ตอนที่แล้วบทที่ 10 : ถอนหมั้น (2/2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 12 : เงินสิบสองตำลึงไม่ได้มากเลย (2/2)

บทที่ 11 : เงินสิบสองตำลึงไม่ได้มากเลย (1/2)


บทที่  11  :  เงินสิบสองตำลึงไม่ได้มากเลย (1/2)

 

เหลียนฟางโจวกล่าวขอบคุณป้าจางอย่างสุดซึ้ง  ก่อนจะหันไปหานางเฉียวแล้วพูดขึ้น  “ข้าว่าตอนนี้ไม่น่าจะมีอะไรให้ท่านทำที่นี่แล้วนะ  เพราะฉะนั้นท่านก็รีบๆกลับบ้านไปเสียเถอะ!  อ่า…แต่ยังไงวันนี้ก็ต้องขอบคุณป้ามากนะเจ้าคะที่อุตส่าห์มาช่วยเป็นพยานให้!”

เมื่อได้ดังนั้นฟังหัวใจของนางเฉียวก็ยิ่งเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชัง นางอยากจะพุ่งเข้าไปแย่งเงินจากเหลียนฟางโจวเสียเดี๋ยวนั้น  แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้นางไม่สามารถทำอย่างนั้นได้  เงินพวกนั้นเองยังไงก็คงไม่มีทางตกมาถึงมือนางแน่เพราะฉะนั้นนางจึงทำได้แค่ข่มใจอย่างขมขื่น  และก่อนที่จะไปนางก็พูดเสียงแข็งๆว่า  “ฝากไว้ก่อนเถอะ  พวกเจ้าก็ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน!”

ป้าจางลุกขึ้น  ก่อนจะถอนหายใจอย่างเป็นกังวล  "ตอนนี้การหมั้นหมายก็ถูกยกเลิกไปแล้ว  เจ้าวางแผนว่าจะทำอะไรต่อในอนาคตล่ะ?"

เหลียนฟางโจวมองหญิงชราก่อนจะยิ้มบางๆ  และพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า  "ป้าจางท่านเป็นคนบอกข้าเองนิว่าชีวิตมันต้องเดินต่อไป!  และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ข้าก็จะดูแลน้องๆ ของข้าให้ดีที่สุด  แล้วข้าก็เชื่อนะว่าในอนาคตพวกเราต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้แน่!"

ป้าจางผงกหัวและยิ้มอย่างอ่อนโยน  นางรู้สึกดีใจมากที่เห็นเหลียนฟางโจวคิดได้  “ดีแล้วที่เจ้าคิดได้แบบนั้น!  แล้วเจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของอาเฉียวหรอกนะ  ป้าเชื่อว่าในอนาคตยังไงเจ้าก็จะต้องได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆแน่!  แล้วก็ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรอีก  ก็ไม่ต้องลังเลหรือว่าเกรงใจเลยนะ  มาหาป้าที่บ้านได้ตลอดเข้าใจไหม?”

“ขอบคุณป้าจางมากเจ้าค่ะ!  ข้ากลัวแต่ว่าในอนาคตจะมีแต่เรื่องไปรบกวนท่านไม่หยุดไม่หย่อนน่ะสิ!”  เหลียนฟางโจวพูดเย้านางจางอย่างอารมณ์ดี

“บ้านใกล้เรือนเคียงกันทั้งนั้นน่า  มีอะไรก็ช่วยกันได้อยู่แล้ว  เห็นเจ้าพูดได้แบบนี้ป้าก็สบายใจแล้วล่ะ”  ป้าจางหัวเราะอย่างชอบใจ  ก่อนจะเดินจากไป

หลังจากส่งป้าจางกลับเรียบร้อยแล้ว  เหลียนฟางโจวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเธอยิ้มให้เหลียนเซ่อก่อนจะพูดว่า  “เฮ้อ...ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบสักที  เรากลับเข้าบ้านกันเถอะ  มีอะไรรึเปล่า  ทำไมเจ้าถึงมองพี่อย่างนี้ล่ะ?

เหลียนเซ่อกำลังจ้องมองเหลียนฟางโจวด้วยสายตาสับสนเล็กน้อย

“ไม่....ไม่มีอะไร”  เขาเอ่ยตอบเหลียนฟางโจวในทันที  แต่ทว่าท่าทางที่แสดงออกนั้น  ช่างดูตรงกันข้ามกับคำที่ตอบออกมาอย่างสิ้นเชิง

เหลียนฟางโจวถอนหายใจ “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ  ถ้าเจ้ามีอะไรอยากพูดก็พูดออกมาตรงๆเถอะ  หรือว่ามันมีเรื่องอะไรที่บอกให้พี่สาวคนนี้รู้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”  ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ตอบอะไรออกมา  แต่เธอก็พอจะเดาได้ว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่

เหลียนเซ่อรู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูดมาก็มีเหตุผลดังนั้นเขาจึงมองหน้าเธอและพูดว่า  “ข้าแค่รู้สึกว่าพี่สาวเปลี่ยนไปมาก   เปลี่ยนไปเหมือนกับกลายเป็น ---”

“เปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อนอย่างนั้นหรือ?”  เหลียนฟางโจวสรุปคำตอบของเขา

เหลียนเซ่อพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

เหลียนฟางโจวทำหน้าเศร้าและยิ้มอย่างขมขื่น    “อาเซ่อมีคำพูดที่ว่าปัจจุบันไม่อาจเอาไปเปรียบเทียบกับอดีตได้ !   พวกเราในตอนนี้ยังมีชีวิตเหมือนกับในอดีตอีกอย่างนั้นหรือ?    ตอนนี้พวกเราเป็นลูกกำพร้าไม่มีพ่อแม่คอยดูแลปกป้อง  พี่เลยคิดว่าวิธีเดียวที่จะทำให้เราเอาชีวิตรอดต่อไปได้   คงมีแต่ต้องเข็มแข็งและแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น   เมื่อพวกเราแข็งแกร่งขึ้นก็จะไม่มีใครสามารถมารังแกพวกเราได้อีก  และถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ไปหาเรื่องคนอื่น  แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นเขาจะไม่มาหาเรื่องหาเรื่องรังแกพวกเรานิ   ใช่ว่าทุกคนในโลกนี้จะนิสัยดีเหมือนป้าจางนะ  แม้ว่าพี่จะทำตัวแปลกไปจนเหมือนกลายเป็นคนละคน  จนชาวบ้านเขาหาว่าพี่โดนผีเข้า  พี่ก็ไม่สน!   เพราะพี่จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนก็ตามมารังแกพวกเราได้!  เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”

“พี่ใหญ่ข้าขอโทษ”  เหลียนเซ่อพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด  เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาคล้อยตามคำพูดของเธอแล้ว

เหลียนฟางโจวตบบ่าของเขาหนักๆและพูดว่า  “ขอโทษทำไม  ยังไงเราก็คนครอบครัวเดียวกัน  นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร  แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือพวกเราต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และในอนาคตพวกเราก็ต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าตอนนี้ให้ได้  นั่นสิถึงจะทำให้ท่านพ่อท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์พักผ่อนได้อย่างสงบ!  เจ้าคิดเหมือนพี่ไหม?”

"อืม!"   เหลียนเซ่อผงกหัวเห็นด้วย  แต่ในใจของเด็กชายก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความละอายใจ  ที่เขาไม่เชื่อมั่นในตัวพี่สาวของเขา  ‘ข้านี่มันบ้าจริงๆ  กล้าไปคิดกับพี่สาวอย่างนั้นได้ยังไง!’

"พี่สาวจากนี้ไปข้าจะตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อให้ครอบครัวของเรามีชีวิตที่ดีขึ้น!"   เหลียนเซ่อเอ่ยคำสัญญาออกมาอย่างหนักแน่น

“เยี่ยมมาก!  พี่ชื่อว่าเจ้าต้องทำได้แน่!”  เหลียนฟางโจวพูดพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน  มันเป็นเรื่องดีมากที่เขามีความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะต่อสู้ขนาดนี้

สำหรับมื้อกลางวันพี่น้องทั้งสี่คนก็ยังคงต้องกินโจ๊กมันเทศเหมือนเช่นเคย  ก่อนที่ช่วงบ่ายเหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อจะกลับไปทำงานที่สวนผักต่อ

เมื่อเช้านี้พวกเขาได้พรวนดินแล้วก็ใส่ปุ๋ยต้นพริกเรียบร้อยแล้ว  อีกทั้งยังได้จัดการถอนวัชพืชและขุดดินเตรียมแปลงบางส่วนไว้แล้ว  ดังนั้นช่วงบ่ายนี้จึงเหลืองานให้ทำไม่มากนัก

เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงสวนผัก  พวกเขาก็เห็นลูกไก่ตัวเล็กๆขนาดเท่ากำปั้นกลุ่มหนึ่งกำลังคุ้ยเขี่ยหาอาหารในแปลงผักอย่างสนุกสนาน

เหลียนฟางโจวขมวดคิ้วแน่น  พลางคิดในใจว่า  โชคยังดีนะที่เธอยังไม่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์พืชลงไป  เพราะถ้าปลูกไปแล้วและเมล็ดพวกนั้นเพิ่งจะงอกออกมา  แล้วต้องมาถูกไก่พวกนี้เขี่ยเละเทะขนาดนี้  มีหวังผักได้ตายหมดแน่

“พวกมันเป็นลูกไก่ของป้า”  เหลียนเซ่อขมวดคิ้วและทำหน้าเบื่อหน่าย

เหลียนฟางโจวมองไปรอบๆ  ก่อนจะพูดขึ้น  "ช่างเถอะ  ที่จริงแล้วรั้วสวนเราเองมันก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงแล้วก็แน่นหนาด้วยแหล่ะ  เอางี้…อีกสักสองสามวันพวกเราค่อยขึ้นไปตัดไม้ไผ่กับกิ่งไม้บนภูเขามาซ่อมรั้วใหม่กัน   ส่วนตอนนี้ก็ปล่อยมันไว้อย่างนี้แหล่ะ  ยังไงเราก็ยังไม่ได้ปลูกอะไรมากอยู่แล้ว"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด