บทที่ 218 ศิลาสวรรค์
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
ขันทีชราตบหน้าตัวเองอย่างต่อเนื่อง… แต่ก็ยังคงเผยให้เห็นถึงความไม่พอใจ
ภายนอกคิ้วของเจียงอี้อาจจะกำลังขมวดเข้าหากันด้วยความกังวล แต่ภายในใจของเขากำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง
นี่มันหมายความว่าอะไร? มันคือการแสดงออกถึงความเด็ดขาดหรือเป็นเพียงแค่การเล่นละครตบตา?
หากเจียงอี้เป็นเพียงคนบ้านนอกจากพื้นที่ทุรกันดารอันห่างไกล เขาก็คงที่จะตื่นตกใจและทำอะไรไม่ถูกเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
แต่เป็นเพราะเขาคือผู้ที่มีความฉลาดหลักแหลมคนหนึ่งซึ่งผ่านเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตมามากมาย หากไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้านาย มีหรือที่บ่าวผู้หนึ่งจะกล้าพูดจาสามหาวต่อหน้าผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งของสงครามราชอาณาจักร?
เมื่อองค์หญิงเห็นว่าเจียงอี้ยังคงนิ่งเฉยและไม่มีท่าทีที่จะห้ามปราม นางก็รู้สึกอึดอัดใจ หลังจากนั้นไม่นานก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
“พอแล้ว! พวกเจ้าทุกคนออกไปให้หมด!”
“พะยะค่ะ/เพคะ!”
ขันทีชราทั้งสองก้าวถอยหลังและเดินออกจากห้องอย่างเงียบๆพร้อมกับบรรดาสาวใช้ที่เดินตามหลัง
คราวนี้เป็นตาของเจียงอี้ที่เริ่มรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาบ้าง ถึงพระราชวังจะมีขนาดใหญ่ แต่ยังไงมันก็ยังไม่ใช่เรื่องดีที่จะปล่อยให้หญิงชายอยู่ในห้องกันสองต่อสอง
เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงผู้นี้ไม่ได้มาเพื่อที่จะมอบรางวัลและยังขับไล่เหล่าคนรับใช้ให้ออกไปโดยที่ไม่พะวงต่อชื่อเสียง… นี่นางกำลังคิดอะไรอยู่?
เจียงอี้สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงได้เลือกที่จะเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ฝ่าบาท นี่คงจะไม่ดีกระมัง? หากคนนอกมาเห็นว่าพระองค์อยู่กับกระหม่อมเพียงแค่สองคน เกรงว่าจะทำให้พระเกียรติของท่าน…”
“ฮิฮิ ช่างมันสิ!” นางหัวเราะคิกคัก
องค์หญิงหลิงเสวี่ยยังคงไว้ด้วยท่าทีอันสง่างาม ในขณะที่นางเดินยังไปเก้าอี้หลัก เนื้อตัวของนางก็ปล่อยกลิ่นหอมจางๆออกมา หลังจากที่นั่งลงแล้ว นางก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยต่อ
“มีเพียงแค่เราสองคนอยู่ที่นี่ ใครกันที่จะกล้าปากโป้ง? หรือนายน้อยเจียงตั้งใจที่จะบอกกล่าวแก่ผู้อื่น?”
“แน่นอนว่าไม่!”
เจียงอี้หัวเราะด้วยความเคอะเขินและกล่าว “ข้าอยากขอเรียนถามฝ่าบาท ท่านต้องการอะไรจากกระหม่อมหรือ? หรือว่าท่านกำลังจะมอบรางวัลให้กับผู้ชนะ?”
ดวงตาที่งดงามราวกับอัญมณีขององค์หญิงหลิงเสวี่ยเป็นประกายซึ่งทำให้นางดูมีเสน่ห์และยากที่จะต้านทาน แต่ทันใดนั้น สีหน้าของนางก็ดูจริงจังขึ้นก่อนที่จะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“นายน้อยเจียง หากว่าข้าอยากจะขอเชื้อเชิญให้เจ้ากลายมาเป็นตัวแทนของจักรวรรดิ เจ้าคิดว่ายังไง?”
“หืม?”
เจียงอี้ไม่กล้าที่จะสบตาองค์หญิงหลิงเสวี่ยตรงๆและเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว องค์หญิงผู้นี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกน่าประทับใจเหมือนกับซูรั่วเสวี่ย แต่ดูเหมือนว่านางจะมีพลังลึกลับบางอย่างที่ทำให้สามารถดึงดูดสายตาจากบุรุษเพศได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากจ้องมองไปที่ดวงตาของนางตรงๆ มันก็ยิ่งดูล้ำลึกและยากที่จะหยั่งถึง
“เชื้อเชิญ?”
สิ่งนี้ยังคงอยู่ในความคาดหมายของเจียงอี้ หากจักรวรรดิมังกรเวหาไม่คิดที่จะกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก เช่นนั้นก็คงจะใช้วิธีเชื้อเชิญเหล่านักสู้ที่มีแววรุ่งโรจน์ให้มาอยู่ในสังกัดและอาศัยพลังของพวกเขาในการปราบปรามฝ่ายศัตรู
จากการคาดการณ์ของเจียงอี้ ย้อนกลับไปตอนที่หกอาณาจักรยกทัพมาถึงนอกเมืองหลวงจักรวรรดิ พวกเขาคงถูกกำราบโดยยอดฝีมือที่ทรงพลัง
ยกตัวอย่างเช่นราชันสวรรค์สังหาร ด้วยกำลังของคนเพียงคนเดียว เขาสามารถสยบกองทัพนับล้านได้อย่างง่ายดาย
หากว่าจักรวรรดิมียอดฝีมือระดับนี้อยู่ เช่นนั้นกองทัพของทั้งหกอาณาจักรก็คงทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนความหยิ่งผยองและจำต้องล่าถอยกลับไปแต่โดยดี
เจียงอี้มีอายุเพียงแค่สิบหกปีแต่ก็สามารถเหยียบย่ำผู้คนจนขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของสงครามราชอาณาจักรย่อย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรแต่ก็เป็นความจริงที่เขากลายเป็นผู้ชนะเลิศ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จักรวรรดิต้องการที่จะดึงตัวเขามาเป็นพวก
แล้วเจียงอี้จะตอบรับหรือไม่?
ยังไม่แน่ชัดนัก อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะครุ่นคิดในเวลานี้ หลังจากที่พึมพำกับตัวเองอยู่ชั่วครู่เขาก็เอ่ยออกมา
“องค์หญิง ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ท่านออกปากเชื้อเชิญคนต่ำต้อยเยี่ยงข้าด้วยตัวเอง แต่ข้าต้องขออภัยที่ยังไม่สามารถด่วนตัดสินใจได้ ถึงอย่างนั้น ข้าก็ขอสัญญาว่าหากข้าต้องการที่จะเข้าร่วมกับขั้วอำนาจใดขั้วอำนาจหนึ่ง ข้าจะนำข้อเสนอของท่านมาพิจารณาเป็นอันดับแรก!”
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”
คำตอบของเจียงอี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายขององค์หญิงหลิงเสวี่ยมากนัก นางหยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวต่อ
“สิ่งที่หลิงเสวี่ยต้องการจะพูดก็คือ… หากนายน้อยเจียงยอมทำงานรับใช้จักรวรรดิ พวกเราจะทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดให้กับเจ้าเพื่อให้เจ้ากลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงในเร็ววัน”
“ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงความมั่งคั่งหรือตำแหน่งลาภยศ เพราะนายน้อยเจียงสามารถเป็นได้แม้กระทั่ง… พระสวามีของจักรพรรดินี!”
“พระสวามี?”
เจียงอี้ฝืนยิ้มออกมาและจ้องมององค์หญิงหลิงเสวี่ย “หรือฝ่าบาทจะหมายถึงพระสวามีของท่าน, องค์หญิงหลิงเสวี่ย?”
“หึหึ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็หัวเราะคิกคัก
องค์หญิงหลิงเสวี่ยยืนขึ้นและเดินตรงไปยังทางออก จากนั้นก็ทิ้งถ้อยคำบางอย่างไว้ก่อนที่จะจากไป
“ไม่ว่านายน้อยเจียงจะได้กลายเป็นพระสวามีของหลิงเสวี่ยหรือไม่ ทั้งหมดล้วนแต่ขึ้นอยู่กับศักยภาพของเจ้า แต่ขอบอกไว้ก่อน มีนายน้อยมากมายที่คอยติดตามหลิงเสวี่ย ดังนั้นนายน้อยเจียงอาจจะต้องทำงานหนักหน่อยนะ!”
แม้ว่าหญิงสาวจะจากไปแล้ว แต่ทั้งห้องก็ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นของนาง เจียงอี้ที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวกำลังส่ายหัวด้วยความจนใจ
องค์หญิงผู้นี้คงจะเดินไปหาผู้ชนะสิบอันดับแรกที่เหลือ จากนั้นนางก็คงจะเชื้อเชิญพวกเขาให้เข้าร่วมกับจักรวรรดิทีละคน หรือแม้กระทั่งเอ่ยถึงเรื่องพระสวามีเช่นเดียวกับที่นางเพิ่งที่จะเอ่ยไป
เจียงอี้พอที่จะมีประสบการณ์ด้านนี้มาบ้าง สตรีที่เกิดในตระกูลใหญ่หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ หากมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสักหน่อย พวกนางอาจจะถูกใช้หรือสมัครใจในการแต่งงานทางการเมืองเพื่อดึงตัวผู้มีพรสวรรค์ให้เข้ามาอยู่ในสังกัดตระกูล
แต่สำหรับเจียงอี้ ไม่ว่าพวกนางจะงดงามมากขนาดไหน สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรไปจากก้อนเนื้อที่ติดกระดูก หากว่าการแต่งงานไม่ได้เกิดจากความรัก เช่นนั้นจะแต่งงานไปทำไม?
หลังจากที่นั่งรออยู่ในห้องเป็นเวลาสองชั่วโมง งานเลี้ยงในตำหนักจักรพรรดิก็ได้เริ่มต้นขึ้น
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นภายในห้องโถงหลักโดยมีบุคคลระดับสูงของจักรวรรดิหลายคนมาเข้าร่วม อย่างไรก็ตามเจียงอี้ไม่รู้จักใครเลยแม้แต่คนเดียว
แต่ที่น่าแปลกก็คือ ทางจักรวรรดิไม่ได้ส่งสมาชิกของราชวงศ์คนอื่นมาร่วมงานเลยแม้แต่คนเดียวและยังคงมีเพียงองค์หญิงหลิงเสวี่ยเท่านั้นที่เป็นผู้คอยดำเนินงาน
ต้องยอมรับว่าองค์หญิงหลิงเสวี่ยมีความสามารถทางด้านการโปรยเสน่ห์ที่หาตัวจับได้ยาก นายน้อยเก้าคนที่เหลือยกเว้นเจียงอี้ต่างก็ลุ่มหลงนางไม่มากก็น้อย
แต่ก็แน่นอนว่า ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วนายน้อยเหล่านั้นชื่นชอบในตัวขององค์หญิงหลิงเสวี่ยจริงๆหรือเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้น
ภายในงาน เจียงอี้นั่งอยู่คนเดียวและไม่ค่อยได้พูดคุยมากนัก เมื่อมีบริกรนำเครื่องดื่มมาให้ เขาก็จะดื่มหมดรวดเดียวและทำตัวราวกับพวกบ้านนอกเข้ากรุง
มีแม้กระทั่งชนชั้นสูงบางคนของจักรวรรดิมาเสนอผลประโยชน์ให้ แต่เมื่อเห็นว่าเจียงอี้เงียบใส่ พวกเขาก็สะบัดหน้าจากไปด้วยความหงุดหงิด
นายน้อยคนอื่นๆล้วนแต่ไม่ชอบขี้หน้าเจียงอี้และยังคงตั้งข้อสงสัยถึงวิธีการที่ทำให้เขาได้รับเหรียญตราเป็นจำนวนมากดังนั้นจึงไม่มีใครเดินมาสนทนากับเขา
“เอาล่ะ ต่อไปนี้จะเป็นการมอบรางวัลให้แก่เหล่าผู้กล้าทั้งหลายที่ผ่านสงครามราชอาณาจักรอันโหดร้ายมาได้ ข้า หลิงเสวี่ย ในนามตัวแทนของจักรวรรดิหวังว่าทุกท่านจะทำงานหนักและกลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงในสักวันหนึ่ง”
ผู้คนทั้งหมดต่างชูแก้วไวน์ขึ้นมาเป็นการให้เกียรติ แต่กลับมีเพียงเจียงอี้คนเดียวที่กระดกหมดแก้วซึ่งทำให้บรรดาคนที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาแปลกๆ
ดวงตาของนายน้อยที่เหลือต่างก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น รางวัลสำหรับสงครามราชอาณาจักรยังไม่ได้ถูกประกาศออกมาแต่อย่างใด มีเพียงสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งอย่างดาบมังกรเพลิงเท่านั้นที่ถูกประกาศออกมา
“สำหรับอันดับที่สี่ถึงอันดับที่สิบ รางวัลที่พวกเจ้าจะได้รับคือสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ชิ้นหนึ่ง โปรดก้าวออกมาเพื่อรับรางวัลได้เลย”
องค์หญิงหลิงเสวี่ยโบกมือส่งสัญญาณ เหล่าสาวใช้เดินออกไปชั่วครู่และกลับมาพร้อมกับกล่องที่มีขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไป
ใบหน้าของนายน้อยทุกเคยเผยให้เห็นรอยยิ้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิงเตาและเตาจ้านที่ดูเหมือนว่าจะมีปฏิกิริยามากกว่าคนอื่น
แม้กระทั่งอันดับที่สี่ถึงอันดับที่สิบยังได้รางวัลเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ เช่นนั้นก็หมายความว่าของรางวัลของพวกเขาจะต้องมีมูลค่าสูงกว่านี้แน่ ตระกูลจักรพรรดิช่างใจกว้างยิ่งนัก!
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
ทั้งเจ็ดคนเดินมารับรางวัลและกลับไปยังที่ของตน จากนั้นองค์หญิงหลิงเสวี่ยก็เบนสายตาไปมองอิงเตาและเอ่ย
“นายน้อยอิงเตาได้ลำดับที่สาม รางวัลของเจ้าคือสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์หนึ่งชิ้นพร้อมกับศิลาสวรรค์หนึ่งก้อน!”
“นะ นะ นี่มัน!”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ศิลาสวรรค์’ ร่างกายของอิงเตาและเตาจ้านก็สั่นสะท้านอย่างไม่อาจที่จะควบคุมได้
อิงเตาก้าวมาข้างหน้าและคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นพร้อมกับเปล่งเสียงดัง “ขอบพระทัยฝ่าบาท! ขอให้จักรวรรดิมังกรเวหาเจริญรุ่งเรืองเป็นหมื่นปี หมื่นๆปี!”
ศิลาสวรรค์คืออะไร? ทำไมอิงเตาถึงดูดีใจนัก?
เจียงอี้จ้องมองไปยังกล่องยาวและกล่องหยกตรงหน้าด้วยความสงสัย เขาต้องการที่จะสอบถามใครสักคน แต่ในที่นี้เขาไม่รู้จักใครเลยแม้แต่คนเดียว
อิงเตาเดินกลับมายังตำแหน่งเดิมด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติยินดี แม้ว่าเจียงอี้อยากที่จะเอ่ยปากถาม แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ มันคงจะไม่เหมาะสมนัก
“นายน้อยเตาจ้าน ของรางวัลของเจ้าคือสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์และศิลาสวรรค์สามก้อน!”
เตาจ้านมีปฏิกิริยาไม่ต่างอะไรไปจากอิงเตา ซึ่งทำให้อีกเจ็ดคนก่อนหน้านี้เผยความอิจฉาออกมาขณะที่จ้องมองไปยังกล่องที่อยู่ในมือของเขา
“นายน้อยเจียง เนื่องจากเจ้าเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งของสงครามราชอาณาจักร ของรางวัลของเจ้าจึงพิเศษที่สุด มารับไปสิ นี่คือสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ ดาบมังกรเพลิง, แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณ และสุดท้าย ศิลาสวรรค์ห้าก้อน!”
“โอ้โห!”
เมื่อองค์หญิงหลิงเสวี่ยกล่าวจบ ทั่วทั้งห้องโถงก็บังเกิดความโกลาหล ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่เจียงอี้ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอิจฉา ชื่นชมแม้กระทั่งโกรธเกรี้ยว มีหลายคนที่จ้องมองเขาราวกับต้องการที่จะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว…