ตอนที่ 16 อุบาย
ช่างง่ายดายที่เหล่าผู้บุกรุกที่ในหัวไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่พวกนี้จะสิ้นชีพ ซึ่งผลก็ออกมาอย่างที่เห็นมีเพียง 3 ชีวิตเท่านั้นที่เหลือรอดจนมาถึงหน้าประตูบ้านข้าได้ในสภาพทุลักทุเล แต่ส่วนที่ยุ่งยากจริงๆนั้นคือการจัดการเรื่องวุ่นวายที่ตามมาจากเรื่องนี้ต่างหาก ซึ่งนั้นต้องเป็นหน้าที่ของข้า
ต้องขอขอบพระคุณอิลิซ่าเป็นอย่างสูง ในเรื่องเสียงระเบิดจากเครื่องจักรก็อบลิน ‘ปลอดภัย’ ที่ป่านนี้คงดังไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้าแล้วกระมัง แล้วยิ่งเป็นค่ำคืนอันเงียบสงัดเยี่ยงนี้ด้วย แม้แต่บ้านที่อยู่ห่างออกไป 3 ถนนยังได้ยินเลย ที่ผ่านมาบ้านหลังนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านผีสิงอยู่แล้ว แต่ดูท่าตั้งแต่นี้ไปชื่อเสียของบ้านหลังนี้จะยิ่งแพร่สะพัดออกไปอีก
เป็นไปดั่งที่ข้าคาด หลังจากที่รับทราบถึงรายงานสถานที่เกิดเหตุว่าเป็นบ้านของเจ้า ‘เนื้อร้าย’ หน่วยรักษาความสงบก็รีบปลุกเหล่าพี่น้องร่วมหน่วยจากการหลับใหลขึ้นมาในทันที พร้อมส่งกระบวนรบที่มี อัศวินศักดิ์สิทธิ์ชั้นยอดกว่า 30 นางมาที่นี่
นำทัพโดยอัศวินศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นตำนาน รูปกระบวนรบอันประกอบด้วยอัศวินศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นเงินเป็นอย่างน้อยกว่า 30 นาง...ทัพขนาดนี้นี่ไปปะทะกับมังกรได้เกินพอเลยนะเนี่ย นี่พวกนางจะมาช่วยคนหรือจะมาอาศัยโอกาสนี้กำจัด ‘เนื้อร้าย’ ที่แพร่พิษให้นครกันแน่เนี่ย แค่มองครั้งเดียวก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นอย่างไหน
“ไอ้ลิชบ้านั้น ที่ผ่านมาพวกเรานั้นขาดหลักฐานที่จะเอาผิดมันได้เสมอมา แต่ครั้งนี้แหละ หยาเหวินเจ้านำหน่วย A ไปจัดการภารกิจช่วยเหลือ ส่วนข้าจะนำหน่วย B ไปเข้าตรวจค้นเอง เหเห ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมสำนักผู้บังคับใช้กฎหมายถึงเข้าข้างมันอยู่ตลอด แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าลิชนั้นจะไม่มีของผิดกฎหมายอยู่เลย ถ้าพวกเราตรวจค้นครั้งนี้สำเร็จ ในฐานะหัวหน้า ข้าจะเลี้ยงเหล้าพวกเจ้าทุกคนเอง”
“เฮ้ ไปจัดการมันกัน! เพื่อนิตยสารสุดคลาสสิคในห้องของพวกเรา...ที่โดนมันระเบิดไป!”
“เหเห ขั้นแรกก็จับมันมัดแล้วเอาไปแขวนไว้กลางอากาศ จากนั้นก็จับมันหมุนจนกว่าจะอ้วก แล้วจากนั้นก็ ส่งมันไปกระแทกกำแพงด้วยม้าวิญญาณ...พี่น้องเอ๋ย เวลาแห่งการล้างแค้นได้มาถึงแล้ว!!”
“เพื่อหมีน้อยของโมโมะ!”
“เพื่อสินสอด(เงินเก็บ)ของพวกเรา! อัศวินทั้งหลาย บุก! โจมตีเข้าไป!”
ฟังจากเสียงคำรามอันเร่าร้อนนี้แล้ว ชัดเจนเลยว่าในอดีตที่ผ่านมาต้องมีใครสักคนที่ไม่เคยว่างเว้นจากการทำความดี(ก่อเรื่องกลั่นแกล้ง)เป็นแน่...ความเกลียดชังระดับนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ถึงเจ้าลิชน็อตหลุดตนนี้จะมิเคยก่อคดีความใหญ่โตเลยสักครั้งก็ตาม แต่ความเสียหายทางจิตใจที่หน่วยรักษาความสงบได้รับจากการกลั่นแกล้งของลิชตนนี้นั้น แม้จะเอาความเสียหายทางจิตใจที่เกิดจากผู้กระทำผิดคนอื่นทั้งหมดมัดรวมกันก็ยังมิถึงครึ่งจากที่ลิชตนนี้ทำไว้เสียด้วยซ้ำ
ถ้าพวกนางสามารถจัดการเจ้าลิชนี่ได้ล่ะก็ ไม่เพียงจะได้รางวัลจากหัวหน้าของพวกนางเท่านั้น แต่พวกนางยังได้เอาคืนเรื่องที่ฐานโดนระเบิด รวมถึงความบาดหมางมากมายที่มีต่อเจ้าลิชนี่อีก และในเมื่อพวกนางได้ออกปฏิบัติการไปจับกุมเจ้าลิชเยี่ยงนี้แล้ว ขวัญกำลังใจของพวกนางย่อมพุ่งสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ขนาดที่ความเร็วในการวิ่งของพวกนางขณะไปที่เกิดเหตุนั้นยังเหนือกว่าพวกทหารม้าเสียอีก
แต่เมื่อครั้งที่หน่วยรักษาความสงบได้มาถึงที่เกิดเหตุ พวกนางก็ต้องพบกับเหตุการณ์อันไม่คาดคิด ว่าหัวหน้าของพวกนาง ผู้พิทักษ์เหล็กไหล (เสวี่ยที) ได้มาถึงที่เกิดเหตุก่อนพวกนางแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพวกนางได้เห็นถึงร่าง(ศพ)ที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้น ใบหน้าของพวกนางก็ซีดเผือกลงทันที เรื่องความแค้นที่มีต่อเจ้าลิชนั้นถูกพับเก็บลงไปอย่างรวดเร็ว
“ดาร์ดเอลฟ์? ทำไมกัน?”
ศพเหล่านี้เป็นร่างของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของพวกนาง เมื่อเห็นถึงหมวกเงาไหมแมงมุมที่เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวในเงามืด รองเท้าตีนแมวที่ช่วยลดเสียงฝีเท้า รวมทั้งมีดพกและมีดขว้างที่มีแสงประกายสีเขียวอยู่ที่คมมีด ต่อให้ตัดเรื่องชื่อเสียงแย่ๆของพวกนาง(ผู้บุกรุก)ไป แค่มองเพียงแวบเดียวก็ชัดเจนได้ถึงเหตุผลที่พวกนางมาอยู่ที่นี่ได้แล้ว
“ของทั้งหมดนี้เป็นเครื่องสวมใส่มาตรฐานสำหรับหน่วยแมงมุมพิษ เวลาออกทำภารกิจลอบสังหาร ในการเลื่อนอาชีพขั้นที่ 2 ของมือสังหารนั้นต้องอาศัยพรจากราชินีแมงมุม คงมีแต่พวกตระกูลใหญ่ๆเท่านั้นที่มีทรัพยากรเพียงพอในการชุบเลี้ยงมือสังหารเหล่านี้ได้”
บนพื้นทวีปนั้น แค่เป็นดาร์ดเอลฟ์ก็ถือได้ว่าเป็นความผิดแล้ว แม้แต่ในโลกใต้พิภพหลายพื้นที่เองก็เลือกจับกุมดาร์ดเอลฟ์ก่อนค่อยไต่สวนหรือสอบถาม แถมการจับกุมเหล่าดาร์ดเอลฟ์ไม่ถือว่าเป็นความผิดเสียด้วยซ้ำไป เพราะจะยังไงซะ พวกเจ้าก็คงไม่ผิดหรอกที่จะจับปิศาจหรืออสูรมาเผาก่อนที่จะไต่สวน...
ที่โลกแห่งนี้นั้น ได้มีช่วงเวลาหลากหลายสมัยที่ตัวเผ่าพันธุ์นั้นเป็นเครื่องแสดงตนว่าเจ้าเป็นคนดีหรือคนชั่ว รวมถึงฝักฝ่ายที่เจ้าสังกัดอยู่ แต่สำหรับกรณีของนครภูผาหลิวฮวงแล้วนั้น คงถือได้ว่าเป็นนครที่พิลึกใช่ย่อยที่ใช้ เหล่าดาร์ดเอลฟ์ที่ ‘ชั่วร้ายและแสนยุ่งเหยิง’ มาเป็นผู้คุ้มกันนครเช่นนี้
แม้ผู้กระทำความผิดจะเป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของเธอก็ตาม แต่หัวหน้าหน่วยรักษาความสงบ ไดอาน่า เองก็คุ้นชินกับการลงโทษเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของเธอตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่แล้วเสียงตะโกณที่ดังมาจากทางด้านหลังของเธอก็แทบทำให้หัวใจเธอหยุดเต้น
“นี่มันคาร์ลอสจากตระกูลอันดับ 7 นิ ที่มากับคณะทูตจากนครมอร์สไบลท์”
“นครมอร์สไบลท์?” เพียงแค่คิดถึงชื่อบ้านเกิดของเธอ ไดอาน่าก็ได้แต่เผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา ด้วยฐานะที่เธอเป็นพวกนอกรีตที่นับถือแสงศักดิ์สิทธิ์ที่โดนขับไล่ออกมา ตัวเธอนั้นไร้ซึ่งความทรงจำดีๆใดๆในเขตแดนของราชินีแมงมุม “...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ราชินีแมงมุมไม่เคยให้อภัยผู้เป็นศัตรูและไม่มีคำว่า ‘ให้อภัย’ บัญญัติอยู่ในสารานุกรมของเหล่าดาร์ดเอลฟ์ คงเป็นไปไม่ได้สินะที่พวกนางจะยอมปล่อยพวกเราไป”
ด้วยฐานะที่เป็นดาร์ดเอลฟ์ ถึงแม้พวกเธอจะเปลี่ยนศรัทธามาเชื่อในแสงศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ตาม แต่พวกเธอก็มิเคยลืมเลือนวิธีการสกปรกต่างๆ ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้สำหรับอาชญากรในนครภูผาหลิวฮวงแล้ว หน่วยอัศวินดาร์ดเอลฟ์ถือว่าเป็นหน่วยที่รับมือได้อย่างยากยิ่ง
ตัวอารุไนด์นั้นได้วางแผนที่จะกำจัดผู้ทรยศต่อราชินีแมงมุมเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวกัน เหล่าอัศวินดาร์ดเอลฟ์เองก็เฝ้าระแวงเหล่า ‘คณะทางการทูต’ ที่มาจากบ้านเกิดของพวกเธอเช่นกัน เพราะอย่างน้อยข้อความจากหน่วยสอดแนมที่เผ้าระวังอยู่ที่หน้าประตูโรงแรมที่คณะทูตอยู่ก็มีมาไม่เคยขาด
แต่ผลที่ออกมาก็ชี้ชัดแล้วว่า พวกเธอนั้นยังประเมินความสามารถของยอดฝีมือจากบ้านเกิดพวกเธอต่ำไป ยอดฝีมือเหล่านี้สามารถลอบผ่านเครือข่ายสอดแนมที่พวกเธอวางไว้ออกมาได้ แล้วถ้าเป็นในกรณีที่เลวร้ายที่สุดล่ะก็ คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานี้ย่อมเป็นฝีมือของคณะทูต...
“ดีจ้า นี่มันหัวหน้าหน่วยไดอาน่ามิใช่รึ? ไม่เจอท่านมาตั้งนานแน่ะ”
เช่นเคย เจ้าลิชตนนี้ก็ยังคงพูดจาไร้สาระเฉกเช่นเดิม แต่ที่ไม่เหมือนวันก่อนๆ ก็คือตัวไดอาน่าที่กำลังกังวลอยู่ ณ ตอนนี้ไม่มีอารมณ์พอจะหันไปหาเรื่องเจ้าลิชตนนี้ได้ ตอนนี้เธอนั้นกำลังหวั่นเกรงเรื่องที่จะเกิดขึ้นเมื่อรุ่งเช้ามาถึง เมื่อข่าวความเสียหายจากคณะทูตจะแพร่ออกไป ทางนครมอร์สไบลท์ที่ไม่เคยยอมรับข้อครหาไร้มูลใดๆ จะป้ายความผิดครั้งนี้ให้เธอและพี่น้องของเธอรึเปล่า?
แม้ตัวไดอาน่าจะเมินเฉยต่อข้อเรียกร้องจากบ้านเกิดของเธอได้ แต่ด้วยการเคลื่อนไหวอันน่าสงสัยภายในนครของดาร์ดเอลฟ์ในช่วงที่ผ่านมานั้นได้สร้างความกดดันอย่างมหาศาลให้กับพวกเธอ แล้วยิ่งตอนนี้ยังมีดาร์ดเอลฟ์ถูกพบเป็นศพในขณะที่กำลังพยายามบุกเข้าที่อยู่อาศัยของลิชเช่นนี้อีก เหตุการณ์นี้ย่อมเท่ากับว่าเป็นการจับคนร้ายได้คาหลังคาเขา
ถึงเธอจะคาดว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นเป็นแน่ แต่สิ่งที่เธอเป็นห่วงจริงๆนั้นคือเมื่อครั้งที่เหล่าประชาชนล่วงรู้ว่าผู้ร้ายที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในช่วงนี้นั้นคือ ดาร์ดเอลฟ์ ยิ่งอาศัยพื้นฐานความเข้าใจที่ประชาชนมีต่อดาร์ดเอลฟ์ด้วยแล้ว ในภายภาคหน้าคงยิ่งเป็นการยากที่พวกเธอจะได้รับความร่วมมือจากประชาชนในการเก็บร่วมรวมหลักฐานคดีอีก
ยิ่งถ้าพวกเธอมิอาจไขคดีนี้ได้โดยเร็วล่ะก็ ชื่อเสียงของหน่วยรักษาความสงบต้องเสื่อมเสียเป็นแน่ เพราะอย่างไรซะ ก่อนที่จะเกิดเหตุครั้งนี้ขึ้น ได้มีคดีที่พ่อค้าใหญ่โตหลายรายโดนฆาตกรรมซึ่งจนถึงปัจจุบันพวกเธอก็ยังไม่สามารถไขคดีได้อยู่อีก เช่นนี้พวกเธอย่อมตกเป็นที่รองรับความกดดันจากเหล่าประชาชน
“ไดอาน่า ดวงของเจ้าในวันนี้ถือว่าไม่เลวเลย ดูท่าคดีฆาตกรรมเหล่าพ่อค้าจะได้ข้อสรุปเสียที”
“ข้อสรุปเหรอคะ? คดีฆาตกรรมที่มุ่งเป้าไปที่เหล่าพ่อค้านั้นเหรอคะ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างกายของเหล่าอัศวินดาร์ดเอลฟ์ได้แต่สั่นไหวอย่างรุนแรง ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยอาการตกใจระคนไม่อย่างจะเชื่อ
“นี่คือหลักฐานงั้นเหรอคะ!?”
ไดอาน่ากลับพบว่าเรื่องนี้นั้นยากจะเชื่อได้ ถึงแม้ตัวพวกเธอเองจะสงสัยว่าฆาตกรนั้นคือพวกคณะทูตก็ตาม แต่โอกาสที่ดาร์ดเอลฟ์จะทิ้งหลักฐานมัดตัวไว้ในที่เกิดเหตุนั้นถือว่าหาได้ยากยิ่ง และด้วยฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายแห่งนครภูผาหลิวฮวงแล้ว พวกเธอนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะลงมือกับใครเพียงเพราะความสงสัยที่ไร้ซึ่งหลักฐานรองรับ แล้วยิ่งอีกฝ่ายเป็นคณะการทูต สิ่งที่พวกเธอทำได้ก็มีเพียงสอดแนมเบื้องต้นเท่านั้น
“ใช่แล้ว เจ้าคนร้ายในครั้งนี้ได้นำรายชื่อสังหารติดตัวมาด้วย ครั้งนี้ พวกเราได้หลักฐานมัดตัวมาแล้ว คงต้องใช้โอกาสนี้ส่งจดหมายประท้วงไปที่นครมอร์สไบสท์เสียหน่อย”
ในวินาทีนี้เอง แม้แต่ท่านกำแพงเหล็กขนาดมหึมาผู้เคร่งขรึมยังดีใจอย่างออกหน้าออกตาเลย นี่ถือว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งทีเดียว ก็นะ ก็ควรเป็นเช่นนี้กระมัง ในฐานะหัวหน้าแห่งสำนักผู้บังคับใช้กฎหมาย การที่ยังไม่สามารถไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่องได้ แรงกดดันที่ท่านได้รับคงมากกว่าที่เธอได้รับอย่างมากมายนัก
“จริงสิ คู่พี่น้องเบยาร์ดยังอยู่ในการคุมขังใช่มั้ย?”
“เอ๊ะ? เบยาร์ดเหรอคะ?”
“เจ้าคู่พี่น้องเสพติดการระเบิดนั้นน่ะ”
“อ่อ เจ้าคู่ระเบิดเวลาตัวเขียวนั้นเหรอค่ะ เพื่อประหยัดเงินแล้ว ทั้งคู่ได้เลือกที่จะใช้ RDX (ชนิดวัตถุระเบิดแรงสูงที่ระเบิดได้ง่ายไว้ใช้ระเบิดภูเขา) มาเป็นแหล่งพลังงานให้กับเครื่องจักรของตน แทบเป็นไปไม่ได้เลยล่ะค่ะ ที่ของแบบนั้นจะไม่เกิดระเบิดขึ้น แต่ในตอนนี้ทั้งคู่ก็ยังคงยืนกรานว่าพวกตนนั้นบริสุทธิ์ โดยให้การว่าแหล่งพลังงานนั้นเป็นสูตรลับที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษและปลอดภัยแน่นอน แถมทั้งคู่ยังไม่ยินยอมที่จะจ่ายค่าประกันตัวและค่าปรับใดๆอีกด้วย ทำให้ในตอนนี้ทางเรากำลังเก็บรวบรวมหลักฐานเพื่อยื่นคำร้องต่อศาล ฟ้องร้องทั้งคู่ในข้อหาผลิตวัตถุอันตรายและสินค้าด้อยคุณภาพอยู่ค่ะ แต่ทางเรายังไม่สามารถหาหลักฐานใดๆมาได้ค่ะ เนื่องด้วยสินค้าของทั้งคู่นั้นได้ระเบิดไปจนหมดสิ้น...”
“นี่ไงล่ะหลักฐาน! พวกเจ้าลองดูที่ร่างพวกดาร์ดเอลฟ์กับซากเครื่องจักรพวกนั้นดูสิ พวกเจ้าว่าสาเหตุการตายมันดูคุ้นๆมั้ย?”
“เจ้าเสวี่ยที ทั้งๆที่ภายนอกตัวเจ้าออกจะดูซื่อๆแท้ๆ แต่เจ้ากลับขายเพื่อนได้โดยไร้ความลังเลใดๆเลยนะ” เมื่อข้าได้ยินถึงสิ่งที่ผู้บังคับใช้กฎหมายชาวธอร์เร็นกำลังพูดออกมาอย่างตื่นเต้นอยู่นั้น ตัวข้าได้แต่ยกมือสวดมนต์ในใจขอให้คู่พี่น้องเบยาร์ดโชคดี จากนั้น ข้าก็ไม่ลังเลใดๆที่จะเข้าร่วมชมรมคนทรยศไปด้วยอีกคน...
“ใช่แล้วท่าน ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของเจ้าพวกก็อบลินโลภมากนั่นทั้งนั้น เมื่อไม่นานมานี้ สาวใช้ของข้าได้ไปที่ร้านเครื่องจักรก็อบลินปลอดภัยเพื่อจับจ่ายเครื่องเรือนมาใช้สอย แต่ท่านดูสิ เครื่องเรือนที่พวกข้าจับจ่ายมานั้นระเบิดไปจนหมดสิ้นไม่มีเหลือเลย แต่ยังโชคดีที่เหล่าผู้มีจิตเมตตาที่นอนกองกันอยู่ตรงนั้นได้มาช่วยข้าให้รอดพ้นจากเภทภัยครั้งนี้ ไม่เช่นนั้น ผู้ที่ต้องตายต้องเป็นข้าไม่ผิดแน่ ท่านต้องช่วยข้าระบายความคับข้องใจครั้งนี้นะ”
“ดาร์ดเอลฟ์เป็นคนมีจิตเมตตาเนี่ยนะ? ไม่ใช่ว่าลิชตายอยู่แล้วงั้นเหรอ? แล้วลิชยังจะตายได้อีกเหรอ? แล้วคงจะพิลึกเกินไปแล้วที่ความเดือดร้อนเดินได้เช่นเจ้าจะตายเป็น” เมื่อเห็นถึงหางคิ้วของผู้บังคับใช้กฎหมายทั้งสองที่กระตุกไม่ยอมหยุด ข้าก็พอเดาได้คร่าวๆว่าทั้งสองคนกำลังคิดอะไรอยู่
อย่างน้อย สายตาของทั้งคู่ก็ส่งข้อความประมาณว่า ‘นี่เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นไอ้โง่เหรอไงหรือว่าเป็นเจ้ากันแน่ที่โง่’ ให้ข้า ช่างไม่เชื่อถือข้าเอาซะเลยนะพวกเจ้าเนี่ย ชักไม่สบอารมณ์แล้วสิ ยิ่งในตอนนี้ข้าโดนข้อบังคับจากคำสาปของเครื่องสวมใส่เทวะให้โกหกไม่ได้อยู่...ตัวข้านั้นไม่รู้เรื่องระเบิดในครั้งนี้จริงๆ แล้วเจ้าดาร์ดเอลฟ์พวกนี้ก็มาช่วยรับเคราะห์กรรมจากข้าไปจริงๆ
นี่ นี่ ถ้าพวกเจ้ายังไม่ยอมแสดงออกว่าเชื่อข้าบ้าง พวกเจ้าก็เตรียมตัวระวังคำบ่นจากข้าไว้ให้ดีๆล่ะ เดี่ยวข้าจะแอบทำให้ชีวิตพวกเจ้าอยู่ยากขึ้น แล้วส่งพวกเจ้าไปเป็นยามที่เหมืองกำมะถันเอง
“แค่ก แค่ก แต่พลังทำลายจากเครื่องจักรของพี่น้องเบยาร์ดก็ไม่น่าจะรุนแรงได้ถึงขนาดนี้นิคะ?” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสายตาเช่นนี้เป็นการเสียมารยาท ไดอาน่าได้แต่หันสายตาของเธอไปทางอื่นและเบนหัวข้อสนทนาไปที่เรื่องอื่นแทน
เมื่อเห็นถึงเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาของเธอได้มาอยู่ที่นี่ด้วย ไดอาน่าก็รับรู้ได้แล้วว่าแผนการของพวกเธอในหาเรื่องเจ้าลิชนั้นล่มเหลวไม่เป็นท่า แต่ตัวเธอเองก็เคยลิ้มรสชาติแรงระเบิดด้วยตัวเองมาก่อน จึงทำให้เธอคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่ยอดฝีมือจากนครมอร์สไบสท์เหล่านี้จะมาตายด้วยระเบิดขนาดเล็กที่ไม่คาดคิดเหล่านี้ได้
“เพราะสิ่งนี้ไงล่ะ” พูดแล้วเสวี่ยทีก็ได้หยิบเศษเล็กๆสีเงินขึ้นมาจากแผลของศพที่นอนอยู่
“ลูกปัดเงินศักดิ์สิทธิ์ความบริสุทธิ์สูงไงล่ะ ดูแล้วเจ้าลูกปัดนี่คงจะโดนฝังไว้ในตัวเครื่องยนต์น่ะ เมื่อครั้งที่เกิดการระเบิดขึ้น แรงจากการระเบิดจะส่งเจ้าลูกปัดนี่ออกไปแรงพอๆกับปืนไรเฟิลของพวกคนแคระเลยล่ะ อาวุธสังหารจริงๆคือเศษพวกนี้ต่างหาก”
เมื่อข้าได้เห็นถึงเศษโลหะเงินศักดิ์สิทธิ์ ปากของข้าก็เริ่มกระตุกขึ้นทันตา “อิลิซ่า...นี่เจ้าวางแผนทุกอย่างมาอย่างดีเลยนิ”
“ดูท่าเรื่องครั้งนี้จะไม่ใช่ฝีมือของเจ้าจริงๆ เช่นนี้เจ้าจะฟ้องร้องพี่น้องเบยาร์ดในข้อหาพยายามฆ่าเจ้ารึไม่”
ตอนนี้ ข้าคงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรไปมากกว่านี้อีก ในเมื่อข้อสงสัยทั้งหมดในตัวข้าได้หมดสิ้นลงแล้ว โลหะเงินศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการปลุกเสพจากเทพฝ่ายกฎระเบียบ ซึ่งโลหะเงินชนิดนี้นั้นเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่ออันเดดและปิศาจ แค่จับก็ทำให้ข้าโดนชำระล้างจนมอดไหม้ได้แล้ว แถมความเสียหายที่เกิดจากสิ่งนี้ยังส่งตรงไปให้วิญญาณข้าอีกด้วย ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวข้าจะสามารถใช้โลหะเงินศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้
“นี่ข้าสมควรโดนขนาดนั้นเลยเหรอ? เจ้าถึงได้ต้องทำถึงเพียงนี้” เมื่อข้าระลึกได้ถึงความทรงจำที่ว่า เมื่อไม่นานมานี้ มือของอิลิซ่านั้นมีผ้าพันแผลพันอยู่ ซึ่งตัวนางนั้นเป็นคนไม่เคยผิดพลาดในงานบ้านงานเรือน เพราะฉะนั้นบาดแผลย่อมไม่ได้มาจากงานบ้าน แต่ต้องมาจากครั้งที่นางไปติดตั้งเศษโลหะเงินพวกนี้เป็นแน่ แม้ว่านางจะเป็นเพียงครึ่งปิศาจ แต่การแตะต้องของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้นางก็ต้องได้รับบาดแผลเช่นกัน
“ดูท่าเพื่อหลีกเลี่ยงการตายที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ข้าควรเริ่มจ่ายค่าจ้างนางซักสองปีก่อนจะเป็นการดีกว่า...”
“ตู้ม!!” อยู่ๆก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับร่างใหญ่ร่างนึงพุ่งออกมา
“หยุดเจ้านั้นซะ!”
“นี่มันใครกัน?”
“อ้ากกกกกกกก!”
มีรึที่พวกนางจะยอมปล่อยให้บุคคลน่าสงสัยหลุดรอดไปจากที่เกิดเหตุได้ หน่วยรักษาความสงบตอบสนองต่อผู้มาใหม่โดยการตีวงล้อมร่างผู้มาใหม่โดยพลัน แต่การตอบรับที่พวกนางได้รับกลับเป็นเสียงขู่คำรามอันดุร้ายของเผ่ามนุษย์สัตว์
พร้อมกับประกายแสงสีเงินวาบ ดาบเล่มยักษ์ของผู้มาใหม่ได้ฟาดฟันไปทั่วทุกทิศราวกับมังกรที่กำลังเริงระบำ แต่สิ่งที่สนองกลับต่อการฟาดดาบครั้งนี้กลับมีเพียงสายตาอันไม่อยากจะเชื่อจากทุกคนที่อาวุธชั้นยอดที่พวกตนถือครองอยู่นั้นได้หักสะบั้นลงในพริบตาการปะทะ
“เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! อ๊าก!”
“ทุกคนระวังตัวด้วย อาวุธนั้นมีอะไรผิดปกติอยู่! อย่าได้เข้าปะทะกับอีกฝ่ายตรงๆ!”
“เป๊ง เป๊ง เป๊ง” ภายใต้เสียงปะทะของโลหะอันบาดหู ดาบเล่มยักษ์ได้ผ่าชุดเกราะของเหล่าเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความสงบราวกับผ่ากระดาษ ไม่ว่าแห่งหนใดที่เงาดาบเล่มยักษ์ปรากฏขึ้น ย่อมต้องมีเสียงร้องทรมานพร้อมโลหิตอันสาดกระเซ็นตามไปทุกที่
อาศัยความเป็นต่อในครั้งนี้ มนุษย์สัตว์ที่คลุ้มคลั่งได้ฝ่าวงล้อมอันแน่นหนาของอัศวินศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้เป็นการสำเร็จ
“โว๊ค จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมไดอาน่าถึงได้รับรู้ว่าเจ้าครึ่งมนุษย์สัตว์ตาแดงก่ำผู้นี้เป็นใคร เพราะเพื่อที่จะตามจับอาชญากรแสนเจ้าเล่ห์และอำมหิตรายนี้มาลงทัณฑ์ หน่วยรักษาความสงบต้องลงทุนลงแรงไปมากกว่าจะสำเร็จ
“ไม่น่าเป็นไปได้ เจ้าหมอนี่จะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน”
ครึ่งเอลฟ์ ครึ่งมนุษย์สัตว์ มือสังหารชั้นสำริด แม้ว่าตอนนี้ดวงตาของชายผู้นี้จะแดงก่ำ กล้ามเนื้อก็ปูดโปน ราวกับว่าชายผู้นี้ได้เข้าสู่สภาวะนักรบคลั่งที่เป็นสภาวะเฉพาะของมนุษย์สัตว์และเหล่าคนป่าไปเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยฐานะที่เป็นเพียงนักสู้ชั้นสำริด ทำให้เรื่องที่ชายคนนี้จะฝ่ากลุ่มอัศวินชั้นเงินหรือสูงกว่าเช่นนี้ออกมาได้นั้นเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
“เพราะดาบนั่น! ต้องมีอะไรผิดปกติที่ดาบเล่มนั่น ทุกคนอย่าปะทะที่ตัวดาบ!”
อัศวินที่เหลือเข้าใจสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าอาวุธของพวกนางจะถือว่าเป็นของชั้นยอดก็ตาม แต่เมื่อต้องมาอยู่ตรงหน้าดาบยักษ์ที่มีลายสลักมังกรเล่มนี้ ประเด็นกลับกลายเป็นว่าจะรับการปะทะได้หนึ่งครั้งหรือสองครั้งก่อนที่ดาบของพวกนางจะหักสะบั้นลง
“หลีกไป!!”
อาวุธชั้นยอดนั้นย่อมทำให้ผู้ถือครองสามารถเข้าปะทะกับผู้ที่มีระดับชั้นสูงกว่าตนได้ แต่ผู้ที่เข้ามาปะทะในครั้งนี้คือ ไดอาน่า ไม่เพียงความสามารถของไดอาน่ากับโว๊คนั้นจะห่างกันหลายขุม แม้แต่ดาบศักดิ์สิทธิ์ผู้ล้างแค้นสีเงินของไดอาน่าเองก็เป็นอาวุธชั้นมหากาพย์เช่นกัน ซึ่งถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าดาบมังกรหยกเลย
“แก๊ง!”
ใบดาบทั้งสองปะทะกันเสียงดังลั่น แต่ฝ่ายที่โชคร้ายกับเป็นดาบผู้ล้างแค้นสีเงินของไดอาน่าที่โดนฟันแยกเป็นสองท่อน ถึงกระนั้นแรงปะทะเมื่อครู่ก็สร้างรอยร้าวให้ปรากฏขึ้นบนดาบที่โว๊คถือครองอยู่ พร้อมกับสร้างจังหวะที่ตัวโว๊คไร้ซึ่งการป้องกันใดๆขึ้น แน่นอนว่าไดอาน่าย่อมไม่พลาดโอกาสนี้ส่งโว๊ค ให้ลอยกระเด็นไปด้วยลูกถีบของนาง
เพื่อที่จะเก็บตัวอีกฝ่ายไว้สอบปากคำ ไดอาน่านั้นได้ควบคุมแรงในลูกถีบเมื่อครู่ไว้อย่างดีเยี่ยม แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ตัวโว๊ค ที่ผ่านการทรมานอันโหดร้ายมาเป็นอันดับแรก แล้วยังมาโดนสูญพลังงานจนหมดตัวจากสภาวะคลุ้มคลั่ง แถมยังจะมาโดนตัวดาบควบคุมก่อนจะโดนปิดท้ายด้วยลูกถีบจากอัศวินระดับชั้นตำนานเข้าที่กลางอกอีก หลังจากที่กระอักเลือกได้สองคำ เจ้าตัวก็ขาดใจตายไปในที่สุด
เมื่อครั้งที่เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปกับสภาพของโว๊ค และตัดสินใจที่จะใช้การรักษาศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ได้เพียงวันละครั้งในการยื่นชีวิตอีกฝ่ายเอาไว้ แต่ก็มิสามารถพบชีพจรในตัวโว๊คได้อีกแล้ว
“ข้าต้องการคำอธิบาย!! ทำไมโว๊คที่ตอนนี้ควรจะอยู่ในเรือนจำนครภูผาหลิวฮวงถึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วทำไมมือสังหารเผ่าดาร์ดเอลฟ์ถึงได้ต้องบุกรุกเข้ามาที่สถานที่แห่งนี้ด้วย!”
นางได้ชี้ดาบเงินที่เหลือเพียงครึ่งเดียวของนางมาที่ข้า พร้อมกับกล่าวข้อเรียกร้องออกมา ดูท่านางคงไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องในครั้งนี้ไปแน่ ถ้านางไม่ได้คำตอบในวันนี้
แต่ตัวข้าก็ได้แต่เผยยิ้มออกมา...ทุกอย่างเป็นไปดั่งที่ข้าคาดการณ์ไว้ ตอนนี้ปลาได้ติดเบ็ดแล้ว
หลังจากที่ข้าแลกเปลี่ยนทางสายตากับเจ้าเสวี่ยที ข้าก็เลือกที่จะเงียบ จนในที่สุด เจ้าเสวี่ยทีก็ต้องก้าวออกมา
“ที่จริงมันเป็นเช่นนี้ โรแลนด์กับทางระบบกฎหมายได้มีข้อตกลงลับๆกันไว้ ชายคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ทางวิญญาณรวมทั้งยังเป็นปรมาจารย์ในด้านการสอบปากคำ เพราะฉะนั้นเมื่อครั้งที่ทางเราพบกับนักโทษปากแข็ง ทางเราก็จะร้องขอความช่วยเหลือไปที่ชายคนนี้...”
คำอธิบายเหล่านี้ย่อมเป็นความจริง หรือไม่อย่างน้อยนี่ก็เป็นความจริงที่เสวี่ยทีล่วงรู้ ตัวไดอาน่าที่มีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมทางระบบกฎหมายถึงได้ผ่อนปรนกับเจ้าลิชตรงหน้าเธอนัก เธอก็รู้สึกว่ามันแปลกๆอยู่แล้ว ที่เมื่อครั้งที่เธอไล่ล่าเจ้าลิชนี่อยู่ๆท่านวูเมี้ยนเจ้อก็มาปรากฏตัว แล้วยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ที่ครั้งนี้เองหัวหน้าแห่งสำนักผู้บังคับใช้กฎหมายก็มาปรากฏอยู่ที่นี่เช่นกัน
“ใช่แล้วล่ะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะจ้ะ” ข้านั้นไม่สามารถโกหกได้ เพราะฉะนั้นแล้วประโยคที่ข้ากล่าวไปย่อมเป็นความจริงอย่างแน่นอน ในความจริงแล้วสิ่งที่ข้ากล่าวนั้นมีความหมายว่า ข้านั้นคือ วูเมี้ยนเจ้อ แต่ในสายตาของเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์นั้น พวกนางกลับเข้าใจว่าข้านั้นได้สารภาพแล้วว่าได้ทำข้อตกลงกับทางระบบกฎหมายจริง แทบในทันที ไดอาน่าได้ตอบสนองกลับมาดั่งที่ข้าคาด ด้วยท่าทางที่ว่านางเข้าใจทุกอย่างแล้ว
“หึ ต่อให้ใครหนุนหลังเจ้าอยู่ก็ช่าง แต่อย่าให้ข้าจับได้ว่าเจ้ากระทำความผิดละกัน! ไม่เช่นนั้น ใครหน้าไหนก็ช่วยเจ้าไม่ได้! พวกเรากลับ!”
ดูซิ ก่อนที่นางจะจากไปยังมีมาขู่ข้าอย่างดุดันอีก ทั้งที่ผู้บังคับบัญชาพวกนางก็อยู่ด้วยนะเนี่ย นางนี่ช่างเป็นแบบอย่างอัศวินสมองกล้ามในอุดมคติเสียจริงๆ ช่างใสซื่อ ช่างใช้ประโยชน์ง่ายเสียจริง!
ในระหว่างที่ข้ากำลังหัวเราะพร้อมมองดูพวกนางขนย้ายร่าง(ศพ)กลับไปพร้อมกับหน่วยของพวกนางอยู่นั้น เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นที่ข้างหูข้า
“ข้อมูลที่ทางเราได้รับจากโว๊คได้รับการยืนยันจากตัวอย่างทดลองที่เคยรู้จักในชื่อ อารุไนด์ แล้วค่ะ ตอนนี้ดิฉันได้คัดลอกรายงานมาอีก 2 ฉบับพร้อมทั้งได้ส่งให้ท่านมากาเร็ตและท่านอดัมผ่านทางช่องทางลับเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ว่านายท่านค่ะ ที่ท่านต้องลงทุนไปตั้งขนาดนี้เพื่อแสดงละครเปิดเผยความสัมพันธ์ของท่านที่มีต่อระบบกฎหมายเพียงผิวเผินเช่นนี้ ทั้งหมดนี่มันคุ้มกันเหรอคะ?”
“แน่นอนว่าต้องคุ้มสิ เอาความจริงเลยนะ ข้าเองประเมินเจ้านักฆ่าโรคจิตนั้นต่ำไปเช่นกัน ใครจะคิดกันล่ะว่ามันจะกุมความลับอันสำคัญระดับนั้นไว้ในมือ เพื่อที่จะสงบสติอารมณ์เจ้าพวกที่กำลังจะลงมือต่อจากนี้ โว๊คนั้นจะต้องตายและต้องตายต่อหน้าพยานรู้เห็นด้วย ถ้าเรื่องเป็นเช่นนี้ ตราบใดที่มีตัวอย่างทดลองหนีพ้นไปได้จริงๆ ข่าวลือที่ว่ามีคณะทูตบางคนหลบหนีไปตอนกลางดึกก็ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นเช่นกัน เช่นนี้แล้วตราบใดที่ตัวอย่างทดลองที่หนีรอดไปรายงานข่าวเท็จตามที่ข้าวางไว้ ข้าก็สงสัยจริงๆล่ะว่าเจ้าพวกนั้นจะระแวงเรื่องที่ข้อมูลของพวกตนรั่วไหลอยู่อีกรึเปล่า”
“นี่ท่านลงทุนเล่นละครไปขนาดนี้เพื่อแค่หลอกเจ้าพวกนั้นเหรอคะ? ขนาดที่ยอมเสียอาวุธชั้นมหากาพย์ไปในระหว่างการเล่นละครเช่นนี้งั้นเหรอคะ?”
“ดาบมังกรหยกนั้นน่ะเหรอ? ก็แค่ของไร้ประโยชน์นา โอกาสเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง 1% แถมยังเพิ่มโอกาสขึ้นวินาทีละ 1% อีก ก็หมายความว่าเพียงแค่ 2 นาที คนใช้ก็กลายเป็นคนคลุ้มคลั่งไม่รู้จักแยกแยะมิตรศัตรูอีกแล้ว ของเช่นนั้นน่ะปล่อยๆไปจะเป็นการดีเสียกว่า แล้วอีกอย่าง ข้าก็จำได้ว่าในหน่วยรักษาความสงบจะมีคนที่สามารถในการใช้ดาบนั่นได้อยู่ แล้วไม่ใช่ว่าหน่วยรักษาความสงบก็เป็นแขนขาของข้าหรอกรึ? พลังของพวกนางก็เหมือนเป็นพลังของข้านั้นแหละ”
“...ทำไมดิฉันถึงรู้สึกว่านายท่านก็แค่เอ็นดูพวกนางจนไม่อยากให้พวกนางเป็นอะไรไป ท่านถึงได้สร้างเบาะแสที่พวกนางจะตามสืบต่อไม่ได้ขึ้นมา เพื่อไม่ให้พวกนางต้องเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้จนต้องถูกฆ่าในฐานะตัวหมากตัวนึง”
“ฮะ เจ้าคิดฟุ้งซ่านไปเองทั้งนั้น” ข้าได้แต่หัวเราะพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เรื่องในครั้งนี้น่ะเกี่ยวโยงกับเจ้านครคนอื่น เทพอสูรธาตุชั่วร้ายและพวกคนทรยศสถุลถ่อย แม้หน่วยรักษาความสงบจะมีความสามารถในการต่อสู้เป็นเลิศแต่มันก็มีบางเรื่องเหมือนกันที่ต้องใช้สมองแทนกำลัง พวกนางน่ะไม่เหมาะกับการเมืองที่แสนวุ่นวายหรอก ถ้าพวกนางเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องครั้งนี้ แม้แต่ทหารใช้แล้วทิ้งพวกนางยังเป็นให้ไม่ได้เลย รู้ไหมว่ามันยากนะที่จะสร้างหน่วยอัศวินแสงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ แล้วจะต้องมาเสียพวกนางไปด้วยเรื่องแค่นี้คงเป็นการสิ้นเปลืองเสียเปล่าๆ เพราะยังไงซะ ข้าเองก็ยังตั้งใจที่จะใช้งานพวกนางให้หนักไปอีกสักหลายๆปี”
เมื่อที่ข้ากล่าวไปเช่นนั้น ตัวข้าเองก็ชักรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้วเหมือนกัน
“เทพชั่วร้ายโบราณกับท่านจ้าวแห่งโลกใต้พิภพงั้นเหรอ ดูท่าในที่สุดก็มีศัตรูที่คู่ควรให้ข้าต้องเอาจริงเสียที เหเห บางทีนี่อาจจะเป็นสัญญาว่ายุคใหม่กำลังจะมาถึงแล้วก็เป็นได้”