ตอนที่ 19 ความเปลี่ยนแปลง
“กิ๊ง! ก่อง แก๊ง ก่อง...”
เสียงจากหอนาฬิกายักษ์ในนครภูผาหลิวฮวงได้ดังกึกก้องไปทั่วฟ้า เป็นสัญญาณบ่งบอกว่านี่เที่ยงวันได้เวลากินข้าวแล้วจ้า ด้วยมนตราประกอบร่างของข้าที่เริ่มทำงาน หลังจากวิงเวียนอยู่ครู่หนึ่ง ข้าก็กลับมาอยู่ที่บ้านข้าตำแหน่งที่ร่างกายของข้าอยู่
เมื่อศีรษะข้ากลับมาอยู่ในที่ที่ถูกที่ควรแล้ว สิ่งที่ข้าทำเป็นอันดับแรกต่อจากนั้นก็คือตรวจสอบสภาพร่างกายของข้า
“1, 2, 3… 24 น่าแปลก นี่เจ้าอันธพาลตัวน้อยไปแปลงเพศมารึไง? กระดูกซี่โครงข้าถึงไม่หายไปซักซี่เช่นนี้เนี่ย”
ระหว่างที่ข้าตกใจกับความจริงที่ว่าไม่มีซี่โครงหายไปเลยแม้เพียงซักชิ้น และกำลังจะตรวจสอบว่ามีนิ้วเท้านิ้วใดหายไปรึเปล่าเป็นอันดับต่อไปอยู่นั้น ก็มีน้ำเสียงแง่งอนดังขึ้นจากทางด้านหลังของข้า
“คุณลุงกระดูกนี่ล่ะก็ เราโตแล้วนะ เราน่ะไม่ไปแตะต้องตัวผู้ชายสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้วนะ”
ถึงตัวประโยคจะไม่มีอะไรผิดแปลกก็เถอะ แต่ทำไมพอข้าได้ยินแล้วถึงได้รู้สึกกระอักกระอ่วนเช่นนี้ล่ะ
เมื่อข้ากลับหลังหันไป ก็พบกับสาวน้อยวัยแรกแย้มเรือนผมสีแดงที่กำลังจดจ้องมาที่ข้า คนเดียวกับที่ข้าเห็นแว่บๆไปเมื่อก่อนหน้านี้ ดูซิ เจ้าเด็กน้อยขี้มูกโป่งเมื่อครั้งนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยแสนงดงามไปเสียแล้ว
เนื่องด้วยการฝึกอันชี้เฉพาะของพวกสายเลือดฟินิกซ์เพลิง ทำให้นางหนูมีลักษณะหลายๆอย่างที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าอดัม ผมยาวสีแดงเพลิงที่ปลิวสะไหวเมื่อต้องลม เรือนขาอันเรียวยาวเยี่ยงวงเวียน(อุปกรณ์ทางคณิตศาสตร์) รูปหน้าที่แต่เดิมกลมบ๊อกอุดมไปด้วยจ้ำม่ำในวัยเด็กได้แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้ารูปไข่ สิ่งที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงก็คงเป็นความไร้เดียงสาในแววตาของนางหนู และไฝเสน่ห์ที่เสริมสร้างความงดงามที่อยู่ภายใต้ดวงตาสีแดงของนางหนูนั้นละมั่ง
“อ๊ายโย่ มนุษย์นี่ช่างโตเร็วจริงๆเลยนะ เมื่อวันก่อน เจ้ายังเป็นอันธพาลตัวน้อยที่ค่อยเอาแต่ร้องตะโกนว่า ‘คุมะ’ ‘คุม๊า’ อยู่เลย แล้วดูตอนนี้สิ เจ้ากลับกลายเป็นสาวงามไปซะแล้ว”
แล้วเมื่อข้าหมุนหัวกลับไปอีกครั้งจนเกิดเสียงดัง แกร๊ก แกร๊ก ขึ้นมา ตอนนั้นเองที่ใบหน้าของแอนนี่ที่ตอนแรกยังคงเคร่งขรึมอยู่ ก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าตกใจก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“เวร ภาพลักษณ์ข้า” ข้ารีบกระชากกระดาษที่ติดกับศีรษะข้าออก โดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆบนใบหน้า ก่อนที่จะรับผ้าที่อิลิซ่าส่งให้มาอย่างเงียบๆ แล้วลงมือทำการเช็ดภาพเต่าที่ติดอยู่บนหัวกะโหลกของข้า
อะไรนะ? เจ้าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น? ที่จริงในระหว่างที่ข้าเฝ้ารอให้มนตราประกอบร่างของข้าทำงาน ข้าได้เล่นไพ่นกกระจอกกับเสี้ยวหงส์ไป 8 ตา แล้วดันไปพลาดแพ้มา 2 ตา... หืม ข้าไม่ใช่ฝ่ายแพ้หรอกนะ สภาพเสี้ยวหงส์น่ะเลวร้ายกว่าข้าเสียอีก ทั่วทั้งตัวของนางตอนนี้เต็มไปด้วยภาพเขียนหวัดๆ ระดับที่นางไม่จำเป็นต้องปลอมตัวใดๆเลย ถ้านางจะไปออกปล้นโดยสวมรอยเป็นมังกรดำน่ะ
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเราทั้งคู่ถึงไม่ใช้เหรียญทองคำหรือสินทรัพย์อื่นๆมาเป็นของเดิมพัน แต่กลับเลือกที่จะใช้การวางกระดาษบนตัวแล้ววาดรูปเต่าทับลงไปแทนนั้น ก็เพราะว่าพวกเราทั้งคู่ต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเวทมนต์ แถมด้วยเรื่องที่มโนธรรมในตัวพวกเรานั้นไม่ค่อยจะมีกันเท่าไหร่ ถ้าเกิดพวกเราเอาของที่มันล่อตาล่อใจมาเป็นของเดิมพันล่ะก็ ข้าเกรงว่าเกมที่พวกเราเล่นกันเพื่อฆ่าเวลาจะกลายเป็นเกมแข่งกันโกงกันซะก่อน หรือไม่ก็เป็น... มันอะไรน้า? เซียนสาวไพ่นกกระจอกละมั่ง?
โทษที ดูท่าข้าจะพูดอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรออกไป งั้นเรามาเปลี่ยนเป็น เกมไพ่นกกระจอก คนอัจฉริยะ แทนละกัน
“เฮ้อ ให้ตายสิ ทำไมสมัยนี้ จะเล่นเกมไพ่นกกระจอกกันธรรมดาๆ มันถึงได้ยากนักนะ”
ตอนนี้ตัวแอนนี่นั้นกำลังเอามือป้องปากหัวเราะเบาๆอยู่ ข้ารู้สภาพหนังหน้าข้าตอนนี้มันดูแย่ เอาเถอะไงซะ ลิซที่มีภาพวาดรูปเต่าอยู่บนหัวก็คงจะหาดูไม่ได้ง่ายๆนักหรอก แม้แต่เจ้าพวกแดร๊กก้อนที่โดนเรียกมาเล่นเป็นเพื่อนพวกเรายังมองพวกเราด้วยสีหน้าตกใจเลย...
“นี่มันแปลกนักรึไง? ลิชผู้ชั่วร้ายกับมังกรแดงจอมทำลายล้างไม่มีสิทธิ์มานั่งเล่นไพ่นกกระจอกฆ่าเวลาด้วยกันรึไง? ตราบใดที่พวกเราอยู่ด้วยกัน พวกเราต้องนั่งคิดแผนชั่วทำลายล้างโลกนี้อยู่เสมอเลยรึไง?”
“ป่าว ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” สาวน้อยผมแดงส่ายหน้ากลับมา
“หลังจากที่เราใช้เวลาออกเดินทางอยู่ที่โลกภายนอกนั้น โลกเล็กๆใบนี้ก็เปลี่ยนไปจนหมดเลย หลังจากกลับมาที่นคร ผู้คนที่เราเคยสนิทด้วยก็ทำตัวแปลกไปจนหมด พวกเขาน่ะเอาแต่ขอให้แอนนี่ทำนู้นให้ทำนี่ให้ ท่าทางของทุกคนเองก็แปลกไปแต่ทุกคนก็ไม่ยอมบอกเลยว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อมองดูรอยยิ้มปลอมๆเหล่านั้น แอนนี่ก็รู้สึกไม่ดีเลยตลอดทั้งวันที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ได้เห็นว่าคุณป้าเสี้ยวหงส์กับคุณลุงกระดูกยังคงเหมือนเดิม ตัวเราก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมากเลย”
แอนนี่ได้ยิ้มออกมา รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขและความรู้สึกเฝ้าคะนึงหาที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ดูท่าการออกเดินทางฝึกฝนในครั้งนี้จะทำให้เจ้าหญิงองค์น้อยแห่งนครภูผาหลิวฮวงเติบโตขึ้นไม่น้อยเลย
“ปัก!”
แต่ตัวข้าก็ยังทำลายบรรยากาศเช่นนี้ลง ด้วยการเขกหัวอีกฝ่ายด้วยกระดูกของข้า
“นี่เจ้าพึ่งจะอายุอานามเท่าไหร่เองหา? อย่ามาพูดจาเยี่ยงคนแก่เช่นนี้สิ หน้าที่คร่ำครวญเกี่ยวกับชีวิตหรือรำลึกถึงอดีตน่ะมันเป็นหน้าที่ของคนแก่เค้า ถึงตัวข้าจะยังหนุ่มยังแน่นอยู่ก็เถอะ แล้วอีกเรื่อง ข้าน่ะไม่ว่าอะไรหรอกที่เจ้าจะเรียกว่าลุง แต่สำหรับเสี้ยวหงส์น่ะ...”
“แอนนี่รู้แล้ว เมื่อเราเจอคุณป้าเสี้ยวหงส์ เราจะเรียกคุณป้าว่า พี่สาวเสี้ยวหงส์ ไม่เช่นนั้นตอนที่ทุกคนไปกันหมดแล้ว คุณป้าเสี้ยวหงส์จะแอบไปหลบหลังกำแพงหิน แล้วแอบร้องไห้คนเดียว เสียงร้องไห้ของคุณป้าน่ะดังมากๆเลย แม้แต่พวกเราที่อยู่ตรงตีนเขายังได้ยินเลย แต่ดูเหมือนตัวคุณป้าเองจะยังไม่รู้ถึงเรื่องนี้ ว่ามันน่าอายแค่ไหน”
“อืม เช่นนั้นแหละ เหล่าสาวน้อยอายุเลยวัยแต่งงานแต่ยังไม่ได้แต่งงานพวกนี้น่ะอารมณ์อ่อนไหวมากนะรู้มั้ย ฉะนั้น พวกเราควรจะสงสารพวกนาง เห็นอกเห็นใจพวกนาง และค่อยมอบความรักให้แก่พวกนาง แล้วถ้าเจ้าเจอมากาเร็ต เจ้าต้องเรียกนางว่าอย่างไร?”
“พี่สาวมากาเร็ต! แอนนี่รู้แล้ว”
“เก่งมากๆ จำไว้นะเจ้าต้องเรียกนางเช่นนี้ต่อหน้าเจ้าอดัม” ข้ากล่าวออกไปเช่นนั้นพร้อมกับหัวเราะสะใจอยู่ข้างใน
แอนนี่นั้นเป็นลูกศิษย์ของอดัม และก็เป็นลูกบุญธรรมของเจ้าหมอนั้นในเวลาเดียวกัน แต่ทั้งๆที่รู้อย่างงั้น ตัวมากาเร็ตก็ยังมอบนามสกุล เลย์ดี้ ของนางให้กับแอนนี่ นี่ย่อมเป็นการบอกความปรารถนาของนางออกไปกลายๆ แต่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเรียกนางว่าแม่เลย ตัวแอนนี่นั้นกลับเอาแต่เรียกนางว่าพี่สาวอยู่เสมอ ซึ่งนั้นก็เป็นผลให้เจ้าอดัมกลายเป็นผู้อาวุโสมากกว่ามากาเร็ตหนึ่งรุ่นไปในทันที แล้วเรื่องนี้เองที่ทำให้นางต้องทุกข์ใจอย่างหนัก
และแน่นอนว่า การทำให้นางต้องทุกข์ใจก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของข้าเช่นกัน
“จำไว้นะ เจ้าต้องเอ่ยปากชมมากาเร็ตอยู่เสมอว่านางน่ะทั้งสาวทั้งสวย แล้วก็เสริมไปอีกนะว่าตาลุงอย่างอดัมน่ะไม่เหมาะกับนางหรอก” สาเหตุที่ทำให้เด็กๆพูดจาพล่อยๆออกมา ก็เพราะไม่มีใครมาคอยสอนสั่งหรอกเหรอ...
“นายท่านค่ะ อาจารย์มากาเร็ตได้ฝากข้อความถึงท่านเอาไว้ว่า ถ้าท่านยังจะสอนเรื่องแปลกๆให้กับแอนนี่อีก อาจารย์จะใช้อำนาจในฐานะหัวหน้าแห่งฝ่ายกิจการฝ่ายในของอาจารย์มาตัดงบประมาณที่นายท่านอ้างว่าคือ ‘เบี้ยเลี้ยงในการทำงาน’ แต่กลับเอาไปใช้จับจ่ายซื้อหนังสือคลาสสิคชุดผลิตจำนวนจำกัดเหล่านั้นค่ะ”
นี่ข้าลืมไปได้ไงเนี่ยว่าข้างกายข้านั้นมีสายลับของมากาเร็ตอยู่ด้วยเช่นนี้ ถึงข้าจะคิดว่ามันแปลกมาตลอดเลยก็เถอะที่นักบุญกลับมาสนิทกับครึ่งปิศาจได้ถึงเพียงนี้ แต่หัวหน้าสาวใช้ของข้า อิลิซ่า ก็เป็นลูกศิษย์ของมากาเร็ตจริงๆถึงจะแค่ในนามก็เถอะ
เรือนผมที่สั้น แว่นตากรอบทอง ใบหน้าอันไร้อารมณ์และวาจาอันเราะร้าย ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะลักษณะอันเฉพาะตัวของมากาเร็ตทั้งนั้น แม้แต่พฤติกรรมที่ชอบยืนบนที่สูงแล้วจ้องมองข้าอย่างดูหมิ่นด้วยสายตาเย็นชาในขณะที่ใช้มือขวาดันแว่นกรอบทองขึ้นนั้นก็ละม้ายคล้ายคลึงกับนางเช่นกัน ข้าคงทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ นอกเสียจากจะถอนหายใจออกมา
“นี่เจ้าไม่เลียนแบบมากาเร็ตมากไปหน่อยเหรอ? นับวันเจ้าจะยิ่งเหมือนอีแก่ขึ้นคานนั้นเข้าไปทุกทีแล้วนะ ระวังไว้เถอะว่าเจ้าเองก็จะไม่มีใครรับไปเป็นภรรยาเหมือนกันน๊า”
“ถ้าดิฉันสามารถเป็นเหมือนกับอาจารย์ได้ ก็ถือว่าเป็นเกียรติสำหรับดิฉันค่ะ เดี่ยวดิฉันจะฝากข้อคิดเห็นของนายท่านเกี่ยวกับอาจารย์ไปถึงท่านมากาเร็ตให้เองค่ะ นายท่านเฝ้ารอวันที่ท่านโดนตัดงบได้เลยนะคะ”
“ถ้างั้นข้าจะไปตัดงบประมาณปฏิบัติการของ ‘ผู้สังเกตการณ์’ ของเจ้าเอง ให้เจ้าได้ลองลิ้มรสประสบการณ์ที่ต้องโดนสายลับใต้อาณัติเจ้าตามทวงค่าจ้างว่าเป็นเช่นไรก่อนเลย”
“ตามสบายเลยค่ะ เพราะเดี่ยวดิฉันก็ไปขโมยเอาจากค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของบ้านหลังนี้เองค่ะ นายท่านอยากลองลิ้มรสประสบการณ์ที่อยู่ๆน้ำก็หยุดไหลแก๊สก็หยุดจ่ายดูไหมล่ะคะ? หรือว่าท่านอยากจะลองลิ้มรสประสบการณ์ที่อยู่ๆแสงเทียนก็ดับหายไปในยามค่ำคืนดูไหมล่ะค่ะว่าเป็นเช่นไร? หรือว่านายท่านอยากจะลองสัมผัสประสบการณ์ที่จู่ๆอ่างล่างหน้าก็ระเบิดใส่ดูไหมล่ะค่ะว่าจะ...”
“เดี่ยว เดี่ยว เดี่ยว ไอ้อย่างหลังมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องเงินแล้วนะ นี่เจ้าจะวางแผนฆาตกรรมข้า เพื่อหวังฮุบสมบัติข้าไปใช่มั้ย เจ้าสาวใช้ชั่วร้ายนี่!”
“ท่านก็เป็นนายจ้างใจจืดใจดำค้างเงินลูกจ้างเหมือนกันแหละ...”
“พุ!” แอนนี่ที่เห็นพวกเราทะเลาะกันเช่นนี้ก็ตื่นเต้นจนหลุดหัวเราะออกมา
“พี่สาวอิลิซ่าก็ยังเหมือนเมื่อสมัยก่อนเลย เราดีใจจัง แต่พี่สาวอิลิซ่ากับคุณลุงกระดูกนี่ยังสนิทกันเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยนะ เล่นเอาซะเราอิจฉาเลย”
“พวกเราไม่ได้สนิทกันสักหน่อย!” ครั้งนี้เองที่ทั้งข้าและอิลิซ่า ต่างบังเอิญประสานเสียงพูดประโยคเดียวกันในเวลาเดียวกันออกมาเช่นนี้
แอนนี่ได้อยู่เล่นที่บ้านข้าอีกสักพักก่อนที่จะลากลับบ้านไป ด้วยฐานะเจ้านครในอนาคตที่พึ่งเสร็จสิ้นจากการผจญภัยที่โลกภายนอกแล้ว ทำให้นางหนูยังมีเรื่องให้ต้องเรียนรู้อีกมากมายนัก
ข้าที่นั่งอยู่ตรงข้างหน้าต่าง ได้ก้มมองอดีตอันธพาลตัวน้อยที่แต่ก่อนเอาแต่กระโดดดี๊ด๊าไปมาเวลาไปไหนมาไหนเปลี่ยนเป็นสาวงามที่เดินเหินอย่างงามสง่า ตัวข้าที่เห็นเช่นนั้นก็อารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาเล็กน้อย
“นางหนูเปลี่ยนไปมากจริงๆ”
ถึงมนุษย์จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายก็เถอะ แต่ความเปลี่ยนแปลงของแอนนี่เมื่อโตขึ้นนั้นมากเกินไป มากซะจนเหนือกว่าที่ข้าคาดหมายไว้เสียอีก
ชื่อ: แอนนี่ เลย์ดี้ เผ่า: มนุษย์
อาชีพ: นักรบระดับ 60/ เซียนดาบระดับ 18
ระดับรวม 78 ประมาณความสามารถทางการต่อสู้: จุดสูงสุดแห่งทองคำ(ชั้นทองคำระดับสูงสุด) เทียบเท่าชั้นตำนาน
(เทียบเท่าชั้นตำนาน – คือมีพลังเทียบเท่าในระดับชั้นตำนานแต่ยังไม่มีตราประทับวิญญาณ)
ใช่แล้ว ข้าไม่ได้หมายถึงนิสัยหรือรูปร่างของนางหนูหรอก แต่เป็นพลังของนางต่างหาก
สำหรับแอนนี่ในตอนนี้ ถ้าข้าไม่ยอมใช้ไพ่ตาย ก็คงจะจัดการนางไม่ได้อีกแล้ว
โลหิตเหล็กไหล กายสำริด เกียรติภูมิแห่งเงิน สำหรับมนุษย์ทั่วไปแล้ว อุปสรรคในแต่ละระดับชั้นถือเป็นภาระอันหนักหนาที่อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการก้าวข้ามไป ซึ่งถ้าผู้ใดมาถึงระดับ 60 จุดสูงสุดแห่งเงิน แล้วยังอยากจะก้าวต่อไปก็ต้องเข้ารับการเปลี่ยนอาชีพชั้นสูง ซึ่งการเปลี่ยนอาชีพชั้นสูงนี่เองที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างคนธรรมดากับเหล่าวีรชนทั้งหลาย
ถ้าผู้ใดทำสำเร็จ ผู้นั้นก็จะได้รับอาชีพชั้นสูงและเข้าสู่ระดับชั้นปณิธานทองคำเป็นการตอบแทน บุคคลเหล่านี้แหละที่ทั่วทั้งโลกจะเรียกว่ายอดฝีมือ แต่ในความคิดของชาวโลกแล้ว จะคิดว่ายอดฝีมือระดับชั้นทองคำเหล่านี้ต้องเป็นคนเฒ่าคนแก่กันซะทั้งหมด
แอนนี่ที่ตอนนี้อายุเพียงสิบเจ็ดปี สำหรับอายุเท่านี้ไปถึงระดับชั้นเงินก็ถูกเรียกว่าอัจฉริยะจากทั่วทุกมุมโลกแล้ว แต่แอนนี่กลับไปถึงจุดสูงสุดแห่งทองคำได้ในอายุเท่านี้... อิลิซ่าเองก็อยู่ชั้นจุดสูงสุดแห่งทองคำเช่นกัน แต่ตัวอิลิซ่าที่อยู่ภายใต้การสั่งสอนจากจอมเวทย์ชั้นกึ่งเทวะถึงสองคน ทั้งข้าและมากาเร็ต ยังต้องใช้เวลากว่าร้อยปีเลยกว่านางจะมาถึงขั้นนี้ได้...
ส่วนเหตุผลที่ระดับชั้นนี้มีชื่อว่าปณิธานทองคำ ก็เพราะว่ายอดฝีมือชั้นทองคำนั้นสามารถใช้ความนึกคิด(ปณิธาน)ของตนมาบิดเบือนความเป็นจริงของโลกใบนี้ได้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความสามารถของคนปกติธรรมดา
เมื่อครั้งที่ข้าถูกยกย่องว่าเป็นบุตรแห่งแสงนั้น ข้าสามารถไปถึงระดับชั้นทองคำได้ในวัยเพียง 14 ปีแต่นั้นก็เป็นเพราะข้ามีสิ่งเสริมพลังแสงศักดิ์สิทธ์ในตัวที่ชื่อว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ข้าสามารถข้ามเส้นแบ่งระหว่างระดับชั้นไปได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อสมัยนั้น ตัวข้าก็ยังห่างไกลจากชั้นจุดสูงสุดแห่งทองคำมากนัก ถึงจะเป็นเช่นนั้นข้าก็ยังได้รับการยกย่องจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เลยว่าเป็นอัจฉริยะในรอบ 300 ปี
“นี่ข้าควรจะตกใจรึเปล่าเนี่ย? แต่นี่ก็คงสมแล้วล่ะที่เป็นวีรชนผู้กล้าที่ลงมือสังหารข้าใน ‘ประวัติศาสตร์ดั่งเดิม’ ถ้าข้าเป็นอัจฉริยะในรอบ 300 ปี แอนนี่ก็คงเป็นอัจฉริยะในรอบ 500 ปีซะละมั่ง?”
ไม่รู้เพราะอะไร แต่พอข้าคิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็นึกถึงชายผู้หนึ่งที่ถูกยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษและอัจฉริยะขึ้นมาได้ เมื่อปีนั้น ชายหนุ่มผมแดงที่มายืนอยู่เบื้องหน้าข้าด้วยใบหน้าโง่ๆนั้น
“นี่พี่ชาย เพลงดาบของท่านนี่ยอดไปเลย ท่านช่วยสอนข้าหน่อยได้ไหม? ข้ามีชื่อว่า อดัม มาจากหมู่บ้านศิลาขาว ความฝันของข้าคือการขึ้นเป็นผู้กล้าและตบแต่งลิซ่าเป็นภรรยาจากนั้นก็... กลับไปโม้ให้ทุกคนที่หมู่บ้านฟัง! จริงด้วย ข้ายังต้องเป็นเจ้าของที่ดินเยอะๆอีกนิ ข้าจะได้ทำตัวเหมือนไอ้แก่ปิเตอร์ที่อยู่บ้านถัดไปที่วันๆเอาแต่เก็บค่าเช่า นั่งสูบยาสูบไปพลางดูคนอื่นทำงานไปพลาง...”
เวลาได้ผ่านเลยไปกว่าหนึ่งร้อยปี เด็กหนุ่มบ้านนอกในวันนั้น ได้ทำตามฝันอันยิ่งใหญ่ของตนให้ลุล่วงไปแล้วกว่าครึ่ง แต่ช่างน่าเสียดายที่ความฝันอีกครึ่งนั้นกลับถูกชะตากำหนดให้ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้
เจ้าเด็กโง่เมื่อวันนั้นก็ยังคงโง่อยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เจ้าเด็กโง่นี่กลับมาบอกกับข้าว่าตัวเองนั้นใช้ชีวิตมาเกินพอแล้ว ตนนั้นคิดถึงบ้านและหวังที่จะได้ตายจากไปเสียที...
“โธ่ อดัม...”
ข้าได้แต่ส่ายศีรษะไปมา หลังจากที่สนิทชิดเชื้อกับเจ้าหมอนั้นมาหลายปีดีดัก ข้าย่อมรู้ดีว่าความตั้งใจของเจ้าหมอนั้นน่ะไม่มีทางสั่นคลอนได้แน่ ฉะนั้นในตอนนี้ ข้าก็ควรละทิ้งอารมณ์ส่วนเกินเหล่านี้ไปแล้วกลับมาตั้งสติคิดเรื่องต่างๆอย่างเป็นเหตุเป็นผลซะ
การเติบโตของแอนนี่นั้นเร็วเกินไป เร็วซะจนน่าแปลกเลยล่ะ
“แม้จะมีส่วนช่วยจากกระแสพลังธาตุที่ทำให้การเลื่อนระดับชั้นง่ายขึ้นก็เถอะ ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่น่าจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้นิ...ไม่สิ เมื่อครั้งของเจ้าอดัมเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันนิ นี่คงเป็นลักษณะเฉพาะของพวกฟินิกซ์งั้นสินะ สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าฟินิกซ์แล้วยิ่งใกล้ตายเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แล้วก่อนที่เหล่าฟินิกซ์จะเผาผลาญชีวิตตัวเองจนตาย เหล่าฟินิกซ์จะส่งต่อพลังและประสบการณ์ของตนให้กับฟินิกซ์รุ่นต่อไป ช่วยให้เหล่าฟินิกซ์รุ่นต่อไปแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว... งั้นก็แปลว่า เวลาของอดัมใกล้มาถึงแล้วงั้นสินะ ห๊ะ”
เมื่อข้าคิดๆดูแล้ว ก็คงเป็นเช่นนั้นแหละ ไม่งั้นอย่างไอ้หนูนั้น ถ้าไม่จนตรอกจริงๆคงไม่ยอมมาขอให้ข้าช่วยหรอก
ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ข้าก็นึกถึงวันเวลาที่พวกเราออกผจญภัยร่วมกันเมื่อ 130 ปีก่อนขึ้นมาได้ วันเวลาเมื่อครั้งที่อดัมยังเป็นไอ้บ้าตูดหมึก มากาเร็ตยังเป็นแค่นักเวทย์มือใหม่ ลิซ่ายังเป็นเพียงโจรกระจอกๆที่ไม่ได้เรื่องซะยิ่งกว่าพวกมือใหม่เสียอีก และเสี้ยวหงส์ที่เป็นเหมือนเครื่องรางนำโชคและไพ่ไม้ตายลับของปาร์ตี้พวกเรา
แทนที่จะบอกว่าเป็นหัวหน้าปาร์ตี้ ควรจะบอกว่าข้าเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ค่อยพาเจ้าพวกมือใหม่นี่ไปออกหาประสบการณ์เสียมากกว่า หน้าที่หลักๆของข้าก็คือค่อยจัดการเรื่องวุ่นวายที่เจ้าพวกสี่คนนี้ไปก่อขึ้น ทุกวันล้วนเหนื่อยยากแต่ก็สนุก
“เช่นนั้นแล้ว ข้าก็ควรเร่งมือขึ้นงั้นสินะ หวังว่าข้าจะคืนชีพได้ทันเสียก่อนนะ เพราะอย่างน้อยในฐานะพี่ชายจากลมปากของเจ้าบ้าตูดหมึกนั้น ข้าก็อยากที่จะใช้รูปลักษณ์ที่แท้จริงของข้ามาส่งเจ้าเด็กโง่นั้นเป็นครั้งสุดท้าย”