ตอนที่ 17 ความจริงและพบกันอีกครั้ง
เสียงกระซิบของปิศาจนั้นคือชื่อ โหมโรงครั้งที่หนึ่งของเหตุการณ์【สงครามล้างพิภพทั้งเจ็ดแห่งเอ็ช】
อนาคตที่ใกล้จะมาถึงนี้ได้เป็นสัญญาบอกถึงจุดเริ่มต้นแห่งสงครามนิรันดร์ ด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าปิศาจ เหล่าเทพอสูรธาตุโบราณ ข้ารับใช้ของเทพธิดาแห่งความโกลาหล ผู้เคยเข้าร่วมสงครามบรรพกาลจะสามารถพังผนึกที่กักขังพวกตนออกมาได้สำเร็จ และนำทวีปแห่งนี้เข้าสู่กลียุคที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ตามการตื่นขึ้นของเหล่าเทพอสูรธาตุ อสูรธาตุทั้งหลายเองก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตามเหล่าเทพของพวกตน อสูรธาตุที่ปรากฏตัวขึ้นก็เฉกเช่น ขุนศึกอสูรเพลิง ผู้ปกครองอสูรลม ราชันอสูรน้ำ และพวกที่คล้ายกันอีกมากมาย จนสุดท้ายอสูรธาตุเหล่านี้เองที่กลายเป็นศัตรูระดับบอสตัวแรกๆที่พวกผู้เล่นจะได้พบ
และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่นาน เหล่าผู้คิดการใหญ่ที่รู้สึกได้ถึงการผันเปลี่ยนของยุคสมัยก็ได้อาศัยโอกาสนี้เริ่มออกเคลื่อนไหวตามแผนของพวกตน ในหมู่ผู้ที่เริ่มออกเคลื่อนไหวนี้ พวกที่อันตรายที่สุดคงไม่พ้น พวกที่หวังจะสถาปนาประเทศของตนขึ้น พวกคลั่งศาสนาที่ยินดีน้อมรับการจุติของเทพชั่วร้าย เหล่าเจ้านครใต้พิภพที่หวังจะหวนคืนสู่พื้นทวีปอย่างภาคภูมิ เหล่าอันเดดที่กระหายในการฆ่าฟันและการทำลายล้าง
ย่อมแน่นอนที่คำว่าโหมโรงนั้นได้บอกใบ้ว่าเรื่องราววุ่นวายต่างๆนั้นต้องมีพวกปิศาจอยู่เบื้องหลังแทบทั้งสิ้น และเมื่อครั้งเหล่าเทพอสูรธาตุได้ลงมาจุติบนโลกนี้ตนแล้วตนเล่า แม้ว่านี่จะไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของเหล่าเทพ เป็นเพียงแค่ร่างแยกเท่านั้นก็ตาม แต่กระแสพลังธาตุเข้มข้นที่เป็นผลจากการจุติของเหล่าเทพอสูรธาตุก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี ด้วยกระแสพลังนี้ทำให้พลังของเวทมนต์สายธาตุต่างๆแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล รวมทั้งการเลื่อนขั้นของระดับพลังก็ยังง่ายดายกว่าเมื่อครั้งอดีตอย่างมากมายนัก
จนในที่สุดทวีปเอ็ชก็เข้าสู่ยุคมนตรา ยุคที่ลิชมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ระดับชั้นตำนานมีมากมายดั่งสุนัข ภายใต้ผลกระทบจากกระแสพลังธาตุนี้ ยังส่งผลให้การเชื่อมต่อระหว่างทวีปเอ็ชและมิติอื่นมีมากขึ้นกว่าเมื่อครั้งอดีต ทำให้การเดินทางข้ามมิตินั้นสามารถทำได้ง่ายดายขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาก็คือการมาเยี่ยมเยือนจากแขกต่างมิติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
บนพื้นทวีป เหล่าคนหนุ่มคนสาวต่างออกแสวงหาความมั่นคั่ง ประเทศมากมายต่างคิดถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ของตน ออกล่าดินแดนเพื่อขยับขยายประเทศของตนออกไป แต่เหล่านานาประเทศก็ไม่เคยล่วงรู้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการที่เหล่าปิศาจและเทพชั่วร้ายแห่งความโกลาหลได้วางไว้ ด้วยกระแสพลังเวทย์อันเข้มข้นและประตูระหว่างมิติที่พร้อมจะเปิดออกอย่างมากมาย หนึ่งในประตูนั้นคือทางเชื่อมสู่ขุมอเวจีที่สถิตของเหล่าปิศาจ เมื่อประตูได้ถูกเปิดออกเหล่าปิศาจก็พร้อมจะเข้าสู่โลกมนุษย์ แต่ก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น โลกใบนี้ต้องรอดพ้นจากภัยพิบัติอันเดดให้ได้ซะก่อนนะ
ซ้ำร้ายยังมีเหตุการณ์กองทัพพันธมิตรเจ้านครใต้พิภพรุกรานขึ้นสู่พื้นทวีปในฐานะส่วนเสริมลำดับต่อไปในตัวเกม(โหมโรงครั้งที่ 2) ในชื่อ “สงครามอีแร้ง” เหตุการณ์นี้สมควรจะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้านับจากตอนนี้ ซึ่งสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้แลดูเกิดขึ้นเร็วเกินไปหน่อยจากที่ควรจะเป็นแต่เมื่อลองกลับมาคิดดูสักนิด สถานการณ์ในตอนนี้ได้เกิดขึ้นตามเวลาอันสมควรแล้ว
เพราะจะยังไงซะ โลกใต้พิภพในตอนนี้ถือได้ว่าวุ่นวายแบบสุดๆแล้ว และกว่าที่พวกท่านจ้าวจะจัดระเบียบเหล่าเจ้านครใต้พิภพที่ทั้งยโสทั้งโอหังเสร็จ คงต้องใช้เวลาไปมิใช่น้อย เช่นนั้นช่วงเวลาในปัจจุบันนี้ก็ควรเป็นช่วงเวลาที่เหล่าท่านจ้าวกำลังจัดระเบียบกองทัพของตนและกำจัดผู้ไม่สวามิภักดิ์อยู่สินะ
แล้วนครภูผาหลิวฮวงที่พวกเราอยู่กัน ณ ตอนนี้ ก็เป็นเสี้ยนหนามในทางเดินของคนอย่างพวกท่านจ้าวอยู่ตำตา หรือว่าเราไม่ควรใช้คำนิยามว่าคนกับพวกท่านจ้าวดีล่ะ
“ตามบันทึกได้กล่าวไว้ว่าธิดาทางสายเลือดของราชินีแมงมุม สังฆราช คาจาร์ ลอร์สซี่ ได้รวบรวมเหล่าดาร์ดเอลฟ์เข้าเป็นปึกแผ่น โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การล้างแค้นเหล่าเอลฟ์บนพื้นทวีป...”
“จักรพรรดินีมังกรมอลลี่ ผู้นำแห่งเหล่ามังกรแดงและมังกรดำทั้งมวล ราชันย์แห่งเผ่ามังกรผู้เป็นที่ยอมรับเหนือนครมังกรทั้ง 7 ในโลกใต้พิภพ เป้าหมายของเหล่ามังกรนั้นคือการหวนคืนสู่พื้นทวีป และถ้าเป็นไปได้ ก็จะล้างแค้นเทพเจ้ามังกร บาฮามุท ผู้ขับไล่พวกตนลงสู่โลกใต้พิภพ”
“ไอน์สเตอร์น่า เอดัวร์ จอมเวทย์มนต์ดำ เผ่าพันธุ์ถ้าเอาตามจริงก็มนุษย์... เป้าหมายของชายผู้นี้นั้นไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ระดับพลังของชายผู้นี้เองก็ไม่ทราบแน่ชัดเช่นกัน แต่ชายคนนี้นั้นมีอำนาจเหนือนครใต้พิภพกว่า 50 นคร ซึ่งถ้าวัดกันที่ขนาดกองทัพล่ะก็ กองทัพที่ชายผู้นี้ถือครองนั้นมิได้ด้อยไปกว่าที่เหล่าอาณาจักรของพวกมนุษย์ถือครองเลย แถมความสามารถในการบัญชาการรบของไอน์สเตอร์น่าก็ถือได้ว่ายอดเยี่ยม และในอนาคตก็เป็นชายผู้นี้เองที่รับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพพันธมิตรโลกใต้พิภพ ถึงจะแค่ในนามก็เถอะ”
“โชว นูย่า มนุษย์สัตว์สายพันธุ์ราชสีห์หางแมงป่อง ผู้นำแห่งชนเผ่านูย่า ผู้ปกครองแห่งเหล่ามนุษย์สัตว์ในโลกใต้พิภพมากกว่าร้อยชนเผ่า แม้ในชนเผ่าของพวกมนุษย์สัตว์จะเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายในก็ตาม แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเหล่ามนุษย์สัตว์เองก็ถือได้ว่าสูงส่งยิ่ง พลังของมนุษย์สัตว์ในโลกใต้พิภพนั้นแข็งแกร่งกว่าพวกมนุษย์สัตว์บนพื้นทวีปอย่างมากมายนัก แค่ลองดูจำนวนยอดฝีมือชาวมนุษย์สัตว์ก็เพียงพอแล้ว ในโลกใต้พิภพมนุษย์สัตว์ระดับชั้นตำนานมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ระดับชั้นทองคำมีมากมายดั่งสุนัข โดยเป้าหมายของเหล่ามนุษย์สัตว์นั้น...ช่างน่าประหลาดใจนัก ที่ครั้งนี้ไม่ใช่การล้างแค้นพวกชนเผ่าบนพื้นทวีปแต่เป็นการหวนคืนสู่แผ่นดินมาตุภูมิของเหล่ามนุษย์สัตว์ ทุ่งหญ้าบลานูย่า แต่ ณ ปัจจุบัน ทุ่งหญ้าแห่งนี้ได้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิฝ่ายมนุษย์อันแข็งแกร่งแห่งนึง จักรวรรดิเซนต์ อันโตนิโอ แถมซ้ำร้ายที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้ได้ทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางให้กับจักรวรรดิ ถ้าจะให้พูดล่ะก็ คงต้องบอกว่าถ้าเกิดทั้งสองฝ่ายทำสงครามขึ้นมาจริงๆล่ะก็ สงครามครั้งนี้คงเป็นสงครามขั้นแตกหักที่ต้องมีประเทศชาติและชนเผ่ามากมายสูญสิ้นไปแน่...”
และนี่แหละคือ โฉมหน้าทั้ง 4 ของเหล่าผู้ครอบครองอำนาจอันเหนือชั้นกว่าที่เจ้านครใต้พิภพคนอื่นพึ่งมี และก็เป็นพวกเขาเหล่านี้แหละที่เป็นที่รู้จักกันในนาม ท่านจ้าว
พวกเจ้าทุกคนคงรู้จักนิทานที่ว่าด้วยเรื่อง พระหนึ่งองค์มีน้ำดื่มกิน พระสององค์แบ่งน้ำกันดื่ม พระสามองค์ไม่เหลือน้ำให้ดื่ม กันสินะสถานการณ์ในโลกใต้พิภพก็เป็นเช่นนั้นแหละ ถ้าโลกใต้พิภพมีท่านจ้าวเพียงหนึ่งล่ะก็ ป่านนี้ท่านจ้าวคนนั้นคงรวบรวมโลกใต้พิภพให้เป็นปึกแผ่นแล้วส่งกองทัพรุกรานพื้นทวีปไปแล้ว แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันดันมีท่านจ้าวถึง 4 คนที่เฝ้าหวาดระแว้งซึ่งกันและกัน เป็นผลให้โลกใต้พิภพที่วุ่นวายอยู่แล้ววุ่นวายหนักขึ้นกว่าเก่าแทนเนี่ยสิ
ถ้าเป็นไปดั่งที่บันทึกบทสรุปเกมว่าไว้ล่ะก็ จอมเวทย์มนต์ดำ ไอน์สเตอร์น่า และ ผู้ปกครองเหล่ามนุษย์สัตว์ โชว ต่างรู้สึกได้ถึงโอกาสที่กำลังจะมาถึงจากเหตุการณ์การผันเปลี่ยนของยุคสมัย ได้จับมือตกลงเป็นพันธมิตรต่อกัน รวมทั้งส่งคำเชิญเข้าร่วมพันธมิตรให้แก่ทั้งคาจาร์และมอลลี่ คำเชิญที่มาพร้อมข้อเสนออันแสนเย้ายวนเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่กองทัพพันธมิตรโลกใต้พิภพ และด้วยการรวบรวมเหล่าเจ้านครในโลกใต้พิภพกว่า 40 % นี้เอง พวกท่านจ้าวจะสามารถสร้างกองทัพพันธมิตรอันเกรียงไกรที่สุดในประวัติศาสตร์โลกใต้พิภพขึ้นมาได้
แต่ตัวข้าก็รู้ดีว่าเรื่องครั้งนี้ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่นั้น จากหมวด ‘ประวัติศาสตร์’ ในบทสรุปเกมได้ระบุไว้ว่าเรื่องในครั้งนี้นั้นได้มีมือที่สามเข้ามายุ่งเกี่ยวทางเบื้องหลังของเจ้ามนุษย์สัตว์และเจ้าจอมเวทย์มนดำนั้น... ตัวต้นคิดผู้อยู่เบื้องหลังทางฝั่งเจ้าจอมเวทย์มนต์ดำก็คือ เหล่าอสูรแสนเจ้าเล่ห์ ส่วนผู้อยู่เบื้องหลังฝั่งเจ้ามนุษย์สัตว์ก็คือ พวกปิศาจกระหายเลือดแสนวุ่นวาย เจ้ามนุษย์สัตว์กับเจ้าจอมเวทย์มนต์ดำต่างก็เก็บเหล่าปิศาจและเหล่าอสูรไว้เป็นไม้ตายลับไว้คอยแทรกแซงและสร้างความวอดวายให้แก่อีกฝ่าย และนี่ก็เป็นเหตุผลล่ะว่าทำไมการก่อตั้งกองทัพพันธมิตรอันเกรียงไกรถึงได้ล้มเหลวไปในที่สุด
และก็อย่าได้ริอาจคิดว่าราชินีแมงมุมลอร์สซี่กับพวกมังกรดำนั้นใสซื่อไร้เดียงสาหรือมีเมตตากรุณาล่ะ เจ้าพวกนั้นทั้งคู่เองก็แอบมีเป้าหมายลับๆอยู่กับตัวเช่นกัน
“ข้าชักปวดหัวขึ้นมาแล้วสิ ดูท่าปัญหาในครั้งนี้จะไม่ใช่แค่เรื่องจำนวนคนทรยศเพียงแค่นั้นแล้วสินะ”
เหตุการณ์ประชามติในข้อตกลงพันธมิตรใต้พิภพและเหตุการณ์การจัดตั้งกองทัพพันธมิตรน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ต้องเกิดขึ้นภายในเร็วๆนี้สินะ ถึงแม้ว่าข้าจะมีใจอยากเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้ก็เถอะ แต่ตัวข้าจะไปมีอำนาจอะไรที่ใช้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้ ในเมื่อการรุกรานพื้นทวีปจากกองทัพพันธมิตรใต้พิภพน่ะเป็นเหตุการณ์ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว
“เจ้าพวกหมูโสโครกบนพื้นทวีปต่างเสวยสุขไปกับแสงตะวันอันอบอุ่น อากาศแสนสดชื่นยามค่ำคืนโดยมิต้องดิ้นรนอะไรเลย แล้วลองมาดูพวกเราสิถ้าพวกเราไม่ดิ้นรนล่ะก็ แม้แต่เวลากลางวันกลางคืนพวกเราก็ยังแยกไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเรามีก็เป็นแค่แสงริบหรี่อันเย็นยะเยือกจากสาหร่ายเรืองแสง น้ำที่พวกเราดื่มกินก็เป็นเพียงน้ำบาดาลรสกำมะถัน ใช้ชีวิตภายใต้ความหวาดกลัวต่อแผ่นดินไหวไปวันๆ ชีวิตที่ไม่มีแม้แต่กลางวัน กลางคืน ชีวิตที่บัดซบยิ่งกว่าหมูยิ่งกว่าหมา ลองบอกข้ามาซิ เหล่าสหายจากโลกใต้พิภพของข้า ว่าพวกเจ้าทุกคนอยากให้ลูกหลานของเจ้า ทายาทของเจ้าต้องใช้ชีวิตที่ราวกับขุมนรกเช่นนี้งั้นเหรอ? พวกเราผู้ถูกเนรเทศผู้ถูกขับไล่ไสส่ง ทำไมพวกเราต้องด้อยค่ากว่าคนอื่นด้วย? ทำไมพวกเราต้องมาแบกรับความผิดที่บรรพบุรุษของพวกเราเป็นคนก่อด้วย? ทุกคนน่ะมีสิทธิ์ที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แสงตะวันอันอบอุ่น มาเถอะพวกเรา ไปร่วมทวงคืนสิ่งที่เป็นของพวกเรากลับคืนมา”
เมื่อสามปีก่อน คำปราศรัยปลุกใจอันทรงพลังนี้ได้ถูกกล่าวขึ้นโดยไอน์สเตอร์น่า และในเวลาเพียงไม่นานคำปราศรัยนี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกใต้พิภพ
จนทุกวันนี้ ความปรารถนาที่จะรุกรานพื้นทวีปเพื่อหวนคืนสู่แสงตะวันอันอบอุ่นที่แท้จริงในฝังรากลึกลงในใจของชีวิตทุกหมู่เหล่าในโลกใต้พิภพแห่งนี้แล้ว การรุกรานครั้งนี้ได้ถูกชะตากำหนดไว้แล้วว่าต้องถูกจารึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์
แม้ข้าจะไม่คิดหยุดยั้งกระแสอันเชี่ยวกรากนี้ด้วยแขนอันเปราะบางของข้าก็เถอะ เหตุการณ์การจัดตั้งพันธมิตรใต้พิภพที่มีเหล่าเจ้านครใต้พิภพจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเข้าร่วมนั้นมิอาจหยุดยั้งได้อีกแล้ว แต่ตัวข้าเองก็มิอาจละเว้นเหล่าคนทรยศภายในนครภูผาหลิวฮวงที่หันหลังต่อนครของตนเพียงเพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้เช่นกัน
“สมาชิกสภาเวเตอร์ สมาชิกสภาเคิร์น...” เจ้าพวกสมาชิกสภาโง่เง่า พวกเจ้าตั้งใจจะแอบลักลอบติดต่อกับนครอื่นโดยไม่ผ่านฝ่ายกิจการภายในแห่งนครภูผาหลิวฮวง เพื่อทำข้อตกลงให้พวกเจ้าได้เข้าร่วมสงครามบนพื้นทวีปในภายภาคหน้ากันสินะ
ด้วยการที่อดัมผู้ดำรงตำแหน่งเจ้านครคนปัจจุบันของนครภูผาหลิวฮวงนั้น ได้รับการสรรเสริญเป็นวีรบุรุษจากผู้คนบนพื้นทวีป แม้จะไม่ทราบเหตุผลที่ชายผู้นี้เลือกมาปักหลักอยู่ที่นี่ในรอบร้อยปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่ในสายตาของเหล่าพันธมิตรใต้พิภพย่อมมองบุคคลทรงอำนาจที่มาจากพื้นทวีปอย่าง ‘ผู้กล้า’ อดัมและ ‘นักบุญ’ มากาเร็ต เป็นศัตรูมาตั้งแต่ต้นแล้ว
ถ้าเป็นไปตามขั้นตอนการจัดตั้งพันธมิตรล่ะก็ นครมอร์สไบลท์ที่ปกครองโดยเหล่าดาร์ดเอลฟ์จะสมัครใจยอมอยู่ใต้การปกครองของสังฆราชแห่งราชินีแมงมุม คาจาร์ ในขณะที่เหล่าคนแคระเทาและมนุษย์สัตว์ในนครโครมจะหันไปพึ่งผู้ปกครองแห่งเหล่ามนุษย์สัตว์ โชว
ด้วยความที่นครภูผาหลิวฮวงนั้นใฝ่หาสันติไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใดเสมอมา ย่อมส่งผลให้พันธมิตรใต้พิภพมิอาจเปิดศึกกับพื้นทวีปได้ถ้านครภูผาหลิวฮวงยังอยู่ ด้วยประการฉะนี้เอง ตั้งแต่ต้นแล้วที่นครภูผาหลิวฮวงเป็นเสี้ยนหนามคอยตำตาพวกพันธมิตรใต้พิภพ
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะไม่มักใหญ่ใฝ่สูงเฉกเช่นพวกข้า...เพราะอย่างน้อยก็มี ‘ผู้มีอิทธิพล’ จำนวนไม่น้อยเลยในนครภูผาหลิวฮวงที่แสดงออกถึงความสนใจในแผ่นดินบนพื้นทวีป แม้ในนครภูผาหลิวฮวงนั้นจะไม่มีชนชั้นสูง แต่ก็ใช่ว่าบนพื้นทวีปและนครใต้พิภพอื่นๆจะไม่มีชนชั้นสูงตามไปด้วยนิ...
ด้วยเหตุผลข้างต้น เมื่อครั้งที่นครทั้งสอง(นครมอร์สไบลท์และนครโครม) เริ่มพยายามกดดันเจ้าพวกสมาชิกสภาโง่เง่าด้วยข้อเสนอแผ่นดินบนพื้นทวีป เหล่าผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนนี้ก็ได้รวมตัวกันจัดตั้งฝ่ายของพวกตนขึ้น ในชื่อ ‘ฝ่ายพันธมิตร’ แล้วดันบังเอิญไปตรงกับการที่เจ้าอดัมจะส่งต่อตำแหน่งเจ้านครเข้าพอดี เลยเป็นการเปิดโอกาสเหมาะๆให้กับเจ้าพวกฝ่ายพันธมิตรไป
คณะทูตที่มาเยือนนครภูผาหลิวฮวงนั้น แม้ในหน้าฉากจะเป็นการพูดคุยถึงข้อตกลงค้าขาย ข้อตกลงที่คงไม่มีใครเอาไปคิดเป็นจังเป็นจัง แต่ในเงามืดนั้น เป้าหมายที่แท้จริงของคณะทูตกลับเป็นการช่วยเหล่าสมาชิกสภาในการขยายอำนาจ เหล่าพ่อค้าที่ถูกลอบสังหารนั้น จริงด้วยข้าต้องขอยกเว้นเจ้าพวกดวงตกที่โดนใส่ชื่อเข้ามาเพียงเพื่อหลอกตาพวกข้าเฉยๆก่อน เหล่าพ่อค้าที่ถูกลอบสังหารเกือบทั้งหมดนั้นต่างมีที่นั่งในสภาแทบทั้งสิ้น ด้วยการที่ตัวขัดขวางโดนถอนรากถอนโคลนออกไปคนแล้วคนเล่า จนในที่สุดสมาชิกสภาฝ่ายพันธมิตรก็ได้ความเป็นต่อในสภาไป
และย่อมไม่มีใครดักดานพอจะเปิดศึกปะทะกับนักสู้ระดับชั้นกึ่งเทวะอย่างอดัม สิ่งที่เหล่าสมาชิกสภาเฝ้ารอในขณะที่ซ่องสุมอำนาจก็คือ ข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในพิธีเข้ารับตำแหน่งของเจ้านครคนใหม่แห่งนครภูผาหลิวฮวงและโอกาสที่พวกตนจะได้ใส่ไฟให้เกิดการปฏิวัติขึ้น แล้วแย่งชิงตำแหน่งผู้ปกครองมาเป็นของพวกมันในที่สุด
แม้หน่วยรักษาความสงบดาร์ดเอลฟ์จะไร้ที่ติเมื่อใช้จัดการกับเหล่าอาชญากร แต่ด้วยชาติกำเนิดของพวกนาง ทำให้ประชาชนบางกลุ่มยังตราหน้าสงสัยพวกนางอยู่ ถ้าพวกนางโดนลากเข้ามาในวังวนแผนชั่วเช่นนี้ แล้วถ้าเกิดเจ้าพวกสมาชิกสภาฝ่ายพันธมิตรเห็นว่าพวกนางเป็นตัวเกะกะในแผนการของพวกมันขึ้นมาล่ะก็ พวกนางอาจจะต้องพบจุดจบเยี่ยงตัวหมากที่โดนเขี่ยทิ้งไปในความขัดแย้งครั้งนี้ก็ได้
เมื่อขบคิดเรื่องในครั้งนี้ไปอีกสักพัก ข้าก็สามารถคิดวิธีสกปรกในการกำจัดเจ้าพวกสภานั้นออกมาได้มากมายหลายสิบแผน อาทิเช่น ข้าไปเป่าหูปวงประชาว่าเจ้าพวกสภานี่แหละที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ฆาตกรรมต่อเนื่องในครั้งนี้ เช่นนั้นทางรอดเพียงทางเดียวของพวกมันก็คือ ผลักความผิดไปให้ทางคณะทูตแทน เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกสภาก็ต้องบังคับให้ทางคณะทูตส่งตัว ‘ผู้อยู่เบื้องหลัง’ ออกมาด้วยการยุยงประชาชนให้ลุกฮือขึ้นต่อต้านพวกคณะทูต ป้ายสีพวกนางด้วยข้อหาจารกรรมข้อมูลและดูหมิ่นในแสงศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมาถึงขั้นนั้นพวกสภาก็สามารถอ้างได้ว่านี่เป็นการพิพากษาจากโบสถ์แสงศักดิ์สิทธิ์แล้วทำการฆ่าปิดปากพวกคณะทูตได้จนหมดสิ้น หรือถ้าเจ้าพวกในสภาคิดจะตอบโต้ด้วยกำลังล่ะก็ โฮะโฮะ...
แค่ก ดูท่าข้าจะต้องรู้จักคุมตัวเองให้ดีกว่านี้สักหน่อยแล้ว แม้เจ้าพวกสมาชิกสภานั้นจะไม่ ‘ชาญฉลาด’ เท่าข้าคนนี้ แต่ตัวพวกมันเองก็ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในการชิงอำนาจภายในเช่นกัน ถึงพวกมันจะไร้ความสามารถในการคิดอุบายออกมาเป็นสิบแผนแต่แค่หนึ่งแผนหรือสองแผนย่อมไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกมัน
ส่วนเหตุผลที่ข้ากันหน่วยรักษาความสงบออกไปจากเรื่องครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะว่าข้าเอ็นดูพวกนางอย่างที่อิลิซ่าพูดมาหรอก แต่เป็นเพราะกมลสันดานที่ชอบปกป้องผู้อ่อนแอของข้ามันแผลงฤทธิ์ต่างหากล่ะ
ตามนั้นแหละ ข้าแค่ปกป้องผู้อ่อนแอเท่านั้นเอง ใครจะบ้าไปเอ็นดูยัยหนูงี่เง่าที่ชอบมาขัดขวางการทำงานของข้าพวกนั้นกันล่ะห่ะ ทำกับข้าจะไปสนใจล่ะว่าพวกนางจะเป็นตายร้ายดียังไง
แต่ในตอนนี้ พวกนางนั้นเป็นลูกน้องของลูกน้องข้า แถมยังเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดระบบกฎหมายแห่งนครภูผาหลิวฮวงของข้าอีก แล้วถ้าเกิดอยู่ดีๆพวกนางไปโดนฆ่าด้วยเหตุผลอันไม่สมควร ตายไปพร้อมกับความอาลัยอาวรณ์ต่อโลกใบนี้ พวกนางไม่ตื่นขึ้นมาเป็นอันเดดแล้วกลับมาหาข้าย่งเย่ที่เป็นเจ้าแห่งอันเดดหรอกเหรอ
เมื่อข้าได้ยินข้อมูลที่อิลิซ่าเค้นออกมาจากโว๊ค ข้อสงสัยทุกอย่างนั้นแลดูจะได้รับการไขกระจ่างจนหมดสิ้น แต่ตัวข้าก็ยังตระหนักดีว่ายังมีบางสิ่งที่ยังไม่สมเหตุสมเหตุอยู่
“...ทำไมพวกท่านจ้าวถึงต้องเจาะจงมาที่นครภูผาหลิวฮวงแห่งนี้ด้วย นครแห่งนี้น่ะถ้าไปวัดกับพื้นที่ทั้งหมดในโลกใต้พิภพแล้ว ก็มิได้ต่างไปจากจุดเล็กๆจุดนึงเลยสักนิด”
ตัวข้านั้นไม่เหมือนกับพวกสมาชิกสภาจอมโอ้อวดที่เอาแต่คิดว่าฟ้าคงถล่มดินคงทลายถ้าไม่มีข้าร่วมด้วย ถึงแม้นครภูผาหลิวฮวงจะไม่เข้าร่วมในพันธมิตรใต้พิภพก็ตาม ตัวพันธมิตรใต้พิภพเองก็ยังคงมีกำลังมากพอในการกวาดล้างพื้นทวีปอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้าได้ยินจากโว๊คมาว่าที่นครแห่งนี้ได้ผนึกบางสิ่งที่พลังเวทย์สูงล้ำเอาไว้อยู่ และดูเหมือนท่านจักรพรรดินีมังกรจะให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ขนาดที่ท่านยอมตั้งราคาสูงลิ่วเพื่อเจ้าสิ่งนี้ และนั้นก็เป็นเหตุผลล่ะว่าทำไมเจ้าโว๊คถึงได้ลองมาเสี่ยงโชคดูที่นี่”
“ไร้สาระสิ้นดี ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มามากกว่าหนึ่งร้อยปี ที่แห่งนี้จะมีก็แต่ผืนแผ่นดินอันรกร้างแห้งแล้ง แล้วไอ้บางสิ่งที่พลังเวทย์สูงล้ำอย่างที่เจ้าว่าจะมาโดนผนึกอยู่ในที่เช่นนี้ได้อย่...”
จู่ๆ ข้าก็ระลึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จนทำให้คำพูดของข้าขาดช่วงลง
“บางสิ่งที่พลังเวทย์สูงล้ำ? ผนึก? นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นแน่ พวกมันกำลังหมายถึงตัวข้า ลอร์ดย่งเย่งั้นเหรอ? ไม่น่าเป็นไปได้ ข่าวที่ว่าข้าอาศัยอยู่ที่นี่นั้นไม่น่าหลุดรั่วออกไปได้ ยังไงซะ ผู้ที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้าก็มีเพียง อดัม มากาเร็ต และเสี้ยวหงส์เพียงเท่านั้น แล้วทั้งสามก็ไม่ใช่คนที่จะยอมปล่อยให้ความลับนี้รั่วออกไปแน่...ไม่สิ มีไอ้คนปากไม่มีหูรูดอยู่คนนึงนิ”
“ไอ้หนูอดัมนี่เจ้าขุดหลุมให้ข้าไปสะดุดล้มอีกแล้วงั้นเหรอ?”
อิลิซ่าที่กำลังดันแว่นกรอบทองของนางอยู่ ได้แต่ผงกหัวให้ข้าอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ข้าก็รู้ดีว่านางนั้นกำลังแอบหัวเราะข้าอยู่ข้างใน
“เมื่อหนึ่งปีก่อน เหล่าสมาชิกในสภาได้เชิญชวนท่านเจ้านครไปร่วมงานเลี้ยงน่ะค่ะ และในงานเลี้ยงครั้งนั้น ได้มีเบียร์อีไวส์เซเรทที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเบียร์แรงที่สุดในหมู่มนุษย์สัตว์มาให้ท่านได้ลิ้มลอง...หลังจากที่ท่านดื่มเข้าไปจนได้ที่ ท่านเจ้านครก็ใช้เวลาไปกว่า 3 ชั่วโมงในการพรรณนาถึงการต่อสู้อันดุเดือดของท่านกับจอมปิศาจสุดแกร่งตนนึง จนในที่สุดท่านก็เป็นฝ่ายได้ชัยและได้ผนึกจอมปิศาจตนนั้นไว้ที่ก้นบึ้งของขุมนรก ซึ่งตัวท่านเจ้านครเองก็ไม่ได้ระบุชี้ชัดว่าจอมปิศาจตนนั้นเป็นใครมาจากไหน จนเหล่าสมาชิกสภาส่วนมากในวันนั้นต่างคิดว่านี่เป็นเพียงมุกตลกของท่านเจ้านคร แต่ก็ชี้ชัดได้แล้วล่ะค่ะว่า ในวันนั้นก็มีคนที่เก็บเรื่องนี้ไปคิดเป็นจริงเป็นจังเช่นกัน”
“ลอร์ดย่งเย่ ห๊ะ?” ประโยคนี้แลดูเหมือนเป็นแค่การพึมพำของข้า แต่นี่ก็เป็นคำถามลองเชิงว่าจะมีใครตอบกลับมารึเปล่าเช่นกัน
“สิ่งที่โดนผนึกนี้ไม่ใช่ลอร์ดย่งเย่หรอกท่าน ตามการวิเคราะห์ของท่านจักรพรรดินีมังกรแล้ว จักรพรรดิอันเดดชั้นกึ่งเทวะไม่ใช่ศัตรูที่อดัมจะสามารถต่อกรด้วยได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องผนึกเลย เรื่องเล่าที่บอกว่าลอร์ดย่งเย่ได้เบื่อหน่ายกับการฆ่าฟันจึงเดินทางออกจากทวีปแห่งนี้ไปยังมีความเป็นไปได้มากกว่าเสียอีก”
เจ้าตัวทดลองใหม่นี่ดูท่าจะเข้าใจสถานภาพของตัวเองดีนะเนี่ย ถึงได้ยอมมอบข้อมูลแสนล้ำค่าที่ข้ายังไม่รู้มาให้แต่โดยดีเช่นนี้
“มิหนำซ้ำ ถ้าสิ่งที่อยู่ในผนึกเป็นลอร์ดย่งเย่จริงๆล่ะก็ นั้นย่อมไม่ใช่เป้าหมายที่พวกเราจะสามารถควบคุมเอาไว้ได้ แล้วยิ่งในสายตาของคนเป็นเช่นพวกเรา อันเดดตนนี้นั้นเป็นตัวอันตรายที่ไม่ควรได้รับการปลดปล่อยออกมา ที่ว่าตามหาลอร์ดย่งเย่นั้นเป็นเพียงข่าวปลอมที่พวกเราจงใจกรุขึ้นเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเรานั้นคือ เทพอสูรธาตุไฟโบราณ อโรล่าไวส์”
แหวนจับโกหกของข้าเองก็ยืนยันว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง แล้วเมื่อข้าลองกลับมาวิเคราะห์ถึงลักษณะเฉพาะต่างๆของธาตุไฟดู วินาทีนั้นเองความจริงก็จู่โจมเข้ากลางแสกหน้าข้าอย่างจัง
ที่นี่คือนครภูผาหลิวฮวง(นครภูผากำมะถัน) ด้านหลังนครของพวกเรานั้นมีเทือกเขากำมะถันอันไร้ที่สิ้นสุด แร่ธาตุเยี่ยงกำมะถันนั้นจะพบได้ง่ายเฉพาะพื้นที่ล้อมรอบภูเขาไฟ แล้วการที่ภูเขากำมะถันใหญ่ยักษ์เช่นนี้มาโผล่ในที่แห่งนี้ได้ ย่อมชี้ชัดอยู่แล้วว่าภูเขาลูกนี้ต้องไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นแน่
“ภายในเกมนั้น เทพอสูรธาตุโบราณทุกตนที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ต่างโดนกำราบและขับไล่ออกจากโลกใบนี้ไปในสงครามอันยาวนานที่กำลังจะมาถึง แต่มีข้อยกเว้นเพียงหนึ่งนั้นคือเทพอสูรธาตุไฟ เมื่อข้าลองมาคิดๆดูแล้ว ไม่ใช่ว่าเทพอสูรธาตุไฟไม่ได้ลงมาจุติที่โลกใบนี้ แต่เจ้าอสูรธาตุไฟนี่ได้อยู่ที่โลกใต้พิภพมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะก็ จะมีที่แห่งไหนที่เหมาะกับอสูรธาตุไฟไปมากกว่าเทือกเขากำมะถันกัน”
“ใต้พิภพ? ข้างใต้เทือกเขากำมะถัน?”
“ใช่แล้วท่าน เหล่าสมาชิกสภาฝ่ายพันธมิตรได้ทำการขายกรรมสิทธิ์ในการทำเหมืองแร่ในเหมืองกำมะถันบางส่วนมาให้พวกเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเหล่าคนแคระเทาของทางเราเองก็ค้นพบซากโบราณสถานที่คาดว่าเป็นแท่นบูชาที่จะนำทางพวกเราไปสู่สถานที่ที่เทพอสูรธาตุสิงสถิตอยู่แล้วเช่นกัน ในตอนนี้ พวกเรามีอุปสรรคหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่ข้อนั้นคือการป้องกันไม่ให้ความลับนี้รั่วไหลออกไป เช่นนั้นพวกเราจึงต้องได้กรรมสิทธิ์ในการทำเหมืองแร่ทั่วทั้งภูเขากำมะถันมาไว้ในครอบครอง เหล่าผู้ที่คัดค้านการขายต่างถูกใส่ชื่อไว้ในรายชื่อสังหารครั้งนี้ทั้งสิ้น อุปสรรคข้อที่สองนั้นคือผู้พิทักษ์ผนึก...ท่านจักรพรรดินีมังกรคาดเดาว่าที่อดัมก่อตั้งนครภูผาหลิวฮวงแห่งนี้ขึ้นก็เพื่อเป็นการเฝ้าจับตามองอโรล่าไวส์ แล้วถ้าพวกเราไปสุ่มสี่สุ่มห้าแตะผนึกเข้าล่ะก็ ผู้พิทักษ์ผนึกต้องรู้ตัวเป็นแน่ แล้วการจะเข้าปะทะกับอดัมที่เป็นถึงนักสู้ระดับชั้นกึ่งเทวะนั้น แม้ท่านจักรพรรดินีมังกรจะเป็นคนลงสนามไปต่อสู้เองก็ตาม พวกเราก็อาจจะยังไม่ชนะเสียด้วยซ้ำ”
ข้าได้แต่ตบหน้าผากตัวเองฉาบใหญ่ ข้ารู้สึกอยากจะร้องไห้จริงๆแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาเนี่ยสิ
“อดัม เจ้านี่มันตัวซวยของข้าจริงๆ เจ้าทำข้าสะดุดล้มไปแล้วครั้งนึงเมื่อ 130 ปีก่อนแล้วตอนนี้เจ้าจะทำให้ข้าสะดุดอีกรอบงั้นเหรอ ถ้าเจ้าไม่ไปเที่ยวปากโป้ง จะมีใครคิดว่าเจ้าเป็นผู้พิทักษ์ผนึกเทพอสูรธาตุเช่นนี้มั้ยล่ะ เจ้าพวกพันธมิตรใต้พิภพอุตส่าห์ไม่มองนครแห่งนี้เป็นขวากหนามในสายตาพวกมันก็ดีอยู่แล้ว แล้วดูตอนนี้สิเจ้ายังอุตส่าห์มาลากข้าไปล่มหัวจมท้ายในความวอดวายครั้งนี้กับเจ้าด้วย นี่เจ้าจะหุบปากให้มันดีๆหน่อยไม่ได้เลยรึไง หยุดมาสร้างปัญหาให้ข้าทุกวี่ทุกวันสักทีเถอะ”
“ถ้าผืนแผ่นดินแห่งนี้เป็นที่ที่เทพอสูรธาตุโดนผนึกอยู่จริงๆล่ะก็ เจ้าพวกปิศาจอาจเข้ามายุ่งเรื่องครั้งนี้ด้วยตัวเองก็เป็นได้ ดูท่าข้าเองก็ต้องเริ่มเตรียมการรับมือซะแล้วสิ”
เมื่อข้าหลับตาจมลงสู่ห้วงความคิด ความคิดมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวข้าจนเมื่อครั้งที่ข้ากำลังจะคิดอะไรออกอยู่รางๆ ตอนนั้นเองประตูบ้านข้าก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างที่ชวนให้คิดถึง ร่างที่มาพร้อมกับน้ำเสียงที่ทำให้ข้าต้องย่อตัวให้เล็กที่สุดโดยสัญชาตญาณ แต่ดูเหมือนการตอบสนองครั้งนี้ของข้าจะยังช้าไป
“ดีจ้า คุณลุงกระดูก! ไม่เจอกันนานนะจ๊ะคุณลุง วันนี้แอนนี่จะมาเล่นกับคุณลุงล่ะ”
ก่อนที่ข้าจะลอยทะลุหน้าต่างออกไป สิ่งที่อยู่ในความคิดของข้าเป็นอย่างสุดท้ายก็คือ อะไรแว่บๆสีชมพู ก่อนที่โลกที่ข้าเห็นจะหมุนวนอย่างต่อเนื่อง แต่ความคิดของข้าตอนนี้นั้นล่องลอยไปไหนต่อไหนแล้ว...
“นางหนูโตขึ้นมากจริงๆ ดูซิสมัยก่อนข้าลอยขึ้นมาสูงได้แค่ 30 เมตรเองนะ...ดูตอนนี้สิ แม้แต่เพดานหินกับสาหร่ายเรื่องแสงที่อยู่สูง 300 เมตรข้ายังมองเห็นได้เลย อ้าว สวัสดีจ้า แม่อีแร้ง เจ้ามาที่นี่เพื่อหาอาหาร อ่อ งั้นเหรอๆ สภาพอากาศวันนี้ไม่เลวเลยนะ ห๊ะ”
แม้ตัวข้าจะลอยขึ้นมาสูงลิบลิ่วกว่าเมื่อครั้งอดีตมากมายนัก แต่ช่างน่าประหลาดที่ตัวข้าไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด ทำไมน่ะเหรอ? ในระหว่างที่ข้าลอยขึ้นมานั้น สมองข้าก็เอาแต่ฉายฉากที่ข้าพึ่งประสบมานั้นซ้ำไปซ้ำมา จนในหัวข้ามีแต่ความคิดประหลาดๆผุดขึ้นมาไม่หยุดแล้วเนี่ย...
“แค่ก สีชมพูงั้นสินะ ดูท่าข้าคงต้องตักเตือนนางหนูสักหน่อยแล้วว่าเป็นสาวเป็นนางน่ะไม่ควรไปเที่ยวแหกแข้งแหกขาเตะชาวบ้านเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นอะไรบางอย่างมันจะโผล่ออกมาได้ง่ายๆ ว่าแต่เด็กผู้หญิงนี่ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับจริงๆเลยนะ ดูซิพวกนางนี่เปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้เลยเมื่อพวกนางโตขึ้น เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ นางหนูก็เปลี่ยนจากเด็กตัวกะเปี้ยกเป็นสาวงามร่างสูงสง่าไปซะแล้ว”
แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้เจอหน้ากันกว่าเจ็ดแปดปี แต่สำหรับข้าแล้วเวลาเท่านั้นก็มิได้ต่างกับช่วงกระพริบตาเลย ฉะนั้นข้าจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวนางหนูที่แต่ก่อนเป็นเด็กซุกซนชอบก่อเรื่องไปทั่วที่ตอนนี้เติบโตขึ้นเป็นสาวน้อยน่ารักได้อย่างชัดเจน
สะโพกที่สวยได้รูป ส่วนเว้าส่วนโค้งอันแสนงดงาม ท่าทางที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาที่เคียงคู่ไปกับรูปร่างอันสวยกระชับแถมด้วยนิสัยอันแสนดี นางหนูเป็นผู้หญิงในอุดมคติของข้าเลยนะเนี่ย
“แล้วทำไมข้าไม่ลองกลับไปคิดทบทวนเรื่องแต่งงานหลังจากข้าคืนชีพดูใหม่อีกสักรอบล่ะ? แต่หลังจากที่ข้าปฏิเสธเจ้าอดัมไปตั้งขนาดนั้น แล้วอยู่ๆมากลับคำเช่นนี้ มันจะไม่น่าละอายไปหน่อยเหรอ”
ตัวข้ามีความละอายด้วยงั้นเหรอ? รู้สึกว่าจะไม่มีนะ โดยปัจจุบันทันด่วน ข้าได้ตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปลองทดสอบดูว่า แอนจะยังจดจำคุณลุงกระดูกที่เอ็นดูนางและเล่นกับนางบ่อยๆคนนี้ได้อยู่รึไม่ รวมทั้งคำสัญญาแต่งงานของนางที่ข้าแลกมาด้วยอมยิ้มนั้นด้วย
ระหว่างที่ข้ากำลังมีความสุขอยู่กับจินตนาการของข้าอยู่นั้นเอง เหล่าแขกผู้ไม่ได้รับเชิญก็มาถึง...
“ไสหัวไปเลยนะ เจ้าพวกนกตัวเหม็น ตัวข้าผู้นี้คือลิชที่แสนน่ากลัว ข้านั้นน่ากลัวจริงๆนะจะบอกให้ ระวังท่ากัดของข้าให้ดีๆล่ะ...”
เหล่าอีแร้งกินซากได้ล้อมกรอบรอบตัวข้าเอาไว้ ดูท่ากระดูกจะเป็นของโปรดพวกมันนะเนี่ย...
“ออกไปเลยนะ เจ้าพวกนกเหม็นเน่า!! เดี่ยวข้าก็กัดซะหรอก พลังกัดของลิชน่ากลัวนะจะบอกให้ ลิชที่เหลือแต่หัวก็แข็งแกร่งสุดๆเลยนะเจ้าพวกบ้า...เห็นทีก่อนที่ข้าจะตัดสินใจเรื่องการแต่งงาน ข้าคงต้องจัดการนิสัยแย่ๆของนางหนูให้ได้ก่อนสินะ เริ่มด้วยสั่งสอนนางให้รู้ว่าอะไรที่เตะได้ อะไรที่เตะไม่ได้ก่อนเลย!!”