บาทที่ 21
บาทที่ 21
หงเซียวเดินไปยังสำนักที่ตนเองได้คาดหวังเอาไว้ หลังจากที่สามสาวพึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับและวิ่งหนีไปกันหมดแล้ว สวมภูษาเซียนสร้างสรรค์ที่เป็นถุงมือสีดำแบบนายช่างสำหรับมือซ้ายเอาไว้ วิชาปราณของสำนักเซียนสร้างสรรค์ ก็คือวิชาเซียนสร้างสรรค์
ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ที่โต๊ะสำนักเซียนสร้างสรรค์มีเพียงคนเดียว หว่างเอวของเขาแขวนพู่กันเล็กๆยาวขนาดเท่านิ้วก้อยเอาไว้ ดูราวกับเป็นแค่เครื่องประดับ
“เจ้าต้องการเข้าสำนักเซียนสร้างสรรค์อย่างนั้นรึ” ผู้อาวุโสกล่าวกับหงเซียวเมื่อเห็นเขาเดินเข้าไปหา เบื้องหน้าของเขามีกระดาษยันต์เปล่าหลายแผ่น ด้านหลังของเขาก็มีหลายคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาแล้ว
“ขอรับผู้อาวุโส” หงเซียวประสานมือรับคำ
ผู้อาวุโสยื่นยันต์แผ่นหนึ่งไปวางไว้ตรงหน้าแล้วกล่าวว่า “วางมือไว้บนยันต์นี้”
หงเซียววางมือบนยันต์ ยันต์นั้นพลันส่องแสงขึ้นมาสี่เส้นขึ้นสู่ท้องฟ้า
ผู้อาวุโสพลันผุดลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น รีบหยิบยันต์อีกแผ่นประทับไปบนหลังมือหงเซียวราวกับว่ากลัวเขาจะเปลี่ยนใจ ยันต์นั้นพลันส่องแสงสว่างรวมกับแสงสี่เส้นที่ส่งมาก่อนหน้านั้น ก่อนจะประทับลงไปบนหลังมือของหงเซียวก่อนตัวกระดาษยันต์จะสูญสลายไปเหลือเพียงแสงสว่างนั้นที่ยังคงอยู่อยู่ชั่วขณะก่อนจะสลายหายไป
เกิดรอยเส้นยันต์สีดำบนหลังมือของหงเซียว ผู้อาวุโสเพ่งมองด้วยความพึงพอใจก่อนที่จะทำหน้าตาแตกตื่น เมื่อรอยเส้นสีดำนั้นถูกกลืนเข้ากับจุดสีฟ้าบนเส้นขีดสีทองที่เขามีนับตั้งแต่ได้ร่างใหม่มาหลังจากออกมาจากไข่มุก เหลือเพียงจุดสีฟ้าสว่างซีดๆจุดหนึ่งเท่านั้น
“วิชาหลอมเลือดอสูรของเจ้าล้ำลึกมาก กลับสามารถหลอมเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ทั้งยังได้คุณสมบัตินั้นมาทั้งหมด” ผู้อาวุโสกล่าวชมขึ้นเมื่อเห็นเช่นนั้น
สิ่งที่เขาเห็นจากเส้นแสงสี่เส้นนั้นก็คือ หนึ่ง พลังเซียนระดับที่หนึ่งวิชาเซียนสร้างสรรค์ชั้นปฐมเซียน ซึ่งเป็นระดับและวิชาของภูษาเซียนผืนนี้ สอง อายุของหงเซียวยี่สิบปี สาม ร่างเซียนจักรพรรดิ และสี่ มีเลือดอสูร
เลือดอสูรศักดิ์สิทธิ์นี้แกร่งกล้ามากสามารถดูดกลืนพลังเซียนจากยันต์ที่เขาประทับลงไปจนหมดสิ้นจนสูญสิ้นสภาพไป
เขาล้วงป้ายหยกขึ้นมาก้อนหนึ่ง ดึงเอาพู่กันประดับเล็กนั้นออกมา หมุนควง เปลี่ยนมันให้เป็นพู่กันขนาดยาวหนึ่งศอกแล้วเขียนลงไปบนป้ายหยกนั้น
ป้ายหยกนั้นราวกับถูกสลักด้วยของมีคม มันเป็นรอยเว้าลึกลงไปในเนื้อป้าย พร้อมทั้งส่วนที่เว้าลึกลงไปนั้นเปลี่ยนสีเป็นสีทอง มันเป็นยันต์แบบหนึ่งคล้ายกับยันต์ที่ประทับไว้บนหลังมือของหงเซียว
“เจ้าชื่ออะไรรึ” ผู้อาวุโสถาม
“หงเซียว (洪霄) ขอรับ” หงเซียวตอบ
ผู้อาวุโสพลิกป้ายอีกด้านแล้วบันทึกชื่อของเขาลงไป ยื่นป้ายออกไปแล้ว กล่าวว่า “หยดเลือดของเจ้าลงไปหนึ่งหยด”
หงเซียววางนิ้วลงไปบนป้ายแล้วรีดเลือดเข้าไปในป้ายหนึ่งหยด
วูบ ป้ายนั้นเปล่งแสงออกมาวูบหนึ่งก่อนที่เนื้อหยกจะเปลี่ยนสีเป็นเนื้อสีฟ้า
“หืม สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลือดสีฟ้ารึ สัตว์อะไรกัน เดี๋ยวก่อน.. แมลง” ผู้อาวุโสประหลาดใจ เพราะว่าเขาเคยเห็นแต่สัตว์ที่มีเลือดสีแดง แต่เมื่อนึกไปอีก สัตว์ที่มีเลือดสีฟ้าก็คือแมลง ไม่ใช่หรือไง
หงเซียวพลันตาเป็นประกาย เขาคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว ใครจะคิดว่าคำพูดของใครสักคนที่พูดออกมา จะทำให้อีกคนได้แนวความคิดที่จะทำให้โลกเซียนเปลี่ยนไปจากเดิมจนไม่เหลือเค้า
“รับป้ายนี้ไป นี่คือป้ายประจำตัวของคนที่ไม่สามารถรับยันต์บนร่างได้” ผู้อาวุโสส่งป้ายให้กับเขา นึกในใจว่า เจ้าเด็กโชคดี คนที่มีป้ายนั้นมีแต่ผู้ที่บรรลุชั้นมัชฌิมเซียนขึ้นไปเท่านั้น และเจ้าเด็กนี้ถือเป็นคนพิเศษมาก ต่อให้ฝึกวิชาเซียนอื่นมาก็ตาม เพียงแค่ร่างเซียนจักรพรรดิ และเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมทั้งอายุที่เพียงแค่ยี่สิบปี ต่อให้ต้องตายเขาก็จะไม่ปล่อยเจ้าเด็กนี่ไปสำนักอื่นเด็ดขาด
หงเซียวไม่รู้ความคิดจากใบหน้าเฉยนิ่งของผู้อาวุโส เขารับยันต์แล้วไปยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสเหมือนกับคนอื่น เขาพบว่าคนที่เข้าสำนักนี้มีก่อนหน้าเขาสามคน และเขานั้นเป็นคนที่สี่ โดยมีศิษย์รุ่นหน้านี้อีกสี่คนที่มากับผู้อาวุโสคอยพูดคุยทำความคุ้นเคย
เขารู้สึกถึงสายตาสี่สายส่งมาจากสี่ทิศทางมาทางเขา เขาหันไปพยักหน้าให้ทีละคน จึงค่อยทำให้สายตาสี่สายนั้นพึงพอใจ
ตกเย็นเมื่อทุกคนได้สำนักแล้ว ศิษย์ทุกคนก็ได้รับคำสั่งใหักลับไปพักยังที่พักของตนเอง และมารวมตัวกันเพื่อชมการประลองระหว่างศิษย์สำนักในวันพรุ่งนี้
หงเซียวเดินทางกลับที่พักเพื่อไปพบกับสาวสวยทั้งสี่ คำอำลาของพวกเขาที่บอกว่า พบกันใหม่นั้น ไม่คิดว่าจะได้พบกันเร็วเช่นนี้
พวกเธอล่วงหน้ามาอยู่หน้าห้องพักก่อนแล้ว ทันทีที่เขามาถึง พวกเธอจึงพากันเปิดประตูชักชวนเขาเข้าไปด้วยท่าทีเอียงอาย แต่ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องและประตูปิด พวกเธอก็กระโดดใส่เขาราวกับเสือตะครุบเหยื่อ
ยามเช้ามาเยือน พวกเขาออกมาจากห้องอย่างอิดออด ดูเหมือนว่างานประลองระหว่างสำนักนี้จะไม่ตื่นเต้นเท่ากับศึกชิวหายามราตรีของสาวแรกรัก
พวกเขาแยกย้ายกันไปตามสำนักของตนเอง ซึ่งตั้งอยู่รอบสนามประลอง ตอนนี้เริ่มมีการประมือกันประปรายระหว่างศิษย์แล้ว
การต่อสู้ระหว่างศิษย์รุ่นใหญ่ของสำนักนั้นตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าการต่อสู้ของพวกเขามากนัก แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้พบเห็นชิวเยว่นับตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าชิวเยว่นั้นจะต่อสู้กับคนพวกนี้ได้หรือไม่
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ศิษย์สำนักเซียนห้าธาตุที่จินหลินเข้าร่วมนั้นทรงอานุภาพมาก และไม่ได้มีวิชาเพียงเท่าที่พวกเขาคัดลอกมาเท่านั้นแต่มีมากกว่านั้น อย่างไรก็ตามพวกเขาก็มักจะเน้นหนักไปเฉพาะธาตุใดธาตุหนึ่งเท่านั้นหรือไม่เกินสองธาตุ
สำนักเซียนสรรพสัตว์นั้นใช้การจำลองสรรพสัตว์ขึ้นมาด้วยวิชาเซียนและใช้ในการต่อสู้ ซึ่งสัตว์พลังเซียนเหล่านี้ไม่ได้มีชีวิตจริง แต่ว่าความสามารถของมันไม่ต่างไปจากสัตว์จริงเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งสัตว์เหล่านี้ไม่มีวันตาย ไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย นั่นจึงทำให้สำนักนี้เป็นสำนักหนึ่งที่น่าหวาดหวั่น
สำนักเซียนมายามีความสามารถในการชักจูงจิต ศิษย์ในสำนักล้วนเป็นหญิง ใช้วิชามายาและล่อลวงทำการครอบงำผู้อื่น กระทั่งศิษย์สำนักเซียนห้าธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อาจต้านทานได้หากว่าพวกเขาไม่รีบลงมือก่อน สำนักนี้เน้นการฝึกจิตให้แข็งแกร่ง และมีพลังจิตแข็งแกร่งกว่าทุกสำนัก
สำนักเซียนโชติช่วงนั้น ใช้วิชาเกี่ยวกับแสงสว่าง มีอานุภาพในการต่อสู้ไม่มากนัก แต่ทว่าความสามารถในการรักษานั้นเหลือเชื่อ ไม่มีใครที่นิยมต่อสู้กับพวกเขา เพราะว่าไม่มีใครต้องการให้คนในสำนักนี้โกรธ ส่วนใหญ่ก็ล้วนต่อสู้พอเป็นพิธีก่อนที่จะบอกยอมแพ้
สำนักพรตเซียนนั้น ใช้ยันต์ร่วมกับการเคลื่อนที่อันรวดเร็ว การออกอาวุธอันรวดเร็วเอาชนะ พวกเขายังมีวิชาสำหรับต่อต้านภูติผีปีศาจที่ร้ายกาจกว่าใครอีกด้วย ทั้งยังมีวิชาทำนายทายทัก หากว่าทำนายว่าสู้แพ้พวกเขาก็จะไม่ออกไป
ศิษย์สำนักสร้างสรรค์นั้นต่างออกไปต่อสู้เช่นเดียวกัน พวกเขาใช้ยันต์ อาวุธและชุดเกราะที่ทรงอำนาจเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แทบทั้งหมดแม้ว่าพลังการต่อสู้จากตัวของพวกเขานั้นแทบจะไม่มีก็ตาม แต่ต่อให้อาวุธชุดเกราะของพวกเขาทรงพลังแค่ไหนก็ตามก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะห้าสำนักแรกได้เลยแม้แต่น้อย
“พี่ชาย พวกเราต้องร่ำลากันจริงๆตรงนี้แล้ว พบกันใหม่” จินหลินกล่าว
พวกเขาในยามนี้อยู่กลางสนามประลอง ที่ซึ่งสำนักต่างๆนัดหมายศิษย์ให้มารวมตัวกันเพื่อที่จะเดินทางไปสู่สำนัก และตอนนี้ศิษย์ของแต่ละสำนักก็ได้มารวมกันแล้ว
“พี่ชาย ข้าก็ต้องไปเช่นกัน ดูแลตัวเองให้ดีแทนข้านะ” ซิ่วจูกล่าว
“พ-พี่ชาย ข้าอยากจะบอกว่า ข-ข้ารักพี่ชาย...” ซีชี่หน้าแดงกล่าวออกมา
“พี่ชาย พวกเราต้องขอบคุณพี่ชายอีกครั้งที่ดูแลพวกเราด้วยดีตลอดมา ข้าจะคิดถึงท่านนะ” เหมยเหมยกล่าวเป็นคนสุดท้าย
หงเซียวกางมือกว้าง ทั้งสี่คนเหมือนกับนัดกันไว้ต่างพากันโผเข้าไปในอ้อมอกของเขา
เขาจูบลงไปบนหน้าผากของสาวๆแต่ละคน ประทับความรักเอาไว้ สร้างความอิจฉาให้กับคนทั้งสนามแทบตายแล้ว
“อย่าลืมว่าเรายังมียันต์สื่อสารอยู่ เมื่อถึงเวลาพวกเราก็จะพบเจอกันอย่างแน่นอน” หงเซียวกล่าวก่อนจะคลายอ้อมกอดปล่อยพวกเธอไป