บทที่ 9 : ถอนหมั้น (1/2)
บทที่ 9 : ถอนหมั้น (1/2)
เหลียนเซ่อโมโหจนหน้าดำหน้าแดง แต่ก่อนที่เขาจะได้โต้ตอบผู้เป็นป้ากลับไป เหลียนฟางโจวก็หัวเราะเบาๆ แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดขึ้นก่อน “ท่านป้าหนังสือหมั้นของท่าน มันก็ควรจะอยู่ที่บ้านของท่านสิ จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เอ๊ะ ท่านตามหาหนังสือหมั้นแบบนี้หรือว่าท่านกำลังจะแต่งงานใหม่หรือคะ?”
ทั้งนางเฉียวแล้วก็เหลียนเซ่อพากันตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินคำพูดของเหลียนฟางโจว และหลังจากหลุดออกมาจากภวังค์เหลียนเซ่อก็อดที่จะขำไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าลงแล้วก็แสร้งเอามือปิดปากเหมือนกับว่ากำลังไอเพื่อกลบเกลื่อนแทน
นางเฉียวทั้งโกรธทั้งอาย ก่อนจะนางตวาดเหลียนฟางโจวเสียงดังลั่น “ข้าได้ยินพวกชาวบ้านลือกันว่า เจ้านิสัยเปลี่ยนไปเป็นคนละคนยังกับโดนผีเข้า ข้าก็นึกว่าพวกเขาแค่พูดกันเฉยๆ แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้ามันจะกลายเป็นคนเนรคุณแบบนี้!! เป็นเด็กเป็นเล็กกล้าพูดกับผู้อาวุโสในบ้านแบบนี้ได้ยังไง!! เจ้าไม่กลัวว่าฟ้าดินจะลงโทษบ้างหรือ!!”
“ผู้อาวุโส?” เหลียนฟางโจวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “หึ!! ข้านึกว่าเป็นโจรที่เข้ามาปล้นบ้านซะอีก อีกอย่างข้าไม่กลัวหรอกนะเรื่องฟ้าดินลงโทษ แต่คนที่สมควรจะกลัวน่าจะป็นท่านมากกว่า!!”
“เจ้า- เจ้า- เจ้า!!” นางเฉียวโมโหจนพูดติดอ่าง นางไม่เคยถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากคนรุ่นลูกแบบนี้มาก่อนนางจึงตั้งตัวไม่ทัน ไม่นานหลังจากนั้นนางก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เลิกโยกโย้แล้วก็เสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องได้แล้ว!! หนังสือหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับตระกูลหยางอยู่ที่ไหน!! ไปเอาออกมาให้ข้าเร็วเดี๋ยวนี้!!”
“ทำไมข้าต้องให้!” เหลียนฟางโจวพูดสวนกลับอย่างรวดเร็ว
“ทำไม?” นางเฉียวยกมือขึ้นเท้าสะเอว แล้วเดินเข้าไปหาเหลียนฟางโจวด้วยท่าทางคุกคาม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “เพราะว่าข้าเป็นป้าสะใภ้ของเจ้า!! ลุงของเจ้าแล้วก็ข้าเป็นผู้อาวุโสของบ้าน ดังนั้นแน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ต้องให้ผู้ใหญ่เป็นคนจัดการ!!”
"ไม่จำเป็น!" เหลียนฟางโจวยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วพูดว่า “พ่อแม่ของข้าจากไปหมดแล้วดังนั้นตอนนี้ในบ้านหลังนี้ข้าเป็นผู้อาวุโสที่สุด! เรื่องในครอบครัวของเราไม่เกี่ยวกับท่าน!”
“นังเด็กอวดดี!! เมื่อกี้เจ้าพูดว่ายังไงนะ?!” นางเฉียวโกรธจนควันออกหู
“ท่านป้า ท่านกลับไปเถอะ! เหมือนที่พี่สาวข้าพูดตอนนี้นางเป็นหัวหน้าครอบครัวของเรา ปัญหาในบ้านของเราพวกเราจัดการกันเองได้ ไม่ต้องรบกวนพวกท่านหรอก” เหลียนเซ่อเอ่ยสำทับคำพูดของพี่สาวอย่างจริงจัง
นางเฉียวกำลังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว เพราะนอกจากจะหาหนังสือสัญญาก็ไม่เจอแล้ว ก็ยังมาเจอเด็กถอนหงอกอีก และขณะที่นางกำลังคิดว่าจะจัดการกับเด็กพวกนี้ยังไง ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนมาจากหน้าบ้านเสียก่อน “มีใครอยู่ไหม? เหลียนฟางโจวเหลียนฟางโจว รีบไสหัวออกมาซะ! พวกเราตระกูลหยางมาถอนหมั้นแล้ว!!”
เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อหันมาสบตากันอย่างรู้ความหมาย พวกเขาไม่แปลกใจเลยที่นางเฉียวพุ่งมาที่นี่แล้วพยายามตามหาหนังสือหมั้น เพราะนางอยากได้เงินค่าถอนหมั้นสิบสองตำลึงนี้เอง คิดอยู่แล้วว่าคนอย่างนางเนี้ยนะ จะมาเป็นห่วงเป็นใยพวกเขา
สุดท้ายเหลียนฟางโจวก็เป็นผู้ชนะในการปะทะคารมครั้งนี้ “รอเดี๋ยว กำลังไป!” เธอตะโกนตอบรับเสียงดัง ก่อนจะเดินออกนอกบ้านไป
เหลียนเซ่อหันไปมองหน้านางเฉียวแวบหนึ่งก่อนจะเดินตามหลังพี่สาวออกไป
เหลียนฟางโจวยืนมองหญิงชรารูปร่างสูงโปร่งที่อยู่ตรงหน้าพลางคิด หน้าตาดูฉลาดแต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างนี้ สงสัยจะเป็นนางหยางซึ่งเป็นแม่ของอดีตคู่หมั้นเธอแน่ๆ เหลียนฟางโจวมองครู่หนึ่ง ก่อนเธอจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “ท่านได้เตรียมเงินมาด้วยหรือเปล่า?”
นางหยางมองดูเหลียนฟางโจวด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนจะหยิบกระเป๋าที่มีเงินอยู่ภายในออกมาเขย่าตรงหน้าเธอ “เตรียมมาแล้วสิบสองตำลึงไม่ขาดไม่เกิน แต่ข้าอยากเห็นหนังสือหมั้นก่อน”
“แน่นอน!” เหลียนฟางโจวยิ้มและพูดอย่างตรงไปตรงมา “ก็ดี!! ยื่นหมูยื่นแมว!! ยุติธรรมดี!!”หญิงชราแซ่หยางไม่ตอบแต่จ้องมองเหลียนฟางโจวด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามแทน
ขณะนั้นเหลียนฟางโจวก็หันไปเห็นนางเฉียวที่กำลังเดินออกมาจากในบ้านพอดี เธอจึงพูดกับนางเฉียวว่า “ท่านป้าดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีเรื่องอะไรใหท่านต้องจัดการแล้วนะ ท่านกลับบ้านไปเสียเถอะ!”
“หยุดอย่าเพิ่งกลับ!!” นางหยางพูดด้วยน้ำเสียงกระแหนะกระแหน “ป้าของเจ้าต้องอยู่เป็นพยานก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวชาวบ้านจะมาหาว่าข้ารังแกเด็กกำพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่กันพอดี อีกอย่างข้าไม่อยากตกเป็นขี้ปากของใครด้วย!”
ใบหน้าของเหลียนเซ่อเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ก่อนเขาจะส่งสายตาอาฆาตไปที่หญิงชราแซ่หยาง
เหลียนฟางโจวรู้สึกโกรธจัดจนแทบอยากจะหักคอคน แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ปากหญิงชรานางนี้ช่างร้ายกาจเหมือนกับพวกบ้านฮัวไม่มีผิด ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะเป็นญาติกัน
“เจ้าคงได้ยินชัดแล้วนะ!! เห็นทีว่าข้าคงจะกลับไม่ได้แล้วล่ะ” นางเฉียวพูดอย่างผู้ได้รับชัยชนะ ก่อนจะไปยกเก้าอี้ออกมานั่งเสมือนว่าตัวเองเป็นประธาน นางจ้องหน้าเหลียนฟางโจวอย่างเยาะเย้ย และจ้องเงินในมือของนางหยางตาเป็นมัน ถ้าเป็นไปได้นางคงอยากจะลุกไปฉกเงินจากมือนางหยางซะเดี๋ยวนั้นเลยมั่ง
เหลียนฟางโจวกำลังชั่งน้ำหนักในใจว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง เธอกลัวว่าถ้าหากเธอเอาหนังสือสัญญาออกมาตอนนี้ นางเฉียวต้องหาเรื่องมาแย่งเงินของเธอไปแน่ๆ อีกทั้งตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะขัดขวางนางเฉียวได้หรือไม่
ส่วนนางหยางเองจู่ๆก็แสร้งมาทำตัวเป็นคนดีซะงั้น ปกตินางเคยญาติดีกับเหลียนฟางโจวคนเดิมซะที่ไหน เห็นทีว่านางอาจจะมีแผนร้ายซ่อนอยู่ก็ได้ ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงเงินสิบสองตำลึงของเธออาจจะตกไปอยู่ในมือของนางเฉียวแทนก็ได้ ถึงตอนนั้นถึงเธออยากจะร้องไห้แค่ไหนก็คงร้องไม่ออกแน่
“พยาน? โอ้ว ใช่ๆ แต่ถ้าหากว่าพยานดันเป็นญาติพี่น้องของข้า เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ครหากันอยู่ดี ว่าข้าเล่นพรรคเล่นพวกเข้าข้างกันเอง”