GOI ตอนที่ 101 สหายเก่า
วินาทีที่กล่องถูกเปิดออก แสงเจิดจรัสแทงตาทุกคน เมื่อพวกเขามองเห็นต้นกำเนิดของแสง มันราวกับเป็นสายธารดาราในกล่องอันสวยงาม ข้างในมีเมล็ดเล็กดุจเม็ดข้าวส่องสว่างเต็มทั่วทั้งกล่อง
“หุ่นเชิดระดับทองคำ พันดารา คือหุ่นเชิดที่สร้างมาเพื่อใช้งานร่วมกับอาภรณ์ปีกฟีนิกซ์เทวะ ผู้อื่นมิอาจควบคุมได้เนื่องเพราะประกายดาราข้างในต้องควบคุมเป็นดวงๆ อาภรณ์ปีกฟีนิกซ์เทวะถูกสร้างโดยนักสร้างหุ่นเชิดเทวะเชียนชิง ฉะนั้นพันดาราเป็นหุ่นเชิดตนที่สองที่เหมาะสมมากสุดสำหรับคุณหนูหลิน”
ขณะที่เฟิงอู๋เหินเอ่ย ประกายคาดหวังปรากฎในดวงตา เขารอคอยให้หลินหลีรับหุ่นเชิดนี้ไว้
ฟางเย่ข้างกายถอนหายใจยาวเหยียด เมื่อได้ยินคำว่าระดับทองคำหัวใจพลันกระตุก เพราะเงินทั้งหมดที่เขามียังไม่เพียงพอในการซื้อ
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าหุ่นเชิดพันดาราไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน...
“ขอบคุณ พี่ใหญ่เฟิง ข้าจะรับมันไว้”
หลินหลียังคงเหม่อมอง เป็นป๋ายเสี่ยวเฟยที่ก้าวเข้าไปรับกล่องไว้ ด้วยสติปัญญาของเฟิงอู๋เหิน เขาเข้าใจเรื่องราวทันที
‘เกิดอะไรขึ้น!?’
‘อย่าบอกว่าความสัมพันธ์ของเขากับคุณหนูหลินเป็นดั่งที่ข่าวลือว่าไว้!?’
หลังจากตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ รอยยิ้มเปิดเผยบนใบหน้าของเฟิงอู๋เหิน
‘แล้วจะอย่างไร! แค่ข้าได้ส่งมอบให้ก็พอ!’
“ข้านึกว่าจะไม่ได้ตอบแทนบุญคุณชั่วชีวิตนี้แล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสวรรค์จะเมตตา ในที่สุดก็ได้ยกภูเขาออกจากอก”
เฟิงอู๋เหินไม่ได้เสแสร้งสักนิดเมื่อเขากล่าว ป๋ายเสี่ยวเฟยได้เห็นวิชาการค้าอันสูงส่งของผู้จัดการคนนี้อีกครา
“เอาล่ะสหายน้อย เหลือเจ้าคนเดียว แต่เจ้าไม่ได้แจ้งข้าล่วงหน้า หุ่นเชิดสายมายาที่ระดับสูงสุดที่ข้ามาในตอนนี้คือระดับแดง อยากดูหรือไม่?”
ด้วยความคิดจะขายจนถึงที่สุด เฟิงอู๋เหินมองไปยังคนสุดท้าย ป๋ายเสี่ยวเฟย แต่เป้าหมายเพียงส่ายหัวเล็กๆ
“ข้าคงขอดูแน่หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ของหลินหลีเมื่อครู่ แต่ท่านในยามนี้ไม่ใช่นักธุรกิจ ถึงแม้ข้าจะชอบฉวยโอกาสเล็กน้อย แต่ข้าไม่มีนิสัยชมชอบการใช้ผู้หญิงหาผลประโยชน์”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มพลางเอ่ยปฏิเสธ วาจาของเขาทำให้เฟิงอู๋เหินมองป๋ายเสี่ยวเฟยใหม่
“สหายน้อย เจ้าจะต้องโดดเด่นเหนือใครในอนาคตแน่ หากเรามีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง เจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากข้าได้ทุกเมื่อ!”
นิสัยใจคอของคนส่วนใหญ่จะถูกกำหนดเมื่ออายุราวๆ สิบหก เฟิงอู๋เหินที่ได้พบคนมากหน้าหลายตา ไม่มีทางดูคนผิด
“ข้าจะจำที่ท่านพูด หากเวลานั้นมาถึง พี่ใหญ่เฟิงอย่าทำตัวเหมือนไม่รู้จักข้าล่ะ!”
ทั้งสองหัวเราะลั่น ความสัมพันธ์ของพวกเขาสนิทสนมยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก ทุกคนจากห้องคนเถื่อนเหม่อมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
แต่ทุกคนเข้าใจในทันทีเพราะสิ่งแปลกประหลาดที่เกี่ยวข้องกับป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ถือได้ว่าแปลก...
หลังออกจากศาลาไร้ตัวตน ทั้งกลุ่มแอบออกจากสถาบันชิงหลัวภายใต้การนำของป๋ายเสี่ยวเฟยก่อนจะกลับมาที่เทือกเขาไร้ขอบเขตที่พวกเขาอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือน
ไม่มีที่ใดเหมาะสมไปกว่านี้ในการทดสอบ
ในขณะเดียวกัน ประตู้เจ้าสถาบันถูกเคาะอย่างแผ่วเบาก่อนที่เสียงเกียจคร้านจะดังขึ้นsa
“เล่ยเกอ สหายเก่ามาหา ยังมีสุราเลิศรสเหลืออยู่หรือไม่?”
เล่ยซานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในมือถือแก้วชาประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มขมขื่นที่อธิบายไม่ได้
“เทียนจี ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าต้องเคาะประตูก่อนเข้าห้อง?”
เมื่อเล่ยซานเอ่ยจบ ประตูก็พลันเปิดออก เทียนจีเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“หากคนอื่นรู้เข้าว่าเจ้านายแห่งศาลาความลับสวรรค์เป็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าจะมีใครเข้าแถวรอคอยนอกศาลาเพื่อพบเจ้าหรือไม่?”
เล่ยซานเย้นหยันก่อนจะลุกขึ้นมา แหวนมิติบนนิ้วส่องแสงก่อนจะโยนเหยือกที่ทำจากหยกให้เทียนจี
“ถึงข้าจะกลายเป็นคนบ้า ศาลาความลับสวรรค์ก็จะไม่มีผู้มาเยือนน้อยลงแม้แต่หนึ่งคน”
เทียนจีหยุดชะงักเพื่อลิ้มรสสุราเต็มปากในเหยือก ใบหน้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“จุ๊จุ๊ เรื่องสุราเลิศรสต้องมาหาเจ้าจริงๆ”
“ผายลม สุราดีในศาลาความลับสวรรค์ของเจ้าคงมีกองเป็นเนินภูเขา พูดตรงๆ มาหาข้ามีอะไร พูดจาอ้อมค้อมไม่สมกับเป็นเจ้า”
เล่ยซานราวกับรู้ไส้รู้พุงเทียนจี ไม่มีความตั้งใจจะแสดงมารยาทแม้แต่น้อย
“พูดเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าคิดถึงสหายเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน พอดีบังเอิญผ่านมาเลยมาหาเสียหน่อย”
เทียนจีหัวเราะเจ้าเล่ห์ก่อนจะดื่มสุราอึกใหญ่ลงลำคอ
“จริงหรือ? ถ้างั้นข้าจะถือคำพูดเจ้าเป็นจริง และจะไม่รับปากอะไรทั้งนั้น”
เมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นเทียนจี เล่ยซานรู้ชัดแจ้งถึงจุดอ่อนของเขา
“อย่า อย่าทำอย่างนั้น พวกเราเป็นสหายเก่า ข้าอาจนึกถึงสิ่งที่ต้องการให้เจ้าช่วยได้! มิเช่นนั้นจะไม่เป็นการดีต่อความสัมพันธ์ของพวกเรา”
เทียนจีไม่อาจข่มกลั้นไว้ได้อีกต่อไป เขาเดินไปข้างกายเล่ยซาน ใบหน้ามีความยกยอปอปั้นวาดไว้ทั่ว
“ข้ารู้ว่าเจ้าคงไปไล่ตามหญิงหากมีเวลาว่าง จะไปคิดถึงชายชราเช่นข้าได้อย่างไร? บอกข้ามา มีเรื่องอันใด?”
เล่ยซานถามอีกครา
สีหน้าของชายชราเทียนจีเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ความรวดเร็วไม่ต่างจากป๋ายเสี่ยวเฟยเท่าใดนัก
สมกับที่เป็นศิษย์อาจารย์!
เป็นลิขิตสวรรค์จริงด้วย...
“จำเจ้าเด็กหลงเฟยได้หรือไม่?”
สุ้มเสียงของเทียนจีแฝงความเศร้าโศกที่ยากจะอธิบาย กระทั่งเล่ยซานยังอดไม่ได้ที่จะสลดลงเมื่อได้ยิน
“อย่าบอกนะว่ามาครั้งนี้เป็นเพราะเจ้าได้ข่าวเกี่ยวกับเขา? เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่ากระทั่งจานสวรรค์ล่วงรู้ยังมิอาจทำนายได้?”
“เขาตายแล้ว”
เพียงสามคำก็พอให้เล่ยซานนิ่งเงียบ หลังจากผ่านไปนาน แววตาของเล่ยซานแปรเปลี่ยนจากเศร้าโศกเป็นโทสะ เขามองไปยังเทียนจี
“เจ้ารู้ได้อย่างไร? เขาตายได้ยังไง!? ถูกใครสังหาร!?”
เล่ยซานจับไหล่เทียนจีแน่น ยิ่งเอ่ยปากอารมณ์ยิ่งขุ่นมัว
“ลูกชายของเขาเป็นคนบอกข้า สำหรับสาเหตุการตาย ลูกชายเขาไม่รู้เช่นกัน”
“ลูกของเขา!?”
จากโกรธเปลี่ยนเป็นประหลาดใจในฉับพลัน ปากของเขาเบิกกว้างพอให้ใส่กำปั้นเข้าไป
“ใช่แล้ว ลูกของเขา หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด เจ้าคงได้เจอกับเขาแล้ว เขาแซ่ป๋าย”
ถ้อยคำสุดท้ายไม่กี่คำที่เทียนจีเอ่ยกล่าวได้ว่าไร้สาระอย่างยิ่ง แต่มันทำให้เล่ยซานนึกถึงใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ในใจ
“ป๋ายเสี่ยวเฟย!?”
“ถูกต้อง ศิษย์รักข้าเอง”
เทียนจีหัวเราะในลำคอ ความเศร้าเมื่อครู่อันตรธานหายไปราวหมอกเมื่อเอ่ยถึงป๋ายเสี่ยวเฟย
“ศิษย์ของเจ้า!?”
เทียนจีราวกับหวาดกลัวว่าเล่ยซานจะไม่ตกตะลึง เขาเอ่ยรายละเอียดที่น่าหวาดหวั่นออกมา
“ใช่แล้ว สวรรค์อยู่ข้างพวกเรา เขาประสบอุบัติเหตุในเทือกเขาไร้ขอบเขตและข้าเป็นคนช่วยเหลือเขาไว้ ข้าบังเอิญถามไม่กี่คำก็รู้ว่าเขาเป็นลูกชายของเจ้าเด็กป๋ายหลงเฟย หลังจากนั้นข้ารับเขาเป็นศิษย์ เจ้าไม่เห็นว่าป๋ายเสี่ยวเฟยเคารพนอบน้อมเพียงใดในตอนนั้น”
เทียนจีพูดไม่หยุด น่าเสียดายที่ไม่มีคำใดของเขาเป็นความจริง...
ในเวลานี้ ป๋ายเสี่ยวเฟยที่อยู่ห่างไกลในเทือกเขาไร้ขอบเขตจามออกมา
“บัดซบ! ไอ้สารเลวที่ไหนนินทาข้า!?”