บทที่ 232 ฟ้าดินวิปลาส
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
ครื้นนนน!
ณ ท้องนภาเหนือภูเขาอัคคีเมฆา กระแสลมพร้อมด้วยหมู่เมฆบังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจนก่อเกิดเป็นเมฆพายุเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบ ปรากฏการณ์นี้ราวกับทวยเทพกำลังพิโรธ
อีกด้านหนึ่งดวงราดาทั้งเก้ากำลังร้อยเรียงส่องสว่าง ลำแสงเก้าสายพุ่งลงมาสรวงสวรรค์
ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าสายถูกยิงลงมาและหลอมรวมเข้ากับตันเทียนของเจียงอี้อย่างน่าอัศจรรย์ก่อนที่จะจางหายไป
“หืม?”
“นั่นมันอะไรกัน?!”
ความโกลาหล มึนงงและสับสนปะทุขึ้นทั่วทั้งผืนทวีป !
บรรดายอดฝีมือขอบเขตจินกังต่างก็เหาะทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า แม้แต่เหล่านั้นสู้ขอบเขตเสินโหยวต่างก็ปีนขึ้นที่สูงเพื่อสังเกตปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเหนือท้องฟ้าในทิศของภูเขาอัคคีเมฆา
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีระดับพลังสูงหรือต่ำ พวกเขาทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ฟ้าดินวิปลาส เพียงแค่กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ
เหนือเมืองหลวงของอาณาจักรเสินหวู่ เจียงเปี๋ยหลีกำลังยืนอยู่กลางอากาศด้วยท่าทีองอาจ แต่สีหน้าของเขากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง แม้แต่ตัวตนอันสูงส่งอย่างเขาก็ถูกทำให้ตื่นตระหนกและบังเกิดความอิจฉาริษยา แน่นอนว่าที่มากไปกว่านั้นก็คือความสงสัย
“ฟ้าดินวิปลาสคือปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการยอมรับจากกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ มีใครบางคนกำลังรวบรวมพลังดารา? หรือว่าคนผู้นั้นกำลังทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุน[1]? ทิศทางนั้นน่าจะเป็นอาณาจักรต้าเซี่ย?”
“เป็นไปไม่ได้… อาณาจักรต้าเซี่ยมีตาเฒ่าเพียงซูผิงผิงที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตจิงกังและยังมีอายุเกินหนึ่งร้อยปี มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะประสบความสำเร็จในช่วงชีวิตนี้! คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่?!”
ณ ห้องโถงที่เบื้องล่าง ชายที่สวมชุดคลุมลายมังกรเดินออกมาด้านนอกด้วยท่าทีอันสง่างาม ร่างกายของเขาปราศจากกลิ่นอายจอมยุทธแต่กลับถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายของฟ้าดิน
เหล่าคนรับใช้และขันทีที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลต่างก็หมอบกราบลงกับพื้นและไม่กล้าที่จะหายใจแรงต่อหน้าคนผู้นี้ เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฟ้าดิน เขาก็เอ่ยถาม
“เปี๋ยหลี เกิดอะไรขึ้น?”
ฟึ่บบ!
เจียงเปี๋ยหลีสะบัดเสื้อคลุมและกลับลงมายังพื้นเบื้องล่างก่อนที่จะโบกมือเพื่อให้บรรดาคนรับใช้และขันทีออกไปก่อน
“ฟ้าดินวิปลาส ดาราสวรรค์ทั้งเก้ากำลังกลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์ พลังฟ้าดินกำลังรวมตัวกันอย่างหนาแน่น แม้แต่กฎเกณฑ์ของสวรรค์ก็มีปฏิกิริยา… แต่ข้าไม่คิดว่ามันคือปรากฏการณ์ของผู้ที่กำลังทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุน”
“เพราะนอกเหนือจากสุ่ยโย่วหลาน คงไม่มีใครสามารถทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนได้ในเวลาอันสั้น แต่ตอนนี้ตัวของนางก็น่าจะยังอยู่ในเกาะดาวตกซึ่งข้าเองก็ไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่แน่ชัด”
“ตรวจสอบเดี๋ยวนี้!”
เซี่ยถิงเวยเปล่งเสียงคำราม “ส่งคนออกไปตรวจสอบให้ละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
“พะยะค่ะ!”
เงาดำในท้องพระโรงขานรับและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเซี่ยถิงเวยก็หันกลับมามองเจียงเปี๋ยหลีและกล่าว
“ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง ก่อนอื่นก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัด มิฉะนั้นข้าคงไม่อาจนอนหลับได้เต็มตา หากในยุทธภพนี้ปรากฏยอดฝีมือระดับราชันสวรรค์ขึ้นอีกคนหนึ่ง สมดุลของขั้นอำนาจของทั่วทั้งทวีปก็จะเปลี่ยนไปในทันที…”
ไม่ได้มีเพียงแค่อาณาจักรเสินหวู่เท่านั้นที่ตื่นตัว ทางด้านของอาณาจักรต้าเซี่ยเองก็มีปฏิกิริยาที่ไม่ต่างกัน ร่างของชายชราที่มีผมขาวยาวถึงเอวปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือเมืองเซี่ยยวี่ เมื่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เขาก็เหาะทะยานไปทางภูเขาอัคคีเมฆาทันที
บรรดาผู้เซี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างก็พากันรีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางดังกล่าว
ไม่ใช่แค่นั้น ยอดฝีมือขอบเขตจินกังทั้งหมดในอาณาจักรเทียนเซวี่ยน, อาณาจักรเซิ่งหลิง, อาณาจักรเป่ยเหลียง, อาณาจักรเป่ยหมาง, สำนักฮวาเหลี่ยง, สำนักจิตอสูร, สำนักมังกรเวหา, อารามเซนและเกาะดาวตกต่างก็ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นักสู้ทั่วไปสามารถมองเห็นเพียงลำแสงศักดิ์สิทธิ์ไม่กี่เส้นที่พุ่งผ่านไปและรับรู้ถึงฟ้าดินที่ผิดปกติ แต่มีเพียงชนชั้นจินกังเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังฟ้าดิน ยิ่งไปกว่านั้นคือมันยังเป็นคลื่นที่รุนแรงจนน่าตกใจ
แม้ว่ายอดฝีมือขอบเขตจินกังจะถือว่าเป็นตัวตนสูงสุดในยุคปัจจุบัน แต่พวกเขาก็ยังไม่ใช่เทพเจ้าที่จะรับรู้ทุกสรรพสิ่ง มีเพียงยอดฝีมือขอบเขตจินกังที่มีนามว่าซูผิงผิงของอาณาจักรต้าเซี่ยที่เดินทางไปยังภูเขาอัคคีเมฆาด้วยตัวเอง
ส่วนยอดฝีมือระดับเดียวกันที่เหลือต่างก็เลือกที่จะส่งหน่วยสอดแนมออกมาเพราะอยู่ห่างไกลเกินไป แม้แต่สุ่ยโย่วหลานที่สามารถส่งภาพฉายของตัวเองออกมาได้ไกลถึงห้าหมื่นกิโลเมตรก็ไม่เว้น
เขาอัคคีเมฆาอยู่ไกลจากเกาะดาวตกมาก ดังนั้นมันจึงเกินความสามารถของนางที่จะมาสำรวจด้วยตัวเอง
……
โลกภายนอกเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน ผู้คนมากมายกำลังมุ่งหน้ามายังภูเขาอัคคีเมฆาด้วยความใคร่รู้ แต่เจียงอี้ก็ยังคงไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการกระทำของเขาได้ดึงดูดความสนใจของคนทั้งยุทธภพไปเรียบร้อยแล้ว
ในตอนนี้เขากำลังจดจ่ออยู่กับบทสวดท่อนที่สามของศาสตร์นิรนามและพยายามที่จะก่อตั้งตำหนักม่วงขึ้นมาใหม่
ในพริบตาเดียวก็มีหลายสิ่งเกิดขึ้น
แม้จะดูเหมือนว่าพรรณนามายืดยาว แต่แท้จริงแล้วมันกลับใช้เวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา ตำหนักม่วงทั้งสองหลังของเจียงอี้ระเบิดและก่อตัวเป็นพลังงานอยู่ในตันเทียนของเขา อีกทั้งแรงระเบิดยังเกือบทำให้กายเนื้อของเขาพังทลาย
แต่เมื่อลำแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าสายพุ่งเข้ามาในตันเทียน เจียงอี้ก็ปล่อยให้ศาสตร์นิรนามทำหน้าที่ของมันโดยการควบแน่นพลัง
และผลลัพธ์ของเขามันก็ทำเขาตกตะลึงจนแทบจะพูดไม่ออก!
ตำหนักม่วงทั้งสองหลังได้สูญสิ้นไปแล้วเป็นแน่แท้ แม้แต่พลังงานสะสมของพวกมันก็สูญสลายไป แต่เรื่องประหลาดก็คือ มันกลับถูกแทนที่ด้วยวัตถุทรงกลมเก้าลูก!
แต่ละลูกมีขนาดเท่ากับถั่วเหลืองและตรงกลางของพวกมันยังเป็นมีลักษณะคล้ายกับช่องว่างประหลาด
ดูไปดูมา วัตถุทรงกลมทั้งเก้าลูกก็ดูคล้ายกับดวงดาวเก้าดวง แต่เนื่องจากขนาดที่เล็กเกินไปจะทำให้เจียงอี้ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด
“อ๊ากกก!”
แต่ทันทีที่ตันเทียนหยุดกลั่นตัว ความเจ็บปวดมหาศาลก็ถาโถมเข้าใส่ดวงจิตของเขาอีกครั้งราวกับต้องการที่จะปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์
ถึงอย่างนั้นเจียงอี้ก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาเพ่งสมาธิไปที่ ‘ดวงดาวขนาดเล็ก’ ด้วยความดื้อดึง จนเวลาผ่านไปไม่นาน สีหน้าของเขาก็เผยให้เห็นความตื่นเต้น เพราะเมื่อสังเกตดูดีๆ เขาก็พบว่าตรงกลางของมันคือช่องว่างที่คล้ายกับโพรงจริงๆและยังมีแก่นแท้พลังสีดำนับหมื่นอยู่ภายใน!
“จงออกมา!”
โดยไม่รอช้า เจียงอี้รีบนำแก่นแท้พลังหลายร้อยหลายพันเส้นออกมาทันที เมื่อถูกลำเลียงออกมาพวกมันก็ไม่กลายเป็นแก่นแท้พลังสีน้ำเงินเหมือนกับก่อนหน้านี้
เรื่องนี้เองที่ทำให้เขาปราบปลื้มใจอย่างถึงที่สุด จากนั้นเขาก็นำแก่นแท้พลังสีดำเข้าไปหล่อเลี้ยงดวงจิตทันที
ฟึ่บบ!
ดวงจิตของเขาสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งเปล่งแสงสีดำออกมาเล็กน้อย
“ดีมาก!”
เจียงอี้พึงพอใจที่สามารถนำแก่นแท้พลังสีดำเข้าไปในดวงจิตได้อย่างไม่มีปัญหา หลังจากที่ใช้แก่นแท้พลังไปหลายพันเส้น ในที่สุดดวงจิตของเขาก็อยู่ในสภาวะสมดุล แม้แต่แก่นวิญญาณของสัตว์วิญญาณทั้งสองตัวก็ถูกกำราบไว้และไม่สามารอาละวาดได้อีกต่อไป
“ฟู้ววว…”
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงไม่นาน แต่เจียงอี้ก็รู้สึกราวกับว่าผ่านไปหนึ่งศตวรรษ เขารู้สึกโล่งอกที่ชีวิตของเขากลับมาปลอดภัยอีกครั้ง แต่ก็อดที่จะรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับตันเทียนรูปแบบใหม่ไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่
นอกจากนี้เจียงอี้ยังสัมผัสได้ถึงร่องรอยการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในดวงจิตของเขา แต่ก็ยังไม่แน่ชัดนักว่ามันคืออะไร
“เข้ามานี่!”
เขารีบเก็บวิหคเพลิงอมตะเข้ามาในเครื่องรางสัตว์อสูร จากนั้นก็ดำลงไปในลาวาเพื่อให้ไข่มุกวิญญาณเพลิงได้ดูดซับเพลิงโลกา
แม้ว่าภายในร่างกายของเจียงอี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือการรวบรวมเพลิงโลกาเหล่านี้ก่อนที่จะไปหาที่ซ่อนตัวเพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดอีกที
หนึ่งชั่วโมงครึ่งต่อมา เขาสัมผัสได้ว่ามีเพลิงโลกาจำนวนมหาศาลอยู่ในไข่มุกวิญญาณเพลิง ซึ่งถ้าเทียบดูแล้ว มันมีปริมาณมากกว่าครั้งก่อนถึงสองเท่า
จากนั้นเขาก็กระโจนขึ้นมาจากบ่อลาวาโดยใช้ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ที่ไม่ได้ใช้มานานเพื่อส่งตัวเองขึ้นมาก่อนที่จะคว้าไปยังเชือกและไต่ขึ้นไป
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
แต่เมื่อขึ้นมาจากปากปล่องภูเขาไฟแล้ว สัญชาตญาณของเจียงอี้ก็ได้บอกกับเขาว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เขาได้ยินเสียงบางอย่างที่ฟังดูคล้ายกับวัตถุซึ่งกำลังพุ่งผ่านอากาศและยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าเกรงขามจากหลายทิศทางซึ่งกำลังตรงมายังตำแหน่งที่เขาอยู่
“มีผู้เชี่ยวชาญมากมายกำลังมาที่นี่?!”
แม้ว่าเจียงอี้จะไม่รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นถึงกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะอยู่เฉยและเริ่มหลบหนีทันที
เขาใช้แก่นแท้พลังสีดำเพื่อเพิ่มความสามารถให้กับประสาทสัมผัสและยังทำให้ความเร็วของเขาเพิ่งขึ้นถึงสองเท่า
แต่ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ เจียงอี้ไม่กล้ารอช้า เขารีบออกจากเขาอัคคีเมฆาและเรียกเจ้าเหลืองใหญ่ออกมาเพื่อทำการหลบหนีทางใต้ดิน
หลังจากที่ผ่านไปได้หลายร้อยเมตร เขาก็ใช้ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้เพื่อทำให้อุโมงค์พังทลายและปกปิดร่องรอยของเขาไว้ จากนั้นเขาก็บังคับให้เจ้าเหลืองใหญ่มุ่งตรงไปยังหุบเขาทลายวิญญาณในทันที
ฟึ่บ!
หลังจากที่เจียงอี้จากมาได้ชั่วครู่ ร่างเงาของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวจำนวนมากก็มาปรากฏขึ้นในเขาอัคคีเมฆา แต่เมื่อพวกเขาตรวจสอบอย่างละเอียดก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติจึงทำให้พวกเขาสับสนมึนงง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ยอดฝีมือขอบเขตจินกัง, ซูผิงผิงก็ได้มาถึง เส้นผมสีขาวของเขาปลิวไสวไปตามแรงลม ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขากวาดมองไปยังพื้นที่รอบๆอย่างละเอียด จากนั้นไม่นานเขาพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะตะโกน
“ดูเหมือนว่าจะไม่มียอดฝีมือคนใดปรากฏตัวขึ้นในบริเวณนี้ แล้วใครกันที่สามารถเชื่อมต่อกับกฎเกณฑ์ของสวรรค์ได้?”
“พวกเจ้าทุกคนจงฟัง ตรวจสอบพื้นที่ทั้งหมดโดยละเอียดและอย่าทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้ ตามหาคนผู้นั้นให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นบนฟ้าหรือใต้ดินก็ตาม!”
[1] ขอบเขตเทียนจุน – ราชันสวรรค์