GOI ตอนที่ 102 พบเจอชายชราเทียนจีอีกครา!
“จากที่เจ้าเอ่ย เด็กคนนี้ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง”
ตั้งแต่อดีต เล่ยซานเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในสิ่งที่เทียนจีพูดเสมอมา โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทียนจี อย่างเช่นที่เขาบอกว่าได้พบกับป๋ายเสี่ยวเฟย เล่ยซานไม่เชื่อแม้แต่น้อย
ขอร้องให้เทียนจียื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นไม่ต่างอันใดไปจากฝันลมๆ แล้งๆ เล่ยซานอาจจะเชื่อหากเทียนจีกล่าวว่าได้เห็นคนประสบเคราะห์ร้ายมา...
“แน่นอน ลูกชายของเจ้าเด็กป๋ายหลงเฟยจะปกติได้อย่างไร? แถมเขายังเป็นศิษย์ของข้า เทียนจี!”
เทียนจีเชิดหัวขึ้นสูงฉวยโอกาสโอ้อวดตนเอง
“แต่ป๋ายเสี่ยวเฟยหน้าตาไม่เหมือนป๋ายหลงเฟย”
เล่ยซานขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยเสริม
“ถึงนิสัยจะคล้ายคลึงอยู่บ้าง...”
“ผู้ชายเหมือนแม่ทั้งนั้น หน้าตาไม่เหมือนพ่อเป็นเรื่องธรรมดา”
เหตุผลของเทียนจีสมเหตุสมผลเพราะไม่จำเป็นต้องสงสัยในตัวตนของป๋ายเสี่ยวเฟย แค่ตราวีรบุรุษก็เป็นหลักฐานที่เพียงพอแล้ว
“เจ้าพูดถูก แต่เจ้าคงไม่ได้มาเพื่อพูดเรื่องนี้กับข้า ใช่หรือไม่?”
ยิ่งคนเราแก่ยิ่งเจ้าเล่ห์มากกว่าเดิมเฉกเช่นที่ภูตผีเฉลียวฉลาดขึ้นเมื่อวันวานผ่านไป ในฐานะสหายเก่าของเทียนจี เล่ยซานรู้จักเทียนจีราวกับรู้จักหลังมือของเขา เทียนจีไม่มีวันมาหาเขาเพียงเพราะข่าวแค่นี้
“เจ้ายังจำวิชาฝึกปรือที่ข้าได้มาจากซากโบราณได้หรือไม่?”
เทียนจีเลิกคิ้วขึ้นขณะที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าฉีกกว้างยิ่งขึ้น เล่ยซานเบิกตาและปากกว้างเมื่อได้ยิน
“เจ้าให้ป๋ายเสี่ยวเฟยฝึกวิชาเหลวไหลนั่น!?”
เล่ยซานตะโกนถามเสียงดังลั่น หากเขาทำได้ เขากระทั่งอยากบีบคอเทียนจีให้ตายๆ ไปเสีย
“เหลวไหลกับผีน่ะสิ! วิชาฝึกปรือของข้าเป็นถึงระดับเทวะ! เมื่อนึกถึงเรื่องที่จุดโคจรปราณทั่วร่างของเจ้าเด็กนี่ถูกอุดตันเอาไว้ อย่าบอกข้าว่าเจ้ามีวิธีอื่นที่ดียิ่งกว่า!?”
เทียนจีก่นด่าออกมาทันที ส่วนเล่ยซานนิ่งเงียบไร้วาจาจะกล่าว
เป็นจริงดั่งที่เทียนจีกล่าว แต่เล่ยซานก็ยังรู้สึกว่าวิชาฝึกปรือนั้นเสี่ยงเกินไปเพราะความไม่แน่นอนที่ไม่อาจคาดเดาของมันไม่ต่างจากการพนัน
“ตอนแรกข้าว่าจะหาโอกาสมอบหุ่นเชิดตัวที่สองให้เขาหลังงานประลองศิษย์ใหม่จบ แต่ดูเหมือนจะไม่มีหวังซะแล้ว”
เล่ยซานถอนหายใจยาวเหยียด สุ้มเสียงแฝงความไร้กำลัง
“ฮี่ฮี่ นี่เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ข้ามาหาเจ้า”
เทียนจีหัวเราะในลำคอราวกับเด็กทารกพลางลูบมือทั้งสองเข้าด้วยกัน สีหน้าคล้ายคลึงกับพวกพ่อค้าเจ้าเล่ห์อยู่หลายส่วน
“หมายความว่าอย่างไร? ถึงแม้ข้าจะเป็นเจ้าสถาบัน แต่ข้ายังมีหน้ามีตาให้รักษา ไม่อาจทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงได้”
เล่ยซานปฏิเสธก่อนที่เทียนจีจะได้เอ่ยอธิบายเพราะไม่เหมือนเทียนจี เขาจำต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์จริงๆ
“เฮอะ! เจ้ามันไร้ประโยชน์เหลือเกิน เมื่อใดกันที่ลูกศิษย์ของข้าเทียนจีต้องให้เจ้าทำเรื่องบัดซบให้? ศิษย์รักของข้ายกระดับเคล็ดวิชานั้นได้แล้วหนึ่งขั้น”
เทียนจีมีสีหน้าพึงพอใจ เขาราวกับกำลังโอ้อวดอยู่ แต่เขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นระริกเมื่อนึกถึงหูเซียนเอ๋อร์
‘สรวงสวรรค์เบื้องบน ขอให้จิ้งจอกน้อยตนนั้นไม่โกรธแค้นข้าด้วยเถิด!’
“ยกระดับหนึ่งขั้น!?”
เล่ยซานมีโทสะถึงขั้นตัวสั่นเทิ้ม เขาจนปัญญาจะหาคำมาด่าเทียนจี
‘ป๋ายเสี่ยวเฟยอายุแค่สิบหก!’
‘เขายังเป็นแค่เด็ก!!!’
“อย่าโกรธให้มากนัก มันเป็นก้าวที่เขาต้องเดินในไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีความแตกต่างมากนักหากจะไวไปสักไม่กี่ปี เจ้าคิดว่าทุกคนหัวโบราณเช่นเจ้าหรือ?”
เทียนจีรู้ว่าเหตุใดเล่ยซานจึงได้โกรธเช่นนี้ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
‘หากเขาไม่เหลวไหลสักหน่อยในวัยเยาว์ เช่นนั้นเขาควรจะรอให้โฉมสะคราญทั้งหมดกลายเป็นของชายอื่นก่อนจะ ‘รู้ถึงสัจธรรม’ งั้นหรือ?’
“ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะไม่โต้เถียงกับเจ้า แต่ในเมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นเด็กในสถาบันของข้า เจ้าอย่าคิดจะทำให้ชีวิตของเขาต้องพังเพราะเจ้า!”
จริงๆ แล้วไม่มีความจำเป็นที่ชายชราเทียนจีจะต้องสอนป๋ายเสี่ยวเฟย เพราะป๋ายเสี่ยวเฟยได้จบการศึกษาตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วในหุบเขาวีรบุรุษ...
“แค่กๆ เจ้าคิดมากเกินไป หลายเรื่องไม่อาจหักห้ามได้เพียงเพราะเจ้าอยากให้มันเป็นเช่นนั้น ศิษย์ของข้ามีชะตาลิขิตให้พัวพันกับความรัก และโฉมสะคราญจะรายล้อมข้างกายเขาไม่รู้จบ หากไม่เชื่อเจ้าก็รอดูได้เลย”
เทียนจีเย้ยหยันเผยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
“ข้าก็ไม่อยากถกเถียงกับเจ้าแล้ว ข้าจะรอดู!”
เป็นดั่งทุกครั้งที่พวกเขาเจอกัน ไม่มีครั้งใดที่ตอนจบไม่เอ่ยคำว่า ‘รอดู’
แต่ยังจบไม่ได้เพราะเทียนจียังไม่บรรลุจุดประสงค์ที่มา
“ตาเฒ่า ในเมื่อศิษย์รักของข้าสามารถทำพันธะสัญญากับหุ่นเชิดตนที่สอง อาจารย์อาอย่างเจ้ามิควรเตรียมของขวัญหน่อยรึ?”
เทียนจีว่าจะเจรจาดีๆ กับเล่ยซาน แต่เขาทำได้เพียงขู่กรรโชกทรัพย์...
“ถึงข้าจะเป็นเจ้าสถาบัน แต่ข้าไม่ได้รับผิดชอบเรื่องเงิน เจ้ารู้ดีว่าใครดำรงตำแหน่งจัดการงานที่นี่ หากเจ้าทำได้ก็เอาไปเท่าที่อยาก”
เล่ยซานยักไหล่ทำตัวราวกับไม่เกี่ยวกับเขา
“เจ้าคิดว่าในหัวข้าแปลกประหลาดเช่นเจ้าหรือ? หากข้าบอกเจ้าเด็กสาวลั่วซีเกี่ยวกับลูกศิษย์ข้า เขาคงมิอาจมีชีวิตรอดวันนี้ไปได้”
‘อีกคนแล้วที่เรียกลั่วซีว่าเด็กสาว...’
“และข้าก็ไม่อยากได้เงินของเจ้า!”
เทียนจีเลิกคิ้วเผยสีหน้าที่บอกว่า ‘เจ้าเข้าใจ’ ให้เล่ยซาน ฝ่ายหลังหวาดกลังขนลุกชูทั่วร่างอย่างอดไม่ได้
“มิได้ ข้าตั้งใจจะใช้มันเป็นรางวัลของงานประลองศิษย์ใหม่ หากข้าให้เจ้าตอนนี้ ข้าจะใช้อะไรเป็นรางวัลชนะเลิศ?”
เล่ยซานปฏิเสธแข็งขัน แต่เทียนจีกลับเผยรอยยิ้มที่ราวกับเขาทำสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง
‘แค่เจ้าตั้งใจจะส่งมอบ ข้าก็จะเอามันไปแน่!’
“ไม่อยากรู้หรือว่าเมื่อใดเจ้าจะได้รับโอกาสที่ดีกับดรุณีน้อยเล่ยมิน?”
เทียนจีดีดนิ้วก่อนที่จานสวรรค์ล่วงรู้จะลอยขึ้นไปช้าๆ
ในวินาทีต่อมา เล่ยซานกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบาก
.....
ตั้งแต่ที่พวกเขาแอบลอบออกไป ห้องคนเถื่อนไม่ได้กลับไปยังสถาบันทั้งวัน กระทั่งอาหารเช้าเย็นที่กินยังหาเอาเอง
สัตว์อสูรน่าสงสารไม่เพียงเป็นกระสอบทรายให้อัด แต่ยังต้องรับผิดชอบเติมเต็มกระเพาะของพวกเขาด้วย...
หลังจากฝึกไปหนึ่งวัน แทบทุกคนในห้องคนเถื่อนเริ่มจับเคล็ดหุ่นเชิดตัวใหม่ได้แล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนหากจะใช้ให้ชำนาญ
พวกสัตว์อสูรคงต้องอยู่อย่างรันทดต่อไปอีกสักระยะ...
“พี่ใหญ่เฟย ท่านคิดว่าพวกเราไร้เทียมทานในหมู่ศิษย์ใหม่หรือยัง?”
ในทางกลับ ทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะภายใต้การร่วมมือของหุ่นเชิดตนใหม่ ความแข็งแกร่งของห้องคนเถื่อนอธิบายได้สามคำว่าพุ่งทะยาน พวกเขาไม่ทำให้ความพยายามในการหาเงินเมื่อเดินก่อนผิดหวัง
“เจ้าฝันหวานไปหากคิดว่าพวกเราไร้เทียมทาน อย่าลืมว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าและคนไม่ธรรมดามีอยู่ทุกที่ ข้าได้ยินว่าศิษย์ที่สถาบันรับเข้ามาหลายคนได้เข้าสู่ระดับสูงแล้ว”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยังคงเป็นคนเดียวที่สาดน้ำเย็นใส่พวกเขา แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ดูไม่เหมือนกำลังพูดจริงด้วยสีหน้ามั่นใจเช่นนั้น
“ศิษย์ของข้าจะไม่ไร้เทียมทานได้อย่างไร! ไอ้เด็กเหลือขอ หากเจ้าไม่มีความมั่นใจเพียงแค่นี้ อย่าไปบอกคนอื่นว่าเจ้าเป็นศิษย์ของข้า เทียนจี!”
เสียงคุ้นเคยที่กระตุ้นให้ป๋ายเสี่ยวเฟยแทบอยากจะฆ่าตัวตายดังขึ้น ในวินาทีต่อมา เทียนจีบนศรทองคำร่อนลงมาอย่างแช่มช้าเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวเฟยและพวก
นอกจากป๋ายเสี่ยวเฟย ทุกคนล้วนอ้าปากค้าง...