บทที่ 238 หลอมรวมทักษะวิชา
อีกด้านหนึ่ง เจียงอี้ยังไม่ตายและอยู่ครบทั้งสามสิบสองส่วน แต่ดูท่าทางเขาในตอนนี้จะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“ไม่มี!”
“ที่นี่ก็ไม่มี!”
“มันจะไม่มีเลยได้ยังไง?!”
เจียงอี้อยู่ในถ้ำที่ลึกลงไปใต้ดินกว่าสามสิบกิโลเมตรทางตอนเหนือของอาณาจักรต้าเซี่ย เขานำกล่องสมบัติทั้งยี่สิบกล่องออกมาวางเรียงรายและเริ่มค้นหาสมุนไพรสยบวิญญาณ
แต่ไม่ว่าจะหากี่รอบ เขาก็ไม่พบแม้แต่เงาของมัน!
แผนการสกัดขบวนคุ้มกันเจ้าสาวที่หุบเขาทลายวิญญาณทำให้เขาเสี่ยงตายอย่างมาก โชคดีที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวระดับสูงปรากฏตัวออกมา
แต่ถ้าหากตัวตนระดับไท่สื่อเจินหรือเว่ยกงกงลงมือด้วยตัวเอง เขาก็ไม่มีทางที่จะหลบหนีมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
หลังจากที่แผนการปล้นประสบความสำเร็จ ก็ไม่ต้องบอกเลยว่าเจียงอี้นั้นตื่นเต้นแค่ไหน แต่ใครจะรู้ล่ะว่าในบรรดากองสมบัติที่มีขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆเช่นนี้ กลับไม่มีสมุนไพรสยบวิญญาณที่เขาตามหา?
ในกองสมบัตินั้นมีสิ่งประดิษฐ์อยู่มากมายและสี่ชิ้นในพวกมันยังเป็นถึงสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีทั้ง ภาพวาดโบราณ, อัญมณี, เม็ดยาระดับสูง, สมุนไพรวิญญาณ…
ก่อนหน้านี้ เฉียนว่านก้วนเคยแสดงภาพเหมือนของสมุนไพรสยบวิญญาณให้เจียงอี้ดูครั้งหนึ่งและเขาก็มั่นใจว่ามันไม่ได้อยู่ในกองสมบัติเหล่านี้อย่างแน่นอน
“เป็นไปได้ไหมว่าสมุนไพรสยบวิญญาณจะไม่ได้อยู่ในรายชื่อของขวัญตั้งแต่แรก?”
คิ้วของสองข้างของเจียงอี้ขมวดเข้าหากันและพยายามครุ่นคิดถึงทุกความเป็นไปได้ แต่ไม่นานนักเขาก็ส่ายหัวและขับไล่ความคิดนี้ออกไป
การที่เซี่ยอู๋หุ่ยเรียกร้องสมุนไพรสยบวิญญาณ มันจะต้องเป็นเพราะเขาต้องการที่จะใส่มันลงไปในรายชื่อของขวัญหมั้นหมาย มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่มีคำอธิบายที่ดีพอต่อเจียงเปี๋ยหลี
“เซี่ยอู๋หุ่ย!!”
จากนั้นไม่นาน เจียงอี้ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจบางอย่าง ในฐานะรัชทายาท เซี่ยอู๋หุ่ยย่อมมีแหวนมิติอยู่กับตัวเป็นธรรมดา
เมื่อพิจารณาถึงสมบัติที่เจียงอี้ปล้นมาได้อย่างถี่ถ้วน ถึงพวกมันจะมีค่าแต่ก็ยังไม่คู่ควรที่จะเป็นของขวัญหลักสำหรับการสู่ขอเจ้าสาวที่มีสถานะเป็นถึงองค์หญิงของอาณาจักรหนึ่ง
นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสมบัติที่แท้จริงรวมไปถึงสมุนไพรวิญญาณอาจจะยังอยู่ที่เซี่ยอู๋หุ่ย!
“ข้าจะทำยังไงดี?”
บัดนี้ เจียงอี้ตกอยู่ในสภาวะสับสนอย่างสิ้นเชิง หากเขาต้องการที่จะออกปล้นอีกครั้ง มันคงเป็นเรื่องยากเสียแล้ว
มีความเป็นไปได้สูงว่ารอบกายเซี่ยอู๋หุ่ยในตอนนี้จะเต็มไปด้วยยอดฝีมือระดับสูงจำนวนมาก และถึงแม้ว่าเจียงอี้จะโชคดีสังหารอีกฝ่ายได้ แต่ก็ไม่แคล้วจะต้องถูกกลบฝังไปพร้อมกับอีกฝ่าย
“คิดไปก็หนักหัว เช่นนั้นข้าก็ควรที่จะไปเติมเต็มเพลิงโลกาและหาโอกาสใหม่ดีกว่า!”
เจียงอี้ได้ขึ้นขี่หลังเสือแล้ว เขาก็ไม่สามารถที่จะลงมาได้อีก นอกจากนี้มันยังมีชีวิตของเจียงเสี่ยวนู๋เป็นเดิมพัน ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องเอาสมุนไพรสยบวิญญาณมาให้ได้
เจียงอี้หยิบสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ประเภทดาบขึ้นมาและสำรวจมันอย่างใกล้ชิด จากนั้นเขาก็ใช้แก่นแท้พลังสีดำเพื่อขัดเกลามันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
แต่เมื่อตระหนักได้ว่าไม่สามารถขัดเกลามันได้ในเวลาอันสั้น เขาจึงละความสนใจจากมันไปทันที จากนั้นก็เก็บสมบัติทั้งหมดเข้าไปในไข่มุกวิญญาณเพลิง
“บ่มเพาะพลัง!”
เจียงอี้นั่งขัดสมาธิและบ่มเพาะพลังเป็นเวลาสี่ชั่วโมง หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและตะโกน
“เจ้าเหลืองใหญ่!”
“มอ มอ!”
สัตว์อสูรขนาดมหึมาปรากฏตัวขึ้นจากอีกด้านหนึ่ง เมื่อเจียงอี้กระโดดขึ้นไปบนหลัง เขาก็สั่งให้มันมุ่งตรงไปยังภูเขาอัคคีเมฆาในทันที
เขาคิดว่าการสำรวจของหน่วยสอดแนมเหล่านั้นคงจะสิ้นสุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดในหุบเขาทลายวิญญาณคงจะทำให้คนพวกนั้นถูกดึงดูดความสนใจและจากไปแล้ว
การเข่นฆ่าในหุบเขาทลายวิญญาณใช้เวลาไม่นานนัก แต่เพลิงโลกาของเจียงอี้ก็ถูกใช้ไปถึงหนึ่งในสาม ตามความคิดของเขา หากว่าครอบครองเพลิงโลกาในจำนวนที่มากพอ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวก็ยังต้องพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะสังหารเขา
แน่นอน เพลิงโลกาอาจจะมีปริมาณที่ไม่สิ้นสุด แต่ห้วงมิติภายในไข่มุกวิญญาณเพลิงนั้นมีจำกัด แม้ว่าเจียงอี้จะเติมจนเต็ม แต่มันคงไม่เพียงพอที่จะต้านทานผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวหลายร้อยคนที่ลงมือโจมตีในเวลาเดียวกัน
เจียงอี้สั่งให้เจ้าเหลืองใหญ่ขุดลึกลงไปอีกสิบกิโลเมตร แม้ว่าเขาจะรู้สึกอึดอัดเนื่องจากต้องรับแรงกดดันที่มองไม่เห็น แต่เขาก็เลือกความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง
ปัจจุบันเขาอยู่ทางตอนใต้ซึ่งเป็นรอยตัดระหว่างหุบเขาทลายวิญญาณและภูเขาอัคคีเมฆา ด้วยความเร็วของเจ้าเหลืองใหญ่ในตอนนี้ เขาคงจะไปถึงที่หมายในเวลาเพียงครึ่งวัน
ในบางครั้งเจียงอี้ก็สั่งให้เจ้าเหลืองใหญ่ขุดขึ้นไปและหยุดอยู่ห่างจากผิวดินไม่กี่เมตรเพื่อที่จะใช้หูในการดักฟังเสียงรอบๆ
ด้วยพลังของแก่นแท้พลังสีดำทำให้ศักยภาพในการฟังของเขาถูกยกระดับขึ้นอีกขั้น ในเวลานี้เขาได้ยินแม้แต่เสียงลมที่พัดผ่านต้นหญ้า
หลังจากที่เงี่ยหูฟังอยู่ชั่วครู่ เจียงอี้ก็มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ด้านบน จากนั้นเขาก็ถอดชุดเกราะออกและเปลี่ยนไปใส่ชุดที่ใช้พลางตัวในยามค่ำคืนแทน
ท้องฟ้าภายนอกถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ด้วยดวงตาที่ถูกยกระดับโดยแก่นแท้พลังสีดำทำให้เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน แต่หลังจากที่เดินเข้ามาในเขตภูเขาอัคคีเมฆา เขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
“บ้าจริง! มีคนอยู่ที่นี่!”
ปลายหูของเจียงอี้กระดิกเล็กน้อย โดยไม่รอช้า เขารีบพุ่งเข้าไปยังพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลและซ่อนตัว
ฟึ่บ ฟึ่บ
เป็นไปตามคาด ไม่นานนักบุคคลลึกลับสองคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็มาปรากฏยังตำแหน่งที่เจียงอี้เคยอยู่ ด้วยความเร็วในการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็สามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะต้องเป็นนักสู้ขอบเขตจื่อฝู่อย่างแน่นอน
“หืม?”
แม้ว่าเจียงอี้จะซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ แต่ด้วยประสบการณ์ของหน่วยสอดแนมระดับสูงเหล่านี้ ทำให้ตำแหน่งของเขาถูกค้นพบในไม่ช้า พวกเขาทั้งสองพุ่งเข้ามาหาเขาพร้อมกับส่งเสียงประหลาด
“กู กู!”
“มันหมายความว่าอะไร?”
เจียงอี้ไม่รู้ว่าหน่วยสอดแนมใช้วิธีการใดในการติดต่อสื่อสารกัน ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปโดยใช้วิธีการเลียนเสียง
“กู กู!”
“ตาย!”
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเมื่อเจียงอี้ตอบกลับไปด้วยเสียงที่เหมือนกัน อีกฝ่ายกลับปลดปล่อยจิตสังหารออกมาและเตรียมที่จะลงมือสังหารเขาในทันที
“ฝันไปเถอะ!”
ในเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงการปะทะได้แล้ว เจียงอี้ก็นำดาบเกล็ดทมิฬออกมาและกระโดดขึ้นไปในอากาศพร้อมกับฟาดฟันออกไป
เขาไม่กล้าที่จะนำดาบมังกรเพลิงและเพลิงโลกาออกมาเพราะพวกมันสะดุดตาเกินไป สิ่งเหล่านี้อาจจะไปกระตุ้นความสนใจของผู้อื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงและอาจจะเป็นการเปิดเผยตัวตนของเขา
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเพียงนักสู้ขอบเขตจื่อฝู่ เช่นนั้นเพลงดาบเงาวายุก็เพียงพอที่จะสังหารพวกมันได้อย่างสบายๆ
ฟับ! ฟับ!
เมื่อเพลงดาบเงาวายุถูกปลดปล่อย กระแสลมรอบข้างก็มาบรรจบกันที่ปลายดาบและแปรเปลี่ยนเป็นมังกรวายุที่กู่คำรามอย่างไร้เสียง
“อ๊ากก—!”
การแสดงออกทางสีหน้าของหน่วยสอดแนมทั้งสองเปลี่ยนไปโดยพลัน พวกเขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของตนถูกตรึงเอาไว้และไม่สามารถขยับไปไหนได้
เมื่ออยู่ในสภาวะพิสดาร พวกเขากรีดร้องออกมาสุดเสียงเมื่อเห็นว่าดาบเกล็ดทมิฬของเจียงอี้กำลังเข้ามาใกล้ แต่ในพริบตา เสียงร้องเหล่านั้นก็ขาดหายไปทันทีที่ใบมีดเฉือนผ่านลำคอและตกตายภายในดาบเดียว
“อืม เพลงดาบเงาวายุไม่เลวเลยทีเดียว แต่ดูจากความสามารถของมันแล้ว มันสมควรถูกจัดอยู่ในทักษะระดับสวรรค์สิถึงจะถูก? ทำไมมันถึงถูกพิจารณาให้เป็นเพียงแค่ทักษะระดับปฐพีขั้นสูง? เป็นไปได้ไหมว่าจูเก๋อชิงหยุนจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?”
ในเวลาเดียวกันเจียงอี้ก็ทำการขุดหลุมเพื่อทำการอำพรางศพ หลังจากนั้นเมื่อเขาตรวจสอบดีแล้วว่าไม่มีผู้ใดอยู่รอบๆ เขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาอัคคีเมฆาทันที
“ยังมีพวกหน่วยสอดแนมอยู่อีกรึ?!”
หลังจากที่วิ่งมาได้หลายกิโลเมตร เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาดังมาจากด้านหน้าซึ่งทำให้สีหน้าของเจียงอี้เปลี่ยนไป
ดูเหมือนว่าจะมีหน่วยสอดแนมมากกว่าที่เขาคิด หากยังวิ่งตรงไปเช่นนี้ อีกไม่นานเขาจะต้องถูกสังเกตเห็นเป็นแน่
“เช่นนั้นก็ต้องมุดลงไปใต้ดิน!”
โดยไม่ต้องคิดให้มากความ เจียงอี้ตัดสินใจที่จะขุดอุโมงค์ลงไป เขานำดาบมังกรเพลิงออกมาและเริ่มขุดลงไปเบื้องล่างเพื่อที่จะรอดพ้นจากสายตาของพวกหน่วยสอดแนม
“ดาบมังกรเพลิง? เพลงดาบเงาวายุ?”
แต่ในขณะที่เจียงอี้จ้องมองไปที่ดาบมังกรเพลิงที่อยู่ในมือ จู่ๆความคิดอันน่าสนใจบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
เพลงดาบเงาวายุมีความสามารถในการตรึงหรือยับยั้งศัตรู หากว่ามันถูกใช้พร้อมกับดาบมังกรเพลิงที่ปลดปล่อยมังกรเพลิงทั้งสองตัวออกมาล่ะ… ไม่อยากจะคิดเลยว่าผลลัพธ์ของมันจะน่าตกตะลึงแค่ไหน?!
เมื่อเจียงอี้จินตนาการถึงภาพของมังกรเพลิงทั้งสองตัวที่กำลังแหวกว่ายอยู่กลางอากาศและเตรียมที่จะเขมือบศัตรูจำนวนมากโดยที่ร่างของอีกฝ่ายถูกตรึงเอาไว้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
อีกด้านหนึ่ง เขาก็ก่นด่าในความโง่ของตัวเองที่ไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน…