GOI ตอนที่ 103 รู้แจ้งอย่างฉับพลัน
‘เทียนจี?’
‘หรือว่าเขาคือชายชราเทียนจี!?’
‘ชายชราเทียนจีที่เป็นหนึ่งในสามตำนานผู้ยิ่งใหญ่!?’
คลื่นโหมกระหน่ำปั่นป่วนอยู่ในใจทุกคน มีเพียงป๋ายเสี่ยวเฟยที่คิดอย่างอื่น
‘ไอ้เฒ่าลามกนี่มาทำอะไร!?’
“พวกเจ้าทั้งหมดคือสหายของเสี่ยวเฟย? หืม ไม่เลว ทั้งหมดล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีอนาคตไร้ขีดจำกัด ในเมื่อพวกเจ้ากล้าเข้ามาฝึกฝนในเทือกเขาไร้ขอบเขต!”
ชายชราเทียนจีลูบเคราพลางเผยรังสีเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ดูอย่างไรก็เป็นผู้สูงศักดิ์
“ผู้...ผู้อาวุโส ท่านคือ... ชายชราเทียนจีจริงๆ ?”
โม่ข่ากลืนน้ำลายอึกใหญ่เป็นตัวแทนของทุกคนถามคำถาม
“อะไร? ยังมีผู้ใดชื่อเทียนจีในทวีปชิงหลัวอีกรึ? ข้าคงต้องไปเยี่ยมเขาหน่อยเพราะคนชื่อแซ่เดียวกันช่างหาได้ยากยิ่งนัก”
เทียนจีหัวเราะดังลั่น เขาราวกับเป็นตัวตนสูงใหญ่ฝังลึกเข้าไปในใจทุกคน
แต่หากพวกเขารู้ว่าสายตาและความคิดของเทียนจีสนใจอยู่ที่ใด ตัวตนนี้ต้องล้มคะมำเป็นแน่แท้
‘เด็กเหลือขอ ไม่เลวเลย! เพียงเวลาสั้นๆ ก็หาโฉมสะคราญสองคนมาอยู่ข้างกายได้แล้ว’
สายตาของเทียนจีช่างเฉียบคมดุจกริช เขามองปราดเดียวก็เข้าใจถึงท่าทีความรู้สึกของเสวี่ยอิ่งและหลินหลีที่มีต่อป๋ายเสี่ยวเฟย
‘ดูเหมือนว่าเคล็ดวิชาของศิษย์ข้าจะยกระดับขึ้นอีกครั้งในไม่ช้า!’
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เทียนจีอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“เช่นนั้น... ท่านคืออาจารย์ของ...พี่ใหญ่เฟย”
โม่ข่าถามอีกครั้ง สายตาเปลี่ยนไปมาระหว่างเทียนจีและป๋ายเสี่ยวเฟย และคำว่า ‘เหลือเชื่อ’ เขียนอยู่ทั่วหน้าของเขา
“อะไร? เจ้าเด็กตัวเหม็นสร้างปัญหาให้พวกเจ้าหรือ?”
การไม่ปฏิเสธเป็นดั่งการยอมรับ ทุกคนล้วนตกตะลึงนิ่งอยู่กับที่ในเวลาเดียวกัน
‘อะไรวะ! พี่ใหญ่เฟยช่างเก็บซ่อนได้มิดจริงๆ’
‘เช่นนี้ห้องของเราก็มีคนเกี่ยวพันอย่างแน่นแฟ้นกับสองในสามตำนานแล้วสิ?’
‘หรือเป็นสัญญาณว่าหนทางที่เราเดินอยู่เป็นวิถีแห่งสวรรค์!!’
“ไม่ ไม่ ไม่! พี่ใหญ่เฟยดีกับพวกเรามาก!!!”
นอกจากรู้สึกประหลาดใจระคนยินดี ทั้งหมดล้วนเอ่ยปากปกป้องป๋ายเสี่ยวเฟย
“พี่หญิงเสวี่ย พาพวกเขากลับไปก่อน ตา...อาจารย์อาจมีบางสิ่งจะพูดกับข้า ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นไร”
เขาไม่อาจทนฟังชายชราเทียนจีหลอกลวงสหายของเขาได้อีกต่อไป ป๋ายเสี่ยวเฟยหันกลับไปพูดกับเสวี่ยอิ่ง นางตอบตกลงสีหน้าเหม่อลอย
หลังจากนั้นไม่นาน เสวี่ยอิ่งนำพาสมาชิกห้องคนเถื่อนที่รู้สึกไม่ยินยอมให้อันตรธานหายไปจากสายตาของป๋ายเสี่ยวเฟย สีหน้าของป๋ายเสี่ยวเฟยกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังเท้า
เป็นสีหน้าเจ้าเล่ห์...
“อาจารย์! ลมที่ไหนพัดท่านมา!?”
‘บัดซบ! ลมแรงอะไรเช่นนี้? จะดีแค่ไหนหากพัดเจ้าไปไกลๆ!?’
“เจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของข้า และงานประลองศิษย์ใหม่ใกล้เริ่มขึ้นแล้ว ข้ามาเพื่อดูว่าเจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง มิเช่นนั้นข้าจะทำอย่างไรหากเจ้าทำให้ข้าขายหน้า?”
เทียนจีปั้นสีหน้าจริงจังพลางเอ่ย ซึ่งได้รับการตอบสนองที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามจากป๋ายเสี่ยวเฟย
‘บัดซบ! เจ้าจะมาหาข้าด้วยเจตนาดีได้อย่างไร!?‘
“ท่านอาจารย์อย่าได้เป็นกังวล ข้าเตรียมพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากไม่มีสิ่งใดเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น สามอันดับแรกไม่ใช่ปัญหา”
‘หากเจ้าไม่ขัดขวาง ข้าได้ที่หนึ่งแน่!’
“ฮึ่ม! ดูความทะเยอทะยานเล็กๆ ของเจ้าสิ พึงพอใจแค่สามอันดับแรก? หากไม่ได้ที่หนึ่ง ก็ล้างคอรอความตายเมื่อเราเจอกันครั้งหน้าได้เลย”
เทียนจีแค่นเสียงเย็นชาทำตัวราวกับเป็นอาจารย์เข้มงวด
“ขอรับ ขอรับ! ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด แต่ท่านอาจารย์ ทั้งหมดล้วนเป็นนักเชิดหุ่นระดับสูงที่แท้จริง ในขณะที่ข้าเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับสูงเท่านั้น และข้ายังไม่มีหุ่นเชิดตนอื่นนอกจากเสี่ยวเอ้อ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยบ่นความลำบากตรากตรำที่เขาเผชิญ สายตาเปล่งประกายออกมา
‘หุ่นเชิดตัวที่สอง! ข้าเรียกร้องจากตาเฒ่าลามกได้!’
ป๋ายเสี่ยวเฟยได้ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ตั้งแต่เขาได้รับเคล็ดวิชาประกายแสงสุริย ป๋ายเสี่ยวเฟยมีสติอยู่ตลอดเวลานอกจากวันแรกที่เขาพบเจอเทียนจี หากมีสิ่งใดพิเศษเกิดขึ้น จะต้องเป็นวันนั้นแน่!
พูดอีกอย่างก็คือ เทียนจีต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้น!
“ข้าจะไม่รู้สิ่งที่เจ้าคิดได้อย่างไร? ดูสิ ข้าเอาหุ่นเชิดตัวที่สองมาให้เจ้า!”
ขณะที่เขาเอ่ย กรงขนาดเล็กปรากฎขึ้นในมือเทียนจี ข้างในมีแมวสีดำนอนหลับลึก ขนนุ่มนิ่มเปล่งแสงทำให้ป๋ายเสี่ยวเฟยรู้ว่าเป็นหุ่นเชิดระดับสูงแค่มองเพียงปราดเดียว
แต่ความสนใจของป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้อยู่ที่แมวในกรง แต่เป็นการตอบสนองของเทียนจี
‘อย่างที่คิดไว้! เขารู้ว่าข้าสามารถทำพันธสัญญากับหุ่นเชิดตัวที่สอง!’
‘เขารู้ว่าข้ายกระดับเคล็ดวิชาฝึกปรือได้อย่างไร!’
จิตใจของป๋ายเสี่ยวเฟยปั่นป่วน เขาพยายามอย่างหนักเพื่อทำใจให้สงบพลางปรับลมหายใจ
“อาจารย์ ท่านไม่ได้บอกหรือว่าข้าต้อง ‘ทำสิ่งนั้น’ กับผู้หญิงก่อนจะยกระดับเคล็ดวิชาได้? ข้า...”
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยถามคำถามนี้ เทียนจีร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในใจ
‘บัดซบ! ไอ้เด็กตัวเหม็น! เจ้าวางกับดักข้า!’
“ข้าบอกไปแล้ว ในวันนั้น อสูรร้ายในร่างของเจ้าตื่นขึ้น และเข้าหาสัตว์อสูรระดับจำแลงเพราะไร้หนทางเลือก เพราะเป็นวิธีที่ช่วยให้เจ้ารอดชีวิตได้ ในขณะเดียวกัน วิชาของเจ้ายกระดับขึ้นหนึ่งขั้น”
ขณะที่เทียนจีเอ่ยพูดคำเดียวกัน เขาเผยความตั้งใจที่จะไม่อธิบายต่อไปเฉกเช่นวันนั้น แต่ไม่เหมือนเมื่อก่อน การตอบสนองของป๋ายเสี่ยวเฟยแตกต่างไปจากเดิม
ในวันนั้น ป๋ายเสี่ยวเฟยคิดว่าเทียนจีพูดจาเหลวไหล แต่ในครานี้เขาคิดต่างออกไป
“สัตว์อสูรชนิดใด?”
คำถามของป๋ายเสี่ยวเฟยทำให้เทียนจีประหลาดใจเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะเคลือบแคลงใจ
‘เหตุใดเจ้าเด็กเหลือขอถามเช่นนี้?’
‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเจอกับจิ้งจอกน้อยแล้ว?’
‘เป็นไปไม่ได้ จิ้งจอกน้อยจะต้องสังหารเขาทันทีหากเจอหน้ากัน!’
ขณะที่ในใจคิดเช่นนี้ เทียนจีคิดถึงท่าทีดุร้ายของหูเซียนเอ๋อร์ที่มีต่อเขาในวันนั้น
‘นางมีความคิดจะสังหารพวกเราทั้งสองเพื่อปิดปาก!’
“อาจารย์?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเรียกชื่ออาจารย์เมื่อเขาเห็นเทียนจีนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ดึงสติชายชรากลับร่าง
“จิ้งจอกสีม่วง แต่ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์อสูรชนิดใด อย่างไรเสีย ข้าไม่รู้มากนักเกี่ยวกับสัตว์อสูรจำแลง”
เทียนจีเอ่ยอย่างซื่อสัตย์ ในครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวเฟยตกตะลึงจนพูดไม่ออก
‘สีม่วง... จิ้งจอก... ร่างจิ้งจอก... สายแปลงกาย... สัตว์อสูร’
ข้อมูลหลากหลายปะติดปะต่อเข้าด้วยกันปรากฎเป็นหนึ่งเงื่อนงำ ก่อนจะมีรอยยิ้มมากเสน่ห์ขึ้นในใจ
‘เช่นนั้นทุกอย่างก็อธิบายได้!’
‘เหตุใดนางจึงส่งสายตามาให้ข้าเมื่อแรกพบ!’
‘เหตุใดนางจึงหยุดชะงักเมื่อกำลังจะสังหารข้าตอนข้าแอบมองนางอาบน้ำ!’
‘เหตุใดนางพาคนมากมายมาช่วยเหลือข้าเผชิญหน้ากับศิษย์พี่ ถึงกระทั่งเปิดเผยทักษะความสามารถของสายแปลงกายเพื่อช่วยเหลือข้าในยามวิกฤติ!’
เขารู้แจ้งโดยฉับพลันถึงทุกอย่างในเวลานี้!
“เจ้าเด็กเหลือขอ?”
ครั้งนี้เป็นเป็นเทียนจีที่เอ่ยเรียกป๋ายเสี่ยวเฟย ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกกว้าง เทียนจีรู้สึกราวกับได้ทำผิดไป
“ขอบคุณ อาจารย์! ไว้เจอกันภายหลัง!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยดึงสติกลับร่าง หยิบกรงในมือเทียนจีก่อนจะวิ่งออกไปในชั่วพริบตา
มีบางสิ่งที่เขาต้องยืนยันความในใจทันที!