ตอนที่แล้วตอนที่ 6 ทำงานทำการ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 8 สวนสนุกอันเดด

ตอนที่ 7 พาน้องหมาไปเดินเล่น


“โว๊ค เผ่าพันธุ์ ครึ่งเอลฟ์ครึ่งมนุษย์สัตว์ นักฆ่าชั้นสำริด มีชีวิตที่ต้องสูญสิ้นไปภายใต้น้ำมือของชายผู้นี้นับไม่ถ้วน และงานอดิเรกที่ชายผู้นี้โปรดปรานคือการล่าเหล่าเด็กทั้งหลาย ถูกจับกุมได้ในปฏิบัติการของเหล่าดาร์ดเอลฟ์แห่งนครภูผาหลิวฮวง ถูกตัดสินให้ต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 376 ปี ไม่ได้โผล่ไปโลกภายนอกอีกทั้งชีวิต ชิ ชิ”

เมื่อข้าได้อ่านข้อมูลของชายผู้นี้ ข้าได้แต่ชิ(ไม่สบอารมณ์)ในความงดงามของเจ้านักฆ่าครึ่งเอลฟ์ในลูกกรงนี้ สำหรับครึ่งมนุษย์สัตว์นั้นถือว่าหาดูได้ยากยิ่งแล้ว แต่ยิ่งหาดูยากขึ้นไปอีกที่อีกครึ่งเป็นเอลฟ์ ศัตรูคู่อาฆาตของมนุษย์สัตว์เยี่ยงนี้

“ลิช? เดี่ยวก่อน อย่าฆ่าข้าเลย! แล้วก็อย่าเอาข้าไปใช้เป็นวัตถุดิบทดลองด้วย! ข้ารู้แล้วเจ้าคงมีศัตรูมีพอสมควรใช่มั้ยล่ะ ข้าสามารถช่วยเจ้ากำจัดพวกมันได้นะ”

หลังจากรับรู้ว่าตนโดนส่งมาให้ลิช ในตอนแรก โว๊คนั้นตกใจติดสตั้นไปเลยเพราะว่าสำหรับลิชแล้วถึงจะอ่อนแอที่สุดก็ยังอยู่ในระดับชั้นตำนาน แต่ครู่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายแทนเนื่องด้วยเหล่าลิชทั้งหลายนั้นอยู่ฝ่ายความโกลาหลเหมือนกับตน ทำให้อย่างน้อยที่สุดก็ยังพอเจรจาต่อรองกันได้ง่ายกว่าพวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์โง่ดักดานที่สมองเต็มด้วยเรื่องความยุติธรรม เจ้าพวกดัดจริตแห่งฝ่ายกฎระเบียบที่ไม่เคยรับรู้ถึงความวิเศษของการเจรจาต่อรองและการประนีประนอมในชีวิตของพวกมัน

แต่ในวินาทีนี้ ข้าได้จ้องมองเจ้านักฆ่าที่อยู่เบื้องหน้าก่อนแสยะยิ้มพอเป็นพิธี เพราะตัวข้านั้นไม่ได้พาตัวเจ้านี่มาจากคุกของนครหลิวฮวงเพื่อต้องการลูกสมุนเพิ่มเสียหน่อย

แล้วข้าก็ได้นำนิ้วอันเป็นกระดูกเหี่ยวแห้งของข้าไปแตะที่หน้าผากของเจ้าครึ่งเอลฟ์ ถึงชายผู้นี้จะเป็นฆาตกรต่อเนื่องไม่ควรได้รับการอภัยผู้กระทำการอันแสนหยาบช้า แต่ความอบอุ่นจากคนเป็นก็ยังนำความรู้สึกเป็นสุขมาให้ข้าอยู่ดี

แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายกลับไม่สู้ดีแทนนี่สิ บางทีเจ้านี่คงไปได้ยินตำนานของลิชที่ชอบเล่นกับวิญญาณและซากศพของผู้คนมาล่ะสิ ภายใต้สัมผัสอันเย็นยะเยือกจากโครงกระดูกสีขาวนวล ใบหน้าของชายผู้นี้ก็ซีดขาวลงอย่างชัดเจน

“.....น่าสนใจดีนิ ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นเพียงฆาตกรต่อเนื่องดาษๆซะอีก แต่ความจริงกลับซ่อนว่าเจ้าเป็นผู้ทำพิธีเลือดเนื้อ ผู้บูชาพวกปิศาจชั้นต่ำสกปรก เจ้าใช้ชีวิตของเหล่าเด็กน้อยทั้งหลายเพื่อต่อรองกับปิศาจจากนรกให้อายุไขและพลังของเจ้าเพิ่มพูนขึ้น”

ตามคาด เมื่อข้ากล่าววาจาเหล่านั้นไป ความทรงจำอันโสมมที่หลบซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของมันผู้นี้ก็เริ่มล่องลอยมาให้ข้าได้ประจักษ์ตามด้วยความทรงจำที่เจ้านี่เกรงกลัวที่สุด

“บอกข้าสิ เจ้าหนูที่น่าสนใจ สิ่งใดกันที่เจ้าเกรงกลัวที่สุด”

สมองมนุษย์นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจดีจริงๆ ยิ่งเจ้าพยายามที่จะไม่นึกถึงมากเท่าใด จิตใต้สำนึกเจ้าก็ยิ่งคิดถึงมากขึ้นเท่านั้น

4 วงเวทย์ มนตราอ่านความทรงจำไม่ใช่เวทย์มนต์ที่สลับซับซ้อนแต่อย่างใดแต่ความสามารถก็ไม่ทรงประโยชน์เท่าใดเช่นกัน ความลับจริงๆนั้นจะหลบซ่อนอยู่ในซอกลึกในจิตสำนึกเสมอ แต่มนตราอ่านความทรงจำนั้นสามารถเห็นได้เพียงผิวเผินเท่านั้น

แต่ ตัวข้านั้นมีวิธีจัดการพิเศษเพื่อเรื่องเช่นนี้อยู่

โดยการถามว่า “เจ้าแอบซ่อนความลับอะไรไว้” ผู้ที่โดนถามย่อมคิดถึงเรื่องที่ตนแอบซ่อนไว้โดยจิตใต้สำนึก และช่วงนั้นเองที่ความลับทั้งหมดจะไหลมาสู่พื้นผิวยอมให้มนตราอ่านความทรงจำของข้าเข้าถึงได้

“...สิ่งที่เจ้ากลัวที่สุดคือฐานะที่แท้จริงของเจ้าโดยเปิดโปงงั้นเหรอ? ข้าเข้าใจล่ะ ถ้างั้นฐานะที่แท้จริงของเจ้าคือฐานะอะไรกันล่ะ?”

“สายลับจากนครโครม? ว๊าว นี่มันช่างน่าสนใจจริงๆเลย” หลังจากคำถามไปอีกชุดใหญ่ เป้าหมายลับๆของเจ้านี่ก็โดยเปิดโปงจนหมด

โชคของข้าในวันนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แรกเริ่มเดิมที ข้าก็แค่ต้องการเปลี่ยนนักโทษ 2 คนเพื่อเพิ่มแต้มชั่วช้าแต่ใครจะรู้หลังสอบถามอะไรไปนิดหน่อย ข้ากลับค้นพบสายลับจากนครอื่นซะได้

นครใต้พิภพโครมทาโซ่ เป็นนครที่อยู่ใกล้กับหลิวฮวงมากที่สุด แต่ถ้าให้เปรียบเทียบกับนครภูผาหลิวฮวงที่เจริญรุ่งเรื่องแล้ว โครมทาโซ่นั้นมีประชากรน้อยกว่ามาก

โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นมนุษย์สัตว์และคนแคระเทา เจ้านครเป็นมนุษย์สัตว์โง่ดักดานที่เชื่อในเทพแห่งทรราชย์ แบน อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในนครแห่งนี้ค่อนข้างล้ำหน้าแต่อุตสาหกรรมอย่างอื่นนั้นดูไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่

เจ้าสายลับนี่เองก็โดนเกณฑ์เข้าหน่วยตอนที่อยู่ที่นครโครม ภารกิจก็ธรรมดาสามัญนั้นคือรวบรวมข่าวสาร แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะชี้ชัดแล้วว่านครโครมแอบว่าแผนอะไรสักอย่างไว้

“อิลิซ่า?”

“หืม?” หัวหน้าสาวใช้แสนว่องไวก็มาปรากฏตัวข้างหลังข้าในวินาทีต่อมา

“สอบเจ้านี่อย่างจริงจังให้ที เค้นความลับมันออกมาให้หมดแล้วส่งสำเนารายงานไปให้มากาเร็ตด้วย และฝากบอกนางด้วยว่าถ้านางไม่คิดจะดูแลเรื่องนี้ ข้าจะไปโยนให้เจ้าอดัมทำแทน”

ในสมองข้าแล้วนั้น จับสายลับได้ = ความลับอันดำมืด = ความทะเยอทะยานของผู้มีอำนาจบางคน = ปัญหาอีกชุดใหญ่....ซึ่งเท่ากับงานอาสาไร้ค่าแรง!

ในเมื่อไม่มีผลประโยชน์อะไรจากการทำงานนี้ ตัวข้าก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากเช่นนี้เท่าไรนัก แต่ในเมื่อข้าดันไปสะดุดตอกเจอเข้าซะแล้ว ถ้าอย่างงั้นก็หาคนอื่นที่อาจจะสนใจแล้วโยนไปให้ซะก็สิ้นเรื่อง เดี่ยวท่านหัวหน้าฝ่ายกิจการภายใน มากาเร็ต ก็ตามเบาะแสแล้วแก้ปมหาความจริงได้เองแหละ

สำหรับเจ้านักโทษนี่น่ะเหรอ? ก่อนที่มันจะโดนส่งมาหาข้า มันผู้นี้ได้ถูกตัดสินว่าผิดจริงในความผิดที่ไม่ควรให้อภัย แล้วจากนี้ไปที่นี่จะเป็นบ้านของมัน โดยอย่าแม้แต่จะฝันว่าจะได้ออกไปโลกภายนอกอีกเลย

ปัง!

สิ้นเสียงดังก้องราวฟ้าผ่าไป 2 คราว ชั้นที่ข้าอยู่ก็สั่นไหวเล็กน้อยทั้งชั้นตามด้วยฝุ่นทั้งหลายที่ร่วงหล่นจากเพดาน ล่องลอยอยู่ในอากาศที่อับชื้นของคุกใต้ดิน

เหล่านักโทษทั้งหลายต่างพร้อมใจกันไอเสียงดัง แม้แต่ตัวข้าก็ยังถูกเคลือบด้วยชั้นฝุ่นบางๆ สำหรับอิลิซ่าน่ะเหรอ นางเตรียมตัวมาดีได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากอย่างทันท่วงที

“ดูท่าอาเปาจะทนรอไม่ไหวแล้วสินะ”

เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อครู่นี้เป็นฝีมือของอาเปาสุดที่รักของข้าเองแหละ เพราะนี่มันเลยเวลาปกติที่ได้ออกไปเดินเล่นแล้วแต่เจ้านายของตนยังไม่โผล่มาให้เห็นเลย อาเปาก็เลยกระโดดบอกให้ข้ารีบๆหน่อยน่ะ

ฉะนั้นแล้ว ข้าก็เลยโยนงานให้อิลิซ่าอย่างหน้าด้านๆ เวลางานของข้าจบแล้วและจากนี้ไปเวลาเดินเล่นของอาเปาก็ได้เริ่มต้นขึ้น

หรือข้าควรจะกล่าวว่า ถึงเวลาที่ข้าต้องโดนลากไปนู้นมานี่ด้วยหมาสองหัวจากนรกตัวใหญ่ยักษ์ของข้ากันแน่...

เฉกเช่นน้องหมาโง่ทั้งหลาย พอออกจากบ้านปุ๊บอาเปาก็ลืมว่าเจ้านายตัวเองเคยมีตัวตนอยู่ไปในทันที เริ่มออกวิ่งเล่นไปทั่วอย่างสนุกสนานเริงร่า สำหรับข้าที่ถือสายจูงอยู่น่ะเหรอ จะบอกให้นะว่าโครงกระดูกข้าทั้งโครงยังหนักไม่เกิน 15 กิโลกรัมเลยแล้วค่าพละกำลังของข้าก็แค่ 5 แล้วต้องมาถูกที่สัตว์อสูรตัวมหึมาหนัก 10 ตันได้ลากไปลากมา มันแน่อยู่แล้วที่ตัวข้าต้องมาจบลงที่ล่องลอยละลิ่วบินไปบนท้องนภา

และแน่นอน ในเวลาเช่นนี้ หลังจากที่ข้าได้เรียนรู้จากความชอกช้ำจากสถานการณ์เช่นนี้มาครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าย่อมร่ายเวทย์ลอยตัวเตรียมไว้ใส่ตัวเองพร้อมผูกสายจูงเอาไว้กับกระดูกส่วนที่แข็งแรงที่สุดของข้าแล้วยอมปฏิบัติตัวเป็นว่าวมีคุณภาพแต่โดยดี....

ยิ่งกว่านั้น วิธีเดินเล่นแบบนี้ยังนำประโยชน์ที่ข้าไม่คาดคิดติดมาให้อีกด้วย

“ธงกระโหลกลอยขึ้นสูงแล้ว เจ้าหมายักษ์กำลังจะมา! ทุกคนเก็บร้านเร็ว!”

“หน่วยรักษาความสงบอยู่ไหนกัน? เรียกหน่วยรักษาความสงบมาเร็ว!”

“ทุกคน มารวมกันเร็ว มาช่วยกันตั้งแนวป้องกันเพื่อปกป้องร้านขายเนื้อของเราจวบจนลมหายใจฮือกสุดท้ายของพวกเรากัน วันนี้เจ้าอย่าฝันไปเลยที่จะได้เนื้อซี่โครงสดใหม่จากร้านข้าไป!”

ใช่แล้ว ตัวข้าที่โดนลากไปมาบนฟ้ากลายเป็นสัญญาณเตือนภัยชั้นดีว่าอาเปามาแล้วนะ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครต้องมาเจ็บตัวจากเจ้าหมาโง่ที่กำลังตื่นเต้นดีใจตัวนี้ ตอนนี้เหล่าพ่อค้าแม่ขายทั้งสองฟากฝั่งถนนเริ่มเก็บข้าวเก็บของให้พ้นจากเส้นทางที่อาเปาต้องผ่านกันแล้ว

“ไปที่เขตอันเดดทางตะวันออกของนคร พื้นที่แถบนั้นอยู่นอกเขตใช้อำนาจของหน่วยรักษาความสงบ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่าผู้คนทั้งสองฟากฝั่ง ข้ารีบออกคำสั่งกับอาเปาทันทีพร้อมใช้แรงทั้งหมดดึงสายจูงเพื่อให้เจ้าหมาเปลี่ยนทิศ

จากครั้งก่อนๆที่ข้าพาอาเปาออกมาเดินเล่น เรื่องที่พวกเราก่อไว้ร้ายแรงที่สุดก็แค่ทำให้การจราจรติดขัด พวกเรายังไม่เคยทำให้ใครต้องเจ็บตัวเลยนะ (ทหารโครงกระดูกไม่ถือว่าเป็นคนซักหน่อย!)

โดยปกติแล้ว เหล่าผู้รักษาความสงบมักมีคดีสำคัญพัวพันให้จัดการอยู่ตลอดซึ่งกว่าพวกนางจะจัดการเสร็จเรียบร้อย ป่านนั้นข้าก็คงกลับถึงบ้านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้ตัวข้านั้นเป็นผู้เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียวของพันธมิตรสุภาพบุรุษ เมื่อไม่มีสมาชิกพันธมิตรท่านอื่นค่อยสร้างปัญหาให้พวกนาง ข้าย่อมไม่ประมาทต่อความเร็วในการออกปฏิบัติการของพวกนางรวมทั้งความมุ่งมั่นที่จะต้องกำจัดข้าให้ได้ของพวกนางด้วย

โฮ่ง

ภายใต้การดึงของข้า อาเปาได้เตะธอร์เร็นตนหนึ่งที่ขวางทางอยู่ก่อนจะหยุดลงแล้วนั่งทับแนวป้องกันด้วยก้นใหญ่ๆของมัน ส่งผลให้แนวป้องกันพังไม่เหลือชิ้นดีเลย ก่อนที่จะออกวิ่งอีกครั้งสู่ฟากตะวันออกของนคร เหลือเพียงฝุ่นควันทิ้งเอาไว้ที่เบื้องหลัง

“หยุดเดี่ยวนี้!”

“โมโมะขอสั่งให้เจ้าหยุดเดี่ยวนี้ เป็นเพราะเจ้าคนเดียวแท้ๆ เมื่อวานโมโมะถึงได้ต้องฉี่ราดต่อหน้าท่านวูเมี้ยนเจ้อแบบนั้น!”

ก็ได้ ข้ายอมรับดูท่าข้าจะประเมินความมุ่งมั่นที่จะจับข้าให้ได้ของพวกนางต่ำไปหน่อย ใครจะไปคิดล่ะว่าหน่วยรักษาความสงบจะเตรียมการซุ่มโจมตีข้าแบบนี้

แต่ว่านะ...“กระโดดเลย อาเปา!”

หมาล่าเนื้อจากนรกขนาดยักษ์ได้กระโจนลอยข้ามสิ่งกีดขวางที่อยู่เบื้องหน้าไปจนหมดสิ้น

หน่วยรักษาความสงบที่อยู่ทางด้านหลังเราตอนนี้ได้แต่หยุดชะงักอยู่กับที่ ใบหน้าของพวกนางแสดงออกถึงความผิดหวัง

เพราะว่ามีโครงกระดูกร่างยักษ์สูง 6 เมตรผู้ถือประตูเมืองทองคำมาใช้ต่างโล่อยู่เบื้องหน้าของพวกนาง ขวางพวกนางไว้อยู่

ในเบ้าตาที่กรวงโบ๋ที่ที่นัยน์ตาควรอยู่ ในเบ้าตานั้นไม่แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกใดแต่ก็ไม่มีใครกล้าก้าวผ่านโครงกระดูกตนนี้ไป

ข้ากับอาเปานั้นได้มาถึงที่ฟากตะวันออกของนครหรืออีกชื่อเขตของเหล่าอันเดดแล้ว ในแถบพื้นที่นี้นั้นไม่ใช่เขตใช้อำนาจของหน่วยรักษาความสงบ ถ้าพวกนางต้องการจะปฏิบัติการจับกุมที่นี่ พวกนางต้องทำเรื่องรายงานตามขั้นตามตอน แต่เมื่อถึงเวลาที่พวกนางได้รับคำอนุญาต ลิชตนนี้ก็คงหนีพ้นจากสายตาพวกนางไปนานแล้ว

ในที่สุดข้าก็มาถึงที่หมายในวันนี้สักที ข้าจึงได้ส่งให้อาเปาไปหาอาหาร....แค่ก ไม่ใช่สิ ให้ไปหาเพื่อนเล่น

หลังจากส่งอาเปาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าก็ไปทักทายอันเดดทุกตนที่อยู่เบื้องหน้าข้า

“ดีจ้า ไม่เจอกันนานเลยนะทุกคน คิดถึงข้ากันบ้างรึเปล่า? เจ้าหัวกล้าม นี่เนื้อเน่าๆของเจ้าเหม็นขึ้นอีกแล้วนะตอนนี้ เจ้ากระดูกเล็ก ทำไมกะโหลกเจ้าถึงได้กระจ่างใสเช่นนี้ล่ะ เจ้าใช้น้ำมันยี่ห้ออะไรเหรอ? ลุงอคา ดูสิกระดูกของท่านผุหมดแล้วเนี่ย อ่า ทำไมลุงไม่ลองน้ำมันหล่อลื่นรุ่นใหม่ที่ข้าทำขึ้นล่ะ ผลิตภัณฑ์รุ่นนี้น่ะผลิตจากสารกระจัดสารธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแถมยังไม่มีผลข้างเคียง....”

เหล่าอันเดดนั้นต่างพูดคุยจอแจกันอยู่ทางด้านหน้าของข้า แต่ทุกตนต่างนิ่งชะงักไปเลยเมื่อเห็นหน้าข้า ก่อนที่จะ...

“หนีเร็ว!! ไอ้วิปริต(ไอ้บ้า)นั้นมาอีกแล้ว!! มันทำเอาข้ากลัวแทบตาย!”

...ช่างเป็นภาพที่น่าเศร้าอะไรเช่นนี้ ที่ต้องมาเห็นทุกคนหนีข้าเป็นผึ้งแตกรังแบบนี้

เจ้าโครงกระดูกยักษ์ถือขวานกระโดดข้ามหลังคาแล้วหลังคาเล่า เหล่าดูลาฮานที่ถือศีรษะของตนพุ่งหนีไปอย่างว่องไว แม้แต่เหล่านักรบโครงกระดูกน่าสงสารก็ยังพยายามที่จะหนีจากไป

ภาพที่ปรากฏต่อหน้าข้าช่างทำให้ข้าหดหู่ใจยิ่งนัก....

“นี่ นี่ นี้คือการต้อนรับเพื่อนร่วมเผ่าของพวกเจ้างั้นเหรอหา? ข้าก็แค่เคยใช้พวกเจ้าในการทดลองเวทย์เนโครแมนซี่เองนะ แล้วก็ทำงานบ้านให้ข้า แล้วก็เป็นหนูทดลองพลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ของข้าเองนะ.....”

ยิ่งข้าพูด ความมั่นใจในน้ำเสียงของข้ายิ่งน้อยลง ทันใดนั้นข้าก็ได้ยินเสียงอันแสนคุ้นเคยมาจากทางด้านหลัง

“ฝ่าบาท ในเมื่อท่านพูดเหตุผลออกมาด้วยตัวท่านเองแล้ว ข้าก็คงไม่ต้องไปขุดคุ้ยอะไรให้มากกว่านี้อีก ครั้งนี้เหตุผลในการมาเยือนของท่าน ใช่ถึงเวลาที่พวกเราต้องลุกขึ้นสู้แล้วใช่รึไม่?”

“เปล่าหรอก ข้านั้นเป็นคนรักสงบ การต่อสู้กับอะไรเทือกนั้นน่ะข้าเกลียดที่สุด ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็เถอะ แต่เวลาแห่งคำสัญญาที่ข้าให้ไว้ย่อมมาถึงอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วกองทัพของข้าเตรียมพร้อมที่จะออกศึกรึไม่?”

“รับด้วยเกล้าฝ่าบาท กองทัพของท่าน ไม่ว่าจะเป็นเมื่อ 376 ปีก่อน หรือ 250 ปีก่อน หรือ 130 ปีก่อน มีสักครั้งรึที่พวกเราทำให้ท่านต้องผิดหวัง!? ทัพหมาล่าเนื้อสีชาดที่เหลือรอดทั้ง 24602 ตนได้เฝ้าลับคมเล็บเหลาคมเขี้ยว เฝ้ารอวันที่ท่านจะเรียกหา พวกเราแทบทนรอไม่ไหวถึงช่วงเวลาที่พวกเราจะได้หวนคืนสู่สมรภูมิอีกครั้ง”

น้ำเสียงของทหารพ่ายแพ้ผู้นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตฮึกเหิม สมแล้วที่เป็นแม่ทัพของข้า เจ้ายังคงพึ่งพาได้ไม่ต่างจากในอดีตเลย

“แล้ววันนี้ ตัวท่านมาเพื่อดูการฝึกของทหารหรือมาเพื่อดูการทดลองภัยพิบัติชิ้นใหม่กันล่ะท่าน? นักเล่นแร่แปรธาตุของทางเราได้คิดค้นอาวุธชิ้นใหม่ได้สำเร็จ ซึ่งมีพลังทำลายมหาศาล...”

“ไม่ใช่หรอก ข้าก็บอกแล้วนิว่าข้าเป็นคนรักสงบ การต่อสู้ฆ่าฟันกันน่ะต่างไร้ความหมายใดๆต่อตัวข้า ในวันนี้ข้ามาเพื่อดูการเตรียมการเรื่องนั้นต่างหาก”

“นี่ท่านพูดถึงเรื่องไร้สาระ....ไม่สิ นี่ท่านพูดถึงเรื่องสำคัญอันนั้นหรอกเหรอ? ตอนนี้การเตรียมการได้เสร็จสิ้นแล้วพร้อมเริ่มดำเนินการได้ทุกเมื่อครับท่าน”

ข้าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหันหลังกลับไปแต่ไม่มีใครอยู่ด้านหลังข้าเลยนี้ซิ

“ฮ้อง ฮ้อง! ข้างล่าง ฮ้อง ฮ้อง ข้าอยู่ข้างล่าง ฝ่าบาท! นี่ท่านจงใจแกล้งข้าใช่มั้ยเนี่ย? แกล้งข้ามันสนุกมากรึไงหาท่าน? ข้าเป็นถึงหนึ่งในแม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของท่านเลยนะ ท่านเข้าใจมั้ยหา!”

เมื่อข้าก้มหัวลง อย่างที่หวังผู้ที่ข้าพบก็คือเสี้ยวบาสที่แสนน่ารักของข้า โดยในตอนนี้ตัวเสี้ยวบาสนั้นกำลังไล่งับหางตัวเองเป็นวงกลมตามสัญชาตญาณของตนอยู่

เสี้ยวบาสนั้นเป็นพี่ชายของอาเปา ทั้งยังเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ข้าเชื่อใจที่สุดตั้งแต่อดีตและจากนี้ไปก็เช่นกัน เขาผู้นี้นั้นเป็นโครงกระดูกลูกหมาน้อยน่ารักน่าชังนั้นเอง

“ข้าไม่ได้ชื่อเสี้ยวบาสสักหน่อย! ข้าชื่อบาสเตียน หมาล่าเนื้อนรกมิติอสูรบาสเตียนต่างหาก!!”

“งั้นเหรอ อาบาส”

“บาสเตียนต่างหาก!! ข้าเป็นแม่ทัพของท่านนะ ท่านเข้าใจมั้ยหา แถมข้ายังเป็นรองผู้บัญชาการแห่งกองทัพของท่านผู้ไม่รู้จักคำว่าพ่ายแพ้!”

“ข้าเข้าใจอยู่แล้วนา เจ้าไม่ต้องย้ำนักย้ำหนาขนาดนั้นก็ได้ ข้าก็คิดเสมอแหละว่าเจ้านั้นเก่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้นทำไมตัวเจ้าถึงน่ารักน่าชังได้ขนาดนี้เนี่ย! อย่างที่เขาว่าไว้ สัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ส่วนเจ้าพวกอันธพาลตัวน้อย(เด็กเกเร)เป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด”

เมื่อเจ้าหมากระดูกตัวน้อยเบื้องหน้าได้ฟังน้ำเสียงอันตอแหลราวกับเด็กซุกซนและคำประกาศที่ยิ่งไร้สาระขึ้นเรื่อยๆของข้า หางและคิ้วของเสี้ยวบาสได้แต่ลู่ลงพร้อมกับที่หมอบราบลงกับพื้น เอาเท้าก่ายหน้าตัวเองเพราะมันคงรู้ดีว่าเมื่อเจ้านายของมันเข้าสู่สภาวะบ้าบอเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะพูดอะไรไปก็ไม่เข้าหูเจ้านายทั้งนั้น

และแล้วในวันนี้เองที่ข้าได้เป็นสักขีพยานเห็นถึง ใบหน้าอันสิ้นหวังของหมาโครงกระดูก

“ก็ได้ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้วก็ได้ เสี้ยวบาส ที่ข้าให้เตรียมน่ะพร้อมรึยัง?”

“เริ่มได้เสมอตามที่ท่านต้องการ ถึงข้าจะคิดมาตลอดเลยว่านี่มันเป็นความคิดที่แย่มากและยิ่งตัวท่านที่ขึ้นชื่อในเรื่องเชื่อถืออะไรไม่ได้แล้วด้วย แต่ข้าจะถือว่าการละเล่นนี่ทำไปเพื่อให้ท่านอารมณ์ดีละกัน....”

“แค่ก!” ข้าได้ไอแห้งๆเพื่อขัดคำบ่นของเจ้าหมานี่

“งั้น ข้า ลิชโรแลนด์ ได้มาที่นี่ในวันนี้เพื่อขอประกาศเปิดแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของนครภูผาหลิวฮวงโดยเหล่าอันเดด สวนสนุกรอยัลอันเดตขอเปิดทำการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!!”

ใช่แล้ว การต่อสู้ฆ่าฟันนั้นต่างไร้ความหมายใดๆ ยุคปัจจุบันนี้ที่สำคัญมันต้องเศรษฐกิจ ความอยู่ดีกินดีของประชาชนผู้อยู่อาศัย! ฉะนั้นเขตอันเดดของพวกเราเองก็ต้องลองเสี่ยงในธุรกิจแบบใหม่บ้าง ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ สวนสนุกอันเดดแห่งนี้นั้นเอง

ร่วมแข่งขันตีโปโลกับดูลาฮาน ปริศนาตัวต่อจิ๊กซอว์โครงกระดูกแสนสนุก ร่วมเริงระบำอันเร่าร้อนไปกับเหล่าวิญญาณและทัวร์ชมวิวทิวทัศน์ทั่วนครภูผาหลิวฮวงด้วยมังกรโครงกระดูก เห็นมั้ยข้าถึงขนาดเตรียมกิจกรรมที่โด่งดังสำหรับสวนสนุกมาแล้วเนี่ย

ส่วนสิ่งที่หมุนอยู่ด้านหลังของข้านั้นคือ จุดขายอันดับหนึ่งของสวนสนุกแห่งนี้ ชิงช้าสวรรค์ขนาดมหึมาสร้างจากกองกระดูกนับไม่ถ้วน ความสูงของแกนกลางนั้นสูงกว่า 300 เมตรและเมื่อหมุนท่านจะได้สัมผัสกับลมขนหัวลุกราวกับการเต้นรำของมังกรดำเลยทีเดียว ยิ่งกว่านั้นด้วยความสูงสุทธิที่เทียบได้กับเหล่าไททันตัวใหญ่ยักษ์ ทำให้แม้แต่นอกเมืองตัวท่านก็ยังสามารถเห็นได้

ความจริงเมื่อก่อนหน้านี้ ข้าต้องเสียแรงไปมากมายนักเพื่อเกลี่ยกล่อมว่าชิงช้าสวรรค์นี่ไม่อาวุธสงครามที่น่ากลัวหรือแผนการร้าย....แต่ที่ข้าลงแรงไปนั้นคุ้มค่าเมื่อคิดถึงชิงช้านี้!

ชิงช้าสวรรค์แห่งนี้จะกลายเป็นโฆษณามีชีวิตชั้นดีสำหรับสวนสนุกแห่งนี้ แล้วอีกไม่นาน ลูกค้าจำนวนนับไม่หว่านไม่ไหวก็จะหลั่งไหลมาที่สวนสนุกแห่งนี้ เงินทองก็จะไหลมาเทมาเช่นกัน

ณ ตอนนี้เอง ที่เหล่าสมุนโครงกระดูกของข้าต่างแต่งตัวเป็นตัวตลกและร่วมร้องเล่นดนตรีที่บริเวณทางเข้าสวนสนุก พร้อมกับตัวข้าที่เฝ้ารอการมาของลูกค้าอย่างใจจดใจจ่อ

แต่ก็ไม่เป็นดั่งหวัง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีนักท่องเที่ยวแม้แต่ชีวิตเดียวก้าวเข้ามา ข้าจึงได้เอ่ยปากถามกับอาบาสที่นอนอยู่บนศีรษะข้า

“แผ่นโฆษณาถูกแจกจ่ายออกไปหมดรึยัง?”

“แจกออกไปหมดนานแล้วท่าน”

“เราจ่ายค่าจ้างโฆษณาให้เหล่าก็อบลินรึยัง?”

“จ่ายแล้วท่าน”

“ได้เขียนว่าได้รับประกันความปลอดภัยจากศาลสูงสุดลงในแผ่นโฆษณารึเปล่า?”

“เขียนไปแล้วครับท่าน แต่ใครจะไปคิดกันว่าท่านจะได้ใบอนุญาตและการประกันความปลอดภัยจากศาลสูงสุดมาจริงๆ ถ้าไม่มีการรับประกันนี่ ข้าสงสัยว่าจะมีใครกล้ามาที่นี่กัน”

“คำเชิญชวนในโฆษณาที่ข้าคิดดีไม่พอเหรอ?”

“ไม่หรอกท่าน คำเชิญชวนนั้นทั้งน่าสนใจและเตะตามากเลย คำเชิญชวนที่ว่า ‘มามองดูอนาคตของท่านและพบปะไปกับเพื่อนบ้านในอนาคตของท่าน มาร่วมเต้นรำไปกับเหล่าวิญญาณจากแดนมายากันเถอะและร่วมสนุกกับประสบการณ์สุดวิเศษอีกมากมาย ไม่เสียค่าทางเข้าภายใน 3 วันหลังเปิดทำการ และลูกค้า 100 ท่านแรกยังได้รับของสมมนาคุณของขวัญปริศนาอีกด้วย! รับประกันความปลอดภัย! และเรายังขอรับประกันถึงความสุขความสนุกอันเหลือล้นอีกด้วย!’”

“แล้วทำไมถึงไม่มีใครมาเลยล่ะ!”

ข้าได้แต่จ้องไปที่เจ้าหมาโง่นี่ แต่เจ้าตัวกลับส่งยิ้มให้ข้าแทน

“โฮะ โฮะ เจ้านายท่านลืมไปแล้วเหรอว่าที่นี่คือเขตอันเดด แดนต้องห้ามของเหล่าคนเป็น แล้วท่านคิดว่าในสายตาของพวกคนเป็นแล้ว พวกเราเหล่าอันเดดสื่อถึงอะไรกันล่ะ?”

หลังจากได้ยินคำถามนี้ ข้าถึงกลับชะงักไปชั่วครู่ “อันเดดที่เจ้าพูดถึงคืออะไรงั้นเหรอ?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด