ตอนที่ 12 4 สำนัก 1 ศาล
ที่ผ่านมา ตัวเลือกในระบบหน้าภารกิจนั้นเป็นสีเทาที่แสดงถึงว่ายังไม่เปิดใช้งาน จนข้าก็คิดซะว่ามันจะเริ่มเปิดใช้งานได้ก็ต่อเมื่อเหตุการณ์ในบทสรุปเกมเริ่มต้นขึ้นซะอีก
ตัวข้าที่ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอคอยให้เนื้อเรื่องหลักเริ่มต้นขึ้นมานานแสนนาน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อมาถึงจุดนั้นจริงๆแล้วระบบจะให้ทางเลือกข้าถึงสองทาง
แต่เมื่อข้ามาใช้ความคิดซักนิด ตัวเลือกสองทางเลือกนั้นก็ไม่ใช่สิ่งเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
ในโลกที่ชื่อว่าเอ็ชแห่งนี้นั้นเกิดจากการที่มิติจำนวนมหาศาลผสมปนเปเข้าด้วยกัน จนปริมาณเผ่าพันธุ์ ณ โลกแห่งนี้นั้นนับไม่หว่านไม่ไหวเลยทีเดียว
โดยผืนแผ่นดินที่ใหญ่ที่สุดของโลกแห่งนี้นั้นได้รับชื่อตามผู้สร้างของโลกใบนี้ เทพธิดาเอ็ช แต่ถึงยังไงซะที่แห่งนี้กลับไม่มีร่องรอยของตัวท่านหลงเหลืออยู่เลย แต่ก็มีเรื่องเล่าว่ากันไว้ว่าเนื่องด้วยความเหน็ดเหนื่อยในการสรรค์สร้างโลกใบนี้ขึ้น ตัวท่านจึงต้องเข้าสู่ห้วงนิทราอันเป็นนิรันดร์ไป โดยทิ้งภาระหน้าที่ดูแลโลกแห่งนี้ให้กับธิดาทั้งสององค์ของท่าน
เทพธิดาแอสเทีย เทพธิดาผู้พิทักษ์แห่งกฎระเบียบและรุ่งอรุณ ตัวท่านได้สรรค์สร้างเหล่าไฮเอลฟ์ เผ่ามังกรโลหะ เทวดา ไททันและเผ่าพันธุ์ทองคำที่คล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์ข้างต้นขึ้นมาอีกมากมาย
เทพธิดาซินเทีย จอมเผด็จการแห่งความโกลาหลและราตรีกาล ท่านได้สรรค์สร้างปิศาจ เหล่ามังกรธาตุทั้งหลาย เผ่าเหลือง เผ่าโลหิต เผ่าพันธุ์ธาตุทั้งหลายและเผ่าพันธุ์กำมะถันอีกมากมาย
เทพธิดาทั้งสองได้แบ่งเหล่าเทพและเผ่าพันธุ์มากมายออกเป็นสองฝั่ง เทพธิดาผู้พี่ แอสเทีย มุ่งหวังให้ทุกเผ่าพันธุ์ได้ดำรงอยู่ภายใต้แสงตะวันอันอบอุ่น แต่ละเผ่าพันธุ์ต่างมีบทบาทหน้าที่ของตนที่ได้รับประทานจากเหล่าทวยเทพ และมุ่งหน้าก้าวไปในเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ให้นั้น ตัวท่านแอสเทียนั้นเชื่อในระบบชนชั้นและสิ่งที่ท่านได้สรรค์สร้างขึ้นนั้นจะมีแนวโน้มโอนเอียงไปทางกฎระเบียบและความกรุณา
ส่วนตัวท่านซินเทียนั้น ท่านมุ่งหวังให้สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นสามารถเติบโตผ่านการแข่งขันชิงชัยซึ่งกันและกัน ตัวท่านจึงไม่ได้เข้ามาแทรกแซงอะไรมากมายรวมทั้งไม่ยัดเยียดกฎของตัวท่านกับปวงประชาของท่านเอง
สำหรับปุถุชนคนเดินดินทั่วไปแล้ว ความเชื่อที่แตกต่างกันอาจเป็นเพียงการโต้วาทีต่อล้อต่อเถียงซึ่งกันและกัน แต่สำหรับเหล่าเทพเจ้าที่แท้จริงผู้เป็นร่างจุติของแนวคิดแล้วนั้น ความขัดแย้งทางความเชื่อนั้นหมายถึงการตั้งคำถามของตัวตนอีกฝ่าย ซึ่งย่อมเป็นธรรมดาที่ทั้งสองฝั่งจากต้องเข้าปะทะกัน
ท่านเทพธิดาทั้งสองผู้มีพลังเทียบเท่ากันต่างเข้าปะทะทำสงครามห้ำหั่นกันจนถึงจุดที่ท่านทั้งสองเหนื่อยอ่อนจนต้องเข้าสู่นิทราไปอีกนานแสนนาน ถึงกระนั้นเหล่าสิ่งที่พระองค์ทั้งสองได้สรรค์สร้างขึ้นต่างสืบทอดสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้ต่อไป หลังจากที่เผ่าทองคำและเผ่ากำมะถันมากมายหลากหลายเผ่าพันธุ์ต้องดับสูญจากไฟสงคราม เหล่าเอลฟ์จันทรา ผู้เป็นตัวแทนจากเผ่าเงิน และเหล่าคนยักษ์ที่เหลือรอด ผู้เป็นตัวแทนจากเผ่าปรอทต่างได้สานต่อสงครามครั้งนี้ต่อไป
สงครามครั้งนี้ยังไม่เคยหยุดลงเลยตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของสงคราม
เมื่อครั้งที่กฎระเบียบได้ชัยเหนือความโกลาหล ยุคแห่งกฎระเบียบที่มั่นคงจะเริ่มต้นขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อครั้งความโกลาหลมีชัยเหนือกฎระเบียบ ยุคแห่งความโกลาหลอันไร้กฎระเบียบจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งในการเปลี่ยนยุคสมัยเองยังแสดงถึงการสิ้นอำนาจและการขึ้นสู่อำนาจของเผ่าพันธุ์มากมายนับไม่ถ้วน
โดยในยุคปัจจุบันนี้คือ ยุคเหล็กของฝ่ายกฎระเบียบ หรือที่เป็นรู้จักในชื่อยุคแห่งมวลมนุษย์ ซึ่งมีที่มาจากการที่เผ่าโทรลแห่งฝ่ายโกลาหลเผ่าผู้ปกครองเมื่อยุคสมัยก่อน ได้ยอมลงจากตำแหน่งแล้วส่งไม้ต่อให้เผ่าผู้ปกครองในยุคปัจจุบันนั้นคือ เหล่ามนุษย์แห่งเผ่าโลหะ นั้นเอง
การต่อสู้ระหว่างกฎระเบียบและความโกลาหลเพื่อช่วงชิงตำแหน่งสูงสุดนั้นเป็นการเคลื่อนไหวหลักของทวีปเอ็ชเสมอมา บัญญัติแห่งกฎหมายของข้าที่ได้รับการยอมรับจากต้นกำเนิดแห่งกฎระเบียบ ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายกฎระเบียบเช่นกัน ฉะนั้นเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นฝ่ายกฎระเบียบเช่นกันถึงได้เดินทางมาที่นี่เพื่อร่ำเรียนบัญญัติแห่งกฎหมายไป
แต่จากมุมมองของข้าแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดแต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าในกฎระเบียบเองก็ต้องมีความโกลาหลอยู่ด้วยหรอกเหรอ แม้แต่ในเผ่าพันธุ์แกนนำของฝ่ายความโกลาหลอย่างเผ่าปิศาจและอันเดดเอง ยังมีการแบ่งชนชั้นด้วยระดับพลังเลยทั้งยังความสัมพันธ์แบบเจ้านายและลูกสมุนอีก สองสิ่งนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นกฎระเบียบรูปแบบนึงหรอกเหรอ?
ในความคิดของข้าแล้ว การเลือกภารกิจครั้งนี้คือการเลือกฝ่าย เป็นคำถามสุดเรียบง่ายเพื่อตัดสินว่าเจ้าจะเข้าข้างฝ่ายเทพแห่งกฎระเบียบหรือฝ่ายเทพแห่งความโกลาหล
ถ้าข้าเลือกที่จะยอมให้แอนเปิดตัวขึ้นเป็นเจ้านครคนใหม่ ข้าก็ต้องรับบทบาทในฐานะผู้อาวุโสและอาจารย์ผู้ฟูมฟักนางเป็นเจ้านคร จากนั้นก็เป็นไปตามแผนเดิมที่ข้าวางไว้ ได้กายเนื้อร่างใหม่และเริ่มต้นจากศูนย์อีกครั้ง การตัดสินใจเช่นนี้ย่อมโอนเอียงไปทางฝ่ายกฎระเบียบ
ถึงยังไงซะ เหล่าคนเป็นก็เป็นดั่งสันหลังของฝ่ายกฎระเบียบนี่นะไม่ว่าข้าจะมองจากมุมไหนก็ตาม
แต่อีกด้านหนึ่ง ถ้าข้าเลือกที่จะขึ้นเป็นเจ้านครด้วยตัวข้าเอง ทางระบบก็จะคืนพลังให้ข้ากลับไปตอนที่ข้าแข็งแกร่งที่สุด แต่ไม่ว่าจะมองยังไงลิชชั้นกึ่งเทวะก็ยังเป็นราชันแห่งเหล่าอันเดด ผู้นำแห่งฝ่ายความโกลาหลอยู่วันยังค่ำ
ถึงนี่จะดูเหมือนการเลือกตัวเลือกอันธรรมดาสามัญ แต่นี่คือตัวเลือกครั้งสำคัญที่จะกำหนดเส้นทางที่ข้าต้องเดินต่อจากนี้ไป
“อ๊ายโย่ แล้วข้าจะลังเลไปใย ให้ข้ากลับไปเดินในเส้นทางที่ข้าเดินผ่านมาก่อนแล้วนะเหรอ? ข้าขอเลือก....ภารกิจชั้นมหากาพย์ การฟื้นคืนแห่งวิหคเพลิงอมตะ ข้ายังอยากกลับมามีชีวิตอีกครั้ง!”
ใช่แล้วข้าเลือกทางนี้ จากประสบการณ์ในอดีตของตัวข้าเองได้พิสูจน์แล้วว่าพละกำลังเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆได้ แถมเจ้าพวกโง่เง่าในฝ่ายความโกลาหลเองก็ต่างใช้ชีวิตตามใจตนไร้ซึ่งแบบแผนใดๆทั้งยังไร้กฎระเบียบใดๆอีก เช่นนี้แล้วความขัดแย้งภายในย่อมไม่มีทางจบสิ้นลงตราบใดที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ เจ้าพวกนี้ถูกชะตากำหนดมาให้แล้วว่าไม่มีทางทำเรื่องยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ เฉกเช่นนั้นแล้วทำไมตัวข้าต้องกลับไปทำผิดซ้ำเดิมอีกล่ะ และนอกจากนั้น การที่ปราศจากกายเนื้อที่สมบูรณ์ ทำให้ลิชนั้นไปถึงได้เพียงชั้นกึ่งเทวะเท่านั้น
ตามนั้นแหละ ตามนั้นแหละ ไม่ใช่เพราะว่าอันเดดรับรสอาหารอันแสนอร่อยไม่ได้ ไปเดทก็ไม่ได้ สนุกหรรษาไปกับความสุขที่จากกายเนื้อก็ไม่ได้หรอกนะ ก็ข้าไม่อยากเป็นอันเดดอีกแล้วนี่น่า!
“ก็ได้ เรามาผลักดันแอนให้เป็นเจ้านครกันเถอะ ข้าจะช่วยนางหนูเอง จริงสิ ชื่อเต็มของนางหนูคือแอนนี่ใช่ไหม? ข้าจำได้ว่าในอดีตเจ้าเอาแต่เรียกนางว่า แอน นิ?”
“ก็นะถึงไงซะ แอนก็เป็นเพียงชื่อเล่น แถมเป็นชื่อเล่นที่สามารถใช้ได้ทั้งสองเพศ ที่มากาเร็ตอุตส่าห์คิดมาให้ แต่เอาจริงๆเลยนะ ข้าก็คิดมาเสมอเลยนะว่าชื่อ แอนนี่ ฮานต์ ออกจะเข้ากั้นเข้ากันแต่ไม่รู้ทำไมถึงจบลงที่ไปใช้นามสกุลมากาเร็ตแทนซะงั้น”
“แอนนี่ เลย์ดี้ ห่ะ?”
ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าชื่อนี้มันฟังคุ้นๆแปลกๆ
“ป๊อก!” ด้วยการดีดนิ้วของข้า หนังสือปกสีดำเล่มใหญ่ก็เปิดออกแล้วหน้าในหนังสือก็พลิกไปเรื่อยๆ จนไปหยุดลงที่หน้าสีสันต์สดใสหน้านึง
ในหน้าหนังสือนั้นมีภาพผู้หญิงในวัยผู้ใหญ่ที่ปกคลุมด้วยบรรยากาศของวีรชน นางได้จ้องมองไปที่ไกลแสนไกลพร้อมกับดาบในมือของนาง ทั้งร่างของนางแผ่รัศมีสีแดงเพลิงอย่างท่วมท้น ผ้าคลุมสีเลือดที่มีภาพนกฟินิกซ์สลักเอาไว้ ดาบสีแดงเพลิงประกายสร้างเพลิงนรกให้กระจายไปทุกสารทิศ ชัดเลยนี่มันพรแห่งฟินิกซ์ที่เป็นของไอ้บ้าตรงหน้าข้าชัดๆ
“วิหคเพลิงอมตะแดนบูรพา แอนนี่ เลย์ดี้ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งพันธมิตรต่อต้านปิศาจทางด้านแนวป้องกันแดนตะวันออก วีรสตรีผู้ลงมือสังหารจักรพรรดินักรบแห่งความมืด โรแลนด์ มิสท์ ด้วยตนเอง”
นี่พวกเจ้าศิษย์อาจารย์แอบเคืองข้ากันใช่มั้ย! นี่พวกเจ้าแอบเคืองข้าขนาดไหนเนี่ย!
ตัวลูกศิษย์จะมาฆ่าข้าในอนาคตทั้งที่ข้าลงทุนเปลี่ยนอนาคตไปตั้งขนาดนี้ แถมตัวรุ่นพ่อเองยังลงมือฆ่าข้าไปครั้งนึงแล้วนะ! นี่ตัวข้าต้องไปโดนพรแห่งฟินิกซ์สับอีกรอบเหรอเนี่ย?
ฆ่าข้าไปครั้งยังไม่หน่ำใจกันใช่ไหม แล้วทั้งที่ตัวข้าอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตได้แล้ว แต่ข้าก็ยังต้องไปโดนฆ่าอีกครั้งเหรอเนี่ย?
ไม่สงสัยแล้วล่ะว่าทำไมข้าถึงว่ามันแปลกที่แอนสามารถสร้างวิบากกรรมให้ข้าได้ขนาดนั้น ที่แท้ผู้ที่โดนชะตากำหนดมาให้กำจัดข้าคือเจ้านี่เอง เจ้าเด็กเกเร!
“ฝันไปเถอะ! เจ้าพวกสถุลทั้งหลาย ออกไปซะ! วลีมนตราแห่งกฎหมาย: ขับไล่!”
ข้าที่ไม่สามารถระงับเสียงกู่ร้องในใจข้าลงได้ ได้ใช้พลังทั้งหมดในการร่ายเวทย์ครั้งนี้ไป
หลังจากที่แสงของกฎระเบียบอันศักดิ์สิทธิ์กระจายออกไป ตัวอดัมผู้อยู่ระดับชั้นกึ่งเทวะก็ถูกดีดออกจากห้องไปด้วยความมึนงง
อดัมที่ไปล้มก้นกระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง ชั่วพริบตานั้นก็มีหนังสือบินมากระแทกหน้าเข้าอย่างจัง
คำบนหน้าหนังสือนั้นได้ถูกแปลเอาไว้แล้ว และตัวอดัมที่เคยได้รับคัมภีร์วรยุทธ์ลับจากโรแลนด์เมื่อครั้งอดีต ก็ได้อ่านออกเสียงออกมาอย่างช้าๆ
“วิชาทานตะวัน? อะไรล่ะเนี่ย ‘เพื่อฝึกฝนวิชาอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เจ้าจงพุ่งมีดลงไปเพื่อตอน’”
“จงไปแล้วเรียนวิชานั้นซะ ข้าว่าคงเหมาะกับคนปอดแหกเช่นเจ้า!”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าหนูนี่ทำให้ข้าโมโห ดูท่าเจ้าอดัมเองก็คงเคยชินกับการโดนโยนออกมาแบบนี้เช่นกัน หลังลูบก้นตัวเองอยู่ครู่นึงอดัมก็เดินจากไป
หลังจากที่เจ้าหมอนี่จากไป ตัวข้าก็ตกสู่สภาวะสับสน นี่รือโชคชะตา? นี่หรือคือเส้นทางชีวิตที่ถูกกำหนดเอาไว้ให้ข้า? นี่ข้าถูกชะตากรรมกำหนดให้เป็นจอมมารตั้งแต่เกิดเลยหรือไง แถมยังเป็นจอมมารที่ชอบหาเรื่องฆ่าตัวตายแบบนี้อีกหรือไง? หลังจากข้าที่ชุบเลี้ยงอดัมจนกลายเป็นผู้กล้าที่มาลงมือสังหารข้าไปแล้ว แล้วนี่ข้ายังต้องมาชุบเลี้ยงผู้กล้าที่ต้อง ‘ถูกใช้’ ให้มาสังหารข้าอีกงั้นหรอ?
“ถ้าข้าไม่ได้มาที่นี่ ตัวแอนนี่ก็จะไม่ได้พบเจอกับอดัม แล้วก็จะไม่ได้รับสืบทอดมรดกพรแห่งฟินิกซ์จากอดัม เช่นนั้นตัวข้าก็เป็นสาเหตุให้ทั้งสองต้องมาพานพบกัน? ศึกต่อต้านข้าถูกกำหนดเอาไว้อย่างยาวนานแล้วงั้นเหรอ? หรือว่าเป็นตัวข้าเองที่มีชะตาต้องถูกกำจัดโดยผู้ถือครองพรแห่งฟินิกซ์ ไม่ว่านั้นจะเป็นอดัมหรือแอนนี่ก็ตาม”
น่าเสียดายที่การศึกษารูปแบบของเหตุและผลของข้านั้นเละเทะเกินไป รวมทั้งข้าเองก็ไม่เคยศึกษาการทำนายทายทักด้วย แต่ก็นะ สำหรับคำถามปรัชญาเชิงลึกอย่างเหตุและผล คงจะแปลกเกินไปที่ตัวข้าจะสามารถรับรู้เข้าใจได้
“ช่างเถอะ ข้าขอหยุดคิดเรื่องนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน ก็ในเมื่อข้าได้ตัดสินเป้าหมายของข้าเอาไว้แล้วนิ เช่นนั้นข้าก็ขอคิดเรื่องนี้หลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้นละกัน”
ในเมื่อปัญหาไม่สามารถแก้ได้โดยใช้เพียงความคิด แบบนั้นข้าก็จะไม่คิดอะไรอีก เนี่ยแหละคือหนึ่งในจุดแข็งของตัวข้า แล้วเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการทำภารกิจให้เสร็จสิ้นแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
หลังจากที่ข้าได้คิดอะไรอยู่ครู่นึง ข้าก็ได้กดกระดิ่งบนโต๊ะข้า
“เรียกหัวหน้าทั้ง 4 สำนักให้มาพบข้าหน่อย”
แรกเริ่ม ข้าได้ก่อตั้งศาลขึ้นเพื่อตัดสินคนผิดและเพื่อหาแต้มชั่วช้าให้กับข้า ข้าจะยอมทิ้งเป้าหมายหลักของข้าไปได้อย่างไรกันเล่าถ้าข้าต้องมาเหนื่อยยากขนาดนี้?
ข้าจึงได้สร้างองค์กรที่มีระบบและกลไกการทำงานที่เพียงพอให้องค์กรแห่งนี้เป็นเอกเทศในตัวเอง ทำให้ข้าไม่ต้องมาเสียแรงมาควบคุมความเที่ยงธรรมขององค์กรแห่งนี้จากแรงกดดันรอบข้าง
ระบบความยุติธรรมของนครภูผาหลิวฮวงนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของตัวข้าเอง โดยอาศัยตัวอย่างจากต่างโลกในการแบ่งแยกจัดสรรอำนาจของระบบความยุติธรรม ซึ่งอาศัยหลักการที่สามารถตรวจสอบกันเองได้ และคงสมดุลอำนาจซึ่งกันและกันเอาไว้ได้ ด้วยหลักการนี้ข้าได้แบ่งระบบยุติธรรมออกเป็น 4 กลุ่มซึ่งเป็นอิสระต่อกัน
อันดับแรกย่อมต้องเป็นศาลสูงสุด กลุ่มผู้มีอำนาจสูงสุดในระบบความยุติธรรม ซึ่งมีข้าเป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้ มอบอำนาจในการผ่านร่างกฎหมายใหม่และตัดสินคำพิพากษาสูงสุดต่อผู้กระทำผิดให้กับข้า ทำให้ตัวข้าได้เป็นหัวหน้าใหญ่แห่งระบบความยุติธรรมทั้งระบบ
นอกจากนั้นยังมีอีก 4 กลุ่มย่อยภายใต้ศาลสูงสุด ซึ่งเปรียบได้ดั่งอวัยวะและสันหลังของทั้งระบบความยุติธรรม
สำนักผู้บังคับใช้กฎหมาย รับผิดชอบในการจับกุมผู้กระทำผิดและรักษาความสงบเรียบร้อย ใช่แล้ว สำนักนี้นั้นรับบทตัวร้าย(รับบทคนที่ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อจับกุมผู้กระทำผิด) โดยมีหน้าที่ในการรักษาความสงบผ่านการตรวจตรา คอยจัดการพวกพ่อค้าตามท้องถนนและอื่นๆอีกมากมาย ว่าง่ายๆงานยุ่งยากทั้งหลายอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักนี้ทั้งหมด
สำหรับกองกำลังหน่วยรักษาความสงบแห่งนคร หรือที่เรียกสั้นๆว่าหน่วยรักษาความสงบเอง ก็เป็นหนึ่งในหน่วยย่อยของสำนักผู้บังคับใช้กฎหมายเช่นกัน ซึ่งหน่วยนี้ทำหน้าแตกต่างจากหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ต่างโลกที่มีเป้าหมายไปที่พวกพ่อค้าตามท้องถนน เหล่าอัศวินชาวดาร์ดเอลฟ์ต้องจัดการกับผู้กระทำผิดทุกรูปแบบ ทำให้หน้าที่ของเหล่าอัศวินดาร์ดเอลฟ์ไปคล้ายคลึงกับตำรวจซะมากกว่า
และหัวหน้าของผู้บังคับใช้กฎหมายทั้งมวลก็คือชายร่างบึกบึนสูงใหญ่ตรงหน้าข้า – ธอร์เร็น เสวี่ยที เอดต้า ผู้นี้นี่เอง
ใช่แล้วล่ะ ไอ้ธอร์เร็นโรคจิตเสวี่ยทีที่ชอบวิ่งเล่นแก้ผ้าไปทั่ว.....
ชื่อ: เสวี่ยที เอดต้า เผ่า: ธอร์เร็น
อาชีพ: นักรบระดับ 60/ อัศวินแห่งความยุติธรรมระดับ 20/ ผู้คุมกันแห่งกฎระเบียบระดับ 7 (ระดับรวม 87 ประมาณความสามารถทางการต่อสู้: ชั้นตำนาน นักรบผู้ยิ่งใหญ่อาชีพชั้นสูงขั้นที่ 2)
ฉายา: ผู้พิทักษ์เหล็กไหล
แต่โชคยังดีที่เพื่อเป็นการเอาแบบอย่างหน้ากากเงินวูเมียนเจ้อ ที่แสดงตนว่าได้ละทิ้งตัวตนของตนไปแล้วเพื่อให้สามารถใช้กฎหมายได้อย่างยุติธรรมเท่าเทียมกัน เหล่าเจ้าหน้าที่แห่งระบบความยุติธรรมทั้งหมดจึงตัดสินใจที่จะสวมหน้ากากกัน ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ข้าก็คิดไม่ออกจริงๆเลยว่าต้องทำตัวเช่นไรเมื่อต้องพบหน้า ‘ทั้งที่เจ้าเป็นถึงหัวหน้าแห่งสำนักผู้บังคับใช้กฎหมายแต่เจ้ากลับไปนอนคุกด้วยข้อหาทำลายค่านิยมทางสังคมอันดีงาม’ ลูกน้องของข้าผู้นี้
ถือว่าโชคยังดีที่อีกว่า....ทุกครั้งที่ชายผู้นี้ไปสนุกลัลลาร์กับ ‘งานอดิเรก’ ของตน เจ้าหมอนี่จะจงใจปกปิดตัวตนของตนไว้ ไม่ว่าจะเป็นครั้งที่โดยปิดล้อมและประชาทัณฑ์โดยเหล่าหน่วยรักษาความสงบเนื่องจากเจ้านี่ไปแก้ผ้าวิ่งมา หรือเมื่อครั้งที่โดยจับโยนเข้าไปในคุกอันมืดมิด ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่เจ้าหมอนี่จะยอมใช้พลังแห่งกฎหมายที่เปิดเผยตัวตนในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายของตนออกมาเลยสักครั้ง
ส่วนกลุ่มย่อยที่สองนั้นถือเป็นกลุ่มที่พบเห็นได้ยากยิ่ง สำนักกฎหมาย
สำนักกฎหมาย พวกเขาเหล่านี้คือหน่วยงานที่เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์กฎหมายและร่างนิติบัญญัติ และในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่สำหรับเปลี่ยนอาชีพขั้นสูงอย่างผู้เอ่ยวลีมนตราแห่งกฎหมาย อัศวินแห่งความยุติธรรมและผู้พิพากษาอีกด้วย โดยความต้องการขั้นต่ำในการเปลี่ยนไปอาชีพขั้นสูงทางกฎหมายนั้นคือ ขั้นต่ำต้องเป็นระดับชั้นทองคำ ถึงสำนักแห่งนี้จะไม่เป็นที่โด่งดังในหมู่คนนอก แต่สำนักกฎหมายแห่งนี้นั้นแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ 4 สำนัก
และเหล่าบุคคลผู้แข็งแกร่งจากสำนักนี้ต่างทำหน้าที่ในฐานะผู้พิพากษามือใหม่ ที่มีความรับผิดชอบหลักในการว่าความชั้นต้น เพื่อให้ได้พบเจอคดีมากมายหลายแบบและตัดสินคดีความเหล่านั้น ให้พวกเขาเหล่านี้ได้กัดเกลาความเข้าใจที่มีต่อพลังแห่งกฎหมายของตน
ภายใต้ระบบของข้า เฉพาะผู้ที่ได้รับการยอมรับจากต้นกำเนิดแห่งบัญญัติและสามารถผ่านการเปลี่ยนอาชีพขั้นสูงเท่านั้น ถึงจะได้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการความยุติธรรมที่มีอำนาจในการพิพากษาผู้อื่นได้ ด้วยเหตุนี้ ทำให้มีคนจำนวนไม่มากที่ทราบว่าแม้แต่เหล่านักศึกษาที่ดูสุภาพนั้นอ่อนแอที่สุดยังอยู่ในระดับชั้นทองคำ
หัวหน้าของสำนักกฎหมายนี้คือนักศึกษาเฒ่าที่กำลังจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่อยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้ ไฮเอลฟ์ เคล ดีย่า หนึ่งในนักการเมืองแห่งประเทศฮวนฟา บุรุษผู้นี้ยังถือได้ว่าเป็นจอมเวทย์ที่แกร่งที่สุดในนครภูผาหลิวฮวงนอกเหนือจากนักบุญผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย
ชื่อ: เคล ดีย่า เผ่า: ไฮเอลฟ์
อาชีพ: นักเวทย์ระดับ 60/ ผู้พิทักษ์แห่งปัญญาระดับ 30/ ผู้พิทักษ์แห่งกฎหมายระดับ 10/ ผู้เอ่ยวลีมนตราแห่งกฎหมายระดับ 5 (ระดับรวม 105 ประมาณความสามารถทางการต่อสู้: ผู้บรรลุโลกา นักเวทย์อาชีพชั้นสูงขั้นที่ 3)
สำนักนิติบัญญัติ แค่ชื่ออาจจะฟังแล้วประทับใจแต่บทบาทในการร่างกฎหมายใหม่และจัดแจงกฎหมายที่ร่างใหม่นั้นถูกโยนให้สำนักอื่นไปแล้ว ทำให้หน้าที่หลักของสำนักนี้คือหน่วยประสานงานจัดการเรื่องจิปาถะต่างๆ รวมทั้งคอยตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ในสำนักอื่น ตัวอย่างการทำงานของสำนักนี้ก็เช่น ในการประชุมเพื่อเห็นชอบในร่างกฎหมายใหม่ สำนักนิติบัญญัติต้องรวบรวมเจ้าหน้าที่จากสำนักอื่นรวมทั้งช่วยในการเก็บรวบรวมข้อเสนอต่างๆเกี่ยวกับกฎหมายและอื่นๆอีกมาก
และด้วยฐานะหน่วยประสานงานนี้เอง ทำให้สำนักนิติบัญญัติไม่จำเป็นต้องมีผู้แข็งแกร่งเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่สำนักนี้จำเป็นต้องมีก็คือความยืดหยุ่นและความเอาใจใส่เพื่อให้งานออกมาสำเร็จเรียบร้อย ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้สมาชิกส่วนใหญ่ของสำนักนี้เป็นเด็กใหม่ที่อยู่ในช่วงลองงานหรือผู้บังคับใช้กฎหมายหญิงที่ไม่อยากขึ้นไปอยู่แนวหน้า
หัวหน้าของสำนักนี้นั้นคือ – ลิลลี่ มิลาน... ใช่แล้วล่ะ ไอ้บ้าลิลลี่ ไอ้วิตถารเดินได้....
นี่เป็นอีกครั้งที่ข้ารู้สึกขอบคุณที่องค์กรความยุติธรรมของเราต้องสวมหน้ากากเพื่อทิ้งตัวตนของตนไป ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้านึกไม่ออกจริงๆเลยว่าข้าจะเผชิญหน้ากับสหายทั้งสองจากพันธมิตรสุภาพบุรุษของข้ากับความรังเกียจอันท่วมท้นจากเหล่าประชาชนเยี่ยงไรดี
ขนาดข้ายังเคยเฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยว่ามันไปผิดพลาดที่ตรงไหนกัน เจ้าโรคจิตทั้งสองตัวนี้ถึงได้ไต่เต้ามาจนถึงตำแหน่งสูงๆในระบบความยุติธรรมแบบนี้ได้
เอาล่ะ เราอย่าไปพูดถึงเรื่องน่าสลดนี้อีกเลย
สุดท้ายแต่ไม่เล็กสุด สำนักพิพากษา ฟังดูทรงพลังใช่มั้ยล่ะ แต่ในเมื่อความผิดชอบในการว่าความชั้นต้นนั้นตกไปเป็นของสำนักกฎหมาย และคำตัดสินสูงสุดนั้นขึ้นกับศาลสูงสุด ที่เหลืออยู่ก็คงมีเพียงชั้นอุทธรณ์เท่านั้น และเมื่อครั้งที่หน่วยรักษาความสงบไปเจอคนที่ไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง เมื่อนั้นแหละจะเป็นครั้งที่สำนักพิพากษาออกทำงาน
ทั้งการตอบสนองต่อคำร้องเรียน คุ้มกันตัวจำเลย หาตัวผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง รวมทั้งจับกุมผู้กระทำผิดหน้าที่เหล่านี้ต่างอยู่ในขอบเขตงานของสำนักนี้ ซึ่งเป็นงานยุ่งยากที่ทำให้คนหงุดหงิดกันได้ทั้งนั้น และเจ้าหน้าที่ของสำนักนี้เองก็หงุดหงิดกันง่ายเสียด้วย ทำให้สำนักแห่งนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ สำนักแห่งการวิวาท และ สำนักแห่งการต่อยตี
และมีอีกสิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงนั้นคือ เรือนจำแห่งนครภูผาหลิวฮวงเองก็อยู่ใต้อำนาจของสำนักนี้เช่นกัน และเมื่อสมัยก่อนที่หน่วยรักษาความสงบจะถูกก่อตั้งขึ้น สำนักพิพากษาถือเป็นกำลังรบเพียงหนึ่งเดียวของระบบความยุติธรรมถ้ามองจากภายนอกล่ะก็นะ และแน่นอน...ถ้าเรามาวัดความสามารถในการรบกันจริงๆ ข้าสามารถบอกได้อย่างมั่นใจเลยว่าสำนักนี้นั้นอยู่อันดับสองจากท้าย เพียงแข็งแกร่งกว่าสำนักนิติบัญญัติที่รับผิดชอบในเรื่องประสานงานไปไม่มากมายนัก
ส่วนหัวหน้าของสำนักนี้ เคลวิน ผู้เป็นแบบอย่างในอุดมคติของเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ พลังอยู่ในชั้นกลางๆ บุคลิกมั่นคงมีภูมิฐานและหน้าตาอันแสนธรรมดา เอกลักษณ์ของชายผู้นี้ก็คือความธรรมดาเนี่ยแหละ จุดแข็งของชายผู้นี้ก็คือความธรรมดาอีกเช่นกัน และจุดอ่อนของชายผู้นี้ก็ยังคงเป็นความธรรมดาอีกนั้นแหละ แต่สำหรับแวดวงผู้มีตำแหน่งสูงๆในระบบความยุติธรรมแล้ว ชายผู้นี้คือคนธรรมดาที่หาได้อย่างยากยิ่ง…
ตัวข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม แต่ ณ จุดๆนี้ข้าถึงได้รู้สึกเศร้าขึ้นมากัน...ทำไมถึงไม่มีคนปกติในระบบความยุติธรรมของข้ามากกว่านี้กัน ทำไมถึงต้องมีพวกโรคจิตมามากมายขนาดนี้ด้วย! หรือเพราะว่าตัวข้าก็เป็นไอ้โรคจิตเช่นกัน!?
แค่ก แค่ก เรากลับมาที่หัวข้อหลักกันเถอะ
และแล้ว 4 สำนัก 1 ศาลก็ได้กลายเป็นโครงสร้างให้กับระบบความยุติธรรมของนครภูผาหลิวฮวง รวมทั้งยังทำหน้าที่เป็นเสาค้ำยันความมั่นคงของนครอีกด้วย และเมื่อครั้งที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง สิ่งที่ข้าต้องทำในทุกวันก็มีเพียงไปที่ศาลแล้วเก็บแต้มชั่วช้าเท่านั้นเอง
ในเมื่อข้าตัดสินใจที่จะช่วยเหลือแอนนี่ให้ขึ้นเป็นเจ้านครคนใหม่และวางรากฐานตำแหน่งของนางหนูให้มั่นคงแล้ว เช่นนั้นแล้ว 4 สำนัก 1 ศาลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของข้าก็ต้องเริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน
“เหตุผลที่ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนให้มารวมกันในวันนี้ก็คือ เพื่อเตรียมตัวสำหรับอนาคต”