บทที่ 15 : ความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัว (1/2)
บทที่ 15 : ความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัว (1/2)
หลี่ซานเก๋อมองหน้าภรรยาเหมือนกับจะส่งสัญญาณว่าพวกเราไม่น่าจะปิดเรื่องนี้ได้แล้ว เขาส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษให้นาง ก่อนจะตัดสินใจเล่าความจริงให้ผู้เป็นแม่ฟัง
เขาเล่ายังไม่ทันจบดี นางจางก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “เหม่ยซีนั่นเจ้าทำอะไรลงไป! เจ้าไม่รู้หรือว่าสี่คนพี่น้องนั่นน่าสงสารแค่ไหน! มันเป็นเรื่องดีแค่ไหนแล้ว ที่บ้านเราพอจะช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้บ้าง และที่ข้าช่วยก็ไม่เคยได้คาดหวังสิ่งใดตอบแทนแต่เจ้ากลับรับของมาง่ายๆได้อย่างไร ดูไข่พวกนี้สิไม่รู้ว่าพวกเขาต้องเก็บกันกี่วันถึงได้ไข่มามากมายขนาดนี้ เจ้านี่มันหน้าไม่อายจริงๆ! ยังไม่รีบเอาไปคืนฟางโจวอีก!”
นางจ้าวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากอีกทั้งใบหน้าของเธอก็เริ่มบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด “ท่านแม่ทำไมท่านถึงพูดกับข้าแบบนี้!! ข้าทำอะไรผิดเจ้าคะ ก็บ้านเราเคยช่วยเหลือนางตั้งหลายครั้งหลายครา แค่นางเอาไข่มาให้เป็นการตอบแทนน้ำใจเล็กๆน้อยๆ ข้ารับไว้มันผิดมากหรือเจ้าคะ นี่ข้าเองก็พยายามปฏิเสธนางแล้ว แต่นางก็ดึงดันเอาตะกร้ามายัดใส่มือข้า แล้วทำไมท่านถึงมาโทษว่าเป็นความผิดของข้าเพียงคนเดียวล่ะ อีกอย่างข้าก็ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมท่านถึงต้องไปช่วยเหลือนางมากมายขนาดนั้นครอบครัวเราก็ใช่ว่าจะร่ำรวยมีเงินเหลือกินเหลือใช้ถึงขนาดที่จะไปช่วยเหลือคนอื่นได้ แล้วที่ข้าทำเนี่ยก็เพื่อครอบครัวของเราทั้งนั้น อีกอย่างข้าก็ไม่ได้รับไข่พวกนี้ไว้แล้วเอาไปซ่อนแอบกินเงียบๆคนเดียวเสียหน่อย ใช่สิข้ามันคนไม่ดี ข้ามันคนเห็นแก่ตัว ส่วนไข่นี่ใครจะเอาไปคืนก็เอาไปเถอะ ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว!”
นางจ้าวรู้สึกน้อยใจมากดวงตาของนางเริ่มแดงก่ำและมีน้ำตาคลออยู่น้อยๆนางวางตะกร้าไข่ในมือลงกับพื้นอย่างแรงก่อนจะหันหลังและวิ่งหนีเข้าบ้านไป
หลี่ซานเก๋อเห็นสีหน้าของผู้เป็นแม่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่บนใบหน้าก็ยังมีร่องรอยของความโกรธปรากฏอยู่ เขาไม่รู้จะทำยังไง จึงทำได้แค่พูดเสียงอ่อนออกมาว่า “ท่านแม่นางยังเด็กแถมยังไม่ค่อยฉลาด พูดจาอะไรก็ไม่ค่อยรู้ประสา ท่านอย่าไปโมโหนางให้เสียสุขภาพเลยนะขอรับ อีกเดี๋ยวข้าจะรีบให้นางมาขอโทษท่าน ส่วนเรื่องไข่ก็ค่อยให้อาฮวนเอาไปคืนให้ฟางโจว”
“เฮ้อ…” นางจางถอนหายใจออกมาหนักๆก่อนจะพูดว่า “แม่ไม่ได้ถือโทษโกรธเมียเจ้าหรอก สิ่งที่นางพูดมามันก็ไม่ได้ผิด ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษที่ครอบครัวของเราเอง! หลังจากนี้แม่ว่าเจ้าควรจะเล่าเรื่องบ้านของเราให้นางฟังบ้างแล้วล่ะ นางจะได้เข้าใจอะไรๆ มากขึ้น ซานเก๋อเอ้ยปีนั้นพ่อของเจ้าไปช่วยเขาทำงานยกท่อนซุง แต่ดันเกิดอุบัติเหตุท่อนซุงทับขาจนขาหักพ่อเจ้าล้มป่วยนานเป็นปี เดินก็ไม่ได้ ทำงานก็ไม่ได้ บ้านเหลียนช่วยเราไว้มากแค่ไหนเจ้าก็น่าจะจำได้ ตอนนั้นบ้านเรายากจนนัก เงินจะซื้อยามาให้พ่อเจ้ากินรึก็ไม่มี ข้าต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขา ป้าเหลียนของเจ้าเมื่อรู้เรื่องเข้า นางถึงกับยอมขายสินสอดส่วนตัวของตัวเองเพื่อมาเป็นค่ายาให้กับพ่อของเจ้าอย่างไม่ลังเล ถ้าหากว่าไม่ได้นางช่วยไว้ครานั้นพ่อของเจ้าคงได้กลายเป็นคนพิการไปแล้ว! เรื่องนี้เจ้ายังจำได้ใช่ไหม?!”
“ท่านแม่!” หลี่ซานเก๋อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสำนึกบุญคุณ “ท่านสอนข้ากับอาฮวนเสมอว่าอย่าลืมบุญคุณของท่านป้ากับท่านลุงเหลียน แล้วข้าจะกล้าลืมได้อย่างไร ท่านป้ากับท่านลุงเหลียนนั้นเป็นคนดีมาก ตอนนี้พวกเขาไม่อยู่แล้ว แต่ลูกๆของพวกเขากำลังลำบาก เพราะฉะนั้นการที่พวกเราเข้าไปช่วยเหลือนั่นเป็นสิ่งที่สมควรทำแล้ว!!”
“ถ้าเจ้าคิดได้อย่างนั้นแม่ก็เบาใจ!” นางจางถอนหายใจอย่างโล่งอก “เกิดเป็นคนต้องรู้จักสำนึกบุญคุณคน! ใครไม่รู้แต่ตัวเราเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรพวกเขามากเลย! นี่มันยังไม่เทียบไม่ได้กับสิ่งที่บ้านเหลียนเคยช่วยพวกเราไว้ด้วยซ้ำ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเรายังจะรับข้าวของจากพวกเขาได้หรือ! รู้ทั้งรู้ว่าพวกเขาเองก็กำลังลำบาก แม่จะกล้าทำแบบนั้นกับลูกของผู้มีพระคุณได้อย่างไร! ถ้าแบบนั้นแม่กับพ่อของเจ้าก็คงไม่มีหน้าไปสู้ใครได้แล้ว!!”
“ข้ารู้แล้วท่านแม่ท่านสบายใจได้อีกเดี๋ยวข้าจะรีบไปอธิบายเรื่องนี้ให้เหม่ยซีฟังเอง ข้าเชื่อว่านางจะต้องเข้าใจแน่ เพราะตอนแรกนางไม่รู้เรื่องราวพวกนี้ก็เลยหุนหันพลันแล่นไปบ้าง ท่านก็อย่าถือสานางเลยนะขอรับ” หลี่ซานเก๋อปลอบผู้เป็นแม่ด้วยเสียงนุ่มนวล ก่อนจะพูดต่อว่า “เดี๋ยวข้าจะไปบอกอาฮวนให้เอาไข่ไปคืนพี่ฟางโจวของนางเอง ท่านแม่ไม่ต้องกังวลไปนะขอรับ”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าเอาไปคืนเองดีกว่า” นางจางถอนหายใจด้วยความหนักใจ “ขืนให้อาฮวนเอาไปคืน เดี๋ยวนางก็ไม่ยอมรับกลับไปอีก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเองจะดีกว่า ข้าจะได้คุยกับนางให้เข้าใจด้วยว่า ทีหลังไม่ต้องเอาของอะไรมาตอบแทนพวกเราอีกเพราะพวกเราเต็มใจที่จะช่วยเหลืออยู่แล้วสิ่งของตอบแทนพวกนี้ไม่ได้จำเป็นเลย”
พอพูดจบนางจางก็เดินถือตะกร้าไข่ไปที่บ้านของพี่น้องตระกูลเหลียนทันที
เมื่อนางมาถึงบ้านเหลียนก็เป็นเวลาที่สี่คนพี่น้องกำลังนั่งกินข้าวเย็นกันอยู่พอดี
เมื่อเห็นโจ๊กมันเทศในหม้อ ที่เรียกได้ว่าส่วนใหญ่มีแต่น้ำและแทบจะไม่มีเม็ดข้าวอยู่เลย นางจางก็อดที่จะเศร้าใจไม่ได้ ที่เห็นว่าพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากกันขนาดนี้
เมื่อพี่น้องบ้านเหลียนเห็นนางจางเดินมาก็พากันลุกขึ้นทักทายอย่างกระปี้กระเปร่า “สวัสดีค่ะป้าจาง” เหลียนฟางโจวเอ่ยทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เมื่อเธอเห็นตะกร้าไข่ในมือของป้าจาง เธอก็พอจะเดาเรื่องราวต่อไปออกได้ทันที....