บทที่ 12 : เงินสิบสองตำลึงไม่ได้มากเลย (2/2)
บทที่ 12 : เงินสิบสองตำลึงไม่ได้มากเลย (2/2)
เหลียนเซ่อพยักหน้ารับ “ถ้าหากว่าพวกเราซ่อมรั้วเสร็จแล้ว แต่ลูกเจี๊ยบพวกนี้มันยังเข้ามาในสวนเราได้อีก ก็แสดงว่าป้าจงใจเปิดรั้วให้ไก่มันเข้ามาในสวนของเราแน่ๆ แต่พี่บอกว่าอีกสองสามวันจะเริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์ผักแล้วไม่ใช่หรอ ถ้าอย่างนั้นพวกเราพาซีเออร์กับชิงเออร์ไปช่วยเก็บกิ่งไม้บนภูเขาด้วยกันดีไหม?”
จู่ๆเหลียนฟางโจวก็มีคิดใหม่ผุดขึ้นในหัวเธอ ก่อนเธอจะหัวเราะเบาๆ และพูดว่า“ไม่เป็นไรยังไม่ต้องรีบร้อนหรอก เดี๋ยวเราค่อยหว่านกันตอนไหนก็ได้”
เหลียนเซ่อจ้องหน้าเธออย่างงุนงงว่าทำไมจู่ๆเธอถึงเปลี่ยนใจ ‘พี่สาวกำลังวางแผนอะไรอยู่นะ?’
เมื่อเห็นว่างานในสวนเหลือไม่มากแล้วเหลียนฟางโจวจึงเดินกลับบ้านไปก่อน และปล่อยให้เหลียนเซ่อจัดการงานที่เหลือต่อคนเดียว
แม้ว่าบ้านของพวกเขาจะหลังไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็ยังจำเป็นต้องทำความสะอาด ซึ่งเมื่อเช้านี้เธอปัดกวาดแล้วก็เก็บบ้านลวกๆเท่านั้น ดังนั้นตอนนี้บ้านเลยยังไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่นัก
เหลียนฟางชิงกับเหลียนซีอยู่เฝ้าบ้านกันสองคน เด็กน้อยไม่ได้ออกไปเล่นที่ไหน และเมื่อเห็นพี่สาวกลับมา พวกเขาก็เดินตามเธอเป็นเงา พร้อมทั้งช่วยเธอทำความสะอาดบ้านไปด้วย
เมื่อเห็นเด็กตัวเล็กๆต้องมาทำงานแบนี้ เธอก็อดเศร้าใจไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธความหวังดีของพวกเขาได้ เธอยิ้มให้พวกเขาอย่างเอ็นดู และบางครั้งก็อนุญาตให้พวกเขาช่วยทำงานได้บ้างในบางส่วน เห็นได้ชัดเมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเธอ พวกเขามีความสุขมาก อีกทั้งยังส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่รอบๆ ตัวเธออย่างร่าเริง
หลังจากทำความสะอาดและเก็บบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลียนฟางโจวก็เดินไปต้มน้ำ ในระหว่างที่รอน้ำเดือดเธอก็คิดคำนวณในใจไปด้วยว่าเงินสิบสองตำลึงนี้จะเอาไปทำอะไรบ้าง
หลังคากับหน้าตาน่าจะเป็นสิ่งที่ต้องซ่อมแซมด่วนที่สุดเพราะไม่อย่างนั้นพอถึงฤดูหนาว คนในบ้านได้ป่วยกันหมดแน่ เพราะไม่ว่าไหนจะลมหนาว ไหนจะหิมะตก หลังคากับหน้าต่างผุๆพังๆแบบนี้กันความเย็นไม่ได้แน่
แล้วไหนยังจะพวกเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาว ผ้าห่ม และของจำเป็นอื่นๆอีก เธอจำเป็นต้องซื้อทุกอย่างนี้ ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ ป้องกันการเจ็บป่วย! แล้วยิ่งบ้านนี้มีแต่เด็กเล็กเจ็บป่วยได้ง่ายแล้วด้วย เธอยิ่งต้องรีบเตรียมพร้อม
อ่า เกือบลืม เราต้องตุนอาหารไว้เป็นเสบียงในหน้าหนาวด้วยนิ ทุกคนจะได้มีอาหารกินอิ่มท้องกันทุกมื้อ
แล้วเธอก็ยังจะต้องหาเมล็ดพันธุ์ผักแล้วก็ข้าวมาปลูกเพิ่มด้วย
และหลังจากที่ได้สอบถามเหลียนฟางชิงมาเมื่อคืน ก็ทำให้เธอพอจะเข้าใจสถานการณ์ของครอบครัวนี้ได้คร่าวๆ
ที่บ้านมีนาข้าวอยู่ 3 หมู่ แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจนักว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวมาปลูก แล้วไหนจะเครื่องไม้เครื่องมือทางการเกษตรอีกล่ะ อีกอย่างในใจเธอก็อยากซื้อเป็ดกับไก่เพิ่มด้วย
เหลียนฟางโจวถอนหายใจเบาๆ “เฮ้อ....ดูเหมือนว่าเงินสิบสองตำลึงนี้ ไม่น่าจะพอแล้วมั่งเนี่ย”
ถ้าก่อนหน้านี้ขอค่าถอนหมั้นสักยี่สิบตำลึงก็น่าจะดี แต่ว่านางหยางคงจะไม่ยอมจ่ายง่ายๆแน่ๆ ช่างเถอะๆไหนๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้วจะมาคิดให้มันได้อะไรขึ้นมาอีก
เหลียนฟางโจวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง
ในระหว่างที่เธอกำลังจะเตรียมทำอาหารเย็น เธอก็ได้มองไปเห็นว่าตอนนี้มีข้าวเหลือติดอยู่ที่ก้นถังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งเมื่อมองไปที่ห้องใต้หลังคาก็เห็นมีข้าวสำรองถุงเล็กเหลืออยู่แค่เพียงสี่ถุง เมื่อเห็นอย่างนั้นเธอก็อดที่จะรู้สึกหดหู่กับสภาพความเป็นอยู่ที่เร้นแค้นแบบนี้ไม่ได้
ตอนนี้มีเสบียงสำรองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะทำโจ๊กมันเทศกินกันทุกวัน แต่ด้วยอาหารที่เหลืออยู่เพียงเท่านี้ มันคงไม่พอให้พวกเขาสี่พี่น้องกินไปจนถึงปีใหม่แน่ เธอไม่แทบไม่กล้าคิดเลยว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดไปถึงฤดูเก็บเกี่ยวถัดไปได้ไหม
เหลียนฟางโจวได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จเหลียนฟางโจวก็ให้เหลียนซีไปต้มน้ำให้เหลียงฟางชิงอาบ ส่วนตัวเธอก็เตรียมตัวจะออกไปหาป้าจางที่บ้าน
แม้ว่าบ้านจะยากจนแค่ไหนเหลียนฟางโจวก็ไม่อนุญาติให้พวกเขาตัวสกปรกมอมแมมเหมือนแมวลายที่มีแต่กลิ่นเหงื่อไคล พวกเขาต้องอาบน้ำแต่งตัวสะอาดสะอ้านเสมอ
แม้ว่าน้ำที่เอามาอาบจะไม่เสียเงิน แต่ว่าพวกฟืนยังต้องเสียเงินด้วยหรือ?
เหลียนฟางชิงเมื่อได้ยินว่าพี่สาวจะออกไปข้างนอก นางก็รีบวิ่งมาจับมือเหลียนฟางโจวแน่น พลางออดอ้อนขอติดตามพี่สาวออกไปด้วย
เหลียนฟางโจวคิดว่าการที่เหลียนฟางชิงไปด้วยก็น่าจะอุ่นใจกว่า เพราะเธอเองก็ไม่ได้มีความทรงจำของเจ้าของร่างด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ถามเหลียนฟางชิงได้เลย เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอก็จูงมือเหลียนฟางชิงเดินออกจากบ้านไป
คนที่มาเปิดประตูบ้านให้พวกเธอหน้าตาไม่ค่อยยิ้มแย้มนัก นางเป็นหญิงคนหนึ่งสวมชุดสีน้ำตาลแดง และมวยผมไว้ด้านหลังเหมือนซาลาเปา
ขณะที่เหลียนฟางโจวกำลังคิดอยู่ว่าจะทักทายผู้หญิงตรงหน้ายังไง เหลียนฟางชิงตัวน้อยก็ส่งเสียงทักอย่างสดใสออกมาก่อน“ พี่จ้าว”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเหลียนฟางโจวถึงได้รู้ว่า ผู้หญิงตรงหน้านี่เป็นลูกสะใภ้ของป้าจางนั่นเอง เธอยิ้มแล้วก็เอ่ยปากขึ้นบ้าง “สวัสดีคะ พี่จ้าว”
นางจ้าวยิ้มตอบอย่างแกนๆ แววตาของนางก็แฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ก่อนนางจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “พวกเจ้ามาหาอาฮวนอย่างงั้นหรือ?”
เหลียนฟางโจวอดที่จะสงสัยไม่ได้ เธอเองก็น่าจะไม่เคยไปมีเรื่องบาดหมางกับนางจ้าวคนนี้มาก่อน ทำไมนางถึงแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อเธอขนาดนี้ เหลียนฟางโจวเก็บงำความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะยิ้มอย่างสุภาพและพูดว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ พอดีข้าจะมาหาป้าจาง ท่านป้าอยู่ไหมเจ้าคะ”
“นั่นฟางโจวหรอกหรือ รีบเข้ามาข้างในสิ” พอป้าจางได้ยินเสียงเธอ นางก็รีบส่งเสียงเรียกออกมาอยากดีอกดีใจ
เหลียนฟางชิงตัวน้อยรีบปล่อยมือจากพี่สาว แล้ววิ่งเข้าไปกอดป้าจางอย่างพะเน้าพะนอป้าจางเองก็กอดเธอกลับ พร้อมทั้งหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
ขณะที่เหลียนฟางโจวกำลังจะเดินเขาไปด้านใน เธอก็ได้ยินเสียงบ่นแว่วๆดังเข้าหูว่า “ไม่รู้จะมาขอร้องให้ช่วยอะไรอีก หาเรื่องเดือดร้อนมาให้คนอื่นได้ทุกวี่ทุกวัน ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจบ้างเลย!”