระหว่างประชุม กลับมีความโกรธเกรี้ยวประดับบนใบหน้าได้ถึงเพียงนี้
“นอกเหนือจากนักโทษหลบหนีแล้ว ข้างนอกนั้นคงจะมีกองกำลังส่วนตัวของพวกเจ้าปะปนอยู่ด้วยสินะ นี่พวกเจ้ารู้มั้ยว่าพวกเจ้าน่ะกำลังทำอะไรอยู่ นี่น่ะมันการก่อกบฏ!!”
ความโกรธเกรี้ยวที่ประธานสภาแสดงออกมาทำให้เหล่าสมาชิกสภาก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว แต่คานผู้ที่มุ่งหวังจะขึ้นเป็นประธานสภาคนถัดไป ได้ก้าวออกมา
“นครภูผาหลิวฮวงนั้นเป็นของทุกคน แล้วเรื่องครั้งนี้จะเป็นการก่อกบฏได้อย่างไรกัน? พวกเราก็แค่ร้องขอให้ท่านเจ้านครอดัมกลับมาควบคุมสถานการณ์ และลงโทษเหล่าเจ้าหน้าที่ที่ทำงานบกพร่องแค่นั้นเอง หลังจากที่ทุกอย่างสงบลง พวกเราก็ค่อยเชิญท่านให้ดำรงตำแหน่งเจ้านครกิตติมศักดิ์ของพวกเราสืบต่อไป”
เมื่อมองดูสมาชิกสภาวัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้าหรูหราที่จ้องมองมาที่ตนด้วยใบหน้าอันไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ประธานสภาแกรนก็ชะงักไปครู่นึงก่อนที่จะยิ้มออกมา
“โห เจ้าก็ไม่ได้โง่นี่นะ ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้ากำลังกลัวกันอยู่ กลัวว่าหลังจากที่ท่านอดีตเจ้านครก้าวลงจากอำนาจแล้ว เจ้านครคนใหม่จะมิอาจปกป้องพวกเจ้าจากโลกใต้พิภพอันวุ่นวายได้ พวกเจ้าก็เลยอยากที่จะบังคับให้แอนนี่ถอยไป แล้วแต่งตั้งท่านอดีตเจ้านครขึ้นเป็นเจ้านครกิตติมศักดิ์ ค่อยทำหน้าที่เป็นเทพพิทักษ์ปกป้องพวกเจ้าต่อไปสินะ?”
“ดีแล้วที่ท่านเข้าใจ เมื่อถึงเวลานั้น ตัวท่านจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการภายในคนใหม่ของพวกเรา...”
“ไอ้ตัวหน้าไม่อาย!!”
น้ำลายคำใหญ่ได้กระเด็นไปแปะเปื้อนบนใบหน้าของคาน ใบหน้าของชายผู้เป็นหัวหน้าใหญ่แห่งอุตสาหกรรมอัญมณีได้บิดเบี้ยวไปในทันตา
“พวกเจ้าคิดจะไล่ลูกบุญธรรมของคนอื่นเค้าแล้ว พวกเจ้ายังจะริอาจหวังให้คนพ่อมาค่อยปกป้องพวกเจ้าจนตัวตายอีกรึ เจ้าพวกตัวอุบาทว์หน้าไม่อาย! ให้คิดว่าพวกเจ้าทุกตัวริอาจพอกพูนความคิดเช่นนี้ขึ้น ให้คิดว่าพวกเจ้าทุกตัวหน้าด้านพอที่จะเอ่ยคำเช่นนี้ออกมา ตัวข้าก็รู้สึกอับอายยิ่งนักที่ต้องอยู่ร่วมองค์กรเดียวกับพวกเจ้าทุกตัว!!”
เหล่าสมาชิกสภาต่างเหมือนอยากจะเปิดปากพูดบางอย่าง แต่ตัวประธานสภาเฒ่าที่กำลังเดือดดาลยังมิยอมหยุดการตำหนิครั้งนี้ ได้ชี้นิ้วไปที่ชายชราผู้ดูมีภูมิฐานร่างกายแข็งแรงผู้นึง
“รูลัส! เมื่อครั้งห้าสิบปีก่อน ด้วยความผิดที่พ่อของเจ้าก่อไว้ ทำให้ครอบครัวเจ้าทั้งหมดต้องตกเป็นทาสจนเกือบจะถูกขายให้กับนครโครมเพื่อเป็นการชดเชยให้กับเหล่าลัทธิทั้งหลาย แต่ก็เป็นเพราะท่านอดีตเจ้านครมิใช่รึที่เสี่ยงผิดใจกับทางนครโครมเพื่อช่วยเจ้าออกมาด้วยตัวท่านเอง ข้ายังคงจดจำวันเวลาในครั้งนั้นเมื่อครั้งที่เจ้าเป็นเด็ก เจ้าได้ร่ำไห้คุกเข่าขอบคุณท่านอดีตเจ้านคร พร้อมกับกล่าวว่า ‘ข้าจะไม่มีวันลืมพระคุณของท่านเลย’ แล้วนี่คือการตอบแทนท่านอดีตเจ้านครของเจ้างั้นเหรอ?”
“ทูนเอ! พ่อของเจ้าได้ตายในหน้าที่เพื่อนครภูผาหลิวฮวง ตัวเจ้าที่เห็นเช่นนั้นก็ชอบเสนอหน้ามาให้ประชาชนเห็นโดยใช้ฐานะลูกวีรบุรุษของเจ้า ถุย! ลูกวีรบุรุษ? ทหารที่สิ้นชีพจากกระสุนลูกหลงในระหว่างหนีทัพเนี่ยนะ! นี่เจ้ายังมียางอายหลงเหลืออยู่บ้างไหม? ที่ท่านมากาเร็ตยอมมอบสถานะการตายอันทรงเกียรติให้กับพ่อของเจ้า ก็เพราะท่านรู้น่ะสิว่าครอบครัวของเจ้าต้องการเงินบำนาญเพื่อให้อยู่รอด! และนี่คือการตอบแทนจิตใจอันมีเมตตากรุณาของท่านมากาเร็ตของเจ้างั้นเหรอ”
“ซูวด์น่า! ตัวเจ้า พวกเรานั้นเคยเป็นสามทหารเสือแห่งสภาผู้แทนราษฎรมาด้วยกัน ตัวเจ้าที่ต้องประสบโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในชีวิต ครอบครัวของเจ้าทั้ง 13 คนถูกใครบางคนลงมือสังหารหลงเหลือตัวเจ้าเป็นผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าใครกันที่ยอมก้าวออกมาใช้เวลากว่าครึ่งปีตามรอยฆาตกรที่อยู่ห่างออกไปกว่าหลายพันลี้ เพื่อตามจับฆาตกรผู้นี้มาลงโทษ ซึ่งเท่ากับเป็นการล้างแค้นให้ครอบครัวเจ้า? ใครกันที่เป็นคนจ่ายค่าเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่? อะไรกัน เจ้าตอบไม่ได้งั้นเหรอ? ข้าก็อุตส่าห์คิดว่าเจ้าเป็นนักพูดที่เปี่ยมด้วยวาทศิลป์ เชี่ยวชาญด้านการปลุกปันความคิดของปวงประชาเสียอีก? งั้นให้ข้าคนนี้ตอบคำถามข้อนี้แทนเจ้าเองละกัน คนผู้นั้นก็คือ ท่านวูเมี้ยนเจ้อ ชายที่ถูกเจ้าตราหน้าท่านว่าเป็นอสูรร้ายไงล่ะ!”
“คาร์ท! ด้วยสายเลือดต้องสาปของตระกูลเจ้าถ้าไม่ได้ท่านนักบุญผู้ยิ่งใหญ่...”
“ลูน่าริส! เจ้า...”
“แล้วก็เจ้า คาน! ข้าขอถามเจ้าหน่อย เมื่อครั้งที่ครอบครัวของเจ้าล้มละลายหลังจากที่ตัวเจ้าถูกหลอก ใครกันที่เป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าทวงคืนทรัพย์สินของครอบครัวเจ้าบางส่วนกลับมา? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฝ่ายกิจการภายในยอมมาเป็นผู้ค้ำประกันให้ เจ้าคิดรึว่าด้วยหนังหน้าเหี่ยวๆของเจ้า เหล่าก็อบลินจะยอมให้เจ้ากู้เงินโดยไม่เพิ่มอัตราดอกเบี้ยน่ะ? เจ้านั่นติดค้างบุญคุณทั้งท่านมากาเร็ตและท่านวูเมี้ยนเจ้อ แล้วเจ้ายังจะมีหน้ามากบฏต่อพวกท่านอีกรึ?”
สมาชิกสภาคนแล้วคนเล่าต่างโดนตำหนิด่าทออย่างรุนแรง แต่ไม่มีสมาชิกสภาคนใดเลยที่กล้าเงยหน้าของตนขึ้น เพราะจะอย่างไรซะ ย่อมมีบางครั้งที่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าคนเฒ่าคนแก่ที่รู้เรื่องอยู่ทุกอย่าง ผู้ที่ทำผิดย่อมรู้สึกว่าการเงยหน้าของตนนั้นยากนัก บางครั้งแม้แต่ตัวผู้กระทำผิดเองก็ยังพบว่าในใจตนนั้นยังมีหลงเหลือความละอายอยู่เช่นกัน
“เจ้าพวกโง่เง่าหน้าไม่อาย นี่พวกเจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าพวกเจ้าอยู่ในที่แห่งใดกัน? ที่นี่คือนครภูผาหลิวฮวง แต่นครแห่งนี้เองก็อยู่ในโลกใต้พิภพอันต้องสาปนี้เช่นกัน! ถ้าปราศจากความคุ้มครองจากท่านเจ้านครและท่านผู้นำที่เหลือในตลอดร้อยปีที่ผ่านมา พวกโง่ไร้พลังเช่นพวกเจ้าคงกลายเป็นทาสหรืออาหารของผู้อื่นไปนาน...”
“พอแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องมีประธานสภาที่ธรรมดาสามัญที่สุดในประวัติศาสตร์มาจัดการเรื่องนี้ให้หรอก พวกเราจัดการเรื่องนี้กันเองก็ได้!”
คานที่ใบหน้ากล่ำด้วยความโกรธและความอับอายได้กลับหลังหันพร้อมที่จะจากไป
เหล่าสมาชิกสภาคนอื่นต่างหันหลังตามคานไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ไร้ซึ่งความกล้าที่จะมองหน้าสหายของตน สำหรับเหล่าสมาชิกสภาที่โดนกระชากหน้ากากของตนออกแล้วนั้น ทุกวินาทีที่อยู่ที่ห้องทำงานแห่งนี้นั้นก็เจ็บปวดมิต่างจากการโดนมีดแหลมคมทิ่มแทง
แต่คำเยาะเย้ยจากชายชราก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของเหล่าสมาชิกสภา
“ธรรมดางั้นเหรอ? นั้นสินะ ข้าก็เป็นเพียงคนธรรมดาโง่งมคนนึงแต่พวกเจ้ารู้มั้ยว่าข้านั้นได้สร้างสถิติใหม่ให้กับสภา?”
ไม่มีผู้ใดตอบรับเสียงของชายชรา แต่เมื่อได้ยินคำว่าสถิติใหม่ของสภา เหล่าสมาชิกสภาทั้งหมดก็ได้หยุดฝีเท้าลง
“ข้า แกรน บาร์ท ไอ้แก่ธรรมดาๆผู้นี้ได้นั่งเก้าอี้ประธานสภามาแล้วกว่า 13 ปี ข้านั้นเป็นประธานสภาที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดเป็นอันดับสองของสภา ข้ายังตั้งใจที่ทำลายสถิติของบาร์ทพ่อของข้าที่ทำสถิติไว้ 16 ปี แต่ช่างน่าเสียดายที่พวกเจ้าทำทุกอย่างพังหมดแล้ว”
ประธานสภาผู้ขึ้นชื่อเรื่องความโง่งมไปทั่วทั้งนคร แต่ในตอนนี้ใบหน้าสีแดงของชายชราผู้นี้กลับเต็มไปด้วยพลังไร้ซึ่งเศษเสี้ยวของความโง่เขลา สายตาที่ชายชราผู้นี้ใช้มองไปที่เพื่อนร่วมงานของตนนั้นเจือปนด้วยอารมณ์อันแปลกประหลาด นี่คือ...ความสงสารงั้นเหรอ?
“หึ ท่านก็แค่อายุยืนเท่านั้นเอง มีอะไรให้น่าภูมิใจกัน!”
“ฮะ แน่นอนสิว่านี่ย่อมเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ ประธานสภาคนก่อน หลี่เว่ยซื่อ ผู้มาจากแดนตะวันออกเชี่ยวชาญไม่ว่าจะทั้งด้านบู๊หรือบุ๋น ชายผู้นี้ต่อต้านทุกแรงกดดันรอบข้าง ตั้งใจที่จะลดจำนวนสมาชิกสภาลง ทุกคนต่างตั้งความหวังไว้กับชายผู้นี้แล้วสุดท้ายล่ะ? ...ตาย ในปีที่สามของการดำรงตำแหน่งประธานสภา ชายผู้นี้โดนเปลี่ยนเป็นผีดิบ(ซอมบี้)โดยเนโครแมนเซอร์ที่ผ่านทางมา”
“ประธานสภาคนก่อนของก่อนหน้านี้ โครเว็น ชายผู้ที่ประชาชนค่อยคล้อยตาม ชายผู้นี้ได้ปลุกปันให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ขึ้นหลายครั้งหลายคราบังคับหัวหน้าฝ่ายกิจการภายในท่านมากาเร็ตยอมแพ้ในหลายวาระ จนชายผู้นี้ได้รับฉายาว่าราชาไร้มงกุฎแห่งนครภูผาหลิวฮวงแล้วสุดท้ายล่ะ? ...ในปีที่สามของการดำรงตำแหน่งประธานสภาเช่นกัน ชายผู้นี้ก็ตายลงด้วยการถูกโจรล้วงกระเป๋าแทงเข้าที่ท้อง ลำไส้ไหลทะลักออกมากองทั่วพื้นตรอกลึกแห่งนึง”
คานและเหล่าสมาชิกสภาในตอนแรกนั้นต่างมีสีหน้ารำคาญหงุดหงิด แต่ในตอนนี้ พวกมันกลับหลั่งเหงื่อเย็นๆออกมามากมาย รวมทั้งฝ่ามือเองก็เย็นเชียบไปแล้ว
“รองประธานสภาคนก่อนของก่อนหน้านี้ เบนซ์ หึ หึ ประธานสภา คาร์ย่า นางนั้นเข้าข้างกับทางฝั่งเจ้านคร เพราะเหตุนั้นเบนซ์จึงได้ประโคมข่าวลือว่าเคร์ย่ามีความสัมพันธ์ชู้สาวกับผู้อื่น จนนางต้องปลิดชีวิตตัวเองไปในที่สุด เบนซ์นั้นถือเป็นผู้มีพรสวรรค์ยิ่งนัก ชายผู้นี้จัดการเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนแม้แต่พวกสุนัขดุร้ายแห่งระบบกฎหมายยังหาหลักฐานเอาผิดไม่ได้แล้วสุดท้ายล่ะ? ...หลังจากที่มีเรื่องชกต่อยกันในบาร์เหล้า เบนซ์ก็หายสาบสูญไปเมื่อ 20 ปีก่อน แต่เมื่อทุกวันครบรอบวันตายของคาร์ย่า จะมีชิ้นส่วนของผู้ชายมาเป็นของเซ่นที่หลุมศพของนางทุกปี และเมื่อปีที่แล้ว ของเซ่นก็คือนิ้วมือข้างขวาที่สวมแหวนทองแดงของไอ้แก่เบนซ์ หึ หึ”
ในวินาทีนี้ เหล่าสมาชิกสภาทุกคนต่างมีความกลัวปรากฏอยู่บนใบหน้าตน พวกมันมิกล้าจะดูถูกชายชราที่ดูเหมือนคนกำลังใกล้ตายเบื้องหน้าตนอีกแล้ว
“อย่าบอกนะว่าผู้ที่ทำทั้งหมดนี่คืออดัมกับพวกน่ะ! ข้าคิดว่าพวกมันเป็นคนดีเสียอีก...”
“ท่านมากาเร็ตกับท่านอดีตเจ้านครน่ะเป็นคนดี พวกเจ้าไม่ผิดเรื่องนี้หรอก แต่พวกเจ้ารู้มั้ยว่า ชายผู้ที่พวกเจ้าด่าทอว่าเจ้าเล่ห์ดั่งอสูรน่ะ ฉายาแรกของท่านผู้นั้นคืออะไร?”
“เจ้าว่าไงนะ?”
“มือแห่งกฎหมายนั้นแข็งแกร่งและชั่วร้ายกว่าอสูรตนใด นี่คือคำอุปมาที่ใช้บอกถึงมือที่ไม่มีวันสัมผัสได้ของท่านผู้นั้น ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใคร ตราบใดที่มันผู้นั้นข้ามเส้นแล้วเหยียบย่ำบัญญัติแห่งกฎหมาย kacha (เสียงฟันดาบ) ดาบประหารจะฟาดฟันมันผู้นั้นให้สิ้นไป พวกเจ้าคิดเหรอว่าจะมีแต่พวกเจ้าที่เชี่ยวชาญการปลุกปัน ควบคุมความคิดความเห็นของประชาชนน่ะ? ท่านผู้นั้นน่ะแม้แต่ความทรงจำยังจับเปลี่ยนให้ได้ แล้วมันจะยากอะไรถ้าท่านจะสร้างข่าวลือให้เป็นไปตามที่ท่านต้องการ?”
“พ่อของข้า ผู้เป็นประธานสภาที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด บาร์ท ท่านบอกกับข้าเพียงหนึ่งสิ่งก่อนที่ท่านจะสิ้นลม พวกเจ้ารู้มั้ยว่าท่านบอกอะไรกับข้า?”
ณ ตอนนี้ ไม่มีสมาชิกสภาที่กำลังกลัวหัวหดคนใดกล้าตอบรับคำของชายชรา ใบหน้าของพวกมันขาวซีดดุจซากศพ หัวหน้าของคนกลุ่มนี้ คาน ได้รวบรวมความกล้าตะโกนออกมาว่า
“ไอ้แก่! ข้าไม่สนใจที่จะ...”
แต่ประธานสภาเฒ่ากลับส่ายหัวไปมา ใบหน้าของชายชรานั้นเฝ้าหวนรำลึกถึงความหลัง พร้อมกันนั้นชายชราก็เปิดปากเอ่ยออกมา
“ท่านบอกกับข้าว่า ‘นครภูผาหลิวฮวงนั้นเป็นดั่งสรวงสวรรค์ในโลกใต้พิภพ แต่ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะมีอสูรตนหนึ่งที่ยอมทำเรื่องสกปรกทั้งหมดด้วยตนเอง อสูรตนนี้เฝ้ากำจัดอสูรตัวเล็กๆตนอื่นและสิ่งโสมมทั้งหลาย ทำให้เมื่อมองจากภายนอกนครแห่งนี้ถึงได้สวยสะอาดและงดงามดุจสรวงสวรรค์ ถ้าในภายภาคหน้าเจ้าอยากขึ้นเป็นประธานสภาล่ะก็ เรื่องนี้นั้นง่ายมาก เจ้าจงทำตัวให้โง่เข้าไว้และอย่ามักใหญ่ใฝ่สูงเกินตน เจ้าพวกโง่ที่นำหน้าเจ้าอยู่ตอนนี้ไม่ช้าก็เร็วก็จะหายไปจนหมดเอง เมื่อเป็นแบบนั้นเจ้าก็จะได้ขึ้นเป็นประธานสภาเอง’หึ ให้คิดว่าที่ท่านพูดมานั้นถูกต้องจริงๆด้วย พวกเราสองพ่อลูก ต่างเป็นประธานสภาที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด แม้พวกเราทั้งคู่อาจจะต้องเป็นประธานสภาที่ธรรมดาสามัญที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ตาม”
เมื่อถึงวินาทีนี้ ตัวคานได้สูญสิ้นความยโสที่มีมาเมื่อก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น ปากของมันนั้นเปิดกว้าง ตัวมันนั้นหอบหายใจอย่างรุนแรงราวกับคางคกที่กำลังเกยตื้น อย่างกับว่ามีโซ่ที่มองไม่เห็นมาพ่วงอยู่ที่คอของมัน สัมผัสเย็นๆที่สื่อถึงความตายได้ทำให้ผู้ที่สัมผัสหอบหายใจลำบาก
“จริงสิ พวกเจ้าไปร่วมมือกับนครโครมนินะ นี่พวกเจ้าคิดจริงๆหรือว่าพวกเจ้าจะโค่นท่านสามผู้นำได้เพียงเพราะพวกเจ้าไปสบคบคิดกับพันธมิตรโลกใต้พิภพน่ะ? ขึ้นเป็นชนชั้นสูงหรือเชื้อพระวงศ์งั้นเหรอ? หึ หึ พวกเจ้ายังมิเคยเห็นสงครามจริงๆเลย เจ้าพวกเด็กไร้เดียงสาทั้งหลาย ไม่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ชื่อแรกๆที่ต้องถูกฆ่าย่อมเป็นพวกเจ้าอยู่แล้ว เจ้าพวกคนทรยศ!”
“ไอ้แก่โง่!!”
ซูวด์น่าที่เดือดดาลได้ชกเข้าที่ใบหน้าของประธานสภาเฒ่า ตัวแกรนนั้นได้กระแทกเข้าที่โต๊ะอย่างรุนแรง แว่นของแกรนได้แตกกระจาย ที่มุมปากและบริเวณดวงตาของชายชราได้มีเลือดหลั่งออกมา แต่ตัวชายชรากลับยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้า ราวกับเจ้าตัวกำลังพึงพอใจอยู่
“หึ หึ พวกเจ้ารู้มั้ยว่าทำไมข้าถึงพูดมากขนาดนี้โดยไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะแพร่สะพัดออกไป? ก็เพราะข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อน่ะสิ เจ้าพวกโง่! ข้าพูดถูกรึเปล่า? ท่านวูเมี้ยนเจ้อ คนตายมิอาจปริปากได้ ในเมื่อเจ้าพวกงูโง่โดนล่อออกมาแล้ว นี่ก็ถึงเวลาที่ท่านจะลงตาข่ายจับงูเสียที”
“แปะ แปะ แปะ” เสียงปรบมืออันชวนขนลุกได้ดังก้องขึ้น เสียงปรบมือที่ราวกับเสียงกระดูกกระทบเข้าหากัน แต่เมื่อเสียงนี้กระทบเข้าในหูของเหล่าสมาชิกสภาแล้ว เสียงปรบมือนี้นั้นราวกับท่วงทำนองที่กำลังนับถอยหลังถึงความตายของพวกตน
ได้มีร่างบางร่างนึงเผยโฉมออกมาจากเงามืด ภายใต้หน้ากากเงินนั้นคือสายตาสีแดงอันเย็นยะเยือกคู่นึง เสียงปรบมือที่ชวนขนหัวลุกนั้นดังขึ้นมาจากลูกแก้วคริสตัลในมือของผู้บังคับใช้กฎหมายผู้นี้
“ซิลเวอร์โรส! หัวหน้าแห่งหน่วยข่าวกรอง? ผู้สังเกตการณ์? ราชินีใต้ดินแห่งนครภูผาหลิวฮวง!” ร่างของลูกน้องคนสนิทของวูเมี้ยนเจ้อได้ปรากฏตัวออกมา การปรากฏตัวอันฉับพลันของราชินีข่าวกรองผู้เลื่องชื่อได้ทำลายความมั่นใจที่เหลืออยู่น้อยนิดในใจของเหล่าสมาชิกสภาลง
“เจ้า เจ้า...”
เมื่อมองดูสมาชิกสภาที่ร้อนรนชี้นิ้วมาที่ตัวเธออย่างหยาบคาย ซิลเวอร์โรสก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ‘เปาะ’ ด้วยเสียงดีดนิ้วของเธอ เส้นลวดที่มองไม่เห็นในห้องก็รัดตรึงขึ้น
ในชั่วพริบตาต่อมา ลำคอของเหล่าสมาชิกสภาทุกคนก็รัดตรึงขึ้นด้วยลวดที่มองไม่เห็นพร้อมกันนั้นร่างของพวกมันก็โดนลวดดึงขึ้นให้ลอยอยู่เหนือพื้น
ใช่แล้ว ตั้งแต่ต้น โซ่ที่ไม่เห็นที่คานรู้สึกนั้นไม่ใช่การคิดไปเองแต่อย่างใด... ด้วยฐานะคนทรยศ พวกมันทุกคนต้องโดนตัดสินด้วยกฎบ้านกฎเมืองนั้นคือ – โทษตาย!
“กึก!!” เมื่อเวลาผ่านเลยไปไม่กี่วินาที ดั่งเช่นปลาที่โดนจับขึ้นบกสมาชิกสภาที่ดิ้นรนก็เริ่มเงียบลง เงียบลงไปคนแล้วคนเล่า เงียบงันไปชั่วกาลนาน...
เมื่อได้เห็นสหายของตนโดนจับแขวนคออย่างฉับพลัน ใบหน้าของผู้เฒ่าแกรนก็เต็มไปด้วยความกังวล
แต่น้ำเสียงที่ดังขึ้นจากลูกแก้วคริสตัลก็ทำให้ชายชราสงบลงอีกครั้ง
“ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้ากับพ่อของเจ้าต่ำไปหน่อยสินะ แต่ก็ช่างเถอะ ข้าในตอนนี้ยังค่อนข้างพอใจในตัวเจ้าอยู่พอสมควร ฉะนั้นถ้าเจ้ายังไม่อยากที่จะจัดงานศพล่ะก็ เจ้าก็ควรดูแลหลานชายของเจ้าที่ชอบเที่ยวไปก่อเรื่องโดยใช้ขึ้นของเจ้าให้ดีกว่านี้หน่อย จริงสิ ขอให้เจ้าโชคดีในการเลือกตั้งครั้งหน้าล่ะ ข้าตั้งตารอวันที่เจ้าได้รับเลือกอีกครั้งอยู่นะ”
ซิลเวอร์โรสที่เงียบอยู่ได้โค้งให้กับแกรน ก่อนที่จะก้าวถอยหลังหายเข้าไปในเงามืดอีกครั้ง
ศีรษะของประธานสภาเฒ่าได้ทิ่มลงไปบนโต๊ะเบื้องหน้า หอบหายใจอย่างหนัก ชายชราผู้นี้ได้กลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในห้องทำงานนี้...
“ฮาฮา ฮาฮาฮา! ข้ารอด! ข้ารอดแล้ว!”
แม้จะหลังจากที่ซิลเวอร์โรสได้ก้าวออกจากตึกนี้ไปแล้ว แต่เสียงหัวเราะของชายชราที่พึ่งรอดชีวิตมาก็ยังคงสามารถได้ยินได้แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากตึกนี้ก็ตาม...
ทั่วทั้งนครภูผาหลิวฮวงได้ตกอยู่ในความโกลาหล นักโทษแหกคุกและกองกำลังส่วนตัวของเหล่าพ่อค้าใหญ่ต่างหมกมุ่นอยู่กับการขโมยและทำลายทรัพย์สินต่างๆ ส่วนด้านนอกนครเหล่าดาร์ดเอลฟ์ก็เตรียมตัวที่จะแฝงตัวไปกับกองกำลังรักษาความสงบ ภาพที่ปรากฏขึ้นราวกับว่าสรวงสวรรค์แห่งโลกใต้พิภพได้กลับกลายเป็นนรกบนดินไปเสียแล้ว
ในขณะเดียวกันที่หอคอยสูงตระหง่าน ตัวข้าได้ก้มมองดูความโกลาหลที่เกิดขึ้นไปทั่วเบื้องล่างอย่างสนอกสนใจ ที่ด้านหลังข้าหัวหน้าแห่งสำนักผู้บังคับใช้กฎหมาย เสวี่ยที หัวหน้าแห่งสำนักกฎหมาย เคล หัวหน้าแห่งสำนักพิพากษา เคลวิน ทั้งสามต่างปกคลุมด้วยความโกรธเกรี้ยวต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นข้างล่าง
“เอาน่า เอาน่า พวกเจ้าอย่าดูทุกข์ร้อนขนาดนั้นสิ ในเมื่อความโสมมนี้ได้หยั่งรากลึกถึงในกระดูกแล้ว ถ้าพวกเราไม่หลั่งเลือดเสียบ้าง มีรึที่พวกเราจะตัดก้อนเนื้อร้ายนี่ทิ้งไปได้ ถ้าพวกเราไม่ยอมหลั่งเลือดเสียบ้าง แล้วมีรึที่พวกเราจะจดจำความเจ็บปวดครั้งนี้ได้ เพื่อที่สลักค่าของคำว่าสงบสุขลงไปในกระบาลของเจ้าพวกโง่นั้น เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงของนครภูผาหลิวฮวงในอีกสามทศวรรษข้างหน้า จงอดกลั่นเอาไว้ซะ อีกอย่าง คนของทางเราเองก็เริ่มออกเคลื่อนไหวแล้วอีกซักพักสถานการณ์ก็คงดีขึ้นเอง”
ชั่วครู่ต่อมา ซิลเวอร์โรส ใช่แล้ว อิลิซ่า หัวหน้าสาวใช้ของข้าเอง ก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าข้า ตัวข้าก็เข้าใจได้ในทันทีว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“หืม? เจ้าพวกโง่นั้นไปสมคบคิดกับนครใต้พิภพอื่นจริงๆสินะ แล้วตอนนี้กองทัพของนครอื่นก็กำลังเคลื่อนทัพมาที่นครนี้? เหะ เหะ สี่จตุรเทพของข้า ดูท่าจะมีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นแล้วสิ เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงไปร่วมสนุกกับพวกมันเสียหน่อยสิ”