ตอนที่ 13 ประชุมสภา
ในวันนี้ เมื่อเวลา 8 นาฬิกา 61 นาที ได้มีการจัดประชุมของเหล่าผู้อาวุโสทางสำนักงานความยุติธรรมครั้งที่ 97 ขึ้นตามกำหนดเวลา ณ สถานที่ศาลสูงสุด โดยการประชุมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดยท่านหัวหน้าแห่งศาลสูงสุดวูเมี้ยนเจ้อ ในวาระการประชุมครั้งนี้ ได้มีการถกเถียงทบทวนถึงปัญหาต่างๆที่พบในระบบกฎหมาย และยังมีการยกเรื่องราวต่างๆขึ้นมาปรึกษาหารือกันตามลำดับ
ทั้งนี้การประชุมครั้งนี้ยังถือเป็นเครื่องรับรองอีกด้วยว่าทั้งตัวหน่วยงานและตัวเจ้าหน้าที่ต่างศึกษาคำสอนสั่งที่ท่านเจ้านครอดัมว่างไว้อย่างขยันขันแข็ง คำสอนที่ว่าด้วยเรื่อง 4 แรงขับเคลื่อนหลักแห่งนครภูผาหลิวฮวงต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายอย่างมุมานะ เคารพตัวกฎหมายและปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดเมื่อออกปฏิบัติหน้าที่
เมื่อครั้งการประชุมสิ้นสุดลง แบบอย่างอันเก่าแก่ของระบบความยุติธรรม ผู้พิพากษาที่น่าเคารพเป็นที่สุดของพวกเรา ท่านวูเมี้ยนเจ้อ ก็ได้ประกาศเรื่องสำคัญออกมา ว่าด้วยการร้องขอให้องค์กรฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดต่างปฏิบัติตามหลักภักดีต่อผู้นำเพียงหนึ่งและร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองของท่านผู้นำ แอนนี่ เลย์ดี้ ในฐานะเจ้านครรุ่นถัดไปแห่งนครภูผาหลิวฮวง ไม่โอนเอียง ไม่ลังเล ภักดีเพียงหนึ่งไม่คิดเป็นอื่น...
เอาล่ะ ข้าขอหยุดพล่ามเรื่องไร้สาระเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ นอกเหนือจากประโยคสุดท้ายที่ให้แอนนี่ขึ้นเป็นนายใหญ่ ที่เหลือนั้นตอแหลทั้งนั้น....
“อย่าหาว่าข้าว่าเผด็จการตัดสินทุกอย่างตามใจล่ะ ที่ข้ามาในวันนี้เพราะข้าต้องการความเห็นของพวกเจ้าทุกคน ในเรื่องข่าวสะเทือนวงการที่ข้ากำลังบอกพวกเจ้าในตอนนี้ พวกเจ้าก็อย่าได้แพร่งพรายข่าวนี้ออกสู่ภายนอกไปล่ะ ในอนาคต แอนนี่ ใช่แล้ว ลูกเก็บสุดที่รักของมากาเร็ตกับอดัมคนนั้นแหละ จะขึ้นเป็นนายใหญ่แห่งนครภูผา แล้วจะเป็นการดีมากเลยถ้าพวกเจ้าทุกคนไม่คัดค้านกันในเรื่องนี้ แล้วถ้าเกิดพวกเจ้ามีเรื่องจะคัดค้านงั้นเหรอ? เหเห แน่อยู่แล้วว่าข้าต้องรับฟังความเห็นของพวกเจ้า แต่แค่รับฟังเท่านั้นนะ”
ข้าใช้วาจาจู่โจมเจ้าโง่ทั้งสองอย่างไม่ออมฝีมือแต่อย่างใด ข้าก็อุตส่าห์คิดว่าถ้าลงระเบิดลูกใหญ่ขนาดนี้ไป เจ้าพวกนี้น่าจะมีตกใจค้างก็บ้างซะอีก แต่คาดไม่ถึงเหล่าสี่จตุรเทพที่นั่งอยู่เบื้องล่างข้ากลับนิ่งเงียบกันผิดปกติ
เหล่าจตุรเทพทั้งสี่ต่างนั่งมองหน้ากันเองอยู่นานสองนาน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า จนสุดท้ายสายตาทุกคู่ก็ไปตกอยู่ที่ เคลวินผู้ที่ได้ชื่อว่าซื่อสัตย์ที่สุดในหมู่พวกเรา แต่ก็อีกครู่นึงกว่าที่เจ้าตัวคนโดนจ้องจะรวบรวมความกล้าแล้วลุกขึ้นยืนได้
“คือท่าน....อย่าบอกข้านะว่าตัวท่านพึ่งจะได้รับแจ้งในเรื่องนี้ ที่จริงข่าวนี้รั่วมาตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้วครับท่าน ในตอนนี้ทั่วทั้งนครต่างก็ทราบถึงเรื่องนี้กันแล้ว ตัวข้าก็คิดว่าที่ท่านเรียกพวกเรามารวมกันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแย่งชิงอำนาจซะอีก”
“ว่าไงนะ!!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ตัวข้าถึงกลับพูดไม่ออกเลย
หลังจากนั้น ข้าก็เสียเวลาอีกกว่าครึ่งวันกว่าที่ข้าจะเข้าใจภาพรวมสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ตั้งแต่ต้นแล้ว ตัวมากาเร็ตที่คาดเดาได้ว่าข้าจะไม่รับไม้ต่อนั้นได้ไปปรึกษากับอดัม จนทั้งคู่ได้ตัดสินกันเองแล้วว่าจะส่งไม้ต่อให้แอนนี่ เช่นนั้นตัวอดัมกับมากาเร็ตจึงคิดจะเปลี่ยนถ่ายอำนาจอย่างฉับพลันก่อนที่เหล่าราษฎรจะตอบสนองได้ทัน... แต่แล้วเจ้าอดัมที่ปากไม่มีหูรูดก็หลุดปากเรื่องนี้ออกไปท่ามกลางฐานกำนัล จากนั้นเวลาเพียงไม่นานทั้งนครก็ได้ทราบถึงข่าวใหญ่นี้...
“แอนนี่นี่มันใครกัน? ต่อให้ท่านเจ้านครคิดจะลงจากตำแหน่งจริงๆ ก็ยังมีท่านหัวหน้าสภาผู้แทนราษฎร ท่านวูเมี้ยนเจ้อแห่งสำนักงานความยุติธรรม ท่านมากาเร็ตหัวหน้าฝ่ายกิจการภายในและตัวเลือกที่เหมาะสมกว่านี้อยู่อีกมากมายนัก นี่ท่านเจ้านครคิดอะไรอยู่กันแน่เนี่ย? หรือว่าผู้พิทักษ์ท่านอื่นเองก็คิดจะจากไปด้วยเช่นกัน? แล้วเช่นนั้น ใครจะคอยปกป้องนครภูผาหลลิวฮวงแห่งนี้กันล่ะ?”
สำหรับปวงชนคนธรรมดาทั่วไปแล้วนั้น พวกเขาเหล่านี้ไม่มานั่งเป็นห่วงหรอกว่าใครจะขึ้นมาถือครองอำนาจ แต่กลับเป็นห่วงเรื่องว่าราคาผักจะขึ้นไหม ราคาบ้านกลางนครจะตกรึเปล่ามากกว่าซะอีก
เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่เหล่าปวงชนกังวลจริงๆในตอนนี้นั้นไม่ใช่ทั้งเรื่องการถ่ายโอนอำนาจทางการเมืองหรือเรื่องผู้มีอิทธิพลคนใดจะขึ้นมามีอำนาจ แต่เป็นเรื่องที่ชีวิตของพวกตนจะเปลี่ยนไปเช่นไร ในวันพรุ่งนี้จะยังเต็มไปด้วยความหวังเช่นนี้อยู่อีกรึไม่...
หนึ่งในสามผู้นำอดัมได้ตัดสินใจที่จะละทิ้งหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะผู้พิทักษ์แห่งนครภูผาหลิวฮวงของตนแล้ว แต่ผู้ที่มารับช่วงต่อกลับเป็นเพียงแม่หนูน้อยไร้ชื่อจากไหนก็ไม่ทราบ แล้วตัวนางจะคุมสถานการณ์ได้งั้นเหรอ? แล้วเจ้านครอื่นจะอาศัยโอกาสเคลื่อนทัพหรือไม่? แล้วผู้มีอำนาจคนอื่นในนครจะเชื่อฟังคำสั่งจากนางอย่างงั้นเหรอ?
ถึงสถานการณ์นี้จะแลดูไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ประชาชนเป็นห่วงก็เถอะ แต่ถ้าเกิดการจลาจลในนครหรือถ้าแย่ที่สุดเกิดสงครามขึ้นมาล่ะ ชีวิตสุขสบายของพวกตนที่มีได้แค่ที่นครแห่งนี้จะสูญสิ้นไปในบันดล
ทุกวันนี้ เหล่าประชาชนที่รับรู้ถึงสถานการณ์การเมืองต่างรู้สึกถึงน้ำหนักอันหนักอึ้งที่ไม่สามารถอธิบายเหนือหัวของตน ความกดดันที่เป็นสัญญาณบอกเหตุว่าพายุกำลังจะมาถึงทำให้บรรยากาศทั่วทั้งนครหนักอึ้งและกระอักกระอวกเป็นที่สุด
“ไอ้โง่ดักดานบัดซบนั้น!!!”
ข้าได้แต่อดกั้นขบฟันแน่น ถ้าวันที่ข้าได้ยินข่าวนี้เป็นเมื่อวานล่ะก็ ตัวข้าที่เห็นมากาเร็ตกับอดัมที่ทำงานจนสายตัวแทบขาดข้าคงสะใจจนปิดบ้านเลี้ยงฉลองไปแล้ว แต่ในตอนนี้นั้นข้าได้หล่วมตัวรับภารกิจนี้มาแล้ว เช่นนั้นผลการกระทำของไอ้เจ้าบ้าโง่เง่านั้นย่อมสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้กับข้า
เมื่อข้าลองคำนวณแบบหยาบๆดู ข้าก็พอเห็นภาพรวมได้เกือบทั้งหมดว่าในตอนนี้ภายนอกนั้นวุ่นวายมากเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แห่งหนใดก็ตามความรุนแรงและความทะเยอทะยานของผู้คนย่อมไม่มีขาดแม้แต่ที่แห่งนี้เองก็ตาม แม้ในอดีตเหล่าสามผู้นำจะสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แต่ในตอนนี้ตัวอดัมได้ก้าวลงจากตำแหน่งแล้ว ย่อมมีพวกมักใหญ่ใฝ่สูงที่คิดจะเอาตำแหน่งไปเป็นของตนปรากฏออกมาอย่างแน่นอน
ข้าที่กำลังนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ ได้มีแผนการชั่วช้ามากมายเหลือคณานับไหลเข้าในหัวข้าพร้อมกันกับตัวข้าที่กำลังเคาะนิ้วบนโต๊ะตามความเคยชินของข้า
“ถ้าสถานการณ์เป็นเช่นในปัจจุบันนี้ย่อมต้องมีพวกที่เด่นกว่าชาวบ้านแล้วใช่มั้ย พวกที่คัดค้านหรือเห็นด้วยกับเรื่องนี้น่ะ”
สำนักนิติบัญญัติเองก็ถือเป็นฝ่ายข่าวกรองของระบบความยุติธรรมด้วย เช่นนั้นเมื่อข้าเอ่ยปากถามไป ลิลลี่ก็ตอบกลับมาอย่างทันควัน
“สมาชิกส่วนใหญ่ในองค์กรส่วนปกครองรวมทั้งตัวระดับหัวหน้าทั้งหลายได้ร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้กันแล้ว อย่างน้อยถึงจะแค่เปลือกนอกพวกเขาเกือบทั้งหมดก็ยอมรับที่จะให้ท่านแอนนี่รับช่วงต่อขึ้นเป็นเจ้านคร แต่ในตอนนี้ยังมีผู้มีอิทธิพลอีกสองท่านที่ยังไม่แสดงความคิดเห็นอันใดกับเรื่องนี้ จนตอนนี้ทุกคนคาดเดากันว่าทั้งสองท่านต้องมีแผนการอื่นอยู่ในใจเป็นแน่”
“ใครกัน?”
“ประธานสภาผู้แทนราษฎร แกรน....”
“หมอนั้นเองเหรอ หืม? ช่างดักดานอะไรได้ถึงเพียงนี้ เมื่อครั้งที่ความทะเยอทะยานไปเกินกว่าที่กำลังของเจ้าจะไขว้คว้าได้ ย่อมแปลว่าตัวเจ้ากำลังรนหาที่ตาย”
ถึงจะเป็นเพียงแค่ในนามก็เถอะ สภาผู้แทนราษฎรนั้นก็เป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนถึงความนึกคิดของปวงประชา ถ้าเกิดเจ้าพวกนี้ยังยืนกรานที่จะไม่ยอมรับแอนนี่ ย่อมต้องมีปัญหาตามมาเป็นแน่
ถ้าจะถามว่าทำไมข้าถึงใช้คำว่า ‘แค่ในนาม’ ล่ะก็ที่จริงแล้วเรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปอยู่
เมื่อครั้งสมัยที่นครภูผาหลิวฮวงก่อตั้งขึ้นได้ไม่นาน เพื่อแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ต่างเผ่าพันธุ์ที่นับวันจะยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ตัวมากาเร็ตจึงได้นำแบบอย่างจากอาณาจักรของเหล่าเอลฟ์มาใช้ จนที่สุดก็ได้สร้างสภาผู้แทนราษฎรขึ้นเพื่อเป็นปากกระบอกเสียงให้ตัวแทนจากแต่ละเผ่าพันธุ์มาถกเถียงแก้ไขปัญหากัน ในช่วงแรกก็ได้ผลดีอยู่หรอกแต่ไปๆมาๆ เจ้าสภานี้กลับมาสร้างปัญหามากกว่าแก้เนี่ยสิ
ในสภาสมัยแรกนั้นสมาชิกสภาถูกจำกัดอยู่ที่ตัวผู้นำหรือผู้อาวุโสของแต่ละเผ่าพันธุ์ พวกเจ้านี้ทุกคนต่างเป็นชนชั้นผู้นำในเผ่าพันธุ์ของพวกตน และเมื่อยิ่งได้สิทธิ์เป็นกระบอกเสียงแก่เผ่าพันธุ์พวกพ้องของตน เจ้าพวกนี้ย่อมต้องกรอบโกยผลประโยชน์เข้าพวกตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วยิ่งผลไม้หอมหวานที่เรียกว่า ผลประโยชน์นั้นมีอยู่จำกัด เหล่าเผ่าพันธุ์ผู้แข็งแกร่งย่อมไม่เกี่ยงที่จะจับมือกันเพื่อลิดรอนพื้นที่ที่อยู่อาศัยและทรัพยากรของเผ่าพันธุ์ด้อยพลังกว่า จนสุดท้ายก็กลายเป็นวงจรอุบาทว์เล่นพรรคเล่นพวกกัน แล้วยิ่งเมื่อผลประโยชน์จากหลายๆเผ่าพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้องแล้วด้วย ก็ยิ่งทำให้สภาแห่งนี้ทรงอำนาจขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อคราวที่มีข้อเสนอในการจัดตั้งเขต ‘เฉพาะมนุษย์’ ‘เฉพาะคนแคระ’ ถูกหยิบยกขึ้นมา ได้เห็นเหล่า ‘ผู้ใหญ่ของบ้านเมือง’ ที่แสนโอหังต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์ส่วนพวกตนกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านและเหล่าผู้หนุนหลังที่มิอาจมองข้ามได้อีกต่อไป ครั้งนี้เองที่นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ ‘ผู้แสนชาญฉลาด’ ได้ลองลิ้มชิมรสว่ารสชาติของการทำคุณบูชาโทษเป็นเช่นไร
ด้วยประการฉะนี้ มากาเร็ตจึงได้ตัดสินใจหันมาพึ่งปิศาจ....ใช่แล้ว นั้นข้าเองแหละ
ข้าที่ใช้ประสบการณ์จากทั้งสองโลก ก็ได้ส่งคำตอบรับของปิศาจกลับไปให้นาง
เมื่อครั้งช่วงเวลาสมัยนั้น เหล่าประชาชนต่างออกมาเดินบนถนนประท้วงราวกับว่าพวกตนเป็นองค์กรอะไรสักอย่าง ที่คิดว่าสิทธิของประชาชนนั้นอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เจตจำนงความต้องการของปวงประชาต้องได้รับการสนอง เหล่าทรราชจอมเผด็จการต้องโดนโค่นล้มและสถาปนาสภาผู้แทนราษฎรขึ้นเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของนครแห่งนี้ ความจริงแล้วจะให้บอกว่าสถานการณ์ครั้งนั้นกลายเป็นสถานการณ์การใช้คนหมู่มากกดขี่คนหมู่น้อยก็คงได้
เมื่อตัวข้าที่ได้เห็นว่าสถานการณ์ดำเนินไปจนถึงขั้นนี้แล้ว รับรู้ได้ในทันทีเลยว่าถ้าข้าแก้ไขสถานการณ์โดยใช้วิธียุบสภาผู้แทนราษฎรล่ะก็ การหนองเลือดย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เช่นนั้นแล้วความพยายามของพวกเราตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาย่อมสูญสิ้นไม่มีเหลือ ดังนั้นแล้วตัวข้าจึงได้คิดแผนการแผนนึงออกมา
ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าร้องขอให้สภามีอำนาจมากกว่านี้หรอกเหรอ? ย่อมได้ ข้าจะยอมเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เอาจริงๆเลยนะ ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะมีคนไม่พอกัน เอาแบบนี้ข้าจะอนุมัติให้พวกเจ้าเพิ่มเก้าอี้ในสภาได้เพื่อพวกเจ้าจะได้ไปหาคนมาเพิ่ม
เมื่อวันนั้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานสภา ณ เวลานั้น เจ้าเฒ่าบาร์ตยินดีตอบรับข้อเสนอของข้า จนขนาดที่เจ้าพวกในสภายังตั้งให้เป็นวันแห่งชัยชนะของสภาเลย แต่แล้ว....
...ในทุกวันนี้ วันแห่งชัยชนะกลับเป็นที่รู้จักกันในชื่อวันแห่งความเขลา(โง่เขลา)แทน...
สภาตอนแรกเริ่มนั้นมีสมาชิกเพียง 30 คนเท่านั้นและมีเพียงผู้มาจากเผ่าพันธุ์หรือเผ่าใหญ่ๆ เพียงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์รับเลือกตั้งขึ้นมาเข้าร่วมสภา
“จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? สภานั้นถือเป็นตัวแทนของประชาชนทุกคน แล้วแค่ 30 คนจะไปเพียงพออะไรกันเล่า ถึงจะเป็นเผ่าพันธุ์หรือเผ่าเล็กๆก็ควรมีสมาชิกสภาของตนเช่นกัน ถ้างั้นเรามาเพิ่มจำนวนสมาชิกสภากันเถอะ”
ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงได้เพิ่มจำนวนสมาชิกสภาขึ้นไปเป็นสิบเท่าในคราวเดียว กลายเป็น 300 คน!
ในเวลานั้นเหล่าสภาต่างร่วมเฉลิมฉลอง เพราะยังไงซะ ยิ่งจำนวนสมาชิกสภามากขึ้นเท่าใด ยิ่งแทนเสียงจากประชาชนมากขึ้นเท่านั้น
แต่แล้ว เหล่าสมาชิกสภาก็ต้องพบปัญหาในวินาทีต่อมาในทันที จำนวนเก้าอี้ในสภาที่ถูกเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าในคราวเดียวเช่นนี้แล้ว สมาชิกที่เหลือจะเป็นสรรหามาจากแห่งหนใดกัน?
เมื่อถึงขั้นนั้น ไม่ว่าจะพ่อค้าชาวโกโบลด์ ลูกเขยคนที่สองของผู้อาวุโสชาวคนแคระ พี่ชายของหัวหน้าเผ่าก็อบลิน ไม่ว่าใครก็ต่างต้องการเป็นสมาชิกสภาได้เสพสุขไปกับอำนาจกันทั้งนั้น
“อนุมัติ ในเมื่อทุกคนถือเป็นตัวแทนความนึกคิดของประชาชนเช่นนี้แล้ว ทำไมข้าจะต้องมาหยุดพวกเจ้าเอาไว้ด้วย” รายชื่อผู้ที่จะมาเข้าร่วมสภาที่ส่งมาให้ข้าอนุมัติข้านั้นได้อนุมัติผ่านทั้งหมด
ถึงแม้จำนวนสมาชิกในสภาจะเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ตัวข้าก็ยังยืนกรานคำเดิมว่านี่ยังไม่พอแต่อย่างใด
“หืม เรามาเพิ่มเข้าไปอีกสักร้อยที่นั่งละกันในงานเทศกาลนี้ พวกเจ้าตัดสินกันเองได้เลยในหมู่พวกเจ้าว่าจะเอาใคร แต่อย่าได้กั๊กที่นั่งทั้งหมดไว้ให้แต่ผู้ที่มีอำนาจล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าได้จานเนื้อไปแล้ว พวกเจ้าก็ควรเหลือน้ำซุปไว้ให้คนอื่นบ้าง ไปลองให้โอกาสเจ้าพวกวิศวกร อาจารย์สอนหนังสือและเหล่านักศึกษาให้ได้มีสิทธิ์เข้ามาในส่วนการปกครองบ้างก็ดี”
เมื่อมาถึงจุดนั้น จำนวนสมาชิกสภาได้เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถึงจะมีสมาชิกบางคนเริ่มรู้สึกแล้วว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ตอนนี้ทุกคนนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการไขว้คว้าตำแหน่งที่นั่งในสภา ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนถ้ามาขวางการขยายที่นั่งในสภาย่อมต้องศัตรูกับทุกคนที่เหลือ
“ฮึ่ม เจ้าแดร๊กก้อนคนของเจ้ามีเพียงน้อยนิด เจ้าคงไม่ต้องการให้เผ่าพันธุ์อื่นมีสมาชิกสภาเพิ่มขึ้นสินะ ถุ้ย! เจ้ากิ้งก่าเห็นแก่ตัวเอ่ย!”
“ก็ได้ เราไม่มาเพิ่มที่นั่งในสภากันก็ได้ ถ้างั้น เจ้าระยำหูดำแหลม เจ้าก็ส่งที่นั่งของพวกเจ้ามาให้พวกเราบุตรแห่งผืนปฐพีซะสิ”
เอาล่ะ เรามาข้ามขั้นตอนอันน่าเบื่อทั้งหลายกัน แล้วตรงไปที่บทสรุปกันเถอะ...ถึงแม้นครแห่งนี้จะมีประชากรเพียง 3 ล้านชีวิต แต่พวกเรากลับมีสมาชิกสภามากถึง 1 หมื่นชีวิต
เอาให้ง่ายขึ้น พวกเจ้าลองนึกภาพตามดูละกันว่าการให้คนหนึ่งหมื่นคนเข้าไปนั่งอัดกันในห้องแคบๆเพื่อจัดการประชุมดูสิว่าจะเป็นเช่นไร? ลองคิดดูสิว่าต้องใช้เวลายาวนานเพียงใดที่ข้อเสนอแต่ละข้อจะผ่านไปได้ ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดกว่าที่คนกว่าเก้าพันชีวิตจะเห็นชอบในข้อเสนอได้? แล้วเจ้าลองไปนึกดูว่าต้องเสียเวลาไปอีกกี่วันกันกว่าที่สมาชิกสภาทุกท่านจะเดินทางมาพร้อมหน้าพร้อมตากันได้?
สุดท้ายก็เนื่องด้วยเหตุที่สมาชิกมากล้นจนเกินไปและประสิทธิภาพการทำงานที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ต่ำขนาดที่ต้องใช้เวลาไปเกือบทั้งเดือนในการหารือเรื่องปัญหารากหญ้าให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ส่งผลให้สภาผู้แทนราษฎรในตอนนี้มีค่าไม่ต่างอะไรจากของประดับเพียงเท่านั้น
และแน่นอนว่าเหล่าสมาชิกสภาย่อมต้องเคยพยายามที่จะลดขนาดของสภาลง แต่การเรียกคืนอำนาจที่เคยส่งมอบไปแล้วนั้นเป็นการยากจนเกินไป ทำไมน่ะเหรอ ทุกคนในสภานั้นต่างเป็นตัวแทนจากปวงประชา แล้วใครกันล่ะที่จะโดนปลดออกจากสภา? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งปลดข้า? ไม่ใช่ว่าสมาชิกสภาทุกคนเท่าเทียมกันหรอกเหรอ? ทำไมต้องเป็นตัวข้าที่ต้องจากทำไมถึงไม่ใช่ตัวเจ้า?
บอกได้เลยว่าฐานะสมาชิกสภาของแต่ละคนนั้นต้องเชื่อมด้วยโยงกับผลประโยชน์ทั้งหลายและเบื้องหลังสมาชิกแต่ละคนย่อมต้องมีเหล่าพ่อค้าคอยหนุนอยู่ แล้วถ้าเกิดเจ้าพยายามที่จะถีบใครออกจากการเป็นสมาชิก ใครคนนั้นย่อมเปิดศึกเต็มอัตรากับเจ้าเป็นแน่
“นี่ ในเมื่อทางสภาต้องการผู้แทนในการจัดการปัญหารากหญ้ามากขึ้น ข้าก็เห็นควรว่าผู้แทนที่มาใหม่ก็ควรมาจากรากหญ้าเพื่อเป็นตัวแทนสำหรับบอกกล่าวความคิดของตนคนรากหญ้า”
ในเมื่อแม้แต่เหล่าแม่บ้านและชาวประมงคนขายปลาจำนวนมากยังเข้ามาเป็นสมาชิกสภาได้เลย คุณค่าสถานะการเป็นสมาชิกสภาย่อมกลายเป็นไร้คุณค่าอันใด แล้วเรื่องวางแผนชิงอำนาจกับการต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์เพื่อตระกูลหรือเผ่าของตน ก็กลายเป็นเพียงเรื่องน่าขบขันเพียงเท่านั้น
ในปัจจุบันนี้ สมาชิกส่วนใหญ่ของสภานั้นมีหน้าที่เพียงคอยจัดการกับปัญหาเล็กๆ อาทิเช่น ควรจะเพิ่มภาษีกับสินค้าที่ชาวประมงเอามาที่นครดีไหมหรืออะไรประมาณนี้ ถึงจะเป็นแค่เรื่องเช่นนี้ แต่เหล่าสภากับเหล่าชาวบ้านเองก็มักต่อร้องต่อเถียงเรื่องนี้อย่างดูเดือดเสมอมา จนเหล่า ‘ผู้นำจากตระกูลใหญ่’ ต้องจบลงด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำลายของชาวบ้านอยู่บ่อยครั้ง และบางคราวถึงกลับขนาดมีการใช้กำลังกันเลยทีเดียว
ส่วนการประชุมสำคัญๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานครน่ะเหรอ? ตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว ก่อนที่การประชุมในสภาจะได้ข้อสรุป องค์การส่วนปกครองอื่นก็เริ่มทำงานของพวกตนไปแล้ว
“ว่าไงนะ? ข้อสรุปของพวกเจ้าจากการประชุมสภา? ข้าขออภัย แต่ถ้าเราไม่จัดการกับเรื่องนี้โดยเร็ว การเก็บเกี่ยวจะแย่เอานะ/เดี่ยวกำแพงเมืองก็พังซะก่อนหรอก/นครอื่นก็ประกาศสงครามกับเราพอดีสิ”
ข้าขอเสริมอีกนิด ถ้าเจ้าพวกในสภาอยากจะแก้ไขโครงสร้างภายในสภาผู้แทนราษฎรขึ้นมาล่ะก็ ก็ต้องไปขอความเห็นชอบจากองค์กรทางกฎหมายซะก่อน แถมสิทธิ์ในการออกร่างกฎหมายใหม่ก็เป็นของศาลสูงสุดซะด้วย แล้วตัวศาลสูงสุดกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจข้าเนี่ยสิ...เหเห เรามาปล่อยให้พวกในสภาทะเลาะต่อร้องต่อเถียงกันเองต่อไปกันเถอะ แล้วยังมีโอกาสตั้งหลายครั้งหลายคราที่ข้าได้พาเหล่าลูกน้องและสหายไปชมมวยที่สภา....แค่ก ไม่สิเพื่อไปรับฟังข้อคิดเห็นจากประชาชนต่างหาก
ข้าขอยอมรับว่า สมัยที่สภาผู้แทนราษฎรยังเป็นศูนย์รวมความนึกคิดของประชาชนนั้นสุดยอดทรงพลังจริงๆ แต่สภาพสภาในปัจจุบันไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้เกือบ 90% ของน้ำพักน้ำแรงและเวลาของเหล่าสมาชิกสภาต่างหมดไปกับความขัดแย้งภายในที่ไม่มีวันหมดสิ้นลง ถ้าถามถึงเสียง(ความเห็น)ของผู้มีอิทธิพลน่ะเหรอ? แค่ก แค่ก ข้าขออภัยแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนก็ต่างเป็นตัวแทนที่ได้รับเลือกมาจากเหล่าปวงประชาเหมือนกันหรอกเหรอ เช่นนั้นแล้วทุกคนย่อมเท่าเทียมกัน คำว่า ‘ผู้มีอิทธิพล’ ย่อมไม่มีอยู่ที่นี่
ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมด ก็ทำให้พวกทะเยอยานมักใหญ่ใฝ่สูงกระหายในอำนาจถูกกลบฝั่งหายไปในฝูงชนจำนวนมหาศาล
ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนฉลาดในสภาเลยหรอกนะ แต่ด้วยความระบบสภาผู้แทนถือเป็นสิ่งใหม่สำหรับโลกนี้ แต่เป็นสิ่งคุ้นชินสำหรับตัวข้า ทำให้กว่าที่พวกในสภาจะรับรู้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป ก็สายเกินแก้จนไม่สามารถกลับมาเหมือนเก่าได้อีกแล้ว
“ให้เพิ่มที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ให้พวกเจ้าทุกคนมีปากมีเสียงมากขึ้น ไม่ใช่ว่านี่คือความต้องการจากประชาชนของเจ้าหรอกเหรอไง? แล้วทำไมพวกเจ้าถึงคิดจะมากลับคำต่อต้านความต้องการจากประชาชนเอาตอนนี้ล่ะ? เช่นนี้พวกเจ้าจะไปเข้าหน้าอธิบายให้ประชาชนที่เลือกเจ้ามาฟังได้อย่างไรกันเล่า?”
และแล้ว เหล่าสมาชิกก็ได้แต่อดกลั้นกัดฟันของพวกตนแน่นจนแทบหักแล้วกล่ำกลืนฝืนทนต่อไป
จนเมื่อมาถึงจุดนี้ คงมีแต่พวกที่ดักดานเกินจะเยียวยาเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าพวกตนนั้นโดนข้าต้มซะเปื่อย ด้วยเหตุนี้ ข้าก็เป็นที่รู้จักในหมู่แวดวงสภาในชื่อ ‘ไอ้เจ้าเล่ห์วูเมี้ยนเจ้อ’ ‘เจ้าหน้ากากปิศาจ’ และแน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสภา ประธานสภาและขุมกำลังที่หนุนหลังอยู่ไม่เคยญาติดีต่อกันเลยแม้เพียงสักครั้ง
“การคัดค้านจากแกรนก็เป็นไปตามคาดล่ะนะ เจ้าหมอนี่ก็มักใหญ่ใฝ่สูงมิต่างจากพ่อของตนเลยสักนิดแต่ช่างน่าสมเพช อย่างน้อยตัวพ่อก็ยังมีความเฉลียวฉลาดอันน้อยนิดหลงเหลืออยู่บ้างแต่ตัวมันกลับโง่งมไม่ต่างจากสุกร(หมู) นี่ตัวมันไม่รู้เลยสักนิดเลยรึว่าเมื่อตัวอดัมกับมากาเร็ตตัดสินในเรื่องนี้ไปแล้ว ก็ไม่มีใครหน้าไหนในนครภูผาหลิวฮวงหยุดทั้งคู่ได้อีก? ไอ้โง่ที่ไม่รู้จักประมาณตนเอ๋ย นี่คิดกันจริงๆรึว่าเสือที่ไม่ได้กินคนมาสามปีจะกลายเป็นสัตว์กินพืชได้? ฮึ่ม แล้วไอ้โง่อีกตัวที่ยังไม่เลือกฝ่ายคือใครกัน?”
โดยฉับพลัน ลิลลี่ที่พูดเสียงดังเมื่อครู่ได้เป็นใบ้ในทันตา บรรยากาศทั่วทั้งห้องเงียบสงัดแล้วก็เป็นอีกครั้งที่สายตาทุกคู่ต่างส่งสัญญาณไปรวมกันอยู่ที่ เคลวิน...
ในครั้งนี้ อัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้ซื่อสัตย์และขี้เกรงใจใช้สายตาทั้งคู่มองบน แกล้งทำเป็นว่าตัวเองนั้นไม่มีตัวตนอยู่ที่นี่ หลังจากเวลาผ่านไปครู่นึง ข้าก็พึ่งสำนึกได้ว่าข้าได้กล่าวเรื่องแสนโง่เขลาออกไป ลิลลี่ที่เห็นดังนั้นได้แต่ทำหน้าตาโล่งอกกลับมาพร้อมรวบรวมความกล้าเอ่ยออกมาในที่สุด
“เป็นท่านนั้นแหละ นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงคิดว่าท่านเรียกพวกเรามาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการชิงอำนาจ...”
ณ จุดนี้ ตัวข้าได้แต่ชะงักไม่รู้จะพูดคำใดออกมาดี
“อิลิซ่า ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้าเรื่องนี้เลยล่ะหา? หรือนี่จะเป็นเวลาอันสมควรแล้วที่จะลดงบหน่วยข่าวกรองลด”
ด้วยอาศัยกฎสามัญที่ว่าสี่จตุรเทพต้องมีจตุรเทพคนที่ห้าเก็บซ่อนไว้อย่างลับๆ ซึ่งจตุรเทพคนที่ห้าของข้าก็คือ ‘ผู้ดักฟัง’ ผู้รับผิดชอบในเรื่องหน่วยข่าวกรอง อิลิซ่า ผู้นี้นี่เอง
ด้วยการเชื่อมต่อทางวิญญาณของพวกเราทั้งคู่ ทำให้ข้าสามารถได้ยินเสียงคำตอบกลับจากหัวหน้าสาวใช้ของข้าได้
“ดิฉันต้องขออภัยจริงๆค่ะ ในวันที่ข่าวลือหลุดออกมานั้น ตัวท่านกำลังโดนหน่วยรักษาความสงบควบคุมตัวอยู่น่ะค่ะ ซึ่งดิฉันดูแล้วว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่ที่ดิฉันจะแอบลอบเข้าไปเพื่อส่งรายงานให้ท่าน ดังนั้นแล้ว ดิฉันก็เลยเอารายงานไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของนายท่านน่ะค่ะ นี่ท่านไม่เห็นงั้นเหรอคะ?”
เมื่อระลึกถึงเรื่องที่ข้าไม่ได้ไปทำงานมาเป็นเวลานานแสนนาน และโต๊ะทำงานอันคงทนที่สร้างจากต้นหลิวของข้าที่กำลังจะพังแหล่มิพังแหล่เนื่องจากภูเขากองงานเอกสาร ข้าได้แต่ตัดการเชื่อมต่อกับสาวใช้ปากร้ายของข้าอย่างหนักใจ
ถึงแม้เราทั้งคู่จะอยู่ไกลกันแถมคำพูดของนางจะเต็มไปด้วยความเคารพนับถือและความประหลาดใจก็ตาม แต่ตอนนี้ข้ากลับนึกภาพนางเยาะเย้ยสะใจข้า ด้วยการตีหน้านิ่งแต่หัวเราะจนตัวงอได้แล้วสิ
ข้าได้แต่หลับตาลง ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้พร้อมจมปลักอยู่ในความคิด ไม่จำเป็นที่จะต้องไปคิดถึงอดีตหรอก สิ่งที่สำคัญน่ะคืออนาคตต่างหาก!
สภาผู้แทนราษฎรน่ะก่อเรื่องใหญ่อะไรไม่ได้หรอก แต่ถ้าเกิดเจ้าพวกตระกูลใหญ่น่ารำคาญทั้งหลายต่างคัดค้านพร้อมกันขึ้นล่ะก็คงก่อปัญหาได้ไม่น้อยทีเดียว จะให้ไปสู้กับเจ้าพวกเฒ่านั้น แค่ใช้กำลังอย่างเดียวคงไม่พอ นี่สินะเหตุผลที่ทำไมอดัมถึงฝากฝั่งให้ข้าจัดการเรื่องนี้
มีแผนการแสนบรรเจิดผ่านพุดเข้ามาในหัวข้ามากมายหลากหลายแผน แต่จะให้เรียกว่าแผนชั่วก็คงจะไม่ต่างซักเท่าไหร่.... และในที่สุด แผนการอันสมบูรณ์แบบก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น
“เอาล่ะ พวกเจ้ามาลองฟังข้อเสนอของข้าดู....”
หลังจากที่ข้าอธิบายแผนการของข้าอย่างเริงร่าเสร็จ พวกที่เหลือกลับสตั้นหมู่กันเลย
“คือ...ท่าน นี่แลดูจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
“ท่านวูเมี้ยนเจ้อ ถึงนี่จะไม่ฝ่าฝืนกฎหมายก็เถอะ แต่นี่...มันไม่แหกสามัญสำนึกเกินไปหน่อยเหรอ? แถมยังแหกหลักจรรยาบรรณอีกด้วย?”
“ตาเฒ่าคนนี้เองก็รับไม่ได้เช่นกัน ความคิดนี้มันบ้าไปแล้ว ถ้าเกิดคนนอกรู้เข้าล่ะก็ชื่อเสียงที่ 4 สำนัก 1 ศาลของพวกเราสั่งสมป่นปี้ตกเหวไม่เหลือชิ้นดีเป็นแน่”
“ข้าว่าแผนนี้ออกจะน่าสนุก จัดไปเลย ท่านหัวหน้า ไม่ว่าท่านต้องการให้ข้าทำอะไร ข้าก็พร้อมจะสนองให้ท่าน”
เมื่อมองดูเหล่าสี่จตุรเทพแห่งระบบกฎหมายที่กำลังโวยวายกันอยู่ ข้าก็หัวเราะออกมาอย่างรื่นเริงปีดา
“เหเห นี่เป็นถึงของขวัญชิ้นพิเศษก่อนการจากไปของข้า ก็ต้องเล่นกันให้ใหญ่หน่อย”