ตอนที่แล้ว81 ดาบของดาบปีศาจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน

82 พื้นที่สีเทาขนาดเล็ก


82 พื้นที่สีเทาขนาดเล็ก

เผิงห่ายเดินไปที่กำแพงสีขาวนวลที่อยู่ไม่ไกล แล้ววาดลายเส้นสมมุติขึ้นมา ไม่นาน หน้าจอโฮโลแกรมก็ส่องแสงออกมาจากกำแพง

เผิงห่ายจิ้มอักขระสองสามครั้ง ก็เกิดเสียงดังขึ้นจากเพดาน ก่อนที่จะมีแผ่นเหล็กค่อยๆเลื่อนลงมาจากด้านบน

แผ่นเหล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 2 เมตร และมีอักขระนับพันหมุนวนอยู่ภายใน เกิดเป็นวงแวหนอักขระ ขอบของแผ่นเหล็กถูกยกสูงขึ้นเล็กน้อย และยังมีคริสตัลโปร่งแสงฝังเอาไว้กว่าร้อยก้อน เมื่อมองดูตัวคริสตัล ก็จะสามารถเป็นแสงดาวส่องออกมาจากตรงกลางคริสตัลแต่ละก้อน

หลี่เย้าใช้เวลาไม่นาน เขาก็นึกออกมา สิ่งนี้ก็คือแผงเคลื่อนย้านระดับสูง

ด้วยคริสตัลจำนวนมากที่ฝังอยู่ตามขอบ มันแสดงให้เห็นว่า แผงเคลื่อนย้ายอันนี้จำเป็นต้องใช้พลังงานวิญญาณจำนวนมากในการเริ่มต้น และมันจะต้องสามารถเทเลพอร์ตไปยังสถานที่ที่อยู่ไกลมากได้

เผิงห่ายกดอักขระที่อยู่บนหน้าจอโฮโลแกรม ไม่นาน หน้าจอสีเขียวขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโฮโลแกรม แต่ละหน้าจอเป็นภาพของโลกแต่ละใบที่แตกต่างกันออกไป

เผิงห่ายกดลงไปที่โลกสีเทาซึ่งปรากฏอยู่ในหน้าจอหนึ่ง จากนั้น ก็ตั้งค่าการทำงานและพารามิเตอร์อื่นๆ ก่อนที่จะก้าวเข้าไปยืนบนแผงเคลื่อนย้าย

หลี่เย้าและติงหลิงตางก็เดินตามเขาไปยืนบนแผ่นเหล็ก คริสตัลที่ฝังอยู่ตามขอบแผ่นเหล็กเริ่มส่องประกายแสงออกมามากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้พวกเขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก วงแหวนอักขระที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวราวกับน้ำวน ทำให้เกิดแรงดึงดูด ที่ราวกับจะดูดพวกเขาลงไปในพื้น

ทุกอย่างในสายตาของหลี่เย้า กลายเป็นสีดำจนหมด เขารู้สึกเหมือนตัวเอง กลายเป็นเส้นบะหมี่ที่ยาวเป็นร้อยเมตร และภายใน 0.1 วินาที เขาก็กลับมาอยู่ในร่างเดิมของตัวเอง

หลี่เย้ารู้สึกมึนหัว และมีอาการคลื่นไส้ เมื่อลืมตาขึ้นมา เขาก็พบตัวเองมาอยู่ในโลกที่แปลกประหลาดใบหนึ่ง

ตั้งแต่ท้องฟ้าจนถึงพื้นดิน ทุกอย่างล้วนเป็นสีเทาทั้งหมด ไกลสุดสายตาเท่าที่เขาจะสามารถมองเห็นได้ ล้วนแล้วแต่เป็นทะเลทรายสีเทาที่ไร้ชีวิตชีวา ผืนดินที่อยู่ใต้เท้าของเขาประกอบไปด้วยก้อนหินและก้อนกรวด...ที่แห่งนี้ ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอยู่เลย

โลกใบนี้ราวกับไม่มีชั้นบรรยากาศอยู่ อากาศที่เบาบาง การหายใจแต่ละครั้ง หลี่เย้าต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ที่มากไปกว่านั้น ยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยอยู่ในอากาศด้วย และเมื่อสูดดมมันเข้าไป เมื่ออากาศเดินทางจากโพรงจมูกของเขาลงไปถึงหลอดลม ก็ให้ความรู้สึกที่อึดอัด หลี่เย้ารู้สึกว่า มันไม่ใช่อากาศที่ใช้หายใจ แต่มันแก็สที่ปล่อยออกมาจากปล่องภูเขาไฟ เมื่ออากาศไปถึงปอดของเขา เขาก็รู้สึกราวกับมีลูกบอลไฟวิ่งวนอยู่ภายในปอดของเขา และมันทำให้เขาต้องหายใจหอบเหนื่อย

สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวมากกว่าเดิม ก็คือแรงโน้มถ่วงของที่นี่นั้นมากกว่าดาวเคราะห์เทียนหยวนหลายเท่า แค่เพียงยืนเฉยๆ หลี่เย้าก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงของเขาหายไป จนแทบจะทรุดลงไปกับพื้น

ท้องฟ้าสีเทาไร้ดาว ดวงจันทร์ และพระอาทิตย์ มันกลับมีก้อนหินสีเทาขนาดใหญ่สองก้อน ที่แกะสลักใบหน้าของมนุษย์ลอยอยู่บนท้องฟ้า พวกมันลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าด้วยท่าทีที่แปลกประหลาด และดวงตาของพวกมัน ก็ราวกับกำลังจับจ้องมายังคนที่ยืนอยู่บนพื้นดิน หลี่เย้าที่มองดูหินทั้งสองก้อน ก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา

แล้วเขาก็ยังสังเกตเห็นสิ่งที่ดูสะดุดตาอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือ คนสามคนที่แต่งตัวแบบเดียวกันกับพวกเขา กำลังยืนห่างจากพวกเขาไปไกลประมาณ 700-800 เมตร!

“นายไม่จำเป็นต้องคิดมากหรอก นั่นพวกเราเองแหละ โลกใบนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งกิโลเมตร เป็นโลกก้อนกรวดน่ะ” เผิงห่ายยิ้มและพูดออกมา

“เราอยู่ภายในโลกก้อนกรวดในตำนานอย่างงั้นเหรอเนี่ย?” หลี่เย้ามองไปรอบๆตัวเขาอย่างสงสัย

จากรายละเอียดที่อธิบายในหนังสือเรียน จักรวาลมีโลกอยู่สองประเภท

แบบแรกก็คือโลกที่คล้ายกับดาวเคราะห์เทียนหยวน ที่เป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่และเป็นสถานที่ที่สิ่งมีชีวิตสามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะมีชั้นบรรยากาศที่คงที่และมีระบบนิเวศ

โลกแบบนี้ คือโลกที่มนุษย์และสัตว์อสูรสามารถเจริญเติบโตและวิวัฒนาการได้ และยังสามารถสร้างอารยธรรมของตนเองขึ้นมาได้

มันถูกเรียกว่า “โลกหลัก” หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “จักรวาลไร้ที่สิ้นสุด”

โลกอีกแบบหนึ่งนั้นเลวร้ายกว่ามาก หรืออาจจะบอกได้ว่า มันช่องว่างที่ก่อตัวขึ้นมาจากการระเบิดครั้งใหญ่ของจักรวาล หรืออาจจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกหลัก ที่ถูกแยกตัวออกไปเพราะการต่อสู้ของผู้ฝึกตน หรืออาจจะเป็นส่วนที่ฉีกขาดออกมาในระหว่างที่พลังวิญญาณเกิดเป็นกระแสน้ำวนขึ้น หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า มันคืออาร์ติเฟ็กซ์ที่ถูกสร้างขึ้นมา ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาด

โลกแบบนี้ มักจะมีขนาดที่เล็กมาก และมีรัศมีความกว้างแค่ไม่กี่ร้อยเมตร หรือสิบเมตร ในขณะที่โลกใบที่ใหญ่ที่สุด ยังเทียบไม่ได้กับขนาดของหนึ่งทวีป ภายในโลกขนาดเล็กนี้ มีความผันผวนของพลังวิญญาณที่รุนแรงมาก โลกแบบนี้ไม่มีความมั่นคงและไม่มีกฎตายตัว มันสามารถล้มสลายลงได้ทุกเมื่อ

โลกประเภทนี้มีชื่อว่า “โลกก้อนกรวด” หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “โลกใบเล็ก”

โลกหลักและโลกก้อนกรวดถูกแยกออกจากกันด้วยช่องว่างของเวลา แต่เมื่อสามารถเชื่อมต่อกับโลกก้อนกรวดใบหนึ่งได้ ก็จะสามารถเดินทางผ่านแผงเคลื่อนย้ายได้โดยตรง

ในยุคสมัยใหม่ของการบ่มเพาะ มนุษยชาติได้ค้นพบโลกก้อนกรวดจำนวนมาก แต่ในเวลานั้น มนุษยชาติยังไม่สามารถเรียนรู้วิธีการใช้ประโยชน์โลกก้อนกรวดเหล่านี้ได้ โลกก้อนกรวดเหล่านี้ จึงถูกทิ้งเอาไว้หรือถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับการเนรเทศแทน

หลังจากผ่านไป 10,000 ปี มนุษยชาติก็ค้นพบโลกก้อนกรวดหลายล้านใบ และเห็นประโยชน์ของโลกก้อนกรวดเหล่านี้พบ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โลกก้อนกรวดก็ถูกพัฒนาและใช้ประโยชน์ พวกมันไม่ใช้ขยะ แต่กลายเป็นสมบัติที่ผู้คนต่างไขว้คว้ามาครอบครอง

หนึ่งในประโยชน์ที่โลกก้อนกรวดมีก็คือ การถูกนำมาทำเป็นสนามฝึกซ้อมสำหรับผู้ฝึกตน!

เผิงห่ายพูด “โลกก้อนกรวดใบนี้ มีชื่อเรียกว่า”โลกสีเทา“ความพิเศษของที่นี่ก็คือ ความหนาแน่นและแรงโน้มถ่วงที่มากกว่าดาวเคราะห์เทียนหยวนถึงสิบเท่า สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือ แรงโน้มถ่วงของที่นี่ที่ไม่คงที่ มันจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นนาทีหรือวินาที แรงโน้มถ่วงอาจจะมากกว่าดาวเคราะห์เทียนหยวน 8 เท่า หรือ 12 เท่า ทุกอย่างไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ใดๆทั้งสิ้น บ่อยครั้งที่แรงโน้มถ่วงเพิ่มขึ้นเป็น 12 เท่าภายในหนึ่งวินาที และต่อมา มันก็อาจจะลดลงไปเหลือ 8 เท่า! เพื่อเป็นการฝึกฝนการควบคุมร่างกายของเธอ โลกสีเทาใบนี้ เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด!”

“แปลกมากเลย!” หลี่เย้าแอบตกใจ โลกก้อนกรวดใบนี้แปลกประหลาดมากจริงๆ

ถ้าหากแรงโน้มถ่วงของที่นี่มีมากกว่าดาวเคราะห์เทียนหยวน 10 เท่า โดยปกติแล้ว ความหนาแน่นของพื้นดินก็จะสูงมากด้วยเช่นกัน

แต่แรงโน้มถ่วงของที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และไม่มีกฎตายตัวด้วย

แล้วทำไม ถึงได้มีรูปสลักใบหน้ามนุษย์ลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยล่ะ? ใครเป็นคนสร้างพวกมันขึ้นมา? และที่มากไปกว่านั้น ทำไมพวกมันถึงต้านทานแรงโน้มถ่วงและลอยอยู่บนฟ้าได้? เขาไม่พบอักขระต้านแรงโน้มถ่วงบนตัวของพวกมันเลย!

แต่หลี่เย้าไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ในเมื่อ เขาหาคำตอบไม่ได้ เขาก็โยนความคิดนี้ทิ้งไปซะ เมื่อเขาชกกำปั้นออกไปสองครั้ง เขาก็พบถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ในตอนที่กำปั้นของเขาระเบิดพลังออกไป

มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า “แรงดึงดูดจากพื้นดิน” การโจมตีส่วนแรก จะต้องก้าวออกไปหนึ่งก้าวเพื่อยืมพลังจากพื้นดิน

การเปลี่ยนแปลงของสนามแรงโน้มถ่วง ทำให้หลี่เย้ารู้สึกราวกับว่า เขากำลังเหยียบลงไปบนปุยนุ่น หัวที่หนักอึ้งและเท้าที่เบาหวิว ส่งผลกับกำปั้นที่ชกออกไป กำปั้นที่เดิมทีมีพลังมากพอที่จะฉีกอากาศออกได้ กลับกลายเป็นการชกที่เบาหวิวแทน

“ที่นี่มีอุปกรณ์ฝึกอยู่ครบ ถ้านายสามารถปรับตัวเข้ากับแรงโน้มถ่วงของที่นี่ได้ภายในหนึ่งเดือน ฉันก็เชื่อว่า หลังจากที่นายกลับไปที่ดาวเคราะห์เทียนหยวน ความแข็งแกร่งของนายก็จะต้องพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นอย่างแน่นอน และการสอบเข้าเก้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับนายไปเลย!” เผิงห่ายพูดด้วยรอยยิ้ม

เผิงห่ายหยุดพูดและเหลือบมองติงหลิงตางที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เผิงห่ายจะพูดต่อว่า “รุ่นน้องติง หลังจากนี้ เธอจะบอกว่ารุ่นพี่อย่างฉันไม่สนใจเธอไม่ได้แล้วนะ ในระหว่างหนึ่งเดือนนี้ ห้องฝึกจะอยู่ภายใต้การจัดการของเธอ เธอต้องเปิดการทำงานของแผงเคลื่อนย้าย และช่วยฉันดูไอ้หนูนี่ด้วย อย่าให้เขาเข้าไปในโลกก้อนกรวดใบอื่นนอกจากโลกสีเทา เพราะถึงแม้ว่าเธอจะระวังตัวมากแค่ไหน แต่โลกก้อนกรวดที่เหลือคือโลกที่เตรียมเอาไว้ให้กับผู้ฝึกตนระดับรากฐานวิญญาณ และเป็นที่ที่อันตรายมาก ถ้าคนธรรมดาเข้าไปในนั้น เขาก็จะหายกลายเป็นควันในทันที”

ติงหลิงตางยิ้มกว้างอย่างยินดี เธอกระโดดขึ้นลงอย่างดีอกดีใจ “รุ่นพี่จงเจริญ! ฉันอยากจะเข้าไปฝึกในโลกสีเทามานานแล้ว! แต่รุ่นพี่ให้สัญญาฉันอีกอย่างไม่ได้เหรอ?”

เผิงห่ายขมวดคิ้ว “ฉันรู้ดีว่าเธอเป็นคนไม่รู้จักพอ ว่ามาสิ เธออยากได้อะไรอีก?”

บนใบหน้าของติงหลิงตางปรากฏรอยยิ้มกว้าง “รุ่นพี่เผิง อย่างที่รุ่นพี่รู้ นักเรียนหลี่เย้ากำลังลังเลระหว่างสถาบันการสงครามต้าฮวงกับมหาวิทยาลัยเชินห่าย ทำไมเราทั้งสองไม่แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงให้นักเรียนหลี่เย้าได้เห็นล่ะ บางที พอเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของพวกเราแล้ว เขาก็อาจจะเลือดเดือดพล่านขึ้นมาก็ได้ ใครจะรู้ล่ะ? เขาอาจจะยอมแพ้ที่จะเป็นผู้สร้างไร้สาระพวกนั้นไปเลยก็ได้ และมองเห็นว่า การฝึกฝนร่างกายคือสิ่งที่สุดยอดที่สุดต่างหาก!”

เมื่อเธอพูดจบ โดยที่ไม่รอเอาคำตอบจากเผิงห่าย ติงหลิงตางก็เริ่มขยับแขนขา พร้อมกับเสียงข้อต่อของเธอที่ดังขึ้นอย่างน่ากลัว

เผิงห่ายถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างใจเย็น บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ดูหมดหนทาง “เธออยากจะแสดงให้นักเรียนหลี่เย้าได้ดู หรือว่าเธออยากจะซ้อมมือกับฉันกันแน่?”

ติงหลิงตางเดาะลิ้นของเธอ

“รุ่นพี่มองฉันออกซะแล้ว! รุ่นพี่เผิง รุ่นพี่คือคนที่โดดเด่นที่สุดในสถาบันการสงครามต้าฮวงก่อนหน้าฉัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันรอคอยโอกาสที่จะได้เรียนรู้จากรุ่นพี่มาตลอด แต่รุ่นพี่ก็ปฏิเสธฉันทุกครั้ง วันนี้ รุ่นพี่ก็คิดซะว่า...เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนหลี่เย้าได้เห็นถึงพลังของผู้ฝึกตนประเภทต่อสู้ก็แล้วกัน! ให้เขาได้เห็นว่ามันบ้าคลั่งแค่ไหน!”

เผิงห่ายเหลือบมองหลี่เย้า ก่อนที่แววตาของเขาจะฉายแสงที่แปลกประหลาดออกมา ในที่สุด เขาก็พยักหน้าตกลง

“เอาล่ะ เพื่อนักเรียนหลี่เย้า ฉันจะกดพลังเอาไว้ที่ระดับรากฐาน แล้วสู้กับเธอ แต่สิ่งแรกก็คือ เธอจะต้องสู้กับฉันแค่สามสิบวินาทีเท่านั้น”

“ไม่จำเป็นหรอก ถ้าแค่ระดับรากฐาน แค่สิบวินาที ฉันก็สามารถจัดการรุ่นพี่ได้แล้ว!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด