ตอนที่ 15 ร่วมเล่นเกมกับผู้บุกรุก
“อย่าได้ริอาจคิดที่จะบุกเข้าไปในหอคอยเวทย์ที่มีเจ้าของเป็นอันขาด และจงอย่าได้คิดที่จะประมาทขอบเขตสามัญสำนึกในหัวพวกนักเวทย์เป็นอันขาด นอกเสียจากว่าเจ้าอยากมีจุดจบเช่นเดียวกับข้า ที่ต้องเดี้ยงด้วยกับดักซ้อน 12 ชั้น เจ้าคงจะกลัวล่ะสิถ้าต้องมาเจอเช่นข้า? แต่ที่แน่ๆ เจ้าพวกนักเวทย์ทุกคนน่ะมันบ้าไปกันหมดแล้ว – นักผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่ คูเซ่”
ด้วยเหตุผลบางประการ คำกล่าวข้างต้นนี้จึงได้รับการยอมรับกันทั่วในฐานะกฎเหล็กในหมู่นักผจญภัย แล้วยิ่งนักผจญผู้เป็นเจ้าของคำกล่าวนี้นั้นเป็นที่เลื่องลือในวงการด้านการไร้กังวลในทุกสถานการณ์และความสามารถในการเอาตัวรอดเป็นเลิศ แล้วมีอยู่ครั้งนึงที่นักผจญภัยผู้นี้ต้องไปสำรวจปราสาทลอยฟ้าในมิติอื่น ครั้งนี้เองที่ชายผู้นี้โดนแยกร่างออกเป็น 13 ส่วนด้วยกับดักต่อเนื่องของจอมขมังเวทย์ผู้นึง ด้วยเหตุการณ์นี้เองยิ่งทำให้คำกล่าวที่ใช้ชีวิตของผู้พูดเป็นเครื่องยืนยันน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก
สำหรับสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ที่เรียกว่านักเวทย์แล้ว ต่างมองการแสวงหาความรู้ภูมิปัญญาและความเป็นไปของสิ่งต่างๆ เป็นจุดมุ่งหมายหลักของการมีชีวิต แบบนี้แล้วส่วนที่อยู่อาศัยและหอคอยของพวกนักเวทย์นั้นถือได้ว่าเป็นศูนย์วิจัยความรู้ต่างๆของนักเวทย์ และในคณะเดียวกันก็เป็นขุมทรัพย์ในชีวิตนักเวทย์คนนั้นด้วย
เช่นนั้น เมื่อครั้งที่เหล่านักเวทย์รู้สึกถึงภัยคุกคามต่อผลการวิจัยและชีวิตของตน และด้วยความที่ศิลธรรมอันดีงามรวมถึงความเมตตาปราณีในตัวนักเวทย์นั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เหล่านักเวทย์นั้นย่อมไม่เกี่ยงที่จะวางกับดักกลไกสารพัดชนิดไว้ที่ส่วนที่อยู่อาศัยและห้องวิจัยของพวกตน กับดักมนตราชนิดที่แม้แต่จอมโจรชั้นครูก็ยังทำอะไรไม่ได้ อาทิเช่น ประตูที่เมื่อเปิดแล้วจะพาคนเปิดไปทัวร์ที่โลกอื่นในบันดล เป็นต้น
ถ้ามาเทียบระดับความอันตรายของหอคอยเวทย์หรือพื้นที่อยู่อาศัยของนักเวทย์ชั้นตำนานแล้ว มิได้ด้อยไปกว่าการลักลอบเข้าไปรังมังกรเลย แล้วที่สำคัญลิชที่อ่อนแอที่สุดก็ยังอยู่ระดับชั้นตำนาน
ด้วยเหตุนี้เอง ตัวข้าในตอนนี้ถึงได้สงสัยใคร่รู้แบบสุดๆ ว่าใครหน้าไหนกันที่มันกล้าบุกเข้าที่อยู่อาศัยของลิชตรงๆเยี่ยงนี้ แล้วยิ่งเป็นเวลาที่ลิชเจ้าของบ้านต้องอยู่บ้านด้วยแน่ๆเช่นนี้อีก
“อิลิซ่า?”
“มีผู้บุกรุกเข้ามาสองหน่วยค่ะ มีหนึ่งหน่วยที่กำลังบุกเข้ามาตรงๆค่ะ ส่วนอีกหน่วยตอนนี้กำลังปีนกำแพงเข้ามาทางด้านหลังอยู่ค่ะ ดูจากความสามารถและอาวุธของผู้บุกรุกแล้วน่าจะเป็นดาร์ดเอลฟ์นะคะ ชั้นเงิน 7 คน ชั้นทองคำ 3 คน ดิฉันคงต้องขอพูดว่าเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งไม่เบาเลยค่ะ”
อิลิซ่ารายงานกลับมาอย่างที่ข้าคาด แต่นั้นไม่ใช่คำตอบที่ข้าต้องการ
“ทำไมถึงมีระเบิดได้ล่ะ? ไม่ใช่ว่าข้าบอกเจ้าให้เลือกติดตั้งสัญญาเตือนภัยที่เงียบเชียบและปลอดภัยตรงบริเวณรอบนอกของตัวบ้านไม่ใช่เหรอ? เสียงระเบิดดังซะขนาดนี้อีกไม่นานเจ้าพวกหน่วยรักษาความสงบคงมาถึงเป็นแน่”
ตาม <<คู่มือการรักษาความสงบนคร(ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 6 โดยวูเมี้ยนเจ้อ)>> แล้วหลังจากที่ได้ยินเสียงระเบิด พวกนางต้องจัดตั้งหน่วยเล็กๆเพื่อมาดูลาดเลาสถานที่เกิดเหตุขึ้นภายใน 5 นาที แถมบ้านข้ายังตั้งอยู่ใจกลางนครภูผาหลิวฮวง ซึ่งห่างจากศาลสูงสุดไปไม่ไกลนักอีก ข้าให้ด่วนสุดๆเลย พวกนางต้องมาถึงบ้านข้าในอีก 10 นาทีเป็นแน่
“พวกนางต้องอาศัยโอกาสครั้งนี้ออกปฏิบัติการปิดล้อมจับกุมตัวข้าเป็นแน่! แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น ของต้องห้ามทั้งหลายที่อยู่ใต้ถุนบ้านข้าก็ต้องถูกพบเข้าน่ะสิ!?”
หน่วยรักษาความสงบนั้นมีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายแค่สถานที่เกิดเหตุเพียงเท่านั้น ถ้าพวกนางคิดจะบุกเข้าบ้านชาวบ้านเพื่อทำการจับกุมแล้วล่ะก็ พวกนางจำเป็นต้องมีหมายค้นจากผู้บังคับบัญชาของพวกนาง ซึ่งผู้บังคับบัญชาของหน่วยรักษาความสงบก็คือสำนักผู้บังคับใช้กฎหมาย และผู้บังคับบัญชาของสำนักผู้บังคับใช้กฎหมายก็คือศาลสูงสุด ย่อมไม่มีเหตุผลอันใดที่ข้าจะยอมเซ็นหมายค้นให้หน่วยรักษาความสงบมาค้นบ้านข้า...
เช่นนี้แหละ ทำให้ตั้งแต่ต้นมาตัวข้าไม่เคยคิดที่จะกังวลเรื่องที่พวกนางจะมาบุกบ้านข้าเลยสักครั้ง ถ้าจะให้บอกความรู้สึกของข้าในตอนนี้ล่ะก็คงเหมือนกับข้าราชการโกงกินหรือพ่อค้าของผิดกฎหมายที่ของผิดกฎหมายของตนโดนปล้น แต่ใจก็มิกล้าพอไปแจ้งความ ถ้าเกิดหน่วยรักษาความสงบอาศัยโอกาสครั้งนี้ทำการค้นบ้านข้าขึ้นมาจริงๆล่ะก็ ข้าเกรงว่าข้าคงได้ไปนอนเล่นในห้องกรงโดยไม่ทันได้ปริปากพูดอะไรเป็นแน่
ทั้งที่ได้ยินคำบ่นของข้าไป แต่ตัวอิลิซ่าก็ยังคงตีหน้านิ่งอยู่เฉกเช่นเดิม
“ใช่แล้วค่ะ นายท่านได้กล่าวมาว่า ท่านต้องการระบบกันขโมยที่ ’ปลอดภัย’ ใช่มั้ยล่ะคะ? ดิฉันก็เลยไปจัดการให้ตามที่นายท่านขอ สิ่งที่ดิฉันติดตั้งไว้ที่บริเวณรอบนอกก็มีเพียงหุ่นยนต์เตือนภัยที่วิศวกรสร้างขึ้นเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นแหละค่ะ”
“แล้วทำไมมันถึงมีระเบิดได้ล่ะหา?” หลังจากที่ข้าคิดตาม และระลึกได้ถึงการที่อิลิซ่าเน้นน้ำเสียงตรงคำว่า ‘ปลอดภัย’ ตัวข้าก็ถึงบางอ้อในบันดล
“ที่ว่า ‘ปลอดภัย’ นี่? เจ้าคงไม่ได้พูดถึงร้านเครื่องจักรก็อบลิน ‘ปลอดภัย’ ที่ตั้งขายอยู่ที่ถนนเหรียญทองคำอยู่หรอกใช่มั้ย? ใช่ร้านที่เปิดโดยคู่พี่น้องเบยาร์ดนั้นรึเปล่า?”
ข้าย่อมรู้จักร้านนี้เป็นอย่างดี ไอ้ร้านเครื่องจักรก็อบลิน ‘ปลอดภัย’ เนี่ย เนื่องด้วยที่ร้านแห่งนี้ขายสินค้าปลอมแปลงและวัตถุระเบิด ทำให้โดนถอดถอนใบอนุญาตค้าขายไปในที่สุด ทำให้ร้านที่เปิดให้บริการอยู่ในตอนนี้นั้น เป็นแค่ร้านค้าไร้ใบอนุญาตเท่านั้น
ซึ่งแน่นอนว่า ชื่อร้านแห่งนี้นั้นเป็นแค่เรื่องหลอกลวง หลังจากที่มีเหยื่อผู้บริสุทธิ์หลงผิดจับจ่าย ‘สินค้าก็อบลินปลอดภัย’ ไปใช้แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น ซึ่งพอเกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายๆครั้ง ก็ไม่เหลือเหตุอันใดที่ชาวบ้านจะมาจับจ่ายสินค้าที่ร้านแห่งนี้อีก และแล้วชื่อร้านแห่งนี้ก็กลายเป็นตัวอย่างร้านค้าในด้านแย่ๆไป
“ร้านนั้นแหละค่ะ ก็ดิฉันคิดว่านายท่านต้องการให้ดิฉันไปช่วยเหลือพี่น้องทั้งสองของท่านซะอีก ท่านเลยมาขอให้ดิฉันไปช่วยอุดหนุนสินค้าจากร้านของพี่น้องท่านแบบนี้ ไม่ใช่งั้นเหรอคะ?”
“พวกมันไม่ใช่พี่น้องข้า! แล้วสินค้าของเจ้าพี่น้องคู่นั้นน่ะนอกจากเอาไประเบิดแล้วจะยังมีดีอะไรอีกล่ะหา? ข้าคงบ้าแบบกู่ไม่กลับไปแล้วล่ะ ถ้าข้าไปขอให้เจ้าช่วยอุดหนุนร้านพวกมันเยี่ยงนี้!”
“ต้องขออภัยด้วยค่ะ ดูท่าดิฉันจะเข้าใจคำพูดของนายท่านผิดไป”
นางกล่าวขอโทษข้าอย่างจริงใจ แต่เมื่อเห็นถึงมุมปากที่ยกขึ้นมานิดนึงของนาง ข้าว่าแล้วเจ้าครึ่งปิศาจเก็บกดหน้าตายนี่ข้างในต้องกำลังหัวเราะเยาะข้าอยู่แน่ๆ นางต้องทำเช่นนี้กับข้าโดยเจตนาแน่นอน!
“นี่เจ้า...ย่อมได้ ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ว่าแต่นี่เจ้ายอมลงทุนลงแรงขนาดนี้เพื่อแค่ทรมานข้าเล่นจริงๆรึเนี่ย”
“ขอแค่เพียงนายท่านจ่ายค่าจ้างของดิฉันทั้งหมดมา ดิฉันขอรับประกันเลยล่ะค่ะว่าชีวิตต่อจากนี้ของนายท่านจะมีแต่ความสุขความสบาย”
“ฮึ่ม ฝันไปเถอะ นี่เจ้าอย่าได้คิดว่าข้าจะไม่รู้ถึงเล่ห์เหลี่ยมของปิศาจเช่นเจ้าล่ะ ถ้าข้าจ่ายค่าจ้างเจ้าก็เท่ากับว่าสัญญาของเราสิ้นสุดลงน่ะสิ เจ้าอยากได้อิสรภาพคืนงั้นเหรอ? เชิญฝันต่อไปเถอะ”
ในระหว่างที่เราทั้งคู่กำลังพูดคุยไร้แก่นสารอยู่นั้น ผู้บุกรุกทั้งสองหน่วยก็เข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ตัวข้าก็ยังคงไม่ใส่ใจเรื่องผู้บุกรุกอยู่ดี
“ตอนนี้เจ้าหาเจอรึยังว่าเจ้าพวกผู้บุกรุกนี้เป็นใครมาจากไหน? ถ้าตอนนี้เจ้ายังหาไม่เจอล่ะก็ ข้าจะตัดค่าขนมเจ้า หึ อย่านึกว่าข้าไม่รู้ล่ะว่าเจ้าแอบเอาค่าใช้จ่ายภายในบ้านไปใช้น่ะ รู้สึกว่าเจ้าจะเอาไปใช้ซื้อของส่วนตัวนินะ ให้ตายสิทั้งที่ตัวเจ้าก็อายุปูนนี้แล้วแท้ๆ ใครจะไปคิดล่ะว่าเจ้าจะยังชอบเสื้อผ้ามีระบายลูกไม้พริ้วๆน่ารักใสๆอยู่อีกเนี่ย โฮะโฮะ เจ้าอยากเป็นอีแก่ขึ้นคานหน้าตายในชุดกระโปรงลูกไม้พริ้วๆรึไง? แล้วเช่นนี้เจ้าอยากให้ข้าเพิ่มเงินค่าขนมเจ้าเพื่อให้เจ้าไปซื้อตุ๊กตาเพิ่มรึเปล่....”
แต่แล้วข้าก็มิสามารถสานต่อคำพูดแดกดันของข้าต่อไปได้ เมื่อข้ารับรู้ได้ถึงบรรยากาศหนึกอึ้งสีดำทะมึนที่อัดแน่นไปด้วยโทสะ ทำให้ข้าพึ่งตระหนักได้ว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าคงต้องพบเคราะห์ร้ายอย่างมากมายแน่นอน เคราะห์ร้าย เช่นว่า อยู่ๆไดอารี่ของข้าก็ถูกลมจากไหนไม่รู้พัดหายไปในระหว่างที่ข้าเขียนอยู่ แหล่งพลังงานของข้าอยู่ๆก็กลายเป็นอาหารหมาซะงั้น อยู่ดีๆน้ำมันที่ข้าให้ขัดถูบำรุงกระดูกก็กลายเป็นยางมะตอยแทนซะงั้น อยู่ๆหน่วยรักษาความสงบก็หล่นจากฟ้าตรงมาที่ข้าในระหว่างที่ข้ากำลังทำ...
...เมื่อข้าคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี่ ความเศร้าที่อธิบายไม่ได้นี่ก็ถาโถมเข้าใส่ตัวข้าแบบไม่มียั้ง ใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นคนใช้กันแน่เนี่ย? หรือว่านี่จะถึงเวลาที่ข้าควรเริ่มคิดเรื่องการจ่ายค่าจ้างนางทั้งหมดเพื่อไล่นางไปให้พ้นๆซักที?
“ตู้ม!!”
เสียงระเบิดดังกึกก้องที่ดังขึ้นอีกครั้งได้ขัดกระบวนการคิดของข้าไป
“อะไรอีกล่ะคราวนี้? กักระเบิด? นี่เจ้าซื้อของแบบนี้มาใส่ที่แปลงดอกไม้ข้างั้นเหรอ!” แน่นอนว่าข้าต้องอาศัยโอกาสนี้ทำให้ชีวิตอิลิซ่ายุ่งยากขึ้น “ฮึ่ม ขัดคำสั่งและละเมิดสัญญาระหว่างเรา ข้าขอใช้โอกาสนี้ตัดค่าจ้างเจ้าเป็นเวลาสิบปี”
“...ตำแหน่งนี่มัน น่าจะเป็นตำแหน่งที่เครื่องรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติก็อบลิน T130 อยู่น่ะค่ะ”
“ตู้ม!!”
“ที่นี่ก็ด้วย? คราวนี้เครื่องตัดหญ้า?”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ นี่น่าจะเป็นทางเข้าบ้าน คงเป็นกระดิ่งประตู ’เสียงดังคุง’ ละมั้งคะ?” แม่สาวน้อยเอียงศีรษะไปข้างนึงอย่างไร้เดียงสา
“ใช้ได้ๆเสียงดังกำลังดีเลย โชคดีนะเนี่ยที่ข้าไม่มีนิสัยชอบกดกระดิ่งประตูบ้าน...ไม่ใช่สิฟะ แม้แต่กระดิ่งประตูบ้านก็เป็นสินค้า ’ปลอดภัย’ เหมือนกันเหรอ นี่เจ้าตั้งใจจะฆ่าข้า แล้วฮุบสมบัติข้าไปใช่มั้ยหา?”
“ตู้ม!!” “ตู้ม!!” คราวนี้เป็นระเบิดต่อเนื่องแฮะ ดูเหมือนชั้นทางเข้าบ้านข้าจะต้องตบแต่งใหม่ซะแล้วสิคราวนี้ ไม่สิ ดูจากความแรงของระเบิดแล้วดูท่าบ้านข้าต้องมีทางเข้าใหม่ซะแล้ว
“นี่มัน? ตู้รองเท้าข้า?”
อิลิซ่าผงกหัวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ตู้เก็บรองเท้าอัตโนมัติ ‘ปลอดภัย’ รุ่น XT-137 ค่ะ ว่ากันว่าตู้รองเท้านี้สามารถช่วยเลือกรองเท้าให้เจ้าของได้ รวมทั้งช่วยแปลงและขัดเงารองเท้าได้อีกด้วย”
เป็นอีกครั้งที่ข้ารู้สึกว่าดีจังนะที่ตัวเองเป็นลิช ที่เวลาไปไหนมาไหนใช้การลอยตัวเอา ทำให้ข้าไม่ต้องหารองเท้ามาใช้ หลังจากข้าคิดได้เช่นนั้น ข้าก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่มันผิดอยู่
“ต้องไม่ใช่สิ ในเมื่อข้าไม่มีรองเท้า แล้วเจ้าจะซื้อตู้เก็บรองเท้ามาทำไมกัน??”
“อา? นายท่านล่ะก็ นี่คงเป็นความเลินเล่อของดิฉันเองแหละค่ะ”
“ความเลินเล่อในแผนฆาตกรรมล่ะสิไม่ว่า? เจ้านี่นับวันจะยิ่งรู้จักใช้คำพูด(ตลบตะแลง)มากขึ้นนะเนี่ย”
“ต้องขอขอบพระคุณนายท่านที่สอนสั่งนั้นแหละค่ะ”
“อา แต้มชั่วช้าของข้าจะเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ดูท่าจะตายไปอีกหนึ่งแล้วสิเนี่ย...หวังว่าจะยังมีผู้บุกรุกเหลือรอดอยู่บ้างนะ อย่างน้อย ข้าจะได้พาพวกมันไปที่ห้องทดลองเพื่อทดลองกับดักมนตราชิ้นใหม่ของข้าเสียหน่อย”
อารุไนด์ บุตรีคนรองของตระกูลชนชั้นสูงอันดับสามแห่งนครมอร์สไบลท์ ที่จริงแล้วการที่เธอได้ขึ้นเป็นนักบวชลอร์สซี่ชั้นสูงระดับชั้นทองคำ ภายในเวลาไม่ถึง 200 ปีแสดงให้เห็นว่าตัวเธอนั้นเป็นที่โปรดปรานของมารดาแห่งแมงมุม และด้วยฐานะดาวรุ่งดวงใหม่แห่งนครมอร์สไบลท์นี้ ทำให้เธอนั้นเคยชินกับการดูถูกผู้อื่น
ครั้งนี้ เธอได้รับคำสั่งจากตระกูลให้นำคณะทูตมาเจรจาที่นครภูผาหลิวฮวงให้สำเร็จลุล่วง หลังที่ตัวอารุไนด์ได้คิดพิจารณาและตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าคำสั่งครั้งนี้ ไม่ใช่แผนการชิงตำแหน่งของเธอจากนักบวชหญิงคนอื่นแต่อย่างใด เธอก็รับภารกิจครั้งนี้ด้วยความยินดี
“เจ้าแมลงยืนสองขาชั้นต่ำสกปรกโง่บัดซบ บุรุษเพศชั้นต่ำเยี่ยงเจ้าบังอาจกล้าปฏิเสธความปรารถนาดีจากท่านราชินีแมงมุมงั้นเหรอ! ข้าเข้าใจแล้วล่ะ ว่าพวกเจ้าทุกคนแม้แต่คุณสมบัติในการเป็นข้าทาสก็ยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ เช่นนั้น ก็จงมอดไหม้ไปในเพลิงโลกันต์แห่งขุมอเวจีด้วยความเสียใจต่อการตัดสินใจของเจ้าเสียเถอะ”
แม้ว่าเธอจะเป็นถึงเอกอัครราชทูตในการเจรจาครั้งนี้ แต่ก็เฉกเช่นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ของเธอ ที่ดูถูกสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่สตรีเพศชาวดาร์ดเอลฟ์ ด้วยเหตุผลข้อนี้ ตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่มีทางใดเลยที่การเจรจาทางการทูตครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วงด้วยดี
แต่เป้าหมายของเธอย่อมไม่ใช่แค่การทูต ด้วยฐานะของดาร์ดเอลฟ์แล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงของคณะทูตนั้นย่อมมีมากมายหลายข้อ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการสอดแนม และแล้วภารกิจที่แท้จริงของพวกเธอก็ได้เริ่มต้นขึ้น
“พวกเจ้าทุกคน จงออกไปแล้วทำภารกิจที่รับมอบมาจากท่านราชินีแมงมุมซะ จงลอบสังหารบุคคลในรายชื่อนี้ให้หมดสิ้นซะถ้าเป็นไปได้ แต่ถ้าไม่ได้ พวกเจ้าก็จงเก็บรวบรวมข้อมูลของคนในรายชื่อให้มากที่สุดแทนไปก่อน”
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ไม่กี่วันที่ผ่านมาทางหน่วยรักษาความสงบได้รับคำร้องเรียนเข้ามาอย่างมากมาย เรื่องที่เหล่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ดาร์ดเอลฟ์ของพวกเธอเคลื่อนไหวอย่างน่าสงสัยภายในนคร ทำให้เหล่าสายลับจากนครมอร์สไบลท์ต้องตกอยู่ในสถานะที่ยากจะเคลื่อนไหวได้อีก
“เจ้าพวกอีตัวใส่เครื่องแบบน่าหัวเราะแล้วยังนับถือแสงศักดิ์สิทธิ์นี่ แค่มองที่พวกนังบ้าที่ทรยศต่อท่านราชินีแมงมุมนี่ก็ทำเอาข้าขยะแขยงขึ้นมาแล้ว...ถ้าข้าหาโอกาสสังหารพวกนางได้ล่ะก็ ท่านมารดาแห่งแมงมุมต้องประทานรางวัลมาให้ข้าเป็นแน่!”
สำหรับตัวอารุไนด์แล้ว การปฏิบัติภารกิจของตระกูลในฐานะสายลับนั้นเป็นแค่ของแถมเพียงเท่านั้น เป้าหมายหลักจริงๆของเธอนั้นก็คือ การเปลี่ยนให้สมาชิกหน่วยที่ถูกส่งมาพร้อมกับเธอให้กลายลูกน้องที่จงรักภักดีต่อตัวเธอ ภักดีระดับที่ว่ายอมตายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเธอได้
แต่แล้วก่อนที่อารุไนด์จะมีโอกาสไปก่อเรื่องให้เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ประพฤติตนไม่ถูกไม่ควรด้วยการไปนับถือแสงศักดิ์สิทธิ์ได้ หนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดของเธอจากนครโครมก็โดนจับตัวไปอย่างคาดไม่ถึง
“เจ้าพวกผู้ชายไร้ประโยชน์ ที่ตายของเจ้าช่างน่าสมเพช ช่างอ่อนแอซะจริง แต่คงเป็นเรื่องขึ้นมาแน่ถ้ามันปริปากพูด แล้วถ้าเกิดนครภูผาหลิวฮวงต่อต้านพวกเราขึ้นมาละก็ คณะทูตจากมอร์สไบลท์ของเราต้องโดนเนรเทศออกจากนครเป็นแน่ ยังไม่ต้องกล่าวเลยว่านั้นจะอับอายขายขึ้หน้าขนาดไหน แค่ที่พวกเราล้มเหลวในทั้งภารกิจสอดแนมและลอบสังหารแถมยังทำความลับร่วงไหลไปอีก...”
เมื่อเธอระลึกได้ถึงการทรมานอันป่าเถื่อนที่ตระกูลของเธอใช้จัดการกับผู้ทำภารกิจล้มเหลว และการลงทัณฑ์จากท่านราชินีแมงมุมที่มีต่อผู้อ่อนแอ สาปส่งให้กลายเป็นตัวประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งแมงมุม แล้วยัง... เพียงแค่คิดก็ทำให้เธอตัวสั่นอยู่ในความกลัวได้แล้ว
แต่ถือว่าโชคเธอยังดี ที่ท่านราชินีแมงมุมผู้ปราดเปรื่องที่โปรดปรานในตัวเธอได้ตีตราไว้ที่ชายผู้นั้น ทำให้สามารถระบุได้ว่าชายผู้นั้นได้โดนพาตัวจากเรือนจำภูเขาอัคคีการที่การคุ้มกันแน่นหนา มาไว้ที่บ้านประหลาดๆหลังนี้
ถึงแม้จะได้ยินว่าที่นี่นั้นเป็นที่อยู่อาศัยของลิช แต่ตัวเธอก็ยังไม่ยอมถอย
“ก็แค่ผู้ชายโง่เง่าอีกคนแหละนา นี่พวกเจ้าทุกคนเป็นสาวใสซื่อที่ไม่เคยสัมผัสการบำเรอของเหล่านักเวทย์รูปงามในตระกูลกันรึไง? ถึงไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่านักเวทย์จริงๆเป็นเช่นไร? เป็นระดับชั้นตำนาน แล้วมันยังไงล่ะ? พวกเราเหล่าดาร์ดเอลฟ์ ก็เป็นศัตรูทางธรรมชาติของนักเวทย์เช่นกัน แล้วพวกเรายังมีนักเริงระบำเงาอยู่ถึงสองคน และยังมีบักบวชแห่งราชินีแมงมุมอยู่อีก พวกเราน่ะล้มเจ้าลิชนั้นได้ในพริบตา...”
แต่ ณ วินาทีนี้ ตัวอารุไนด์ไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นและความมั่นใจที่เธอมีเมื่อสักครู่ได้อีกแล้ว
“ระเบิด ระเบิด ทำไมถึงมีระเบิดอยู่ทุกที่ได้ล่ะเนี่ย กระดิ่งประตูก็ระเบิด พรมหน้าประตูก็ระเบิด แม้แต่กรวดก้อนเล็กๆบนถนนยังระเบิดได้เลย...นี่พวกเราบุกเข้ามาที่แบบใดกันแน่เนี่ย?”
ร่างของนักเริงระบำเงาชั้นทองคำ ที่มีความสามารถในการต่อสู้เทียบเท่ากับตัวอารุไนด์ ได้นอนแน่นิ่งบนพื้นบ้านอันเย็นเฉียบ พร้อมกับมีรูที่โดนเปิดไว้บนหัวของเธอ กะโหลกส่วนบนของเธอนั้นโดนแรงระเบิดเป่ากระจายหายไปจนเศษเนื้อสมองและน้ำเลือดของเธอนั้นไหลออกมาจากหัวที่โดนเปิดของเธอไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย และนี่เองคือสาเหตุการตายของเธอ…
“สายเลือดอันแข็งแกร่งแห่งฮาซินติกลับต้องมาตายด้วยระเบิดจากตู้เก็บเหรียญเช่นนี้ จะมีใครหน้าไหนมาเชื่อพรรค์นี้มั้ยเนี่ย? แล้วข้าจะกลับไปอธิบายกับทางตระกูลอย่างไรเนี่ย ที่ตระกูลเราต้องมาเสียมือสังหารที่แกร่งที่สุดไปแบบนี้ แล้วยิ่งในเวลาไม่ถึง 3 นาที ผู้รอดชีวิตจากทั้งสองหน่วยกลับมีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น และที่สำคัญพวกเรายังไม่แม้แต่จะพบตัวเป้าหมายเลยเสียด้วยซ้ำ”
ผู้เหลือรอดมิกล้าพอที่จะเดินหน้าต่อไปอีกแล้ว แต่เมื่อครั้งถอยกลับตัวฮาซินติก็ถูกระเบิดจากตู้เก็บเหรียญเป่าหัวสิ้นชีพไป จนตอนนี้พวกที่เหลือก็มิกล้าที่จะถอยกลับเช่นกัน ทำได้แต่เกาะกลุ่มกันแล้วระวังรอบข้างเพียงเท่านั้น
แต่ในไม่ช้า พวกเธอก็ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว
นั้นก็เพราะว่าเบื้องหน้าของพวกเธอนั้น ได้มีร่าง ร่างนึงกำลังร่องลอยออกมาจากค่ำคืนอันมืดมิด พลังเวทย์สีเงินจากมนตราน้ำแข็งและพลังเวทย์สีดำทมิฬจากมนตราแห่งความตายได้ล้อมรอบโครงกระดูกร่างนั้นไว้ ในดวงตาคู่นั้น มีดวงไฟวิญญาณสีม่วงเข้มที่กำลังลุกไหม้อย่างเดือดพล่าน และน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกที่เกิดจากการสะท้อนของพลังเวทย์ น้ำเสียงที่พร้อมจะพาผู้รับฟังไปสู่ห้วงของความสิ้นหวังได้เอื้อนเอ่ยออกมา
“ยินดีที่ได้รู้จักกับพวกเจ้าทุกคนนะ ตัวทดลองที่ 17893 ตัวทดลองที่ 17894 และตัวทดลองที่ 17895 ข้าขอยินดีต้อนรับพวกเจ้าเข้าสู่ห้องวิจัยของข้า อืม กรุณาจดจำหมายเลขของเจ้าไว้ด้วยล่ะ เพราะนับจากวันนี้เป็นต้นไป หมายเลขเหล่านั้นจะเป็นชื่อของพวกเจ้า และที่นี่จะเป็นบ้านหลังใหม่ให้พวกเจ้าตราบจนวันตายของพวกเจ้า ข้าหวังว่าข้าจะสามารถทำให้พวกเจ้าทุกคนรู้สึกถึงความอบอุ่นของบ้านหลังนี้ได้นะ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากเวทย์มนต์ของลิชตนนี้ฟังดูคลุมเครือไม่สามารถระบุเพศอีกฝ่ายได้ แล้วยังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆอยู่ใต้น้ำเสียงนั้นอีก ราวกับว่านี่เป็นแค่การประกาศเรื่องราวที่รับทราบกันอยู่แล้ว สายตาที่เพ่งมองมาที่พวกตนนั้น ไร้ซึ่งความหื่นกระหายในกามที่บุรุษเพศพึ่งมี ไร้ซึ่งความอิจฉาริษยาที่สตรีเพศพึ่งมี ถ้าจะให้มีอะไรล่ะก็ คงมีแต่ความสนใจใคร่รู้ในโครงสร้างร่างกายของพวกตนเพียงเท่านั้น
ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจ เมื่อจ้องมองไฟวิญญาณที่ลุกโชนในแววตาอันเย็นชานั้น ตัวอารุไนด์กลับนึกถึงคำเตือนที่ท่านยายที่เคยเอ็นดูเธอเคยกล่าวไว้ขึ้นมา
“ในสายตาของทั้งโลกแล้ว พวกเราดาร์ดเอลฟ์นั้น ชั่วร้าย อันตราย และบ้า แต่เมื่อถึงคราวต้องเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายที่แท้จริงแล้ว พวกเราก็เป็นได้แค่ลูกแกะที่น่าสงสารรอวันโดนเชือดเพียงเท่านั้น...”
“ท่านยาย ในที่สุดข้าก็เข้าใจถึงเหตุผลที่อยู่ใต้การถอนหายใจครั้งนั้นของท่านแล้ว แต่ช่างน่าเสียดายที่มันสายเกินไปซะแล้ว...ไร้ซึ่งความกรุณาหรือความชั่วช้าใดๆ ไร้ซึ่งความรักหรือความเกลียดชังใดๆ ดวงตาคู่นั้นเห็นพวกเราเป็นแค่สัตว์ที่รอการทดลองเพียงเท่านั้น นี่สินะโฉมหน้าของความชั่วร้ายที่แท้จริง”
ก่อนที่เธอจะหมดสติไป ดาวรุ่งแห่งนครมอร์สไบลท์ บุตรีคนรองแห่งตระกูลชนชั้นสูงอันดับ 3 อารุไนด์ได้แต่ถอดถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้าย