บทที่ 228 สัตว์อสูรระดับสาม
ด้วยพลังของดาบมังกรเพลิงเล่มนี้ ยังมีผู้ใดที่จะกล้าขวางทางข้า?!
ความมั่นใจของเจียงอี้เพิ่มพูนมากขึ้น ด้วยพลังของสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ พลังโจมตีของเขาก็เทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวแล้ว
ไม่สิ… หากกล่าวให้ถูก ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวคนใด เมื่ออยู่ต่อหน้ามังกรเพลิงทั้งสองตัว คนผู้นั้นก็จะต้องมอดม้วยอย่างแน่นอน
แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเจียงอี้จะสามารถโจมตีถูกตัวศัตรูหรือไม่ เพราะแม้ว่าจะมีพลังที่สามารถสยบบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งหลายได้ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายสามารถหลบได้ มันก็ไร้ประโยชน์
ฟึ่บ!
เจียงอี้เพิ่มความเร็วขณะที่มุ่งหน้าตรงไปในหุบเขาลึก ด้วยพลังของดาบมังกรเพลิงผนวกกับหินวิญญาณเพลิงที่เหลืออยู่มากกว่าหนึ่งโหล แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับสาม มันก็ไม่มีทางที่เขาจะมีอันตรายถึงชีวิต
ฟับ! ฟับ! ฟับ!
ตลอดทาง เจียงอี้พบเจอกับสัตว์อสูรระดับสองมากมาย ทุกครั้งที่กวัดแกว่งดาบมังกรเพลิง สัตว์อสูรเหล่านั้นก็จะถูกตรึงร่างไว้โดยกลิ่นอายที่เหนือกว่าของดาบและทำได้เพียงนอนรอความตายอย่างไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้
เห็นได้ชัดเลยว่าอิทธิฤทธิ์ของสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์อสูรชั้นต่ำจะสามารถเทียบเคียงได้!
หลังจากที่ผ่านไปสี่ชั่วโมง เจียงอี้ก็จำไม่ได้แล้วว่าเขาลงมือเข่นฆ่าสัตว์อสูรไปมากเท่าใด แต่อย่างน้อยก็ไม่มีทางต่ำกว่ายี่สิบตัวเป็นแน่
ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่พบสัตว์อสูรตามที่คาดหวังและยังไม่แม้แต่จะเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับสาม
ความมืดมิดเริ่มย่างกรายเข้ามาปกคลุมท้องฟ้า เช่นเดียวกับร่างกายของเจียงอี้ที่เริ่มได้รับผลกระทบจากความเหนื่อยล้าสะสม แม้ว่าจะมีจิตใจที่เข้มแข็ง แต่การเดินทางตลอดหลายวันทำให้ร่างกายของเขารับภาระมากเกินไปและจำเป็นที่จะต้องได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
ถึงอย่างนั้นการเตรียมที่หลับที่นอนในหุบเขาลึกเช่นนี้ก็หาใช่เรื่องง่ายไม่ ต้องอย่าลืมว่าหุบเขาเมฆาทมิฬคือถิ่นที่อยู่ของเหล่าสัตว์ร้าย ดังนั้นจึงไม่มีที่ไหนที่จะสามารถรับรองความปลอดภัยของเขาได้
“ใต้ดิน!”
ไม่นานนักความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในตอนที่เจียงอี้นึกถึงสงครามราชอาณาจักร หากเขาขุดถ้ำใต้ดิน สัตว์อสูรก็ไม่น่าที่จะตามลงไปได้ นอกจากนี้เขายังสามารถเดินทางต่อไปได้อีกหลายร้อยกิโลเมตร ใช่หรือไม่?
เมื่อมองหาผาหินที่ต้องการได้แล้ว เขาก็กระโดดลงไปในหุบเหวเบื้องล่าง ทุกสิบเมตรเขาจะใช้ดาบเกล็ดทมิฬแทงเข้าไปในชั้นหินเพื่อที่จะชะลอความเร็วไม่ให้ตกลงไปเบื้องล่างเร็วเกินไป และเมื่อหาทำเลที่ดีได้แล้วเขาจึงเริ่มขุดถ้ำ
“ที่นี่แหละ!”
ตึ้ง! ตึ้ง!
ดาบเกล็ดทมิฬทิ่มทะลวงเข้าไปในชั้นหินชั้นแล้วชั้นเล่า สัมผัสของสัตว์อสูรไวต่อกลิ่นอายของมนุษย์ ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่กล้าที่จะนอนบนผาหินอย่างโจ่งแจ้ง
หลังจากที่ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมง เจียงอี้ก็สามารถขุดถ้ำและสร้างเป็นอุโมงค์อันคดเคี้ยวซึ่งยาวกว่าสามกิโลเมตร ยิ่งไปกว่านั้นความกว้างของทางเดินถูกทำให้แคบเป็นพิเศษเพื่อกันไม่ให้สัตว์อสูรที่มีร่างกายใหญ่โตบุกเข้ามาในยามวิกาล
เจียงอี้ไม่ปิดปากถ้ำเพราะกลัวขาดอากาศ เขายังนำวัสดุบางอย่างออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงเพื่อสร้างเป็นกลไกกับดัก จากนั้นเขาก็ทานอาหารและตีความศาสตร์นิรนามอีกเล็กน้อยก่อนที่จะหลับไป
เจียงอี้หลับใหลทั้งคืนอย่างไร้กังวลโดยที่ไม่มีสัตว์อสูรตัวใดเข้ามากวนใจ
เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า หลังจากรับประทานอาหาร เขาก็เริ่มบ่มเพาะพลังอันเป็นกิจวัตร ด้วยการมีตำหนักม่วงถึงสองหลังทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขามากกว่าเดิมถึงสิบเท่า
ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนเขาก็สัมผัสถึงเค้าลางของปลายขอบของขั้นที่สองและเตรียมที่จะทะลวงสู่ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่สามแล้ว
แม้ว่าเจียงอี้จะครอบครองศิลาสวรรค์ แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่มีเวลาดูดซับมัน พลังงานภายในศิลาสวรรค์นั้นมหาศาลเกินไป ทำให้ต้องใช้เวลานับสิบวันในการดูดซับมันหนึ่งก้อน
หลังจากที่ใช้เวลาบ่มเพาะพลังไปอีกหนึ่งชั่วโมง เจียงอี้ก็โผล่ออกมาจากถ้ำหินใต้ดินและเริ่มเสาะหาสัตว์อสูรอีกครั้ง ยิ่งเขาเข้าไปในหุบเขาลึกมากเท่าใด สัตว์อสูรที่เขาพบเจอก็จะยิ่งมีระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในเวลานี้ สัตว์อสูรระดับสองขั้นสูงสุดก็เริ่มปรากฏกายออกมาให้เห็นแล้ว
“เจตจำนงสังหาร!”
เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับนี้ เจียงอี้ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนำไพ่ตายบางส่วนออกมาใช้ สัตว์อสูรที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับที่สองไม่เหมือนกับสัตว์อสูรทั่วไปที่จะตายทันมีเมื่อปลดปล่อยวิชาอสูร
ยิ่งระดับของพวกมันสูงมากเท่าไหร่ ความทุกข์ทรมานเมื่อใช้วิชาอสูรก็จะยิ่งลดน้อยลง
แต่เจตจำนงสังหารที่ถูกยกระดับเป็นขั้นที่สามก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง มันทรงพลังกว่าเดิมมากนัก!
เจียงอี้เห็นกับตาว่าสัตว์อสูรที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับที่สองอย่างพยัคฆ์นัยน์ตาม่วง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเมื่ออยู่ภายใต้กลิ่นอายของเจตจำนงสังหาร แม้ว่ามันจะมีร่างกายที่ใหญ่โตและยาวถึงสามเมตร แต่สุดท้ายก็ต้องตกตายภายใต้คมดาบมังกรเพลิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปังงง!
มังกรเพลิงทั้งสองตัวพุ่งทะยานเข้าหาพยัคฆ์นัยน์ตาม่วงและฉีกกระชากร่างของมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“หึหึ!”
เจียงอี้จ้องมองดาบมังกรเพลิงด้วยความพึงพอใจ เมื่อบวกกับเจตจำนงสังหาร เขาก็สามารถกำราบสัตว์อสูรระดับสามขั้นต่ำได้อย่างง่ายดาย ยิ่งถ้าหากเขาสยบพวกมันได้จนกลายมาเป็นสัตว์วิญญาณ กำลังรบของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก
แต่น่าเสียดาย…
หลังจากที่ค้นหาในบริเวณใกล้เคียงมาตลอดทั้งวัน เขาก็ยังไม่พบสัตว์อสูรระดับสามเลยแม้แต่ตัวเดียว
ตลอดทางเจียงอี้พบแต่สัตว์อสูรระดับสองขั้นสูงสุดและสังหารพวกมันไปนับโหล แต่ก็ยังไม่พบตัวใดที่มีความเร็วเป็นพิเศษหรือมีศักยภาพที่น่าสนใจ
สองวันผ่านพ้นไป!
ขบวนคุ้มกันเจ้าสาวของอาณาจักรเสินหวู่สมควรไปถึงทางใต้ได้แล้ว เจียงอี้เองก็กำลังเร่งมือ เขาขุดถ้ำใต้ดินอีกหนึ่งแห่งและเตรียมที่จะพักผ่อน
เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่เหลือเวลาแล้ว เขาจึงตั้งมั่นกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ในช่วงบ่ายไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องจับสัตว์อสูรให้ได้ก่อนที่จะเดินทางไปยังอาณาจักรต้าเซี่ย
เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเซี่ย, เมื่องเซี่ยยวี่ ใช้เวลาทางจากอาณาจักรเสินหวู่เพียงแค่สามวันเท่านั้น แม้ว่าขบวนคุ้มกันเจ้าสาวจะเคลื่อนขบวนช้ากว่าที่คาดไว้ แต่พวกเขาก็ต้องการเวลาเพิ่มอีกเพียงหนึ่งถึงสองวันเท่านั้น
ดังนั้นเจียงอี้จึงจำเป็นต้องหาทางสกัดพวกเขาไว้ในช่วงสี่ถึงห้าวันที่จะถึงนี้ มิฉะนั้นเขาจะไม่มีโอกาสอีกเมื่อขบวนเคลื่อนไปถึงเมืองเซี่ยยวี่
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่เขาจะเป็นต้องทำ เขาจะต้องไปเยือนภูเขาอัคคีเมฆาเพื่อที่จะเติมเต็มเพลิงโลกาที่ถูกผลาญไปจนเกือบหมด หากปราศจากเพลิงโลกา เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเมื่อเข้าปะทะกับกองทัพใหญ่
“เห้อ ข้าจะทำให้ดีที่สุด พรุ่งนี้ก่อนช่วงบ่าย ข้าจะต้องเดินทางไปภูเขาอัคคีเมฆาแล้ว”
เจียงอี้ถอนหายใจก่อนที่จะเอนกายเพื่อที่จะพักผ่อน ภายในถ้ำนั้นมืดสนิทและเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก สภาพของเขาในตอนนี้ดูไม่ต่างอะไรไปจากขอทานที่นอนอยู่ใต้สะพานลอย การไม่ได้อาบน้ำติดต่อกันหลายวันบวกกับเสื้อผ้าที่ฉีกขาด อีกทั้งยังปล่อยให้หนวดเคราและผมเผ้ายุ่งเหยิง ภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้ช่างดูเหมือนกับคนป่าเข้าไปทุกที
…….
ครื้นน! ครื้นน!
ในกลางดึกคืนนั้นเอง เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาซึ่งปลุกเจียงอี้จากการหลับใหล เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับจิตสังหารในดวงตา เขาถือดาบมังกรเพลิงไว้ในและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
ตู้มมมม!
ไม่นานนักผนังถ้ำก็ระเบิดออกมาส่งผลให้เศษฝุ่นควันตลบอบอวลไปทั่วทั้งถ้ำ ทันใดนั้นสัตว์อสูรสีดำขนาดยักษ์ก็เผยตัว ที่น่าประหลาดใจก็คือ มันไม่ได้เดินมาตามอุโมงค์ที่ถูกเจียงอี้ขุดไว้ แต่มันขุดลงมาเองจากอีกทางหนึ่ง!
“ตายซะ!”
ทันใดนั้นดวงตาของเจียงอี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับกลิ่นอายสังหารที่ไหลทะลักออกมา ดาบมังกรเพลิงในมือของเขาเปล่งแสงพร้อมกับร่างของมังกรเพลิงสองตัวที่โผล่ออกมาและทะยานเข้าหาสัตว์อสูรตัวนั้นในทันที
“หืม? มีสัตว์อสูรระดับสามที่ขุดลึกลงมาเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?”
เจียงอี้ตระหนักได้ทันทีว่ามันไม่ใช่สัตว์อสูรทั่วไปเนื่องจากมันไม่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายของเจตจำนงสังหาร ในตอนนั้นเองดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยความหวัง นั่นเป็นเพราะสัตว์อสูรระดับสามที่สามารถอยู่ใต้ดินได้ตัวนี้คือสัตว์อสูรที่เขาตามหามาตลอด!
สำหรับสถานการณ์ของเจียงอี้ในตอนนี้ สัตว์อสูรที่สามารถโบยบินบนท้องฟ้าหรือดำลงไปใต้ดินได้คือเครื่องมือที่ดีที่สุดที่ใช้ในการหลบหนีเอาชีวิตรอด
“ข้าเลือกเจ้านี่แหละ!”
เจียงอี้ควบคุมพลังของดาบมังกรเพลิงให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายนัก ตามด้วยรีดเค้นพลังทั้งหมดของเจตจำนงสังหารเพื่อที่จะสยบสัตว์อสูรตัวนี้ให้จงได้
จากนั้นเขาก็นำเครื่องรางสัตว์อสูรขึ้นมา พริบตาเดียวตัวเครื่องรางก็เปล่งแสงสีทองพร้อมกับอักขระสีทองอร่ามที่พุ่งขึ้นมาหมายที่จะสยบสัตว์อสูรนิรนามตัวนี้!