ตอนที่แล้วตอนที่ 10 เสียงกระซิบของปิศาจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12 4 สำนัก 1 ศาล

ตอนที่ 11 และแล้ว เนื้อเรื่องหลักก็มาถึง


ถ้าจะถามว่าข้านั้นมีความสัมพันธ์เช่นไรกับชายดวงตกตรงหน้าข้ากันแน่?

ข้าเกรงว่าคงยากที่จะอธิบายออกมาได้อย่างถูกต้องได้

ในอดีตนั้นมีช่วงเวลาหนึ่งที่พวกเราทั้งคู่เป็นสหายร่วมออกผจญภัยด้วยกัน แต่จากนั้นก็เป็นช่วงเวลาอันยาวนานกว่าที่ความสัมพันธ์ของเรากลายเป็นหนึ่งผู้กล้าหนึ่งจอมมาร และมีช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดที่พวกเรามีความสัมพันธ์กันแบบนักโทษและผู้คุม

แต่บัดนี้ท่านผู้คุมกลับมาบอกว่า ตัวเองนั้นทั้งเหนื่อย ทั้งแก่ จนต้องฝืนใจทำหน้าที่ เลยตัดสินใจจะยกเรือนจำให้นักโทษไปจัดการต่อเองทั้งแบบเนี่ยนะ?

“นี่เป็นเรื่องล้อเล่นเช่นไรกันหา? มายกนครให้กับลิชเช่นข้า? ตัวข้ามันจอมมารที่เกือบทำลายโลกนี้ไปแล้วนะ เลิกล้อกันเล่นแบบนี้ได้แล้ว!”

อดัมได้แต่หัวเราะแบบหวานอมขมกลืน

“ข้าก็ไม่คิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกันแหละนา แต่ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะยังมีใครอีกที่ข้าสามารถส่งต่อได้อีกกันล่ะ?”

นั้นก็จริง ใครกันล่ะที่เจ้าหมอนี่จะสามารถส่งต่อให้ได้? เสี้ยวหงส์เหรอ ด้วยฐานะที่เป็นมังกรแดงแล้ว ทำให้นางนั้นมีวิถีชีวิตอันชี้เฉพาะอยู่นั้นคือ กิน -> นอน -> ตื่น -> เล่น -> เหนื่อย -> นอน…ถ้าเกิดนางได้ขึ้นเป็นเจ้านคร ข้ากลัวว่านางจะขายนครทิ้งเพื่อเหรียญทองคำในวันต่อมาเลยเนี่ยสิ

แล้วถ้าเป็นสามผู้นำคนสุดท้าย นักบุญมากาเร็ตล่ะ? นางนั้นทั้งฉลาดทั้งรอบรู้ ตัวนางน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดนิ

“มากาเร็ตถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดก็จริง แต่นางบอกว่าจะเลิกแล้วเหมือนกัน”

แน่ล่ะที่นางต้องเลิก นางยอมทิ้งช่วงเวลาอันเยาว์วัยของนางกว่าร้อยปีไว้ที่นี่ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจ้าสมองทึบนี่ยังตั้งมั่นไม่สั่นคลอน ยอมตายเพื่อรักครั้งเก่าที่ผ่านมานานแสนนานแถมยังจะมาโบ้ยความรับผิดชอบให้คนอื่นอีก มากาเร็ตเองก็คงอดกั้นน่าดูที่ไม่ยอมมาดัดสันดานเจ้าหมอนี่ที่นี่

เมื่อมองดูใบหน้าของชายที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ โทสะข้ายิ่งปะทุ ทำไมผู้หญิงดีๆอย่างมากาเร็ตถึงต้องมาตกหลุมรักเจ้าโง่แบบนี้กันด้วย?

“เวรเอ่ย ถ้ามีผู้หญิงดีๆอย่างมากาเร็ตมาตกหลุมรักข้าบ้างนะ....”

“แหะแหะ” เจ้าอดัมได้แต่หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข(แบบกวนเบื้องล่าง) เสียงหัวเราะที่ก่อให้เกิดความอยากตั้นหน้าหมอนี่จังๆซักดอก

“ไอ้บ้า นี่เจ้าต่อยข้าแล้วนิ”

เอาล่ะ ในเมื่อการกระทำย่อมดีกว่าคำพูดเสมอ ในเมื่อข้าคิดแล้ว ข้าจะลังเลไปทำไม ขอข้าจัดไอ้แก่หน้าหล่อนี่ให้เป็นหมีแพนด้าไปเลยละกัน(มีวงสีดำตรงเบ้าตายทั้งสองข้าง)

หลังจากนั้น เราทั้งคู่ก็ไฟว้(ต่อย)กันแต่พอผ่านไปได้สัก 10 วินาที เนื่องด้วยข้อเสียเปรียบทางอาชีพของข้า ส่งผลให้กำลังกายข้านั้นมีจำกัด ทำให้ตอนนี้เจ้าอดัมได้มานั่งอยู่บนสันหลังข้าพร้อมดัดขาทั้งสองข้างของข้าขึ้น ตัวข้าได้แต่เอามือตบพื้นยอมแพ้อย่างสิ้นท่า

“หยุดดึงนะว้อย! กระดูกข้าจะหักแล้ว จะหักแล้ว! หักแล้ว! ไอ้สถุล ถ้าข้ายังเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์อยู่นะ....”

“เอาล่ะ ตอบมา ว่าเจ้าจะรับไม่รับ!”

“ไม่รับว้อย! ข้าต้องลำบากแทบตายกว่าจะรอให้โทษข้าหมดลงเพื่อจะได้ออกไปโลกภายนอกสักที แถมข้ายังมีเรื่องต้องจัดการเหลืออีกด้วย จะให้ตำแหน่งผู้คุมกับข้าเพื่อเป็นตรวนล่ามนักโทษผู้นี้ไว้เหรอไง? นี้มันเรื่องตลกแบบไหนกันหา!”

“คุก งั้นเหรอ? จวบจนถึงบัดนี้ ตัวเจ้ายังมองเมืองที่พวกเราใช้เลือดเนื้อและหยาดเหงื่อร่วมกันสร้างขึ้นมาเป็นคุกอยู่อีกรึ? นี้เจ้าจะทนดูเมืองแห่งนี้เสียผู้พิทักษ์ไปจนต้องตกเป็นเมืองขึ้นของเหล่าเจ้านครใต้พิภพได้อย่างงั้นเหรอ?”

“แน่อยู่แล้วว่าต้อง......” ข้าตั้งใจที่จะพูดออกไปว่า ‘แน่อยู่แล้วว่าต้องเป็นคุก ใครจะไปสนคุกแห่งนี้กันล่ะ’ หรืออะไรเทือกนี้ แต่พอถึงคราวที่ต้องพูดข้ากลับลังเล

นี่คิดกันจริงๆรึว่าข้าจะมองเมืองที่ข้าใช้เวลากว่าร้อยปีสร้างขึ้นมาด้วยมือของข้าคู่นี้เป็นคุกที่กักขังและล่ามข้าไว้? ข้าขอบอกไว้เลยว่า ในชีวิตอันยาวนานของข้าแล้วนั้น วันเวลาที่ข้าได้ใช้ในนครภูผาหลิวฮวงนั้นเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ข้ามีความสุขที่สุดในชีวิตข้าเลย

ทุกเผ่าพันธุ์สามารถพึ่งพาอาศัยกันได้ ไร้สงครามขนาดใหญ่มาหลายทศวรรษและเหล่าปวงชนต่างพอใจกับการใช้ชีวิตที่นี่ นครอันแปลกประหลาดนี้คงเป็นนครที่ไม่เหมือนใครที่สุดจากเหล่านครทั่วทั้งทวีปเอ็ชแห่งนี้แล้ว นี่แหละคือนครที่พวกเราร่วมกันสร้างขึ้นจากอิฐก้อนต่อก้อน

“ข้ายอมรับก็ได้ ถ้ายอมให้เจ้าพวกหมูละโมบโลภมากเหล่านั้นมาถือครองไข่มุกที่พวกเราร่วมสร้างกันมาด้วยความอุตสาหะแล้วย่อมกวนใจข้าเป็นแน่ เช่นนั้นเจ้าต้องการจะให้ข้าทำอะไรกันแน่? อย่ามาบอกให้ข้าขึ้นเป็นเจ้านครล่ะ ตัวเจ้าก็รู้ว่าข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่เพราะงั้นข้าย่อมไม่มีเวลามากพอมาเป็นเจ้านครให้เจ้าหรอก แค่เอ่ยข้อเสนอของเจ้ามาก็พอ”

เจ้าหมอนี่รู้จักข้าดี แล้วข้าก็รู้จักเจ้าหมอนี่ดีเช่นกัน เจ้านี่รู้อยู่แล้วข้านั้นไม่สามารถยอมรับตำแหน่งขึ้นเป็นเจ้านครได้ คำพูดที่หมอนี่พูดมาจนถึงเมื่อครู่คงเป็นบทที่มากาเร็ตเตรียมไว้ให้ เจ้านี่คงยอมถอยก้าวหนึ่ง แล้วเสนอเรื่องที่ข้าน่าจะรับได้มากกว่านี้ออกมา

“เหเห ปฏิกิริยาของเจ้าเป็นอย่างที่มากาเร็ตบอกไว้เป๊ะเลย ถ้าในเมื่อพวกเราทุกคนไม่สามารถรับตำแหน่งขึ้นเป็นเจ้านครได้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้คนรุ่นหลังมารับช่วงไปละกัน เจ้าว่างั้นไหม?”

“คนรุ่นหลัง? พวกเราต่างโสดไร้คู่กันยกก๊วนแล้วไอ้คนรุ่นหลังที่เจ้าว่าจะไปหาจากไหน? นี่เจ้าหมายถึง...”

“ใช่แล้ว แอน ลูกศิษย์ของข้าและแฟนสาวในข่าวลือของเจ้า แอนผมแดง นางกลับมาแล้ว”

แอน เด็กกำพร้า อายุ....น่าจะราวๆ 17 18

อย่ามองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนั้นสิ นางหนูเป็นเด็กกำพร้าที่อดัมรับมาอุปการะดูแล ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้พบนางหนูน่าจะเป็นซักราวๆ 7 ไม่ก็ 8 ปีก่อนเนี่ยแหละ และพวกเราชาวลิชเองก็ไม่ค่อยรับรู้เรื่องวันเวลาเท่าไรนัก ที่ข้ายังพอจำอายุนางได้คราวๆก็ถือว่าดีกว่าเพื่อนร่วมเผ่าข้าตั้งเยอะแล้ว

ส่วนไอ้เรื่องข่าวลือที่เป็นแฟนสาวของข้านั้น เป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่นแค่นั้นแล สมัยนั้นตอนที่นางหนูยังเล็กๆอยู่ นางเห็นพวกเราสองพี่น้องเอาแต่นั่งบ่นเรื่องทำไมพวกเราถึงยังไร้คู่แถมยังบาดแผล(เหน็บแนม)ใส่กันเองอยู่ร่ำไปอีก นางหนูที่สงสารข้า จึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะแต่งกับข้าเมื่อตัวนางโตขึ้น ด้วยประการฉะนี้แหละ จากนั้นเป็นต้นมาลิชโรแลนด์และแฟนสาวผู้ชอบคนตายก็กลายเป็นเรื่องขบขันชวนหัวเราะในหมู่พวกเราไป

“หยุดล้อเล่นได้แล้วนา ส่งไม้ต่อให้แอน? เจ้ามั่นใจเหรอว่านครภูผาหลิวฮวงจะมีอะไรเหลือในวันที่สองหลังจากนางหนูรับตำแหน่ง?”

เจ้าคิดว่าแอนเป็นคนเช่นไรกัน? ข้าขอใช้คำเพียงคำเดียวในการอนุมานถึงตัวนาง เกเร!!!! ราชาของเหล่าเด็กเกเรที่เกเรที่สุดในปฐพีนี้

เมื่อครั้งแรกพบของพวกเรา ตอนนั้นข้ากำลังอยู่ระหว่างลงน้ำมันเพื่อถะนุถนอมกระดูกของข้า น้ำมันคุณภาพเยี่ยม ซึ่งเป็นน้ำมันโคอสรพิษแถมผสมด้วยเกลือชนิดพิเศษลงไปอีก ระหว่างที่ข้ากำลังสุขใจกับกะโหลกอันกระจ่างใสเงางามส่องแสงทอประกายของข้าอยู่นั้นเอง.....

“ย้าก ชู้ด!”

ข้าได้ยินเสียงร้องตะโกนจากเสียงที่เหมือนเด็กตัวเล็กๆ ก่อนที่ภาพที่ข้าเห็นจะซ้อนทับกันอย่างรวดเร็ว แล้ววิสัยทัศน์ของข้าก็หมุนวนซ้ำไปซ้ำไม่มีหยุดและในวันนั้นเองที่ข้าได้รับรู้ว่าแม้แต่ลิชเองก็ตายจากอาการเวียนหัวได้เหมือนกัน ถ้าหัวหมุนเร็วเกินไปล่ะก็นะ

และในวันนั้นเอง ศีรษะของข้าได้พุ่งทะยานไปไกลกว่าหลายลี้ พร้อมกับเหตุการณ์โครงกระดูกไร้หัวที่สร้างความหวาดผวาแก่ผู้พบเห็นจนเกือบตายจำนวนนับไม่ถ้วน ท้ายที่สุด ข้าก็ไปพบศีรษะตัวเองอยู่ในกองขยะ...

ถึงตัวข้าจะสูญเสียความสามารถในการรับกลิ่นไปแล้วก็ตาม แต่บ่ายคราวนั้น ข้าก็ยังรู้สึกขยาดด้วยขยะและแมลงเหม็นเน่าเหล่านั้นอยู่ดี

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ข้าได้รับรู้ว่าแอนที่กำลังอายุ 6 ขวบเมื่อตอนนั้นกำลังหลงใหลในเกมกีฬาที่พวกเราสองคนร่วมกัน ‘คิดค้น’ ขึ้นนั้นคือ ฟุตบอล นั้นเอง และงานอดิเรกที่นางหนูโปรดปรานก็คือการทำตามสัญชาตญาณของตัวนางหนูเอง ซึ่งก็คือการตะโกนสุดเสียงพร้อมเตะอะไรสักอย่างที่มันกลมๆ ไม่ว่าจะเป็นขยะ ลูกหมา ลูกแมวตามท้องถนนก็ตาม

แล้วดันพอดีที่ หัวกะโหลกของลิชเองก็กลมเหมือนกัน แถมแสงทอประกายจากกะโหลกอันเงางามยิ่งคล้ายลูกบอลสีขาวๆเข้าไปใหญ่....

แต่ด้วยที่ตัวข้าเองก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไร ดังนั้นข้าย่อมไม่ยอมลดตัวไปทะเลาะกับเด็กหรอก แต่ดูเหมือนนางหนูจะได้ตกหลุมรักความรู้สึกที่ได้จากการเตะอะไรสุดแรงไปซะแล้ว

“ก็ลูกบอลหนังที่ให้ผู้หญิงเตะน่ะ พอเค้าใส่แรงเข้าไปนิดหน่อยก็ระเบิดไปหมดเลยอะ แต่หัวของคุณลุงกระดูกน่ะทั้งให้ความรู้สึกของพลังเวทย์ทั้งยังน่าสนุกกว่าพวกลูกบอลตั้งเยอะแน่ะ แถมเวลาที่เค้าเตะหัวคุณลุงน่ะ เค้ายังรู้สึกสุขใจมากๆเลย”

หลังจากวันนั้นมา ข้าก็เหลือเพียงความรู้สึกเคืองแบบสุดๆต่อใบหน้ารอยยิ้มอันใสซื่อของพวกเด็กเกเรทั้งหลาย

ถ้าเรามองข้ามเรื่องที่การโจมตีของนางหนูนั้นไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่นอนไป สิ่งที่น่าทื่อที่สุดก็คือการโจมตีเหล่านี้นั้นไม่มีจิตมุ่งร้ายปนอยู่เลย มนตราป้องกันที่ข้าร่ายติดตัวไว้จะทำงานทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตมุ่งร้าย..... ในวันนั้น วันที่ข้าต้องมานั่งเขียนมนตราป้องกันขึ้นใหม่อีกครั้งช่างน่าคิดถึงยิ่งนัก

ทุกครั้งที่ข้าได้เจอนางหนู ย่อมเป็นคราววิบัติต่อตัวข้าเสมอ

เหล่าช่วงเวลาในอดีตนั้น มีมากมายหลายคราที่ข้าเพียงได้ยินคำทักทายอันเป็นเอกลักษณ์ของนางหนู ‘ดีจ้า! คุณลุงกระดูก’ ก่อนที่ภาพที่ข้าเห็นจะซ้อนทับกันอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าและแผ่นดินต่างหมุน 360 องศารอบตัวข้าจนกว่าข้าจะไปลงหลุมซักที่.....

ความเกลียดชังที่ข้ามีต่อคนเกเรก็เริ่มต้นด้วยประการฉะนี้แหละ

หลังคราวนั้น ยังมีครั้งที่เทรนด์ ร็อค แอนด์ โรล กับ แร็บ กำลังมาแรง เจ้าเด็กเกเรนี่ดันไปได้ยินข่าวจากแหล่งข่าวไม่ทราบที่มาแหล่งใดก็ไม่ทราบว่า กระดูกที่อัดแน่นไปด้วยพลังเวทย์นั้นสามารถสร้างไม้กลองเวทมนต์ชั้นสุดยอด พร้อมความสามารถพิเศษในการปลุกความเร้าใจในตัวผู้ชมออกมาได้

สำหรับวัตถุดิบกระดูกเวทมนต์ที่คุณภาพระดับสูงสุดแล้ว นอกเหนือจากกระดูกมังกร ที่พอจะเทียบเคียงได้ก็คงมีเพียงตัวตนสูงสุดของเผ่าอันเดด – ลิช นั้นเอง

ข้ายอมรับ ว่าวงของนางหนู ‘สคัลร็อค’ นั้นสามารถทำให้คนทั้งนครอึ้งทึ้งตะลึงได้ แต่ถ้าไม่ใช่ว่าเครื่องดนตรีนั้นไม่สามารถนับได้ว่าเป็นสมาชิกวงและเพลงที่ซี่โครงข้าได้เล่นนั้นถูกยกย่องว่ายอดเยี่ยมเหนือชั้นแล้ว ข้าจะไปมีความสุขกับเหตุการณ์ครั้งนี้ได้อย่างไรกัน

และเมื่อครั้งที่นางหนูได้อ่านนิทานเกี่ยวกับปราสาทน้ำแข็งและหุบเขาหิมะ ตัวนางหนูก็ได้นึกไอเดียที่จะจัดงานแสดงศิลปะโดยใช้กระดูกเป็นหัวข้อหลักขึ้น

“เมืองของเรานั้นไม่มีหิมะตก จะมีก็แต่กำมะถัน....แต่ถ้ารับไปมากๆก็เป็นพิษอีก แต่ว่านะ เมืองของเรายังขึ้นชื่อเรื่องเป็นเมืองของอันเดดด้วยเพราะฉะนั้นแล้วมาใช้อันเดดเป็นวัตถุดิบสร้างงานศิลปะกันเถอะ! วิญญาณศิลปินในตัวเค้ากำลังลุกโชนแล้วตอนนี้!”

เมื่อคราวที่นางหนูจากนครแห่งนี้ไป เพื่อออกไปสร้างความวิบัติแก่โลกภายนอก ทั้งนครต่างตกอยู่ในสภาวะยินดีรื่นเริงเต็มที่ แต่ผู้ที่ยินดีที่สุดคงไม่พ้นเหล่าอันเดดจากเขตตะวันออกที่ต้องตกเป็นเหยื่อการกลั่นแกล้งจากนางหนูมากมายหลายหน

และยังมีครั้งที่ การแข่งขันโปโลดูลาฮาน การแข่งขันราชันโครงกระดูกเท้าไฟ รายการ’ฉันเป็นนักร้อง’ของเหล่าไซเรนอีก ตัวนางหนูนั้นไม่มีความกลัวต่อพวกเราอย่างที่คนปกติสามัญพึ่งมีเลย เขตอันเดดตะวันออกแห่งนี้ทั้งเขตก็เปรียบได้ดั่งสวนสนุกสำหรับนางหนูนั้นแหละ

สวนสนุกอันเดดที่เล็งด้านการท่องเที่ยวในปัจจุบันเองก็มีต้นแบบมาจากความคิดของนางหนูเนี่ยแหละนะ และแผนปฏิบัติการ ‘ใช้แหล่งท่องเที่ยวอันเดดเป็นจุดขาย เรามากระตุ้นเศรษฐกิจนครภูผาหลิวฮวงกันเถอะ’ ก็เกิดมาจากเหตุนี้เช่นกัน

“อย่าพูดแบบนั้นสิ ถึงแม่หนูแอนนี่จะซุกซนไปบ้าง แต่ก็ด้วยความซุกซนของนางไม่ใช่เหรอที่ช่วยลดระยะห่างระหว่างเหล่าอันเดดกับชาวเมืองที่เหลือลงได้ แถมไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็คิดเหรอว่าสิ่งที่เจ้าแห่งนครจำเป็นต้องมีนั้นไม่ใช่พลังมากมายเหลือล้นอะไร แต่เป็นความสามารถที่จะมองปวงประชาของตนอย่างเท่าเทียมกันต่างหาก? ถ้ามองในแง่นี้ ตัวแอนนี่นั้นเหนือกว่าตัวเลือกอื่นทุกคนเลยไม่ใช่หรอกเหรอ”

“หืม มากาเร็ตใช้ให้เจ้ามาพูดแบบนั้นล่ะสิ”

“แหะแหะ แต่นี่ก็ความคิดเห็นของข้าเช่นกัน ถ้าตัวแอนนี่ไม่ได้เป็นที่รักของทุกคน ทุกคนเองก็คงไม่มาเสียเวลาเล่นกับนางหรอก”

“...และด้วยฐานะของผู้นำคนใหม่ ถึงภาพลักษณ์จะเป็นที่นิยมชมชอบทั้งยังเป็นที่รักของปวงประชาแต่นั้นก็หาได้เพียงพอแต่อย่างใด แต่ยังจำเป็นต้องมีคนที่คอยทำงานอยู่ในเงามืดเช่นกัน ดังนั้นแล้วทั้งตัวเจ้าและมากาเร็ตต่างอยากให้ข้าเป็นคนคนนั้นล่ะสิ?”

“แค่เจ้าชี้แนะนางไปในทางที่ถูกที่ควรก็พอ นั้นคงกินเวลาเจ้าไม่นานนักหรอก แล้วถ้าเกิดเจ้ารู้สึกว่าตัวนางไร้ความสามารถที่จะทำได้ดีเมื่อใด เจ้าก็ขึ้นตำแหน่งแทนนางได้เลย เพราะในตอนนั้นคงไม่มีใครที่จะหยุดเจ้าได้อีกแล้ว”

อดัมได้หัวเราะออกมาอย่างเริงร่า(กึ่งกวนอวัยวะเบื้องล่าง) “ยิ่งกว่านั้น แอนนี่ตัวน้อยก็เป็นถึงคู่หมั้นของเจ้า การช่วยเหลือนางก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในหน้าที่ของเจ้าเช่นกัน”

ข้าไม่ได้ตอบรับใดๆกับคำของอดัม ตอนแรกข้าตั้งใจที่ปฏิเสธแต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างปัจจุบันทันด่วนได้รบกวนกระบวนการคิดข้าจนหมดสิ้น

ในชั่วครู่นี้ หน้าต่างสีทองคำได้มาปรากฏต่อหน้าข้า

“ติ้ง! ขอแสดงความยินดีด้วยที่ท่านได้เริ่มภารกิจชั้นมหากาพย์ การฟื้นคืนแห่งวิหคเพลิงอมตะ(ฟินิกซ์)”

“เป้าหมายภารกิจ: ตรวจสอบและคลี่คลายภัยอันตรายที่นครภูผาหลิวฮวงต้องเผชิญ รวมทั้งชุบเลี้ยง แอนนี่ เลย์ดี้ ให้เป็นผู้นำผู้มากความสามารถก่อนที่อดัมจะสิ้นอายุขัยลง”

“ค่าตอบแทนภารกิจ: บัตรส่วนลดระดับชั้นมหากาพย์ (ถ้าใช้บัตรส่วนนี้ ท่านจะสามารถชำระค่าใช้จ่ายของสินค้าชั้นมหากาพย์หรือต่ำกว่าในระบบค้าขายของทางเราได้ในครึ่งราคา) สิทธิ์ในการเริ่มภารกิจเนื้อเรื่องหลัก”

“อย่างน้อย.....ก่อนที่ท่านจะจากบ้านเกิดเมืองนอนไป ก็ควรส่งต่อให้คนที่พึ่งพาได้ซะก่อน จะยังไงซะตัวท่านก็คงไม่อยากเห็นเพียงก้อนกรวดเมื่อครั้งที่ท่านกลับมา” (ระบบ)

“บทลงโทษถ้าภารกิจล้มเหลว: ทางเราจะเปลี่ยนให้ท่านเป็นหัวกะโหลกที่มีเห็ดงอกดี? หรือเป็นหัวกะโหลกที่งอกจากเห็ดจะดีกว่า? หรือว่าทั้งสองแบบจะยังดีไม่พออีก? ถ้างั้นเอาเป็นเห็ดหัวกะโหลกงอกจากโครงกระดูกละกัน”

ในอดีตข้านั้นได้เริ่มภารกิจกะทันหันจากระบบบัดซบแบบนี้มาหลายครั้งหลายคราแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงภารกิจที่ให้กำจัดสิ่งมีชีวิตอื่นแล้วค่าตอบแทนเป็นฉายาอันสูงส่งสุดไร้สาระทั้งหลาย นี้เป็นหนแรกเลยที่เจ้าระบบให้อะไรที่มันดูสมน้ำสมเนื้อแบบนี้

และในตอนนี้เอง ที่ข้าเหลือบไปเห็นตรงค่าตอบแทน ‘สิทธิ์ในการเริ่มภารกิจเนื้อเรื่องหลัก’ ข้ารับรู้ได้ในทันทีว่าเวลาที่เหตุการณ์ที่บันทึกในบทสรุปเกมกำลังจะมาถึง สิ่งที่เรียกว่าเนื้อเรื่องหลักนั้นน่าจะสื่อถึงสิ่งที่เหล่าผู้เล่นต้องพบเจอในประวัติศาสตร์ ภัยพิบัติล้างพิภพจากขุมนรกทั้ง 7 หน

นั้นคือสิ่งที่อยู่ในการคาดคะเนของข้าตอนนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ข้าเนื้อเต้นได้จริงๆนั้นคือของตอบแทนอีกสิ่งนึง

“บัตรส่วนลด? ถ้าข้าได้ชุบชีวิตในครึ่งราคา ก็หมายความว่าข้าสามารถคืนชีพได้เร็วขึ้นน่ะสิ?”

เมื่อข้าคิดได้เช่นนั้น ภารกิจต่อไปก็ปรากฏขึ้นทันที

“ติ้ง! ขอแสดงความยินดีด้วยที่ท่านได้เริ่มภารกิจชั้นมหากาพย์ การกลับมาของราชันแห่งลิชอีกครั้ง(แล้วทำไมทางเราต้องพูดว่าอีกครั้งด้วยล่ะ?)”

“เป้าหมายภารกิจ: ใครจะสนกันว่าจะเป็นเทพปิศาจหรือแผนชั่วช้าจากแห่งหนใด จงยอมศิโรราบเมื่ออยู่เบื้องหน้าราชันแห่งลิชซะเถอะ ถึงความรุนแรงจะแก้ไขไม่ได้ทุกปัญหาแต่อย่างน้อยก็แก้ไขเรื่องผู้เป็นปริปักษ์ได้ ในเวลาอันสั้นที่สุด จงขึ้นเป็นเจ้านคร ปลุกชีพกองทัพย่งเย่ขึ้นมาให้เหล่าคนเป็นต้องลิ้มรสชาติแห่งความกลัวแห่งภัยพิบัติอันเดดอีกครั้งด้วยเทอญ”

“ถึงเวลาแล้วที่เจ้าพวกกระดูกขี้เกียจเขตตะวันออกจะได้เคลื่อนไหวอีกครา ถ้ายังปล่อยให้พวกมันเที่ยวเล่นเรื่อยเปื่อยแบบนี้ต่อไปที่นั้นอาจจะกลายเป็นสวนสนุกอันเดดไปจริงๆก็เป็นได้ ตอนนี้เหล่าอันเดดต่างเริ่มลืมเลือนถึงเกียรติภูมิในฐานะหมาป่ารัตติกาลแห่งแดนตะวันออกกันซะแล้ว”

“ค่าตอบแทนภารกิจ: สิทธิ์ในการเริ่มเนื้อเรื่องระบบศักดินาและสงครามชิงแผ่นทวีป รวมทั้งร่างกายลิชระดับชั้นกึ่งเทวะอันสมบูรณ์แบบ”

“บทลงโทษถ้าภารกิจล้มเหลว: เอาความจริงเลยนะ สำหรับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ความสามารถนำความวอดวายมาให้ชาวบ้านไม่มีใครเทียบเคียงเยี่ยงท่านแล้ว ทางเราไม่สามารถคิดหาเหตุผลใดๆที่ท่านจะทำภารกิจนี้ล้มเหลวได้เลย”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด