บทที่ 11 : เงินสิบสองตำลึงไม่ได้มากเลย (1/2)
บทที่ 11 : เงินสิบสองตำลึงไม่ได้มากเลย (1/2)
เหลียนฟางโจวกล่าวขอบคุณป้าจางอย่างสุดซึ้ง ก่อนจะหันไปหานางเฉียวแล้วพูดขึ้น “ข้าว่าตอนนี้ไม่น่าจะมีอะไรให้ท่านทำที่นี่แล้วนะ เพราะฉะนั้นท่านก็รีบๆกลับบ้านไปเสียเถอะ! อ่า…แต่ยังไงวันนี้ก็ต้องขอบคุณป้ามากนะเจ้าคะที่อุตส่าห์มาช่วยเป็นพยานให้!”
เมื่อได้ดังนั้นฟังหัวใจของนางเฉียวก็ยิ่งเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชัง นางอยากจะพุ่งเข้าไปแย่งเงินจากเหลียนฟางโจวเสียเดี๋ยวนั้น แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้นางไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เงินพวกนั้นเองยังไงก็คงไม่มีทางตกมาถึงมือนางแน่เพราะฉะนั้นนางจึงทำได้แค่ข่มใจอย่างขมขื่น และก่อนที่จะไปนางก็พูดเสียงแข็งๆว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ พวกเจ้าก็ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน!”
ป้าจางลุกขึ้น ก่อนจะถอนหายใจอย่างเป็นกังวล "ตอนนี้การหมั้นหมายก็ถูกยกเลิกไปแล้ว เจ้าวางแผนว่าจะทำอะไรต่อในอนาคตล่ะ?"
เหลียนฟางโจวมองหญิงชราก่อนจะยิ้มบางๆ และพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า "ป้าจางท่านเป็นคนบอกข้าเองนิว่าชีวิตมันต้องเดินต่อไป! และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าก็จะดูแลน้องๆ ของข้าให้ดีที่สุด แล้วข้าก็เชื่อนะว่าในอนาคตพวกเราต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้แน่!"
ป้าจางผงกหัวและยิ้มอย่างอ่อนโยน นางรู้สึกดีใจมากที่เห็นเหลียนฟางโจวคิดได้ “ดีแล้วที่เจ้าคิดได้แบบนั้น! แล้วเจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของอาเฉียวหรอกนะ ป้าเชื่อว่าในอนาคตยังไงเจ้าก็จะต้องได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆแน่! แล้วก็ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรอีก ก็ไม่ต้องลังเลหรือว่าเกรงใจเลยนะ มาหาป้าที่บ้านได้ตลอดเข้าใจไหม?”
“ขอบคุณป้าจางมากเจ้าค่ะ! ข้ากลัวแต่ว่าในอนาคตจะมีแต่เรื่องไปรบกวนท่านไม่หยุดไม่หย่อนน่ะสิ!” เหลียนฟางโจวพูดเย้านางจางอย่างอารมณ์ดี
“บ้านใกล้เรือนเคียงกันทั้งนั้นน่า มีอะไรก็ช่วยกันได้อยู่แล้ว เห็นเจ้าพูดได้แบบนี้ป้าก็สบายใจแล้วล่ะ” ป้าจางหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะเดินจากไป
หลังจากส่งป้าจางกลับเรียบร้อยแล้ว เหลียนฟางโจวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเธอยิ้มให้เหลียนเซ่อก่อนจะพูดว่า “เฮ้อ...ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบสักที เรากลับเข้าบ้านกันเถอะ มีอะไรรึเปล่า ทำไมเจ้าถึงมองพี่อย่างนี้ล่ะ?
เหลียนเซ่อกำลังจ้องมองเหลียนฟางโจวด้วยสายตาสับสนเล็กน้อย
“ไม่....ไม่มีอะไร” เขาเอ่ยตอบเหลียนฟางโจวในทันที แต่ทว่าท่าทางที่แสดงออกนั้น ช่างดูตรงกันข้ามกับคำที่ตอบออกมาอย่างสิ้นเชิง
เหลียนฟางโจวถอนหายใจ “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ ถ้าเจ้ามีอะไรอยากพูดก็พูดออกมาตรงๆเถอะ หรือว่ามันมีเรื่องอะไรที่บอกให้พี่สาวคนนี้รู้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่เธอก็พอจะเดาได้ว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่
เหลียนเซ่อรู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูดมาก็มีเหตุผลดังนั้นเขาจึงมองหน้าเธอและพูดว่า “ข้าแค่รู้สึกว่าพี่สาวเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปเหมือนกับกลายเป็น ---”
“เปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อนอย่างนั้นหรือ?” เหลียนฟางโจวสรุปคำตอบของเขา
เหลียนเซ่อพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว
เหลียนฟางโจวทำหน้าเศร้าและยิ้มอย่างขมขื่น “อาเซ่อมีคำพูดที่ว่าปัจจุบันไม่อาจเอาไปเปรียบเทียบกับอดีตได้ ! พวกเราในตอนนี้ยังมีชีวิตเหมือนกับในอดีตอีกอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้พวกเราเป็นลูกกำพร้าไม่มีพ่อแม่คอยดูแลปกป้อง พี่เลยคิดว่าวิธีเดียวที่จะทำให้เราเอาชีวิตรอดต่อไปได้ คงมีแต่ต้องเข็มแข็งและแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เมื่อพวกเราแข็งแกร่งขึ้นก็จะไม่มีใครสามารถมารังแกพวกเราได้อีก และถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ไปหาเรื่องคนอื่น แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นเขาจะไม่มาหาเรื่องหาเรื่องรังแกพวกเรานิ ใช่ว่าทุกคนในโลกนี้จะนิสัยดีเหมือนป้าจางนะ แม้ว่าพี่จะทำตัวแปลกไปจนเหมือนกลายเป็นคนละคน จนชาวบ้านเขาหาว่าพี่โดนผีเข้า พี่ก็ไม่สน! เพราะพี่จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนก็ตามมารังแกพวกเราได้! เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”
“พี่ใหญ่ข้าขอโทษ” เหลียนเซ่อพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาคล้อยตามคำพูดของเธอแล้ว
เหลียนฟางโจวตบบ่าของเขาหนักๆและพูดว่า “ขอโทษทำไม ยังไงเราก็คนครอบครัวเดียวกัน นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือพวกเราต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และในอนาคตพวกเราก็ต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าตอนนี้ให้ได้ นั่นสิถึงจะทำให้ท่านพ่อท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์พักผ่อนได้อย่างสงบ! เจ้าคิดเหมือนพี่ไหม?”
"อืม!" เหลียนเซ่อผงกหัวเห็นด้วย แต่ในใจของเด็กชายก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความละอายใจ ที่เขาไม่เชื่อมั่นในตัวพี่สาวของเขา ‘ข้านี่มันบ้าจริงๆ กล้าไปคิดกับพี่สาวอย่างนั้นได้ยังไง!’
"พี่สาวจากนี้ไปข้าจะตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อให้ครอบครัวของเรามีชีวิตที่ดีขึ้น!" เหลียนเซ่อเอ่ยคำสัญญาออกมาอย่างหนักแน่น
“เยี่ยมมาก! พี่ชื่อว่าเจ้าต้องทำได้แน่!” เหลียนฟางโจวพูดพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน มันเป็นเรื่องดีมากที่เขามีความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะต่อสู้ขนาดนี้
สำหรับมื้อกลางวันพี่น้องทั้งสี่คนก็ยังคงต้องกินโจ๊กมันเทศเหมือนเช่นเคย ก่อนที่ช่วงบ่ายเหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อจะกลับไปทำงานที่สวนผักต่อ
เมื่อเช้านี้พวกเขาได้พรวนดินแล้วก็ใส่ปุ๋ยต้นพริกเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังได้จัดการถอนวัชพืชและขุดดินเตรียมแปลงบางส่วนไว้แล้ว ดังนั้นช่วงบ่ายนี้จึงเหลืองานให้ทำไม่มากนัก
เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงสวนผัก พวกเขาก็เห็นลูกไก่ตัวเล็กๆขนาดเท่ากำปั้นกลุ่มหนึ่งกำลังคุ้ยเขี่ยหาอาหารในแปลงผักอย่างสนุกสนาน
เหลียนฟางโจวขมวดคิ้วแน่น พลางคิดในใจว่า โชคยังดีนะที่เธอยังไม่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์พืชลงไป เพราะถ้าปลูกไปแล้วและเมล็ดพวกนั้นเพิ่งจะงอกออกมา แล้วต้องมาถูกไก่พวกนี้เขี่ยเละเทะขนาดนี้ มีหวังผักได้ตายหมดแน่
“พวกมันเป็นลูกไก่ของป้า” เหลียนเซ่อขมวดคิ้วและทำหน้าเบื่อหน่าย
เหลียนฟางโจวมองไปรอบๆ ก่อนจะพูดขึ้น "ช่างเถอะ ที่จริงแล้วรั้วสวนเราเองมันก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงแล้วก็แน่นหนาด้วยแหล่ะ เอางี้…อีกสักสองสามวันพวกเราค่อยขึ้นไปตัดไม้ไผ่กับกิ่งไม้บนภูเขามาซ่อมรั้วใหม่กัน ส่วนตอนนี้ก็ปล่อยมันไว้อย่างนี้แหล่ะ ยังไงเราก็ยังไม่ได้ปลูกอะไรมากอยู่แล้ว"