บทที่ 240 สถานการณ์ขั้นวิกฤติ
“เอ่อ…”
เฉียนคุนลอบตกตะลึงกับคำพูดของเจียงอี้จนเกือบล้มหน้าคะมำ หากคำพูดนี้ถูกเผยแพร่ไปสู่ภายนอก เขาจะต้องถูกประหารเจ็ดชั่วโคตรอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรกลับไปดี เฉียนคุนจึงทำได้แค่ก้มหน้าลงและยิ้มแหยๆออกมา
“พอแล้ว มาเข้าเรื่องกันเถอะ!”
จู่ๆสีหน้าของเจียงอี้ก็เคร่งขรึมขึ้นและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นำรายงานเกี่ยวกับที่อยู่ของเซี่ยอู๋หุ่ยมาให้ข้ารวมไปถึงแผนที่อาณาจักรต้าเซี่ยด้วย นอกจากนี้ช่วยจัดเตรียมหน้ากากหนังมนุษย์ให้ข้าสักสิบชิ้น”
“สมุนไพรสยบวิญญาณยังคงอยู่ในมือเซี่ยอู๋หุ่ย ข้าคงเอามันมาไม่ได้หากว่าไม่ได้สังหารเขา… เอาของที่ข้าต้องการมาก็พอ จากนั้นข้าจะรีบจากไปทันที พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องเอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวไปมากกว่านี้แล้วและทำเหมือนว่าข้าไม่เคยมาที่นี่เสีย”
เฉียนคุนเป็นลูกน้องคนสนิทของเฉียนว่านก้วน ดังนั้นเจียงอี้จึงไว้ใจเขาในระดับหนึ่ง แต่ถ้าหากเป็นสมาชิกตระกูลเฉียนคนอื่น เขาก็คงไม่เข้ามาขอความช่วยเหลือเหมือนกับตอนนี้แน่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียนคุนก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันเจียงอี้ก็ถ่ายโอนแก่นแท้พลังสีดำไปที่หูเพื่อเพิ่มศักยภาพในการได้ยิน จากนั้นก็เอาหูแนบไว้ที่กำแพงเพื่อคอยดูว่าจะมีเหล่านักสู้เข้ามาโจมตีเขาหรือไม่
แม้ว่าเขาจะไว้ใจเฉียนว่านก้วน แต่กับเฉียนคุนแล้ว เขาก็จำเป็นต้องระวังตัวในระดับหนึ่ง
ไม่นานนัก เฉียนคุนก็กลับมาและยังทำให้เจียงอี้รู้สึกโล่งใจที่ไว้ใจคนไม่ผิด เขาใช้เวลาเพียงครู่เดียวเพื่อจัดหาสิ่งที่เจียงอี้ร้องขอทั้งหมดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เจียงอี้กวาดสายตามองแผนที่คร่าวๆและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แผนที่แผ่นนี้มีรายละเอียดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นถนนตรอกซอกซอย, จำนวนทหารในแต่ละเมือง, จำนวนผู้เชี่ยวชาญ… และอีกหลายๆอย่าง นี่คือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้!
“เยี่ยมมากเฉียนคุน ข้าไปล่ะ!”
เจียงอี้ตบไปที่ไหล่ของเฉียนคุนก่อนที่จะหันหลังจากไป ทางด้านของเฉียนคุนนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่สักพักราวกับครุ่นคิดบางอย่าง จากนั้นเขาก็กัดฟันและกล่าว
“นายน้อยอี้ หากว่าท่านประสบกับปัญหาใดๆ โปรดอย่าได้รังเกียจที่จะมายังหอการค้ากำเนิดมังกรและมองหาข้า ข้าจะช่วยท่านสุดความสามารถแม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตก็ตาม”
“อืม!”
เจียงอี้พยักหน้าเล็กน้อยและรีบออกเดินทาง หลังจากที่ออกจากเมือง เขาก็ตรงเข้าไปในป่าเพื่อที่จะหาสถานที่ปลอดภัยสำหรับวิเคราะห์แผนที่
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เขาก็สามารถทำความเข้าใจต่อภูมิประเทศของอาณาจักรต้าเซี่ยได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากนั้น เขายังมีความประทับใจต่อเฉียนคุนอยู่ไม่น้อย
เพราะหากอีกฝ่ายทรยศเขา ด้วยเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก็เพียงพอให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญและทหารที่ประจำอยู่ในเมืองเข้ามาล้อมจับเขาได้แล้ว
“ได้เวลาแล้ว!”
เจียงอี้เรียกเจ้าเหลืองใหญ่ออกมาและสั่งให้มันมุ่งไปทางใต้เพื่อตรงไปยังเมืองเซี่ยเฟิง เมืองที่เขาเพิ่งจากมานั้นเป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่งที่อยู่ทางเหนือของอาณาจักรต้าเซี่ย ในขณะที่เมืองเซี่ยเฟิงตั้งอยู่ห่างออกไปทางใต้กว่าสามร้อยกิโลเมตร
หากว่าเจียงอี้ต้องการที่จะสกัดกองทัพและสังหารเซี่ยอู๋หุ่ย เขาก็จำเป็นต้องไปถึงเมืองนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
……
เวลาล่วงเลยมาถึงประมาณเที่ยงคืน ในที่สุดเจียงอี้ก็มาถึงที่ด้านนอกเมืองเซี่ยเฟิง เขาจ้องมองเข้าไปในกำแพงเมืองด้วยสายตาอันเย็นชา
จากข้อมูลที่ได้รับมา เมืองเซี่ยเฟิงเป็นเมืองหลักที่ถูกปกครองโดยกองทัพ บุคคลที่ต้องการจะเข้าไปในเมืองจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดและอาจจะต้องแสดงแผ่นจารึกตัวตนหลายครั้ง
ไม่ใช่เฉพาะคนธรรมดาเท่านั้น ต่อให้เป็นกลุ่มพ่อค้าทั้งหลายเองก็ถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดไม่แพ้กัน หากว่าเจียงอี้เผลอแสดงพิรุธเพียงเล็กน้อย เขาจะถูกพบตัวอย่างรวดเร็ว
ภายในเมืองมีทหารอยู่มากกว่าสองหรือสามแสนนาย รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญอีกเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าเขาจะใช้เส้นทางใต้ดิน แต่ก็ยังมีโอกาสสูงที่จะถูกพบตัว
เพราะถ้าเป็นเมืองใหญ่เช่นนี้ การที่จะมีค่ายกลหรืออาคมยับยั้งอยู่ใต้เมือง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
“ข้าควรที่จะพักเอาแรงเสียก่อนแล้วค่อยคิดแผนใหม่พรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย!”
หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว เจียงอี้ก็กลับลงไปใต้ดินและนอนหลับเพื่อเตรียมพร้อมให้ตัวเองอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด
ในวันรุ่งขึ้น เขาตื่นแต่เช้าตรู่และทำการบ่มเพาะพลังเป็นกิจวัตร จากนั้นก็สั่งให้เจ้าเหลืองใหญ่ขุดต่อไปข้างหน้าเพื่อทดลองดูว่าสามารถลอบเข้าไปในเมืองเซี่ยเฟิงได้หรือไม่ แต่ในขณะที่เกือบจะเข้าใกล้เมืองได้แล้วนั้น เขาก็ถูกบังคับให้ต้องถอยกลับในทันที
เป็นไปตามคาด ภายใต้เมืองมีอาคมยับยั้งถูกติดตั้งไว้อยู่จริงๆ มันดูคล้ายกับม่านพลังสีฟ้าซึ่งกินพื้นที่เป็นวงกว้าง เจียงอี้ไม่ทราบแน่ชัดว่ามันเป็นอันตรายหรือไม่ แต่เขามั่นใจว่าถ้าไปสัมผัสมัน ทุกคนภายในเมืองจะต้องรับรู้ถึงการมาของเขาอย่างแน่นอน
“บ้าเอ้ย!”
เจียงอี้ถอยกลับมาและไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรออยู่ภายนอกเพื่อรอจังหวะให้เซี่ยอู๋หุ่ยออกมาจากเมือง
เขาใช้เวลาว่างที่มีอยู่ในการผสานเพลิงโลกา, ดาบมังกรเพลิงและเพลงดาบเงาวายุเข้าด้วยกัน เขาซ่อนตัวอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเซี่ยเฟิงหลายกิโลเมตร
ด้วยข้อได้เปรียบของภูมิประเทศ เขาจะสามารถมองเห็นกองทัพขนาดใหญ่ที่ออกมาจากเมืองได้ในทันที
……
ฟับ! ฟับ!
เจียงอี้ไม่ได้ใส่แก่นแท้พลังสีดำมากเกินไป ดังนั้นมังกรเพลิงที่ออกมาจากดาบมังกรเพลิงจึงไม่ได้แสดงอานุภาพออกมามากนัก ทุกการกวัดแกว่งดาบ เขาจะพยายามที่จะใช้ควบคู่ไปกับเพลงดาบเงาวายุเพื่อที่จะผสานมันเข้าด้วยกัน
แต่เจียงอี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเมื่อเริ่มใช้เพลงดาบเงาวายุด้วยดาบมังกรเพลิง ร่างจำแลงของมังกรเพลิงทั้งสองตัวกลับไม่ปรากฏออกมา
ในทางเดียวกัน เมื่อมังกรเพลิงทั้งสองเผยร่างออกมา มังกรวายุที่น่าจะปรากฏกายออกมาเมื่อร่ายรำเพลิงดาบเงาวายุก็ไม่ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน รวมไปถึงสนามพลังที่ใช้ตรึงร่างศัตรูก็ไร้ผล
“เหลือแต่เพลิงโลกาแล้ว!”
หลังจากที่การทดลองไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง เจียงอี้ก็หันไปสนใจเพลิงโลกาแทน เขาวาดดาบเบาๆและใช้สายลมเป็นตัวส่งเพื่อใช้ในการควบคุมทิศทางของเพลิงโลกา
เขาตวัดดาบไปข้างหน้าพร้อมกับส่งเปลวไฟไปแผดเผาต้นไม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน
“เป็นไปได้ไหมว่ามังกรเพลิงพวกนั้นจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของอากาศและไม่อนุญาตให้มังกรวายุก่อตัวเป็นสนามพลัง?”
เจียงอี้รู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก พลังทำลายของมังกรเพลิงนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แต่ก็น่าเสียดายที่มันไม่อาจใช้คู่กับเพลงดาบเงาวายุได้ แม้ว่าจะใช้เวลาไปตลอดทั้งช่วงบ่าย แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรดีขึ้น
มีเพียงเพลิงโลกาที่สามารถถูกขับเคลื่อนโดยเพลงดาบเงาวายุหรือดาบมังกรเพลิง หลังจากที่ทำการทดลองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จเล็กๆ
อย่างเช่น การทำให้เพลิงโลการะเบิดและก่อเกิดเป็นความเสียหายในวงกว้าง หรือวิธีที่ทำให้เพลิงโลกากลายเป็นเหมือนแส้เพลิงเพื่อช่วยเสริมการโจมตี
หลังจากที่รอมาทั้งวัน นอกเหนือจากกลุ่มพ่อค้าบางกลุ่มและหน่วยทหารขนาดเล็ก ก็ยังไม่มีกองทัพขนาดใหญ่โผล่ออกมาให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากที่ถูกเจียงอี้เข้าก่อกวน งานอภิเษกของเซี่ยอู๋หุ่ยก็ไม่สามารถจัดได้ตามกำหนดการเดิม แต่เจียงอี้ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่
วันต่อมาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม นอกเหนือจากการบ่มเพาะพลังและทดลองผสานทักษะวิชาแล้ว เขาก็ทำการวิเคราะห์ดวงดาวทั้งเก้าที่อยู่ภายในตันเทียน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่พบความก้าวหน้าใดๆทั้งสิ้น
ดวงดาวทุกดวงเปรียบเสมือนกับตันเทียนขนาดจิ๋วที่บรรจุแก่นแท้พลังนับหมื่น หากเจียงอี้บ่มเพาะพลัง แก่นแท้พลังสีดำก็จะถูกเติมเต็มให้กับดาวดวงแรก นอกจากนั้นแล้วเขาก็ไม่มีความเข้าใจต่อพวกมันอย่างสิ้นเชิง
วันที่สาม!
ในที่สุดเจียงอี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรออีกต่อไป ทางทิศเหนือ ปรากฏภาพเลือนรางของกองทัพขนาดใหญ่ ขบวนทัพไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง แต่แยกออกเป็นสองทางและห่างกันหลายกิโลเมตร
“กองลาดตระเวนแนวหน้า! เซี่ยอู๋หุ่ยกำลังจะไปเมืองเซี่ยยวี่แล้ว!”
โลหิตของเจียงอี้สูบฉีดด้วยความตื่นเต้น เขานั่งอยู่บนหลังของเจ้าเหลืองใหญ่ที่มุดลงมาใต้ดินแล้ว หลังจากที่กองทัพเหล่านั้นจากไป เขาก็กลับขึ้นมาเหนือผิวดินเพื่อทำการสอดส่องอีกครั้ง
หลังจากที่ผ่านไปสามสิบนาที ในที่สุดภาพของกองทัพขนาดมหึมาก็ปรากฏอยู่ในสายตาของเขาเสียที!
ด้วยการกวาดตามองเพียงครั้งเดียวก็รู้แล้วว่ากองทัพนี้ประกอบไปด้วยทหารหลายหมื่นนาย ทั้งสองข้างทางของถนนสายหลักคือทหารของอาณาจักรต้าเซี่ยที่สวมชุดเกราะสีดำ
ในขณะที่ตรงกลางของถนนเป็นบรรดาทหารของอาณาจักรเสิ่นหวู่ที่สวมสุดเกราะสีเงินและตั้งขบวนทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา
“พวกมันมีมากขนาดนี้เลยรึ? แล้วข้าจะรู้จำนวนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดของพวกมันได้ยังไง? นี่มันเข้าขั้นวิกฤติแล้วนะ!”
เจียงอี้แทบจะล้มทั้งยืนเพราะความสิ้นหวัง อย่าว่าแต่สังหารเซี่ยอู๋หุ่ยเลย เกรงว่าก่อนที่เขาจะเข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้ เขาก็คงจะถูกยอดฝีมือจำนวนมากรุมฆ่าตายไปเสียก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ในกองทัพขนาดมหึมา มีรถม้าที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราอยู่หลายสิบคัน แล้วใครมันจะไปรู้กันล่ะว่าเซี่ยอู๋หุ่ยนั่งอยู่ในคันไหนกันแน่?
ในเวลานี้ เจียงอี้เริ่มรู้สึกว่าเขาไม่อาจจะที่จะทำอะไรในสถานการณ์เช่นนี้ได้อีกต่อไป…