บาทที่ 17
บาทที่ 17
พวกหงเซียวอำลาเซียนพเนจรนั้นมา และเข้าพูดคุยกับผู้อาวุโสหลิว ซึ่งน่าจะรู้ข้อมูลมากกว่า
ผู้อาวุโสหลิวแปลกใจที่หงเซียวไม่รู้ เขาจึงเล่าให้ฟัง
“ทุกปี สำนักเซียนทั้งหมดจะร่วมกันใช้คาถาประกาศข่าว คาถานี้จะถูกส่งเข้าหูคนที่มีชีพจรเซียนทุกคน เดือนละครั้ง ข้าก็ไม่เข้าใจว่าเจ้าไปอยู่ไหนมากันจึงไม่ได้ยินเสียงประกาศ นอกจากว่าเจ้าอยู่นอกทวีปในช่วงนั้น หรือว่าเพิ่งสร้างชีพจรเซียนสำเร็จหลังจากที่ประกาศข่าวครั้งสุดท้ายเมื่อสามเดือนก่อน” ผู้อาวุโสหลิวกล่าว
“งานนี้จะจัดขึ้นเจ็ดวัน ในช่วงนี้จะจัดเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าและประลองฝีมือ ในวันที่ห้าจะเป็นการคัดเลือกศิษย์ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก ซึ่งหากว่าใครฝึกวิชาของสำนักไหนก็ไปสมัครเข้าสำนักนั้น แต่หากไม่พอใจก็ไปสมัครเข้าสำนักอื่นได้ แต่ก็จะต้องเริ่มต้นสร้างชีพจรเซียนใหม่ แต่นั่นก็ไม่มีปัญหาเมื่อเคยสร้างสำเร็จมาหนึ่งครั้งแล้ว สำนักใหญ่จะไม่รับศิษย์แบบนี้ยกเว้นว่ามีคุณสมบัติพิเศษจริงๆ ส่วนสองวันที่เหลือนั้นก็เป็นการประลองฝึมือระหว่างศิษย์สำนัก”
“วันนี้พวกเจ้าได้อะไรบ้าง เห็นพวกศิษย์บอกว่าพวกเจ้าขายสมุนไพร” ผู้อาวุโสหลิวถาม
“ใช่ วันนี้พวกเราขายสมุนไพรได้ป้ายเงินเซียนมาด้วย” หงเซียวยอมรับ
“ดีแล้ว ก็หวังว่าพวกเจ้าจะได้สำนักดีๆนะ” ผู้อาวุโสหลิวถอนใจ น่าเสียดายที่หงเซียวเป็นผู้ที่มีชีพจรเซียนแล้ว หากเป็นคนที่ยังไม่มีชีพจรเซียนเขาจะดึงมาเข้าสำนักเขาอย่างแน่นอน
หงเซียวและพวกได้ยินว่ามีงานประลอง พวกเขาจึงเตร่ออกมาอีกรอบเพื่อไปดูการประลองฝีมือ เพื่อเปิดหูเปิดตาว่าเซียนเขาสู้กันยังไง
หากจะบอกว่าเป็นการประลองก็ไม่ถูกเสียทั้งหมด เพราะว่านอกจากจะประลองแล้วก็ยังใช้เป็นที่ตัดสินข้อพิพาทอีกด้วย
ลานประลองเป็นพื้นที่เปิดกว้างของหุบเขา กว้างจนเขานึกว่ามันเป็นทางออกหุบเขาเสียด้วยซ้ำ พวกเขาเห็นคนที่ประลองกันนั้นล้วนมีหลากหลาย มีหลายคู่ที่โจมตีคู่ต่อสู้จากระยะไกลนับสิบเมตรและพยายามป้องกันตัวหรือไม่ก็หลบเลี่ยงจากการโจมตีของอีกฝ่าย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็มักจะหลบหลีกกันได้ติดต่อกันหลายครั้งไม่ได้
อานุภาพการโจมตีของวิชาเซียนนั้นรุนแรง เพียงแค่โดนไปครั้งเดียวก็มักจะพ่ายแพ้ไปในทันที ซึ่งสนามประลองแบบนี้ได้ให้ผู้แข่งขันสวมชุดพิเศษ ที่หากว่าโดนโจมตีกระทบถึงชุดก็จะส่งคนคนนั้นออกนอกลานประลองทันที
แต่อย่างไรก็ตามก็มีบางคนที่ใช้การต่อสู้ระยะประชิด คนพวกนี้มีความสามารถในการเคลื่อนที่ว่องไวมาก แม้จะหลบต่อเนื่องไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่พวกเขาก็มักจะเข้าถึงตัวอีกฝ่ายก่อนที่จะโดนโจมตีมากมายต่อเนื่อง
ส่วนในการต่อสู้เป็นตายนั้น พวกเขาจะไม่สวมชุดป้องกันเหมือนแบบแรก ดังนั้นการโจมตีที่โดนนั้นจึงมีอันตรายร้ายแรง และผลสุดท้ายก็คือตายหรือไม่ก็บาดเจ็บมากน้อยขึ้นกับความเมตตาของอีกฝ่าย
โดยปกติแล้วผู้ควบคุมสนามจะไม่ให้ใช้การต่อสู้เป็นตาย เพราะว่าเซียนแต่ละคนนั้นมีค่ามากไม่ได้พบเจอง่ายๆในโลกมนุษย์ หากต้องการต่อสู้แบบนี้ทั้งสองฝ่ายจะต้องจ่ายแต้มเซียนเป็นจำนวนมากพอ
“พี่ชาย ข้าอยากจะลองประลอง” จินหลินคึกคักขึ้น
“พี่ชาย ข้าก็ต้องการ” ซีชี่ที่ไม่ค่อยเอ่ยปาก เอ่ยขึ้นอย่างเร่งร้อน เหมยเหมยกับซิ่วจูแม้ไม่ได้พูดแต่ก็พากันกระสับกระส่ายส่งสายตาอ้อนวอนหงเซียว
“งั้นก็เอาสิ พวกเราไปลองลงประลองกันหมดนี่เลย เลือกเอาว่าจะใช้วิชาไหนวิชาเดียว แล้วก็ห้ามใช้ภูษาเซียนกับผึ้งเซียนด้วย ตกลงไหม” หงเซียวตั้งเงื่อนไข
“ตกลง” ทั้งสี่สาวประสานเสียง เสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง และเมื่อเห็นเป็นสาวสวยที่ราวกับตุ๊กตา พวกเขาต่างก็ตะลึงส่วนพวกเธอก็จะอิจฉา แต่เมื่อเห็นหงเซียวพวกเธอก็จะทำสีหน้าเคลิ้มฝัน
ยามนั้นสนามว่างแล้ว จินหลินก็เข้าไปแจ้งความประสงค์ จ่ายค่าสนาม สวมชุดป้องกัน แล้วก็ไปยืนอยู่กลางสนามประลอง
ผู้ชายหลายคนต่างพากันตาลุกวาวเมื่อเห็นเช่นนั้น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเซียน วิ่งไล่ตามวิถีเซียน แต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ในเร็ววันในเมื่อพวกเขาเพิ่งสร้างชีพจรเซียนได้เพียงไม่ถึงปี
หลายคนรีบวิ่งเข้าไปขอประลองกับเธอ ซึ่งก็มีชายคนแรกที่ยิ้มกริ่มที่ได้ปะทะกับเธอเป็นอันดับแรก มาดหมายว่าจะเอาชนะเธอแล้วค่อยตามไปเกี้ยวไม่ปล่อยให้คนอื่นได้มีโอกาส
“พร้อม” กรรมการถามคนทั้งสองที่ยืนอยู่ห่างกันกว่ายี่สิบเมตร เมื่อทั้งคู่พยักหน้า เขาก็ให้สัญญาณต่อสู้ “ต่อสู้ได้”
จินหลินใช้วิชาเซียนห้าธาตุ เสกบอลไฟใส่อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง เธอเสกบอลไฟลูกเล็กๆที่ไม่ต้องรวบรวมพลังมากนัก แต่อาศัยความต่อเนื่องเข้าสู้
ในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายก็ชักอาวุธออกมา เป็นค้อนขนาดใหญ่ แต่อาวุธนี้ไม่ได้ใช้ในการโจมตีโดยตรง เขาใช้ฟาดลงไปบนพื้น ทุกครั้งที่ปะทะพื้น จะทำให้ดินเคลื่อนที่เหมือนกับคลื่นน้ำมุ่งสู่จินหลิน ทั้งยังมีคลื่นริ้วอากาศปะทะเข้ากับบอลไฟของจินหลิน
จินหลินกระโดดขึ้นเหนือฟ้าหลบพลังการฟาดฟันของอีกฝ่าย ทั้งที่อยู่กลางอากาศเธอก็ยังโจมตีได้ต่อเนื่อง
เพราะว่าคลื่นอากาศที่อีกฝ่ายทุบลงไปนั้นมีลักษณะเป็นแนวนอน เมื่อจินหลินกระโดดสูง บอลไฟของเธอก็สูงกว่าระยะกวาดของพลัง ทำให้อีกฝ่ายต้องรีบเคลื่อนตัวหลบบ้าง
แต่เพราะว่าจินหลินใช้วิชาเซียนวิชาเดียวทำให้เธอไม่สามารถบินอยู่บนอากาศได้ เธอจึงต้องตกลงสู่พื้นแต่ว่าเธอก็ไม่ได้หยุดโจมตี อีกฝ่ายเห็นเช่นนั้นก็ฟาดพื้นอีกครั้งส่งคลื่นโจมตีออกไป
ความจริงแล้วชายคนนี้มีวิชาโจมตีอีกหลายท่า แต่เพราะว่าจินหลินโจมตีอย่างต่อเนื่อง วิชาเหล่านั้นซึ่งช้าไม่อาจจะใช้ได้ ได้แต่ใช้ท่านี้ท่าเดียวซึ่งเร็วที่สุดของเขาและมีรัศมีโจมตีวงกว้างที่สุดแล้ว
จินหลินเห็นบอลเพลิงที่ยิงอย่างต่อเนื่องไปนั้นใช้ไม่ได้ เธอจึงกระโดดเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แต่แน่นอนว่าเธอไม่ได้หยุดยิงบอลเพลิง
เมื่อชายคนนั้นเห็นสีหน้าแววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นดีใจทันทีทั้งที่กำลังหลบบอลของเธอ ซึ่งจินหลินที่ได้สังเกตอีกฝ่ายมาโดยตลอดก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องมีวิธีการรับมือการกระโดดเข้าไปใกล้ของเธออย่างแน่นอน เธอจึงรีบทิ้งตัวลงพื้นก่อนที่จะเข้าไปถึง
อีกฝ่ายเห็นเธอกำลังจะกระทบพื้น เขารีบทุบพื้นเพื่อส่งพลังคลื่นไปบีบให้จินหลินกระโดดขึ้น พร้อมกับทำลายบอลเพลิงที่เธอส่งออกมา
แต่ทันทีที่เท้าของเธอกระทบพื้น ดินบริเวณที่จะถูกทุบลงไปนั้นพลันยกตัวสูงขึ้นเป็นหนามเข้าปะทะกับค้อน และทำให้พลังของค้อนเปลี่ยนทิศ ส่งคลื่นพลังฝ่าอากาศสูงเกินกว่าบอลเพลิงที่ถูกยิงเข้ามา นี่คือแหลนศิลา อาคมอีกอย่างในวิชาเซียนห้าธาตุ
แม้ว่าแหลนศิลาจะถูกทำลาย แต่วิชาของอีกฝ่ายก็ผิดพลาดตำแหน่งไป ชายคนนี้รีบพลิกตัวหลบหนีบอลไฟที่ถูกส่งเข้ามาในทันที
บอลไฟต่อเนื่องมาก ยิ่งจินหลินเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายก็หลบยากขึ้น ได้แต่ยกค้อนขึ้นมากันบอลไฟไว้ แต่ขณะที่เขากำลังกันบอลไฟอยู่นั้น เขาก็พบว่าตนเองมายืนอยู่นอกสนามแล้วในท่าที่กำลังยกค้อนขึ้นมากันบอลไฟ เขาได้แต่สับสนตนเองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทุกคนที่อยู่ด้านนอกต่างพากันสูดลมหายใจหนาวเหน็บ พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะป้องกันตัวจากหญิงสาวสวยคนนี้อย่างไรดีเช่นกันหากตกอยู่ในสภาพนั้น ในเมื่อขณะที่บอลไฟถูกยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง เธอยังสามารถสร้างแหลนศิลาเข้าไปปะทะโจมตีอีกด้านได้ด้วย
หลายคนเริ่มถอนตัวออกไปจากคิวการต่อสู้ เมื่อคิดหาวิธีเอาชนะไม่ได้
แต่ก็ยังมีคนที่คิดว่าตนน่าจะมีไม้ตายตอบโต้ได้เข้าคิวเพื่อปะทะกับเธอ
คนต่อไปที่คิดว่าตนเองน่าจะเอาชนะจินหลินได้เดินเข้าไปในสนาม และเมื่อกรรมการประกาศ เขาก็สร้างเกราะหินขึ้นมาครอบตนเองจนกลายเป็นโกเล็มหิน
จินหลินไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เธอยิงบอลเพลิงไปยังอีกฝ่ายตรงจุดจุดเดียวอย่างแม่นยำ เพราะว่าการเคลื่อนไหวเชื่องช้าของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่สามารถป้องกันจุดนั้นได้
ขณะที่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ จินหลินก็เว้นระยะออกไปอย่างใจเย็น ไม่ว่าอย่างไรระยะก็ห่างเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่นานนักหินที่ถูกจินหลินโจมตีก็ทนไม่ได้มันเริ่มหลอมละลาย จนเจ้าของร่างต้องรีบสลายเกราะเพื่อไม่ให้เกราะที่หลอมเหลวนั้นไหม้ตัวเอง
และเมื่อเขาถอดเกราะออก ก็ไม่มีโอกาสที่จะสวมได้อีกครั้ง เมื่อจินหลินที่ทิ้งระยะห่างนั้นพลันเข้ามาใกล้เขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และบอลไฟก็พุ่งใส่กลางอกส่งอีกฝ่ายไปนอกสนาม
ทุกคนฮือฮาในความเก่งกาจในการต่อสู้ของสาวน้อยคนนี้
และคนถัดไปก็ก้าวขึ้นไปในสนาม