ตอนที่แล้วตอนที่ 4 ผู้เฝ้าปกปักษ์ (วูเมี้ยนเจ้อ)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 6 ทำงานทำการ

ตอนที่ 5 ตุลาการสูงสุด


นครภูผาหลิวฮวงเป็นสถานที่ที่ดี นี้คงเป็นความจริงที่ได้รับการยอมรับทั่วทั้งโลกใต้พิภพแห่งนี้

เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจว่านครภูผาหลิวฮวงเป็นสถานที่แบบใด ก่อนอื่นทุกคนต้องรับรู้ก่อนว่าโลกใต้พิภพเป็นดินแดนเยี่ยงไร

ที่นี่คือดินแดนของผู้ถูกเนรเทศ นี้คงเป็นความเข้าใจสามัญของผู้ที่อาศัยอยู่บนพื้นทวีป

ความจริงแล้วโลกใต้พิภพคือ โพรงแผ่นดินที่อยู่ใต้ทวีปแห่งเอ็ช ขนาดโดยรวมทั้งหมดของโลกใต้พิภพนั้นเกินกว่าที่จะวัดได้ รวมทั้งภูมิประเทศที่ซับซ้อนเกินกว่าจะบันทึกออกมาเป็นแผ่นที่ได้เช่นกัน แถมยังเคยมีคนกล่าวไว้ว่าดินแดนแห่งนี้นั้นเป็นเส้นทางสายตรงสู่ขุมนรกอเวจีอีกด้วย

เมื่อสมัยยุคเริ่มต้น ดินแดนแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดมาตั้งรกรากอยู่หรอกแต่ด้วยกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนไป จนบัดนี้ผืนแผ่นดินนี้ได้กลายเป็นดินแดนของผู้ถูกขับไล่ไป

เอลฟ์ขับไล่ดาร์ดเอลฟ์ คนแคระขับไล่คนแคระเทา ก็อบลินขับไล่ก็อบลินป่า และอีกกว่าร้อยละ 40 ของพวกมนุษย์สัตว์ที่โดนขับไล่จากขุมกำลังอื่นๆ ให้ลงมาสู่ดินแดนโลกใต้พิภพแห่งนี้ แม้แต่เผ่าพันธุ์มังกรที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังยังขับไล่มังกรแดงที่ป่าเถื่อนและมังกรดำที่เจ้าเล่ห์ให้กลายเป็นผู้ถูกเนรเทศมาสู่แผ่นดินนี้ รวมทั้งไททันที่ขับไล่ยักษ์ภูเขาไฟออกมาเช่นกัน

แม้แต่เผ่าพันธุ์ที่ครอบครองพื้นทวีป มนุษย์ ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ถึงแม้พวกที่โดนขับไล่ออกมานั้น จะเป็นพวกกลุ่มที่ปัญหาหยั่งรากลึกซึ่งประกอบไปด้วย แม่มด พวกสุดโต่งทั้งหลาย พวกลัทธิประหลาด นักปฏิวัติ เนโครแมนเซอร์ ปิศาจ พวกนอกรีต นักวิทยาศาสตร์ และอื่นๆอีกมากมาย ราวกับว่าโลกใต้พิภพนั้นเป็นที่ที่พวกพื้นทวีปใช้ทิ้งสิ่งที่ตนไม่ต้องการ

ด้วยเวลาที่ไหลเลยไปจนถึงยุคปัจจุบัน สภาพเผ่าพันธุ์ต่างๆในโลกใต้พิภพได้สลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะคาดคะเนใดๆได้อีกแล้วแต่ที่แห่งนี้ยังคงมีกฎหนึ่งข้อที่ฝั่งรากลึกอยู่ดังเดิม

ในโลกใต้พิภพแห่งนี้ไม่มีกฎระเบียบใดๆ ผู้แข็งแกร่งคือผู้เสียงดังที่สุด ผู้ชนะได้ครองผู้แพ้ตกเป็นทาส

แม้แต่ขุมกำลังฝ่ายความโกลาหลที่แสนวุ่นวาย ที่แห่งนี้ยังถือเป็นที่ที่ยุ่งเหยิงที่สุดที่ที่เจ้านครใต้พิภพต่างทำสงครามกันตลอดทั้งปีไม่มีขาด

เหล่าเจ้านครทั้งหลายต่างแยกชิงดินแดน ปล้นสะดม โจมตีนครอื่นๆ จับประชาชนไปเป็นทาส แต่ข้างบนพื้นทวีปก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก แต่ด้วยข้อจำกัดความแตกต่างของศาสนาที่เคารพบูชาเหล่าเทพของฝ่ายกฎระเบียบและด้วยวุฒิสภาที่ต่างกันไปตามแต่ละอาณาจักร ทำให้ข้างบนนั้นยังคงสงบสุขได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ ณ ที่โลกใต้พิภพ ดินแดนที่ถูกพระเจ้าทอดทิ้งแห่งนี้สงครามไม่มีวันสิ้นสุด

สำหรับผู้ใดที่สามารถเอาชีวิตรอดในโลกใต้พิภพที่แสนวุ่นวายนี้ได้ ถ้าให้เอาไปเปรียบเทียบกับพวกที่อยู่บนพื้นทวีปแล้วล่ะก็ ถือว่าห่างไกลจากคำว่าอ่อนแอไปหลายขุมนัก

ให้ง่ายขึ้น เรามาลองใช้มาตรฐานแบบในเกมกัน โลกใต้พิภพนั้นเป็นพื้นที่อันตรายสำหรับผู้เล่นเลเวลสูงที่เปิดตอนช่วงหลังของเกม เฉพาะผู้เล่นเลเวล 40 ขึ้นเท่านั้นถึงตั้งปาร์ตี้เข้ามาได้

นครในโลกใต้พิภพส่วนมากแล้ว ถึงในแต่ละนครจะมีหลากหลายทางเผ่าพันธุ์ที่สูง แต่โดยปกติมักจะมีเพียงเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้นที่ฝ่ายปกครองส่วนที่เหลือเป็นฝ่ายอยู่ใต้อาณัติ

แต่ที่นครภูผาหลิวฮวงนั้นต่างออกไป

นครแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ถัดจากแม่น้ำกำมะถันนั้นไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยาวนานแต่อย่างใด เพียงแค่น้อยกว่า 130 ปีไปเล็กน้อย ในสายตาของเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยาวนานเวลาเท่านี้แทบไม่ต่างอะไรจากการกระพริบตาเลย

แต่ที่นครแห่งนี้ สามารถทำสิ่งที่เหล่าเจ้านครทั่วทั้งโลกใต้พิภพไม่สามารถทำได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาหลายล้านปีก็ตาม ได้สำเร็จ

ที่นครแห่งนี้ไร้สงคราม ไร้ชนชั้นวรรณะ ไร้การกดขี่ใดๆ

เอาตามจริงที่แห่งนี้ ไม่มีเผ่าพันธุ์ผู้ปกครองมีเพียงเจ้านคร อดัม ฮานต์ วีรบุรุษชื่อเสียงกึกก้อง รับหน้าที่อันเด็ดเดี่ยวกลายเป็นผู้ปกครองนครแห่งนี้ไป ถ้าตัดเรื่องที่อดัม เผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นเจ้านครที่นี่แล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนน้อยที่สุดในนครแห่งนี้ และ ณ ที่แห่งนี้ไม่มีชนชั้นสูงคอยปกครองแม้สักคนเดียว

และในเรื่องกองทัพก็ยังแตกต่างจากนครอื่นๆในโลกใต้พิภพที่มีกำลังพลหลายหมื่น นครหลิวฮวงนั้นมีกำลังทหารเพียงไม่กี่ร้อยคนในทั้งกองกำลังสำรองและหน่วยพิทักษ์สันติราช โดยหน่วยที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นคือ กองกำลังหน่วยรักษาความสงบแห่งนคร หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ หน่วยรักษาความสงบที่ส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยดาร์ดเอลฟ์ ถึงเป็นเช่นนั้นแต่จำนวนกองกำลังทั้งหมดก็ไม่เคยเกินเลข 800 เลยสักครั้ง

ในโลกใต้พิภพที่วุ่นวายนี้ ผู้ใฝ่หาสันตินั้นไม่ต่างอะไรกับผู้อ่อนแอ และด้วยเหมืองภูเขากำมะถันที่อยู่ด้านหลังนครร่วมกับจำนวนกองกำลังป้องกันที่มีเพียงหยิบมือ ทำให้เป็นธรรมดาที่ที่ผืนดินนี้เป็นที่ต้องตาต้องใจของเหล่าเจ้านครรอบด้าน

แต่หลังการศึกไปไม่กี่ครั้ง ก็ไม่มีใครกล้าจะเล็งนครแห่งนี้เป็นเป้าหมายอีกต่อไป

เพราะอะไรนั่นเหรอ? เพราะว่ากำปั้นของที่นี่นั้นใหญ่พอน่ะสิ (แข็งแกร่งพอ)

ไม่มีกองทัพ? ความจริงแล้ว เพราะมันไม่จำเป็นต้องมีต่างหากล่ะ

ไอน์ เมซุส (เสี้ยวหงส์ by โรแลนด์) มังกรแดงโบราณผู้ถูกขนานนามว่า ภัยพิบัติแห่งเวรอน ได้ใช้เหมืองกำมะถันด้านหลังนครภูผาหลิวฮวงเป็นที่พักอาศัย มังกรชั่วร้ายผู้เคยทำให้อาณาจักรมนุษย์หลายสิบอาณาจักรเหลือเพียงซากปะหลักผลักพัง ด้วยเหตุผลที่ไม่มีผู้ใดทราบ ได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ของนครแห่งนี้

อดัม ฮานต์ หนึ่งในวีรบุรุษชื่อเสียงกึกก้องแห่งยุค ผู้ได้ลงมือสังหารจักรพรรดิอันเดด ลอร์ดย่งเย่(ราตรีนิจนิรันดร์) และกอบกู้โลกนี้ไว้ หลังจากลงมาสู่โลกใต้พิภพเพียงลำพัง เจ้าตัวได้ลงมือทำลายนครแห่งดาร์ดเอลฟ์โดยใช้เพียงกำลังเพียงอย่างเดียว ในศึกครั้งนั้นมีดาร์ดเอลฟ์กว่า 40000-50000 และเผ่าพันธุ์อื่นอีกกว่าแสนชีวิตเข้าร่วม จนทำให้บุรุษผู้นี้ได้รับขนานนามว่า มือเชือดพันศพ ที่โด่งดังที่สุด

นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ มากาเร็ต หรืออีกชื่อ ‘บุตรีแห่งสวรรค์’ สหายของอดัมผู้ร่วมทางไปกำราบลอร์ดย่งเย่ ตามข่าวลือได้กล่าวไว้ว่า สตรีผู้นี้เป็นตัวตนพิเศษที่สามารถอัญเชิญกองทัพเทวดาออกมาได้ด้วยลำพังตัวคนเดียว

ได้มีการกล่าวไว้ว่ามีครั้งหนึ่ง ที่เจ้านครใต้พิภพผู้หมายตาจะโจมตีนครภูผาหลิวฮวง แต่ต้องโดน ‘เกลี้ยกล่อม’ ให้จากไปโดยเหล่าบุคคลสำคัญข้างต้นนั้น โดยที่เจ้านครผู้นั้นแม้แต่กำแพงนครหลิวฮวงยังไม่ได้แม้แต่จะเห็น....

จนมีคำกล่าวว่าตราบใดที่สามผู้นำยังคงอยู่ นครแห่งนี้ก็เป็นปราการที่ไม่มีวันแตกพ่าย

ด้วยระบบของข้า เจ้าทั้งสามคนนี้ระดับ 200-300 กันหมดเหมาะกับเป็นตัวละครบอสใหญ่ๆกันทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงยุคปัจจุบันเลย แม้ว่าจะหลังการอัปเดตครั้งที่ 3 หรือ 4 ตามฐานข้อมูลสรุปเกม ทั้งสามคนนั้นก็ยังคงเป็นบุคคลสุดแข็งแกร่งเช่นเดิม อยู่คนละขุมกับพวกเจ้านครใต้พิภพระดับ 80-90 ที่พึ่งเข้าสู่ระดับชั้นตำนานหยกๆ ที่อยู่ล้อมรอบนครหลิวฮวง

ด้วยการคุ้มครองที่ทรงพลังและความเท่าเทียมกันของทุกชนชั้น ทำให้ดินแดนแห่งนี้เป็นแผ่นดินอันสงบสุขเพียงแห่งเดียวในโลกใต้พิภพอันโกลาหลนี้

แต่การมีเพียงพละกำลังนั้นไม่เพียงพอแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้นักบุญผู้ยิ่งใหญ่จึงต้องรับตำแหน่งหัวหน้าในการจัดการกิจการภายในเพื่อให้นครยังคงอยู่ในความสงบเรียบร้อย และตุลาการสูงสุด วูเมี้ยนเจ้อ ใช่แล้ว นั้นข้าเองแหละ ได้ลงมือบัญญัติกฎหมายที่ความเท่าเทียมยุติธรรมที่สุดในทั่วทั้งแผ่นดินเอ็ชขึ้น

และด้วยฐานะเจ้านคร อดัม ใช้เวลาของตัวเองส่วนใหญ่ทำสิ่งที่เจ้าตัวกระทำอยู่เสมอนั้นคือ เป็นเครื่องรางนำโชคไม่ได้เรื่อง

และด้วยเหตุบังเอิญ ที่ข้าผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับทั้งสามผู้นำของนครหลิวฮวง จนทำให้ข้าได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งนครแห่งนี้ขึ้น

เมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้ที่ข้าถูกเจ้าหน้าที่รักษาความสงบไต่สวน ข้าไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ข้านั้นเป็นลูกจ้างที่ดีพร้อมด้วยการงานสุจริต การงานที่มีตำแหน่งเป็นตุลาการสูงสุดของนครภูผาหลิวฮวงยังไงล่ะ!

ถึงความทรงจำของตัวข้าจะกระจัดกระจายไปซะส่วนใหญ่หลังจากที่ข้าตายไป 3 ครั้ง แต่ความรู้ที่ข้าให้ความสำคัญที่สุดนั้นยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี

ด้วยในชาติก่อนที่ข้าเคยเป็นทนายความและผู้พิพากษา ทำให้ความรู้ด้านนิติบัญญัติที่ข้าสั่งสมมานั้นไกลเกินกว่าที่มีอยู่ในยุคปัจจุบันอย่างไม่เห็นฝุ่น บัญญัติกฎหมายที่ตัวข้าได้เขียนให้นครหลิวฮวงนั้นได้กลายต้นแบบให้ทั้งโลกใต้พิภพและแม้แต่พวกที่อยู่บนพื้นทวีปยังต้องส่งนักวิชาการมาเพื่อศึกษาจากเราเลย

ความขัดแย้งจากการเหยียดเผ่าพันธุ์งั้นเหรอ? ข้าแก้ปัญหานี้โดยสลักคำสุนทรพจน์ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ‘ข้าพเจ้ามีความฝัน’ ไว้ที่ตลาดของนครและประตูเมืองเพื่อให้คนทุกหมู่เหล่าที่เดินทางเข้าและออกนครต้องได้เห็น และนี่เป็นเพียงก้าวแรกของข้าเท่านั้น

ต่อมาข้าได้บัญญัติให้การเหยียดเผ่าพันธุ์เป็นความผิดและผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษอย่างหนักหน่วง จากนั้นตัวข้าก็เริ่มปล่อยนโยบายออกมาอีกชุดใหญ่เพื่อจัดการสถานการณ์ตรึงเครียดระหว่างเผ่าพันธุ์และลงอาญาพวกโง่เง่าที่บังอาจข้ามเส้นที่ข้าวางเอาไว้อย่างสาสม เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงทั้งหลายได้ดู

และจากการที่ข้าได้สนใจในวิชาด้านสังคมวิทยา ทำให้ข้าตระหนักได้ว่าตามใดที่กฎได้รับยอมรับและเห็นด้วย แม้จะแค่ผิวเผินก็ตาม แต่เมื่อเวลาได้ผ่านไปพอสมควร ตัวสังคมเองจะเริ่มเคยชินกับตัวตนของกฎที่ใส่เข้าไปและเริ่มมองกฎเหล่านั้นเป็นสิ่งถูกต้องอย่างชอบธรรม

ในฐานะที่ข้าเป็นอันเดด สิ่งที่ข้ามีไม่เคยขาดเลยนั่นคือ เวลาและแรงกาย หลังจากลงทุนลงแรงนานหลายแรมปีในการเปลี่ยนความคิดของผู้คน จนอย่างน้อยข้าก็สำเร็จในการปลูกฝั่งความคิดที่ว่าทุกเผ่าพันธุ์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขลงในความคิดของประชาชนแห่งนครภูผาหลิวฮวง

จนในที่สุดความปรองดองกันระหว่างเผ่าพันธุ์ก็กลายเป็นหนึ่งในรากฐานความรุ่งเรืองของนครหลิวฮวง และก้าวต่อไปของข้าก็คือความปลอดภัยภายในนคร

ฆ่าผู้อื่นแล้วปล้นชิงทรัพย์สินถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงอย่างงั้นรึ? สำหรับนครใต้พิภพแห่งอื่นแล้ว ผู้กระทำผิดสามารถใช้เงินเพื่อให้หลุดพ้นจากความผิดไปได้ ทำให้เหล่าพ่อค้าร่ำรวยและชนชั้นสูงต่างปฏิบัติต่อประชาชนเผ่าพันธุ์อื่นอย่างไร้เกียรติและความเคารพอย่างไม่ควรจะเป็น แต่ที่นี่หลิวฮวง คือโทษตายอย่างไร้การผ่อนปรนใดๆ สถานเดียว ด้วยภายใต้ความคุกคามจากบทลงโทษที่แสนหนักหน่วงนี้เองก็ส่งผลให้ความปลอดภัยในนครเริ่มหันเหไปทางที่ดีขึ้น

แต่อย่างลืม ว่าเจ้าต้องดุดันพอที่จะบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ได้ และตอนนั้นเองที่เหล่าดาร์ดเอลฟ์นอกรีตที่ถูกขับไล่จากตระกูลของตนเนื่องด้วยเรื่องที่พวกนางหันไปนับถือในแสงศักดิ์สิทธิ์ ได้เข้ามาเป็นจุดเปลี่ยนของหน่วยรักษาความสงบ และหลังจากที่ข้ายอมลงทุนทรัพยากรไปอย่างมากมาย จนในที่สุดข้าก็สามารถเปลี่ยนพวกนางให้กลายเป็นหน่วยพิทักษ์สันติราชที่ได้ความเชื่อถือจากเหล่าราษฎรได้สำเร็จ

จนบางครั้งบางคราว ตัวข้าก็กลับมานึกเสียใจที่ข้าให้ยุธโทปกรณ์ที่ดีขนาดนั้นกับหน่วยรักษาความสงบ ทำให้พวกนางแข็งแกร่งขึ้นมาซะขนาดนี้จนทำเอาความยากในการสำเร็จภารกิจประจำวันของข้า ยากขึ้นสักสองเท่าได้ แถมความบ่อยที่ข้าต้องเข้าไปนอนในลูกกรงก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย....แค่ก แค่ก เราอย่าไปพูดถึงเรื่องที่ข้าขัดขาตัวเองเลยล่ะกัน เรามาพูดเรื่องนครกันต่อ และแล้วดินแดนที่ฟูมฟักด้วยหยาดน้ำตาและโลหิตของผู้ก้าวข้ามคนนี้เอง ก็ได้นำนครใต้พิภพทั้งหลายเข้าสู่ศักราชใหม่

ความขัดแย้งทางศาสนาที่เป็นปัญหาชวนหัวสำหรับที่อื่นในโลกใต้พิภพน่ะเหรอ? ปัญหาข้อนี้แน่นอนว่าเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไขเนื่องจากสภาพรูปร่างของเทพแต่ละองค์ในโลกแห่งเอ็ช เจ้านครใต้พิภพแต่ละคนนั้นต่างจะเชื่อในเทพเพียงองค์เดียว แล้วเจ้าคิดหรือว่าบุคคลเช่นนี้จะตัดสินอะไรได้อย่างยุติธรรมไม่โอนเอียงไปข้างพวกเดียวกับตน? แล้วถ้ายิ่งศาสนาเข้าไปกดขี่บังคับบางเผ่าพันธุ์แล้วด้วย ผลที่ตามมาย่อมเป็นความขัดแย้งไม่รู้จบ

แต่ที่นครหลิวฮวงนั้น....ในหมู่สามผู้นำเอง มังกรแดง ไอน์ เมซุส นั้นเชื่อในทองคำ เจ้านคร อดัม ฮานต์ เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องไร้ศรัทธา ส่วนนักบุญผู้ยิ่งใหญ่นั้นเชื่อในภูมิปัญญาและอดัม

ใช่แล้ว พวกเจ้าดูไม่ผิดหรอก นักบุญผู้ยิ่งใหญ่นั้นได้ตกหลุมรักวีรบุรุษหาญกล้ามาเป็นเวลานานนมและนี่ยังเป็นเรื่องที่คนเค้ารู้กันทั่วทั้งโลก แต่เจ้าสมองทึบนั้นดูท่าจะยังไม่รู้ จนตัวข้ากับเสี้ยวหงส์ทนดูสถานการณ์ไม่ไหวจนต้องไปถล่มงานแต่งทั้งสองของเจ้าโง่นี่

ถึงตัวข้าจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามีวัตถุประสงค์แอบแฝง นอกจากแต้มชั่วช้าที่ข้าได้จากความโกลาหลแล้ว ยังได้ดูหนังหน้าโง่ๆของเจ้าอดัมที่เกือบจะร้องไห้อยู่รอมร่อนั้นทำเอาตัวข้านั้นสุขสมอารมณ์หมายจริงๆ (ข้าฟินมาก)

เอาล่ะดูแล้ว ข้าจะออกทะเลมากไปหน่อย เรากลับมาพูดถึงเรื่องโลกใต้พิภพกันต่อ

ในเมื่อความเชื่อของสามผู้นำไม่ช่วยอะไรเลย และถ้ามาถามข้าว่าข้าศรัทธาในสิ่งใด คำตอบก็คงเป็น ‘ให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษทัณฑ์แก่สิ่งที่ทำไปอย่างสาสม’ ‘ให้เหล่าผู้บริสุทธิ์ได้อยู่อย่างสงบสุขภายใต้การคุ้มครองแห่งกฎหมาย’ และอื่นๆอีกมากที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณแห่งความยุติธรรมของข้าในชาติก่อน ด้วยประการฉะนี้แล ข้าจึงได้ลงมือทำสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นในประวัติศาสตร์แห่งเอ็ช – ข้าให้เสรีภาพทางความเชื่อแก่เหล่าราษฎรแห่งนครภูผาหลิวฮวง

“ความเชื่อนั้นเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล เราจึงอนุญาตให้ท่านได้เผยแพร่ความเชื่อของท่านภายในนครแห่งเรา แต่เราไม่อนุญาตให้องค์กรศาสนาใดก็ตามไปบังคับขู่เข็นให้ผู้อื่นเปลี่ยนแปลงความเชื่อ และมันผู้ใดฝ่าฝืนกฎข้อนี้มันผู้นั้นต้องถูกตราหน้าเนรเทศจากนครภูผาหลิวฮวงของเรา”

ในนครหลิวฮวงนั้น มีทั้งผู้ที่เชื่อในเหล่าปิศาจ เชื่อในแสงศักดิ์สิทธิ์ และแม้แต่ผู้ที่เชื่อในไกอาร์และอีกมากมาย จนทำให้ภายในนครนั้นเต็มไปด้วยวิหารและแท่นบูชาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่เมื่อมันคนไหนกล้าใช้ศาสนามาเป็นข้ออ้างในการรังแกผู้อื่น มันคนนั้นต้องรับโทษอย่างแสนสาหัส

ระหว่างที่นครใต้พิภพอื่นๆนั้นเต็มไปด้วยปัญหาภายใน การแก้งแย่งอำนาจบ้านเมือง สงครามระหว่างวิหารต่างศาสนา และผู้อ่อนแอต้องเหยื่อให้ผู้แข็งแกร่งแย่งชิง แต่นครภูผาหลิวฮวงนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น ที่นี่นั้นสถานการณ์บ้านเมืองสงบด้วยกฎหมายที่เหมาะสม การปกครองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บ้านเมืองสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อย เมืองของเรานั้นดึงดูดเหล่าผู้มีความสามารถและพ่อค้าคนขายเข้ามาอย่างมากมาย จนที่ดินแดนผืนนี้กลายเป็นนครที่มั่งคั่งรุ่งเรืองแล้วท้ายที่สุดที่แห่งนี้ก็ได้รับการเรียกขานว่า สรวงสวรรค์แห่งโลกใต้พิภพ

ถึงความจริงแล้ว นครแห่งนี้จะไม่ได้ดีเด่อะไรขนาดนั้นก็เถอะ แต่นครแห่งอื่นในดินแดนใต้พิภพนั้นโกลาหลเกินไปต่างหากล่ะ ทำเอานครแห่งนี้ดูดีมีระดับขึ้นมาทันทีเมื่อไปเทียบกับรอบข้างแค่นั้นเอง

ด้วยการที่ความโกลาหลวุ่นวายได้แทนเป็นสัญลักษณ์สำหรับนครใต้พิภพและโลกใต้พิภพไปแล้ว ส่งผลให้ขุมกำลังขั้วอำนาจต่างๆ เข้ามาที่นครของพวกเรา เพื่อใฝ่หาผลประโยชน์จากรุ่งเรืองของนครแห่งนี้

แม้แต่โบสถ์แสงศักดิ์สิทธิ์บนพื้นทวีปเองยังหลังผงะเลยเมื่อรู้ว่ามีเมืองที่สงบสุขผุดขึ้นมาในดินแดนที่แสนวุ่นวายนี้ เพราะงั้นแล้วทางโบสถ์จึงได้ส่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์และเหล่านักบวชมากมายเพื่อมารับการสอนสั่งจากนครแห่งนี้ แต่เมื่อมาถึงเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องตะลึงกับการที่ทุกเผ่าพันธุ์สามารถอยู่กันอย่างร่วมแรงร่วมใจกันได้จริง จนสุดท้ายเหล่าอัศวินส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะประจำการที่ผืนนครแห่งนี้ไปอีกนานแสนนาน โดยช่วงเวลาที่เหล่าอัศวินมาประจำการอยู่ที่นครนี้นั้น พวกเขาเหล่านี้ก็ต่างศึกษา ‘บทบัญญัติที่ประทานมาจากแสงศักดิ์สิทธิ์’ และคอยเผยแพร่ความยิ่งใหญ่แห่งแสงศักดิ์สิทธิ์เพื่อชี้นำเหล่า ‘ประชานชนในโลกใต้พิภพที่แสนชั่วร้าย’

ด้วยฐานะที่เป็นลิช ศัตรูโดยธรรมชาติของเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์และนักบวชทั้งหลาย ความชิงชังที่ข้ามีต่อพวกมันนั้นมากมายเหลือล้น จนในบางวาระตัวข้านั้นอยากจะถอดหน้ากากแล้วบอกตอกหน้าพวกมันว่า ‘บทบัญญัติที่ประทานมาจากแสงศักดิ์สิทธิ์’ นั้นน่ะเป็นผลงานของลิชผู้ชั่วร้ายเพื่อให้ข้าได้เห็นว่าวินาทีที่ศรัทธาเสื่อมสลายเป็นเช่นไร

เรากลับมาที่ปัจจุบันกันเถอะ สรุปแล้วหน้าฉากอันนี้เองก็กลายเป็นเกราะกำบังชั้นดีสำหรับตัวข้าเวลาโดนไล่กวดนั้นเอง

ใครกันจะไปคิดว่า ตุลาการสูงสุด วูเมี้ยนเจ้อ ผู้เที่ยงตรง ยุติธรรม ผู้ไม่เคยทำผิดจะเป็นเจ้าลิช โรแลนด์ ผู้คอยเอาแต่สร้างปัญหาให้ชาวบ้านชาวช่อง จนเป็นที่รู้จักว่า ‘ไอ้หัวราน้ำ’ จะเป็นบุคคลคนเดียวกัน

เมื่อใดที่ข้าต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าแห่งศาลสูงสุด เมื่อนั้นตัวข้าจะปกปิดตัวตนด้วยหน้ากากนี้เสมอมา สืบเนื่องมาจากระบบลิชผู้แสนชั่วร้ายที่เชื่อถืออะไรไม่ค่อยได้ของข้า ทำให้ข้านั้นถูกสาปให้ทั้งชีวิตของข้านั้นไร้ความน่าเกรงขามใดๆ และด้วยฐานะผู้พิพากษาที่ต้องใช้กฎหมายนั้นแล้ว ลักษณะภายนอกที่ดูทรงอำนาจและน่าเกรงขามไปสิ่งที่ขาดไปไม่ได้

แต่ยังไงซะ บัญญัติกฎหมาย ถ้าไร้ซึ่งอำนาจและความเกรงกลัว บัญญัตินั้นก็ไม่ต่างจากกระดาษชำระชั้นดีหรอก

และในเวลานี้เอง ความน่าเกรงขามที่ข้าสั่งสมมาก็ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม

ณ ตอนนี้ เพียงแค่ตัวข้ายืนอยู่นิ่งๆเงียบๆ เหล่าหน่วยรักษาความสงบที่อยู่ภายใต้อำนาจข้ามานานหลายปีดีนัก ได้แต่ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าตั้งแต่หัวจรดเท้า

ข้าได้หันศีรษะแล้วมองตรงไปที่ผู้นำหน่วยกองกำลังนี้ ไดอาน่า ซีย์ฟาน

“ท่...ท่านค่ะ!!”

ไม่ต้องสงสัย จากน้ำเสียงสั่นๆของนางแล้ว ตอนนี้นางกำลังร้อนตัวอยู่

ตัวข้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาของพวกนาง และนี่ไม่ได้แค่หมายความว่าแค่ยศของข้าสูงกว่าพวกนาง ด้วยการที่พวกนางอยู่ในหน่วยรักษาความสงบ ซึ่งหน่วยรักษาความสงบก็เป็นส่วนหนึ่งของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นก็เป็นส่วนหนึ่งของศาลสูงสุดและข้า วูเมี้ยนเจ้อ เป็นหัวหน้าของศาลสูงสุด

ตามบัญญัติกฎหมายที่ข้าได้ร่างไว้ ด้วยเพียงฐานะที่เป็นส่วนย่อยของศาลชั้นต้น กองกำลังรักษาความสงบนครไม่มีสิทธิ์ในการออกอำนาจการจับกุม พวกนางทำได้เพียงรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเท่านั้น ถ้าจะออกปฏิบัติการจับกุมพวกนางต้องร้องขอคำอนุญาตจากศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นจะเป็นคนยื่นเรื่องรายงานถึงศาลสูงสุด มันต้องเป็นลำดับขั้นตอนเช่นนั้นพวกนางถึงจะออกปฏิบัติการใหญ่เฉกเช่น‘รวดเร็วและหนักหน่วง พวกเราจะลากผู้กระทำผิดทั้งหลายมาลงทัณฑ์ให้จงได้’นี้ได้

แต่ตัวข้าที่เป็นหัวหน้าของศาลสูงสุดกลับไม่ได้รับรายงานใดๆเกี่ยวกับการออกจับกุมครั้งใหญ่เลย

“....ออกปฏิบัติหน้าที่โดยพลการ?”

แน่นอนอยู่แล้วว่านี้ต้องเป็นการกระทำโดยพลการ เพราะข้าพึ่งจะระเบิดฐานของหน่วยรักษาความสงบไปเมื่อวานและเวลาที่พวกนางเริ่มออกปฏิบัติการคือวันนี้ แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกนางจะยื่นคำร้องขออนุญาตและได้รับการตอบรับในช่วงเวลาสั้นๆเช่นนี้ แค่ขั้นตอนในการยื่นเรื่อง พวกนางก็ต้องรวบรวมเอกสารที่จำเป็นจากซากฐานที่เลอะไปแล้วซึ่งนั้นต้องเป็นงานที่หนักหน่วงพอสมควรเลยทีเดียว!

สีหน้าของไดอาน่าซีดเผือกลงทันตาหลังจากได้ยินคำบ่นพึมพำของข้า

“ไม่ว่าวาทะนั้นจะชอบธรรมสักเพียงไร แต่การบังคับใช้กฎหมายก็เป็นกระบวนการความรุนแรงเฉกเช่นเดิม และตัวผู้บังคับใช้กฎหมายนั้นเองก็เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับประกอบความรุนแรงของตัวศาล แล้วถ้าเมื่อใดที่เครื่องมือนั้นเริ่มมีความนึกคิดและปฏิบัติตามใจตน ก็คงอาจถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะต้องกำจัดเครื่องมือชิ้นนั้นไป”

นั้นคือคำพูดที่เป็นที่รู้จักกันดีของตัวข้าเอง และคำพูดนี้ยังได้สลักบนหน้าแรกของคู่มือปฏิบัติงานของเหล่ากองกำลังพิทักษ์สันติราชเพื่อเป็นการเตือนใจ

ข้าคาดว่าพวกนางตั้งใจที่จะบุกจับกุมกะทันหันแล้วค่อยไปจัดการงานเอกสารทีหลัง ถ้าเป็นครั้งอื่น ทั้งศาลชั้นต้นและศาลสูงสุดคงจะยอมหลับตาข้างหนึ่งให้พวกนาง แต่พวกนางไม่ได้คาดถึงการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของข้า แล้วถูกจับได้คาหลังคาเขาแบบนี้

เพียงแค่จ้องมองพวกนางอย่างเงียบๆ ใบหน้าเหล่าดาร์ดเอลฟ์ผิวสีช็อคโกแลตก็ปรับกลายเป็นสีซีดขาว จนแทบจะเอาสีผิวพวกนางตอนนี้ไปเทียบกับสีผิวพวกอันเดดได้เลยนะเนี่ย

ออกปฏิบัติหน้าที่โดยพลการ? ไม่ว่าผลสรุปจะออกมาเช่นไร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดถึงลงมือกระทำ แต่สำหรับตัวกลุ่มผู้บังคับใช้กฎหมายที่ปฏิบัติตามใจชอบนั้นถือเป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรงอย่างมาก ในวันนี้พวกนางอาจออกปฏิบัติหน้าที่โดยพลการเพื่อตามจับผู้ร้าย แต่ถ้าในวันถัดไปพวกนางทำอีกแต่ครั้งนี้เพื่อก่อจลาจลล้มล้างกฎระเบียบเดิมล่ะ

ตามประมวลกฎหมายแห่งนครหลิวฮวงแล้ว ผู้ใดที่ฝ่าฝืนใช้อำนาจเกินกว่าที่ตนมี แม้โทษสถานเบาที่สุดก็คือ การเนรเทศออกจากนครภูผาหลิวฮวง

เหล่าดาร์ดเอลฟ์ได้พาตัวเองมาสู่สถานการณ์อันอับจนหนทางนี้ ถ้าคนที่พวกนางพบเป็นสมาชิกคนอื่นของศาลสูงสุด พวกนางอาจจะแค่เจรจาตกลงเป็นการส่วนตัวเพื่อจบเรื่องไป แต่บุรุษที่อยู่เบื้องหน้าพวกนางตอนนี้นั้นคือ บุรุษที่สามารถเปลี่ยนกฎหมายอันยุติธรรมที่แตะต้องไม่ได้ให้กลายเป็นพลังแห่งปาฏิหาริย์ที่คล้ายคลึงกับพลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ได้ บุรุษผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งกฎหมาย พวกนางไม่เคยได้ยินสักครั้งว่าบุรุษผู้นี้ยอมประนีประนอมกับผู้ใดที่ฝ่าฝืนกรอบแห่งกฎหมาย

ใบหน้าของหัวหน้าหน่วยรักษาความสงบ ไดอาน่าตอนนี้นั้นสุดจะขมขื่น แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่นางต้องกล้าที่จะก้าวออกมา

“หลังจากพยายามมานานแสนนาน จนท้ายที่สุดเหล่าดาร์ดเอลฟ์ที่ชั่วร้ายก็ได้รับการยอมรับจากประชาชน หลังจากที่ผ่าฟันอุปสรรคมาไกลถึงเพียงนี้ แล้วทั้งหมดจะมาสูญเปล่าทั้งแบบนี้งั้นเหรอ? หลังจากที่ต้องจากนครนี้ไป นี่พวกเราต้องกลับไปใช้ชีวิตที่ทุกวันเต็มไปด้วยเลือดและการฆ่าฟันแบบนั้นเหรอ...แล้วตัวข้าจะมองหน้าเหล่าพี่น้องที่เชื่อในตัวข้าได้อย่างไรกัน?”

ริมฝีปากแดงๆของสาวน้อยนั้นได้มีโลหิตหลั่งรินออกมาจากการขบฟันแน่น ดวงตาสีม่วงของเธอคู่นั้นนองไปด้วยน้ำตา เมื่อหวนคิดถึงวันเวลาที่พวกพ้องและตัวเธอต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อที่จะมีชีวิตรอด เมื่อหวนคิดถึงวันที่เธอได้พาเหล่าสหายมาถึงที่ที่เรียกว่าบ้านแสนสุขหลังนี้หลังจากที่ต้องระโหงระแหงดิ้นรนจากการเนรเทศจากตระกูลของพวกเธอ ใบหน้าอันแสนงดงามของดาร์ดเอลฟ์ผู้นี้ก็ถูกแต่งแต้มด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว

“ท่าน....ทั้งหมดนี้เป็นการตัดสินใจของข้าเอง! ถ้าท่านต้องการจะลงโทษ ก็โปรดลงโทษแค่ข้าผู้เดียวด้วยเถอะค่ะ!” หัวหน้าหน่วยรักษาความสงบได้ทิ้งศักดิ์ศรีของตนไปทั้งหมด ได้คุกเข่าลงร้องขอการอภัย

“พี่หญิง...ไดอาน่า!”

“นี้ไม่ใช่ความผิดของพี่หญิงหรอก พวกเราทุกคนน่ะทำไปเพื่อความสงบของนครภูผาหลิวฮวง”

“ท่านมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินพวกเรากัน!”

ล้อมรอบหัวหน้าของพวกนาง เหล่าอัศวินแห่งหน่วยรักษาความสงบเริ่มใช้อารมณ์เหนือเหตุผล พวกนางบางคนจ้องมองข้าด้วยสายตาวาวโรจน์ สถานการณ์เกือบจะกลายเป็นการปะทะกัน ฉะนั้นแล้ว....

“วลีมนตราแห่งกฎหมาย: จงอยู่ในความสงบ!!”

หลังเสียงสะท้อนจากคำพูดของข้าจางหายไป เวทย์มนต์ลึกลับก็เริ่มสัมฤทธิ์ผล ท่ามกลางอากาศว่างเปล่า ค้อนเงินพิพากษาได้ฟาดลงสร้างเสียงกึกก้องไปทั่วทั้งแผ่นดิน

พร้อมด้วยคลื่นสีเงินแพร่สะท้อนเป็นระลอกไปทั่วทั้งทศทิศ ไม่เพียงแต่เสียงเซ็งแซ่ทั้งหมดได้จางหายไป แม้แต่อารมณ์ขุ่นเคืองที่อัดแน่นก็จางหายไปหมดสิ้น

ในโลกแห่งเวทย์มนต์นี้ ถ้าความศรัทธาในกฎระเบียบและแสงศักดิ์สิทธิ์สามารถแปรเปลี่ยนเป็นจุดกำเนิดของพลังวิเศษได้ล่ะก็ เช่นนั้นแล้วความศรัทธาในกฎหมายและความยุติธรรมจะขาดพลังเหนือธรรมชาติที่มาเกื้อหนุนได้อย่างไร

เช่นนั้น เมื่อครั้งที่ข้าอยู่ในศาลแล้วตราประทับวิญญาณชิ้นที่สี่ของข้าเริ่มตกผลึกเป็นรูปร่างขึ้นมานั้น ผู้ที่ตกใจที่สุดน่าจะเป็นตัวข้าเองเนี่ยแหละ เพราะนั้นสื่อถึงว่าประมวลกฎหมายที่ข้าสร้างขึ้นมากับมือนั้นได้รับการยอมรับจากต้นกำเนิดของโลกนี้และกลายเป็นหนึ่งในพลังของฝ่ายกฎระเบียบ

ถ้ากฎหมายนั้นคือพลังแห่งคำพูดแล้ว กฎของโลกใบนี้ต่างรู้จักกันในชื่อ กฎหมาย และตัวข้าผู้ควบคุมกฎและประมวลกฎหมายเช่นนั้นแล้ว คำพูดของตัวข้านั้นย่อมเป็นกฎของโลกใบนี้

และนี่แหละคือ วลีมนตราแห่งกฎหมาย

ศาสตร์แห่งมนตราอันแปลกประหลาดที่ได้รวมกฎหมายกับเวทย์มนต์เข้าไว้ด้วยกัน ถึงแม้ศาสตร์ชิ้นนี้จะแตกต่างจากศาสตร์แห่งสัจธรรมที่ถูกใช้โดยเหล่าจอมเวทย์ และศาสตร์มติคำบัญชาจากสวรรค์ที่ถูกใช้โดยเหล่านักบวชอย่างสิ้นเชิงตรงที่ ใครก็ตามที่สามารถเติมเต็มเงื่อนไขอันเข้มงวดในการใช้ศาสตร์นี้ได้ คนผู้นั้นก็สามารถใช้พลังของศาสตร์นี้ได้

เช่น ณ ตอนนี้ ข้ากำลังพิจารณาคดีที่เหล่าหน่วยรักษาความสงบเป็นจำเลย และตอกแคบๆนี้เป็นศาลว่าความ

และเมื่อข้ากล่าวจงอยู่ในความสงบ สิ่งมีชีวิตทั้งมวลเป็นต้องสงบนิ่งแล้วรับฟังคำตัดสินของข้า

ถึงเหล่าดาร์ดเอลฟ์จะมีความสามารถต้านทานเวทย์มนต์แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าวลีมนตราแห่งกฎหมายชองข้าก็ไร้ประโยชน์ใดๆ พวกนางไม่ได้เสียงเซ็งแซ่ของสหายพวกนางอีกต่อไป ร่างกายและหัวใจของพวกนางรู้สึกราวกับถูกแช่ในอ่างน้ำแข็งพร้อมกับความเย็นยะเยือกที่กัดกินแผ่นหลังของพวกนาง พวกนางสงบปากสงบคำไปในทันที

จนถึงบัดนี้ พวกนางพึ่งระลึกได้ว่าบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าพวกนางนะตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่ตุลาการสูงสุด แต่ยิ่งกว่านั้น บุรุษเบื้องหน้านี้ยังเป็นจอมเวทย์ที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปท้าทายความสามารถที่แท้จริงอีกด้วย

วลีมนตราแห่งกฎหมายที่บุรุษผู้นี้สรรค์สร้างขึ้นจากการผสมกฎหมายเข้ากับเวทย์มนต์ ได้กลายเป็นมนตราเฉพาะที่ใช้กฎเป็นพื้นฐานและชื่อเสียงของมนตรานี้นั้นได้แพร่สะพัดไปทั่วหล้า ดึงดูดให้เหล่าผู้นำทางศาสนาและเหล่านักบุญจากพื้นทวีปเดินทางมาศึกษา ยิ่งกว่านั้นศาลสูงสุดได้กลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้แข็งแกร่งระดับชั้นทองคำสามารถเข้ามาศึกษาความลับของวลีมนตราแห่งกฎหมายได้

และบุรุษผู้นี้ยังได้สร้างอาชีพขึ้นมาอีก 3 อาชีพ อันได้แก่ อัศวินแห่งความยุติธรรม ผู้พิพากษาและผู้เอ่ยวลีแห่งกฎหมาย ซึ่งเทียบเท่าได้กับ อัศวินศักดิ์สิทธิ์ คาร์ดินัล และนักบวชสงครามที่โบสถ์แสงศักดิ์สิทธิ์ภาคภูมิใจ

“แข็งแกร่งมาก....ผิวต้านเวทย์มนต์ถูกมองข้ามโดยสมบูรณ์เลย”

“ข้าไม่สามารถวิเคราะห์ระดับของเวทย์มนต์ได้เลย เอาตามจริง ข้าไม่รู้สึกแม้แต่กระแสของเวทย์มนต์เลยด้วยซ้ำแต่คงไม่ต่ำกว่าชั้นผู้บรรลุแน่”

ในสายตาของพวกนาง การขัดคำสั่งเท่ากับประกาศสงครามสำนักกฎหมายของนครภูผาหลิวฮวงทั้งสำนัก ถึงแม้พวกนางคิดที่จะหนี แต่พวกนางก็คงไม่มีทางหนีพ้นจากมือเหล่าผู้พิพากษาไปได้ ที่เหลืออยู่เบื้องหน้าของเหล่าดาร์ดเอลฟ์มีเพียงสถานการณ์อันสิ้นหวังที่พวกนางถูกเนรเทศรออยู่เพียงเท่านั้น

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันสิ้นหวังเยี่ยงนี้ พวกนางได้แต่ก้มหน้ารอรับคำพิพากษา

“นายท่าน! เห็นแก่ความเหนื่อยยากที่ตัวข้ารับใช้นครภูผาหลิวฮวงมาตลอดหลายปีนี้ ได้โปรดลงโทษข้าเพียงคนเดียวด้วยเถอะค่ะ!” ไดอาน่าคุกเข่าอยู่หน้าข้าใบหน้าของนางนั้นเอ่อล้นไปด้วยหยดน้ำตา

เมื่อหัวหน้าอัศวินหญิงที่น่าเคารพยอมคุกเข่าขอขมาถึงเพียงนี้ แล้วอัศวินที่เหลือจะมีหน้าพอที่ยืนอยู่ได้เยี่ยงไร จนภาพที่ปรากฏในดวงตาของข้าตอนนี้คือ ภาพของกลุ่มอัศวินยอมคุกเข่าเผยราบขอขมาต่อตัวข้า

อ๊ายโย่ เมื่อข้าเห็นถึงความเป็นพี่เป็นน้องของพวกนางขนาดนี้ ตัวข้าเองก็เริ่มรู้สึกเห็นใจแล้วนะเนี่ย

ในความเป็นจริงแล้ว หัวหน้าของหน่วยรักษาความสงบ ไดอาน่า นั้นเป็นถึงระดับชั้นตำนาน ระดับ 81 และแน่นอนว่าความสามารถของนางย่อมเหนือกว่าข้า แล้วทำไมนางถึงลุกขึ้นต่อต้านข้าไม่ได้น่ะเหรอ นอกจากที่ตัวนางรู้สึกผิดแล้ว ที่เหลือก็เพราะการทำงานของอุปกรณ์สวมใส่ชั้นเทวะของข้า

[เครื่องสวมใส่กึ่งเทวะ: ความเกรงขามแห่งตุลาการ (ผูกมัดผู้ใช้)]

[พลังป้องกัน: 10 หน่วย (เกราะเหล็กยังมีพลังป้องกันแค่ 5 หน่วยเอง สำหรับชุดคลุมมนตราพลังป้องกันระดับนี้ก็สุดยอดแค่ไหนแล้ว)]

[ความสามารถพิเศษ 1 การประมาณตัวของผู้กระทำผิด: ชักจูงความรู้สึกผิดภายในตัวผู้กระทำผิดและยิ่งเวลาผ่านไปเท่าใด ผู้กระทำผิดจะตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัวและไร้เรี่ยวแรงมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งความผิดร้ายแรงเท่าใดผลกระทบจากความสามารถนี้ก็มากขึ้นเท่านั้น ผู้บริสุทธิ์จะไม่รับผลกระทบจากความสามารถนี้]

[ความสามารถพิเศษ 2 ผู้พิพากษาที่ไม่โอนเอียง: ถ้าผู้สวมใส่ชุดคลุมทำการใส่หน้ากาก ค่าเสน่ห์ของผู้สวมใส่คงค่าที่ 100 ค่าความต้านทานต่อการยั่วยวน การตรวจจับ ภาพหลอนและเวทย์มนต์ที่คล้ายคลึงกับข้างต้น +20]

[ความสามารถพิเศษ 3 ยังไม่เปิดใช้งานเนื่องจากคุณสมบัติของผู้สวมใส่ยังไม่ตรงความต้องการขั้นต้น]

[ความสามารถพิเศษ 4 ยังไม่เปิดใช้งานเนื่องจากคุณสมบัติของผู้สวมใส่ยังไม่ตรงความต้องการขั้นต้น]

[คำสาปประจำอุปกรณ์ระดับเทวะ ความหนักอึ้งแห่งค้อนพิพากษา: ผู้สวมใส่ต้องมีอาชีพเกี่ยวข้องกับทางระบบกฎหมายและต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นอย่างยุติธรรม ถ้าผู้สวมใส่บิดพริ้วกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตนแล้วหรือพูดความเท็จ ชุดคลุมแห่งกฎหมายนี้จะเป็นไฟที่ไม่มีวันดับสูญแผดเผาร่างกายและวิญญาณของผู้สวมใส่]

[“โปรดใช้อำนาจที่ท่านได้รับไปอย่างระมัดระวังถี่ถ้วน คำพูดของท่านหลังจากค้อนพิพากษาได้ฟาดลงไปแล้วนั้นไม่ใช่เพียงกำหนดชะตาผิดหรือถูกของบุคคลเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนถึงความภาคภูมิของระบบนิติกฎหมายและความยุติกรรมอีกด้วย” – ตุลาการสูงสุด วูเมี้ยนเจ้อ]

ในทวีปเอ็ชแห่งนี้ อุปกรณ์ระดับกึ่งเทวะขึ้นไปนั้นมักมีปัญหาเกาะมาด้วยเช่นนี้แหละ ถึงอุปกรณ์ระดับนี้ความสามารถที่ติดมาจะทรงพลัง แต่ส่วนใหญ่มักพ่วงมาด้วยสิ่งน่ารำคาญที่เรียกว่าคำสาปประจำอุปกรณ์ระดับเทวะเนี่ยสิ

ชุดคลุมอันนี้ก็แบบนั้นเช่นกัน โดยชุดคลุมปกติอันอื่นๆแล้วจะเพิ่มเพียงแค่ผลของเวทย์มนต์ที่ร่ายเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้เพิ่มค่าสติปัญญาขึ้นด้วย ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่ชุดคลุมเหล่านี้มักมีความสามารถอันทรงพลังติดมาด้วย

ความสามารถพิเศษอันแรกนั้นช่วยลดปัญหาในการไต่สวนของข้าไปได้เยอะเลย แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องหรือหัวหน้ากลุ่มแก๊งยิ่งใหญ่ก็ตามแต่ ตราบใดที่บุคคลเหล่านั้นยังมีความรู้สึกผิดแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม เจ้าพวกนี้ก็กลายเป็นเพียงลูกไก่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ส่วนความสามารถพิเศษอันที่สองนั้นช่วยให้ข้าไม่ต้องไปกังวลกับพวกที่ต้องการจะเปิดเผยตัวตนจริงๆของข้า

สำหรับคำสาปประจำอุปกรณ์ระดับเทวะ นั้นส่งผลให้ข้าไม่อาจบิดพริ้วกฎหมายได้รวมทั้งไม่สามารถโกหกได้แต่ทั้งสองอย่างนี้ไม่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับข้าเลย ทำไมน่ะเหรอ ข้อแรกเลยเพราะข้าโสด และข้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะขัดกฎหมายด้วยเหตุผลส่วนตัวด้วย

ถ้าเราก้าวถอยกลับมาหน่อย เกิดตัวข้าต้องการจะหลอกคนอื่นจริงๆน่ะเหรอ ข้าก็แค่เล่นกับคำพูดนิดหน่อยก็ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกันไปเองได้แล้ว ให้ใช้คำโกหกที่สามารถโดนจับผิดได้น่ะเหรอไร้ประสิทธิภาพสิ้นดี

“ก็ข้าไม่ได้โกหกนิ แค่ตัวเจ้ามันไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าต้องการสื่อเองต่างหาก อย่ามาโทษข้าล่ะ ก็เจ้าเข้าใจคำพูดข้าผิดไปเอง” ถึงคำสาปบนอุปกรณ์กึ่งเทวะจะใช้ไม่ได้ผลกับข้าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีตัวตนอยู่

ณ ตอนนี้ เหล่าผู้บังคับใช้กฎหมายที่เชื่อในแสงศักดิ์สิทธิ์ ได้ใช้อำนาจเกินกว่าขอบเขตและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ภายใต้แรงกดดันจากอุปกรณ์กึ่งเทวะ พวกนางรู้สึกราวกับมีโซ่ที่มองไม่เห็นมามัดร่างของพวกนางไว้ กดพวกนางลงจนพวกนางไม่สามารถยืดตัวตรงได้เลย

เพียงตัวข้ายืนนิ่งๆตรงจุดนี้ แต่แรงกดดันที่อีกฝ่ายได้รับคงไม่ต่างกับแรงกดดันจากมังกรเท่าไรนัก แถมแรงกดดันยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อการตัดสินดำเนินต่อไป แต่ดูจากสารรูปพวกนางตอนนี้แล้ว ถ้าข้ายังกดดันพวกนางต่ออีก อาจจะจบลงที่ข้าเห็นสาวน้อยบางคนฉี่ราดก็เป็นได้

ขนาดนี้น่าจะเพียงพอแล้วล่ะนะ ถ้าข้าทำเกินไป พวกนางอาจจะน็อตหลุดแล้วทำอะไรไม่คิดก็ได้ ยิ่งกว่านั้น ตัวข้าเองก็ไม่มีความคิดที่จะไล่พวกนางออกจากนครด้วย

ด้วยประการฉะนี้ ข้าจึงหันกลับเพื่อจะจากไปพร้อมทิ้งท้ายคำพูดนิดหน่อยให้พวกนาง

“ข้าแค่บังเอิญผ่านมาและไม่เห็นอะไรทั้งนั้น วันพรุ่งนี้ อย่าลืมให้หัวหน้าของพวกเจ้าส่งรายงานมาด้วยล่ะ”

เมื่อพวกนางได้ยินคำของข้า ข้าก็สามารถได้ยินเสียงร้องไห้ดีใจพร้อมคำขอบคุณไล่หลังข้ามา

“ขอบพระคุณมากค่ะ ท่าน!!”

เมื่อตัวข้าเดินจากไปในมุมถนนอื่น เหล่าเอลฟ์ทั้งหลายได้แต่เข่าอ่อนล้มลงแทบจะพร้อมเพรียงกัน พวกนางบางคนร้องไห้กอดกันกลม ร่วมร้องดีใจที่พึ่งผ่านสถานการณ์สุดอันตรายมาได้ ข้าที่เห็นดังนั้นได้แต่ยิ้มภายใต้หน้ากาก

“ถึงท่านวูเมี้ยนเจ้อจะดูน่ากลัว แต่จริงๆแล้วท่านต้องเป็นคนใจดีแน่ๆเลย”

“เค้ากลัวแทบตาย! โมโมะเกือบหายใจไม่ออกตายแล้วนะเนี่ย พี่อันนาขอโมโมะใช้พี่เป็นที่พิงสักปะเดี่ยวสิ”

“เจ้าเด็กลามกนี่ อย่าจับตามใจชอบสิ ถ้าเจ้าชอบแบบนี้ เจ้าควรจะไปหา ลิลลี่ มิลาน แทนนะ”

ตัวข้าได้ทิ้งของเล่นเล็กๆน้อยๆไว้เพื่อดักฟังบทสนทนาของพวกนาง...แค่ก ไม่ใช่ๆ แค่เจ้าลมซุกซนทั้งหลายพาบทสนทนามาเข้าหูข้าเองต่างหาก

“การรับฟังคำบ่นของเหล่าลูกน้องอย่างจริงๆจังๆก็เป็นหนึ่งในความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาเช่นกัน ถ้าเกิดข้าไม่รู้ว่าใครนินทาลับหลังข้า แล้วเกิดข้าไปรังแกผิดคนล่ะ...นางหนูคนเมื่อกี้รู้สึกจะชื่อว่า สเตซี่ย์ สินะ? นางก็รู้จักพูดดีจริงๆเลย แน่นอนอยู่แล้วที่ข้าต้องเป็นคนดี” ด้วยเหตุนี้ อารมณ์ข้าดีขึ้นมาทันตา ข้าเลยตัดสินใจได้ว่าจะลดบทลงโทษพวกนางลงมาละกัน แต่ในวินาทีต่อมาอารมณ์ข้าบูดขึ้นทันที

เพราะที่ถนนด้านหน้านั้น สาวใช้ที่ซื่อสัตย์ของข้า อิลิซ่า ได้มายืนรอรับข้าเป็นเวลานานแล้ว

“นายท่านค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับตัวท่านงั้นเหรอคะ? ให้คิดว่าคนอย่างท่านจะยอมปล่อยพวกนางไปจริงๆเนี่ย?”

“กฎหมายเป็นของตายแต่คนเราเป็นของเป็น บัญญัติกฎหมายที่ไร้ซึ่งความยืดหยุ่นหรือมนุษยธรรมนั้นย่อมนำมาเพียงความแค้นเคือง ทั้งจุดประสงค์และการกระทำของพวกนางไม่ได้มีความผิดแต่อย่างใด ถ้าจะบอกว่าที่พวกนางลัดขั้นตอนการทำงานนั้นผิดกฎล่ะก็ ถึงอย่างงั้นการเนรเทศพวกนางก็ออกจะเกินไป นี่เจ้าเห็นตัวข้าผู้ยิ่งใหญ่จัดการเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบรึเปล่าล่ะ ยกดาบประหารขึ้นเสียดฟ้าแต่ก็ปล่อยวางอย่างง่ายดาย นี้แหละคือสิ่งที่คนที่เป็นผู้บังคับบัญชาพึ่งกระทำ จงเรียนรู้ไว้ซะ”

“ความจริงล่ะคะ?” ริมฝีปากนางยกขึ้นอย่างดูหมิ่น สาวใช้ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีปากเราะร้าย ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์เป็นอันดับหนึ่งของข้า เป็นอีกครั้งแล้วที่นางไม่ไว้หน้าข้าแล้วเมินต่อสิ่งที่ข้าพูดไป

“.....ก็มันจะไปสนุกอะไรถ้าจัดการพวกนางไปในทีเดียว ฮาฮา แต่วันนี้สิ่งที่ข้าได้ก็คุ้มจริงๆ ไม่เพียงแค่ภารกิจประจำวันที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ข้ายังได้จัดการแถมสร้างบุญคุณต่อพวกหน่วยรักษาความสงบด้วย เฮอะ นังนู๋ทั้งหลาย คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการกับพวกเจ้าเยี่ยงไรในวันพรุ่งนี้ โดยเฉพาะเจ้าที่บังอาจมาแย่งอาหารไปจากปากอาเป๋าของข้า”

แน่นอนว่าข้าต้องจำดาร์ดเอลฟ์ที่ชื่อว่า ไดอาน่า ได้ นังชั่วที่บังอาจมาแย่งกระดูกของอาเป๋าไปจากข้า

ในวันพรุ่งนี้ เมื่อเจ้าไปรายงานที่ศาลสูงสุดเพื่อยื่นเรื่องส่งรายงาน ข้าจะทำให้เจ้าได้รับรู้ว่าการกลั่นแกล้งจากผู้บังคับบัญชาเป็นเช่นไร ให้เจ้าได้รู้ว่าการรังแกโดยไม่ใช้ความรุนแรงเป็นแบบใด ความหมายของการนองเลือดในสำนักงานเป็นเยี่ยงไร!

ให้ไล่พวกเจ้าออกจากนคร? ด้วยพวกเจ้าที่เป็นดาร์ดเอลฟ์ผู้นับถือแสงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งโลกใต้พิภพน่าจะมีเพียงพวกเจ้ากลุ่มเดียวได้ละมั่ง แล้วมีรึที่ตัวข้าจะยอมให้ของเล่นหายากแถมเป็นอุปกรณ์มากประโยชน์แบบนี้ไป

ตัวอิลิซ่าได้แต่ถอดถอนหายใจอย่างหมดหวัง

“อย่างที่คาด ดิฉันไม่น่าตั้งความหวังเลยว่าจะมีสำนึกดีชั่วเหลืออยู่ในตัวท่านเลย ท่านที่มันชั่วเข้ากระดูกจริงๆนะคะ”

“ไม่ใช่แล้ว ข้าเป็นคนดี! สักวันหนึ่ง ข้าจะต้องเปลี่ยนแต้มชั่วช้านี่ให้กลายเป็นแต้มยุติธรรมให้ได้ จากนั้นข้าก็จะทำงานอย่างหนักเพื่อสนับสนุนความดี แล้วสุดท้ายตัวข้าก็ได้เสพสุขไปกับชื่อเสียงความดีที่ข้าทำไว้!”

ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ก็คงกล่าวได้ว่าสถานการณ์ชีวิตปัจจุบันข้านั้นเกิดจากการป่วนของระบบก็เป็นได้...ที่ต้องทำชั่วเพื่อให้ได้แต้มมา แล้วตัวข้าจะมีชื่อเสียงที่ดีได้อย่างไรถ้าต้องทำแต่เรื่องชั่ว แม้แต่จะไปทำงานข้ายังต้องใส่หน้ากากโลหะไปเลย...

ถ้าแค่นี้น่ะข้ายังพอทน แต่ที่ข้าทนไม่ได้จริงๆน่ะมันตรง...

“....ไอ้ชุดคลุมกับหน้ากากต้องสาปเอ๋ย ทำไมพวกเจ้าต้องเป็นเครื่องสวมใส่ชั้นกึ่งเทวะด้วย แค่มองมาที่ข้า เหล่าสาวน้อยผู้งดงามทั้งหลายไม่ตกใจกลัวหรือขาแข้งสั่นก็ฉี่ราดกันแล้ว ทำให้ตัวข้าที่อายุอานามมีแต่เพิ่มขึ้นๆแต่ก็ยังไม่มีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตนสักที”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ ที่ผิดน่ะไม่ใช่การแต่งตัวหรือหน้ากากของท่านหรอกแต่เป็นตรงที่สมองท่านต่างหากค่ะ สำหรับอันเดดลิชมามองหาแฟนสาวเนี่ย?...เฮเฮ แม้เป็นมุกตลกดิฉันก็ขำไม่ออกนะคะเนี่ย จริงด้วยสิ ดิฉันเคยได้ยินมาว่าตอนที่ท่านยังเป็นมนุษย์เอง ตัวท่านก็ยังคงรักษาพรหมจรรย์ไว้(ซิง)ด้วยนี่ค่ะ.....ถึงความเป็นจริงมันจะโหดร้ายแต่ได้โปรดอย่าหนีจากมันไปเลยนะคะ”

“ชิ แค่ข้าไม่อยากจะทำให้เจ้าตกใจเท่านั้นแหละ แต่ที่จริงแล้วก็มีผู้หญิงมาบอกว่าอยากจะแต่งงานกับข้าเหมือนกันแหละนา”

“อ๊ายโย่ ใครกันล่ะค่ะที่นิยมชมชอบศพแถมรสนิยมยังหนักหน่วงแบบนี้อีก...ไม่สิ ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ ก็คงเป็นหนูโลลิน้อยใสซื่อที่ยอมตกลงแต่งงานกับใครก็ไม่รู้หลังจากได้อมยิ้มสินะคะ ถึงตัวท่านจะไม่เนื้อหอม แต่ถึงขนาดที่ต้องไปหลอกโลลิตัวน้อยเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของท่านแบบนี้เนี่ย นายท่านของดิฉันช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว....อ๊ายยะยะ นายท่าน ทำไมหน้าท่านถึงดูแย่จังล่ะค่ะ อย่าบอกนะว่า ที่อิลิซ่าเดานี่ถูกอีกแล้วเหรอค่ะ”

“อิลิซ่า คนบ้า! ข้า...ข้าอยากจะเป็นคนดี! แล้วข้าก็อยากมีแฟนด้วย!”

และแล้ว...ในวันนั้นเอง ที่เหล่าราษฎรแห่งนครภูผาหลิวฮวงได้รับเกียรติให้เห็นหยดน้ำตาของบุรุษผู้เป็นหัวหน้าแห่งศาลสูงสุดของนคร

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด