ตอนที่แล้ว78 สายลมพัดผ่านและก้อนเมฆแผ่กระจาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป80 ไอดอล!

79 ยึดติดกับความฝัน


79 ยึดติดกับความฝัน

อาหารจำนวนมากที่เขากินเข้าไปถูกแปลงเป็นพลังงานบริสุทธิ์ด้วยเทคนิควาฬกลืนกิน พลังงานที่ได้มา ทำให้เซลล์ที่แห้งแล้งในร่างกายของเขาถูกเติมเต็มด้วยพลังและเปล่งประกายอย่างมีชีวิตชีวา

“ผมจะฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งเพื่อการสอบในเดือนหน้า ผมจะฟื้นฟูร่างกายให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม แล้วผมก็จะเข้าสอบปีนี้อย่างเต็มความสามารถ!”

หลี่เย้าชกกำปั้นออกไปอย่างแรง เกิดเสียงฉีกอากาศดังขึ้น ประกายแสงบางๆส่องสว่างออกมาจากกำปั้นของเขา

ประกายที่ส่องออกมา สะท้อนเข้าดวงตาของติงหลิงตาง “นายมั่นใจใช่ไหม ว่านายสามารถสอบเข้าเก้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้?”

หลี่เย้าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกำหมัดแน่นขึ้น “รากวิญญาณของผมฉีกขาด อัตราการตื่นของผมเหลือแค่ 7% เท่านั้น ถ้าผมมีเวลาสักหนึ่งปี ผมมั่นใจว่า จะสามารถฟื้นคืนอัตราการตื่นถึง 70% ได้ ผมอาจจะขึ้นไปได้สูงกว่านั้นสัก 90%และอาจจะเหนือกว่านั้น! แต่เวลาแค่หนึ่งเดือนมันสั้นเกินไป พูดตามตรง ผมไม่มั่นใจว่าจะคว้าชัยชนะมาได้”

“แต่ ถึงผมจะมีโอกาสแค่ 1% แต่ผมก็จะใช้กำลังทั้งหมด 100% ต่อสู้เพื่อมัน...มันคงจะดีถ้าผมชนะ แต่ถึงจะแพ้ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ผมรู้แค่ว่า ผมได้ใช้พลังอย่างเต็มที่แล้วก็พอ การไม่ทุ้มกำลังทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมแพ้ และนั่นก็ไม่ใช้แบบของผม!”

“เยี่ยม! ฉันรู้อยู่แล้ว ว่านายมีโชคชะตาที่จะได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของสถาบันการสงครามตาฮวง!”

ติงหลิงตางไม่ปิดบังแววตากระหายอยากในดวงตาของเธอ มันดูคล้ายกับว่า เธออยากจะกลืนกินหลี่เย้าเข้าไปทั้งตัว

หลี่เย้าอึ้งไป...มหาวิทยาลัยเชินห่ายทอดทิ้งเขาไปแล้ว ส่วนโรงเรียนมัธยมซื่อเซียวที่สองก็กดดันให้เขาต้องออกจากโรงเรียน เขาไม่เคยคิดเลยว่า ติงหลิงตางที่เป็นตัวแทนของสถาบันการสงครามต้าฮวง จะยังคงมอบข้อเสนอให้กับเขาอยู่อีก!

หลี่เย้าไม่สามารถทำความเข้าใจได้ “ผมมีอัตราการตื่นอยู่แค่ 7% ตอนนี้ผมกลายเป็นคนพิการในสายของของคนอื่นไปแล้ว แต่สถาบันการสงครามต้าฮวงของพี่ยังจะรับผมเข้าเรียนอยู่อีกเหรอ?”

ติงหลิงตางมองตรงไปที่เขา พร้อมกับพูดออกมาอย่างจริงจังว่า “ฉันบอกนายตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันแล้ว ในสหพันธรัฐมีมหาวิทยาลัยชั้นนำอยู่ทั้งหมด 9 แห่ง แปดแห่งมอบการศึกษาให้แก่ผู้ฝึกตน ส่วนสถาบันการสงครามต้าฮวงของเขานั้น..เราเลี้ยงดูนักรบที่แท้จริง! นี่ไม่ใช่การอวด แต่มันคือสิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญของสถาบันเรา!”

ติงหลิงตางนั่งลงข้างๆหลี่เย้า เธอหันหน้าไปมองหลี่เย้าและบอกเล่าเรื่องราวของสถาบันการสงครามต้าฮวง

หลี่เย้ารู้ถึงความแตกต่างระหว่างสถาบันการสงครามต้าฮวงและอีกแปดสถานบันที่เหลือ เพียงคร่าวๆเท่านั้น

นอกจากวิทยาลัยทหารแห่งแรกของสหพันธรัฐแล้ว สถาบันชั้นยอดอื่นๆล้วนก่อตั้งขึ้นมา เมื่อมีสร้างชาติ นิกายแต่ละแห่งรวมตัวกันเพื่อสร้างมหาวิทยาลัยขึ้นมา เป้าหมายของสถาบันเหล่านี้ คือมอบการศึกษาแก่ผู้ฝึกตน เพื่อสร้างสมาชิกใหม่ๆให้แก่นิกายหลายๆนิกาย

พวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางหัวกะทิตั้งแต่เริ่มต้น และเป็นแบบอย่างกับสถาบันอื่นๆ

วิทยาลัยทหารแห่งแรกของสหพันธรัฐก็ไม่ต่างกัน เมื่อมีการก่อตั้งขึ้นมา พวกเขาก็มีเป้าหมายที่เหมือนกัน ก็คือการเลี้ยงดูผู้ฝึกตนทหาร

ดังนั้น นักเรียนที่มีศักยภาพในการเป็นผู้ฝึกตน จะได้รับการพิจารณาจากมหาวิทยาลัยทั้งแปดแห่ง พวกเขาให้ความสำคัญกับอัตราการตื่นของรากวิญญาณเป็นพิเศษ หากอัตราการตื่นของรากวิญญาณขาดไปเล็กน้อย ก็จะไม่ผ่านการพิจารณา

แต่สถาบันการสงครามต้าฮวงนั้นต่างออกไป สถาบันแห่งนี้ตั้งอยู่ในดินแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยผู้ฝึกตนทั่วไปและประชาชน และเป็นสถาบันที่ผ่าเหล่าผ่ากอ

...ทางทิศเหนือของสหพันธรัฐ มีพื้นที่อยู่ทั้งหมดกว่า 10 ล้านตารางกิโลเมตร ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมจะยากจน ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยทรายสีเหลืองและทะเลทราย แต่ความจริงแล้ว มันกลับมีทรัพยากรหลากหลายและเหมืองคริสตัลอยู่ใต้ดิน นักผจญภัยนับไม่ถ้วนที่เดินทางมา ณ ที่แห่งนี้ เพื่อหวังจะได้โชค จากนั้น พวกเขาก็เริ่มตั้งรกรากที่นี่

แต่ที่แห่งนี้ก็ยังเป็นสถานที่ที่มีสัตว์อสูรดุร้ายที่สุดบนดาวเคราะห์เทียนหยวน ซึ่งมีสัตว์อสูรอยู่จำนวนมากพอๆกับอาณาจักรอสูรเมื่อกาลก่อน

จากการสำรวจของผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการในโลกของผู้ฝึกตน ในส่วนลึกของดินแดนต้าฮวงที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสหพันธรัฐ ได้ปรากฏช่องว่างมิติจำนวนมาก ช่องว่างเหล่านี้ กลายเป็นทางผ่านของหนึ่งในดาวเคราะห์นับพัน ซึ่งเป้นดาวเคราะห์ที่ถูกควบคุมโดยเผ่าพันธุ์อสูร...ดาวอสูรโลหิต!

ดินแดนต้าฮวงถือเป็นเขตแดนระหว่างดาวเคราะห์เทียนหยวนและดาวเคราะห์อสูรโลหิต สัตว์อสูรและเผ่าพันธุ์อสูรที่แข็งแกร่ง สามารถข้ามผ่านช่องว่างเหล่านี้จากดาวเคราะห์อสูรโลหิตมายังดาวเคราะห์เทียนหยวนได้อย่างง่ายดาย

ดินแดนต้าฮวงกลายเป็นด่านหน้าของสหพันธรัฐมาอย่างยาวนาน และต่อสู้อยู่ในสงครามเปลวเพลิงอย่างต่อเนื่องมาแล้วหลายร้อยปี มันเป็นที่รู้จักในในนามของ ดินแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร!

แม้แต่สหพันธรัฐยังมีกองกำลังตั้งอยู่ที่ดินแดนต้าฮวง นิกายใหญ่ๆแต่ละนิกายก็ยังก่อตั้งกลุ่มล่าสัตว์อสูรและสังหารปีศาจขึ้นมา แต่ดินแดนต้าฮวงนั้นมีพื้นที่กว้างหลายพันไมล์ สุดท้าย จึงมีอีกหลายพื้นที่ที่ทางกองทัพและนิกายไม่สามารถค้นเจอได้

เหล่ามนุษยชาติที่อาศัยอยู่ในดินแดนต้าฮวง สามารถพบเจอกับสัตว์อสูรได้ทุกเมื่อ หลังจากหลายร้อยปีที่ใช้ไปกับการเก็บกวาด ผู้ที่เหลือรอดล้วนเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญและไม่กลัวตาย! พวกเขาแข็งแกร่ง และต่อสู้อย่างกล้าหาญ!

ธรรมชาติได้เกิดการคัดสรร ผู้เหลือรอดคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด จากการต่อสู้กับสัตว์อสูรจำนวนมาก ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งและดุร้ายราวกับสัตว์อสูรตัวหนึ่ง แม้แต่คนธรรมดาที่เดิมทีไม่ได้มีพรสวรรค์อะไร แต่เมื่อผ่านสมรภูมิรบที่นองเลือดและรอดพ้นจากความตายมาได้ พวกเขาก็สามารถกลายมาเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่งได้เช่นกัน

ผู้แข็งแกร่งรวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อความอยู่รอด พวกเขาใช้ประสบการณ์ต่อสู้ที่มีและส่งต่อมันให้กับคนที่คล้ายกับพวกเขา

ในตอนแรก มันเป็นพัยงแค่กิจกรรมธรรมดาๆ เช่นการ แลกเปลี่ยนศิลปะการต่อสู้ การบรรยายประสบการณ์การล่า และอื่นๆ ทุกคนจะนั่งล้อมวงและบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของแต่ละคน พวกเขาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของตัวเองพร้อมกับย่างเนื้อสัตว์อสูรกินไปด้วย

จนกระทั่งเมื่อองค์กรหนึ่งที่มีชื่อว่า สถาบันการสงครามต้าฮวง ถูกก่อตั้งขึ้นมา มีคนบางส่วนที่ต่อสู้กับสัตว์อสูรและได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาไม่เหมาะที่จะเข้าสู่สมรภูมิรบอีกต่อไป คนเหล่านั้นจึงเข้าไปอยู่ในองค์กร แล้วส่งต่อศิลปะการต่อสู้และประสบการณ์การต่อสู้ของพวกเขาให้กับเหล่าคนหนุ่มสาว

ประชากรที่แข็งแกร่งในดินแดนต้าฮวงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้ระยะหลายร้อยปีของสงครามนองเลือด แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับสูงก็ยังปรากฏออกมาจากกองซากศพและทะเลเลือด ความแข็งแกร่งและมาตรฐานในการเรียนการสอนของสถาบันการสงครามต้าฮวงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด พวกเขาก็กลายเป็นหนึ่งในเก้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของสหพันธรัฐ!

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นหนึ่งในเก้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่สถาบันการสงครามต้าฮวงก็ยังคงไว้ซึ่ง ความโหดร้าย, ป่าเถื่อน, และให้ความสำคัญกับความสามารถในด้านการต่อสู้เป็นหลัก มาตรฐานในการเลือกรับนักเรียนของพวกเขานั้นค่อนข้างต่างไปจากอีกแปดสถาบันหัวกะทิที่เหลือ

เพื่อที่จะกลายเป็นผู้ฝึกตน ก็จำเป็นที่จะต้องมีอัตราการตื่นของรากวิญญาณอยู่ที่ 100% และพวกเขาต้องปลุกรากวิญญาณขึ้นมาให้ได้

แต่เมื่อเป็นนักรบ ของเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเสมอไป ถึงแม้จะมีอัตราการตื่นเหลืออยู่แค่ 1% ขอแค่ยังสามารถกำหมัด, ปลุกเลือดให้เดือดพล่าน, จู่โจมและโจมตีโดยไม่หวาดกลัวฝ่ายตรงข้ามที่เป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง...มันก็เพียงพอแล้ว!

สถาบันการสงครามต้าฮวงไม่ได้เลี้ยงดูผู้ฝึกตน พวกเขาเลี้ยงดูเพียงนักรบเท่านั้น!

ดวงตาของติงหลิงตางที่มองดูหลี่เย้าส่องประกายแวววาว เธอพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า “นายเพิ่งจะตื่นขึ้นมา ฉันยังคงไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว ร่างกายของนายจะฟื้นคืนกลับมาได้มากแค่ไหน ดังนั้นในตอนนี้ ฉันไม่สามารถการันตีอะไรได้ แต่ได้โปรดเชื่อในความจริงใจของสถาบันการสงครามต้าฮวง นักเรียนหลี่เย้า ถ้านายยินดี ฉันหวังว่า ตัวฉันจะสามารถเฝ้าสังเกตการณ์การฝึกฝนของนายอย่างใกล้ชิดตลอดเดือน เพื่อที่จะได้เข้าใกล้และรู้ถึงระดับการฟื้นตัวของนาย ในเวลาเดียวกัน ฉันจะสู้เพื่อสิทธิในการรักษาของนายอย่างเต็มที่ ระยะเวลาสำหรับการรับเข้าเป็นกรณีพิเศษได้ผ่านพ้นไปแล้ว มันคงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการ แต่คะแนนพิเศษไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อเอาคะแนนพิเศษมาให้นาย!”

ในที่สุด หลี่เย้าก็รู้สึกซาบซึ้งใจ

รูปแบบที่เปิดเผยออกมาของสถาบันการสงครามต้าฮวง นั้นต่างไปจากมหาวิทยาลัยเชินห่ายโดยสิ้นเชิง

ติงหลิงตางมีเสน่ห์ที่แตกต่างไปจากเซี่ยทิงเสียน มันเป็นประเภทของคนที่ดื้อรั้นจนกว่าจะทำเป้าหมายของตัวเองสำเร็จ เสน่ห์ที่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการสำเร็จ

มันทำให้คนที่ได้เห็นอดที่จะเลือดเดือดพล่านขึ้นมาไม่ได้ และอยากจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเธอ สู้จนกว่าสงครามนองเลือดจะจบลง!

“นายคิดว่ายังไง นักเรียนหลี่เย้า? ฉันมองเห็นไฟที่ลุกไหม้อยู่ในแววตาของนาย หัวใจของนายเริ่มสั่นไหวขึ้นมาแล้ว ใช่แล้วล่ะ! จงเป็นคนที่ซื่อตรงกับหัวใจ! มาพยายามด้วยกันตลอดทั้งเดือนนี้ แล้วมาสร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน! ทำให้เหล่าคนที่ดูถูกนายต้องเสียใจ! แล้วเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะการต่อสู้ที่สุดยอดของสถาบันการสงครามต้าฮวง! กลายเป็นนักรบที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน! นายคิดว่ายังไง?”

ความหลงใหลของติงหลิงตางส่องประกายออกไปโดยรอบ เธอได้จุดประกายไฟขึ้นมา!

หลี่เย้าก็รู้สึกเดือดพล่าน แต่อยู่ๆเขาก็ทุบกำปั้นและคำรามออกมาว่า “ไม่ดี!”

“อ้าว?” ติงหลิงตางกระพริบตา สีหน้าของเธอหงอยลงไปทันที “นายพูดว่าไรนะ?”

“ไม่ดีครับ ผมจะไม่เข้าคณะการต่อสู้ของสถาบันการสงครามต้าฮวง” หลี่เย้าพูดย้ำด้วยท่าทีที่จริงจัง

ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของติงหลิงตางพังคลืนลงมา

“นี่ นี่ นี่ นี่ นักเรียนหลี่เย้า เมื่อกี้เราเพิ่งจะกินข้าวด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย เราคุยกันถูกคอ ตอนที่ฉันพูดถึงประวัติของสถาบันการสงครามต้าฮวง ดวงตาของนายก็ส่องประกายออกมา! ชัดเจนเลยว่า นายสนใจมันมาก! แต่สุดท้ายนายกลับปฏิเสธเนี่ยนะ!”

“มิตรภาพก็คือมิตรภาพ ความสุขก็คือความสุข ส่องประกายก็คือส่องประกาย แต่ความฝัน...ไม่ใช่สิ่งที่ขายกันได้!”

หลี่เย้ามองเข้าไปในดวงตาที่งดงามของติงหลิงตาง เขาพูดออกมาด้วยท่าทีจริงจังอย่างถึงที่สุด “พี่หลิง ผมขอบคุณพี่มาก สำหรับทุกอย่างที่พี่ทำให้ผมตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เมื่อทุกคนเลิกสนับสนุนผม ทุกคนทอดทิ้งผมไป มีแค่เพียงสถาบันการสงครามต้าฮวงเท่านั้น ที่ยังคงอยู่และเชื่อในตัวผม...สำหรับผมในเวลานี้ ความเชื่อมั่นที่มีในตัวผม คือสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด!”

“สถาบันการสงครามต้าฮวงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และประเพณี ทำให้ผมรู้สึกชื่นชอบ...พี่น่าจะได้อ่านข้อมูลของผมมาแล้ว และรู้ว่า ผมเกิดอยู่ในสุสานอาร์ติเฟ็กซ์ และผมก็เป็นแค่คนเก็บกู้ตัวเล็กๆ ผมต้องต่อสู้ดิ้นรนมาตั้งแต่ยังเล็ก ผมเริ่มมาจากรากหญ้า 100% คนอย่างผมเหมาะที่จะไปอยู่ที่สถาบันการสงครามต้าฮวงของพี่มาก!”

“แต่ตั้งแต่แรก ผมฝันมาตลอดว่าอย่างจะเป็นผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ระดับมาสเตอร์ นี่ไม่ใช่แค่ความใฝ่ฝัน แต่ยังเป็นคำสัญญาที่ผมได้ให้ไว้กับคนที่ผมสนิทที่สุดด้วย!”

“คณะการต่อสู้ของสถาบันการสงครามต้าฮวงนั้นดีที่สุดในสหพันธรัฐ ผมเชื่อว่า จะต้องมีคนจำนวนมากที่กระหายอยากจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง พวกเขาก็เป็นเหมือนผมในตอนนี้ ที่พยายามไขว้คว้าความฝันอย่างสุดความสามารถ และเข้าไปอยู่ในคณะการต่อสู้ของสถาบันการสงครามต้าฮวง”

“ถ้าผมยอมทิ้งความฝันที่จะกลายเป็นผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ระดับมาสเตอร์ไป เพราะอารมณ์ความรู้สึกที่ได้รับ, ความเชื่อใจ, มิตรภาพของเรา แล้วเข้าไปเรียนในคณะต่อสู้ของสถาบันการสงครามต้าฮวงอย่างจำยอมและไม่ยินดี...มันจะเป็นการดูถูกความฝันของผม และเป็นการดูถูกคณะการต่อสู้ของสถาบันการสงครามต้าฮวงด้วยเช่นกัน มันยังเป็นการดูถูกไปถึงนักเรียนนับร้อยนับพัน ที่ต้องการจะเข้าเรียนในสถาบันการสงครามต้าฮวงด้วย!”

“ดังนั้น ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ผมไม่สามารถเลือกเรียนคณะต่อสู้ของสถาบันการสงครามต้าฮวงได้ เป้าหมายอันดับหนึ่งของผม ยังคงเป็นคณะการสร้างอาร์ติเฟ็กซ์ของมหาวิทยาลัยเชินห่าย!”

“ส่วนความเชื่อและความช่วยเหลือที่ทางสถาบันการสงครามต้าฮวงมอบให้ผม ผมจะจดจำฝั่งลึกลงไปในหัวใจ สักวันหนึ่งในอนาคต เมื่อผมได้กลายมาเป็นผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ระดับมาสเตอร์ และขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของสายอาชีพได้เมื่อไหร่ ผมจะจ่ายคืนในสิ่งที่พี่ทำให้ผมในวันนี้อย่างแน่นอน”

“ความฝันคือเป้าหมายของคนคนหนึ่ง และจะต้องดื้อรั้นเพื่อเดินไปบนเส้นทางนั้น ไม่มีใครมาเปลี่ยนเส้นทางของผมได้!”

ติงหลิงตางเงียบอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งหลี่เย้าพูดจบ สีหน้าของเธอดูโดดเดี่ยวเล็กน้อย “นายตัดสินใจดีแล้วเหรอ? นายไม่คิดจะเลือกสถาบันการสงครามอย่างน้อยก็สักหนึ่ง 1% เลยเหรอ?”

หลี่เย้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

ด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครรู้ ใบหน้าที่ลังเลของเซี่ยทิงเสียนขึ้นมาซ้อนทับกับใบหน้าของติงหลิงตาง

เมื่อหลี่เย้าพยักหน้าอย่างเจ็บปวด ติงหลิงตางก็หัวเราะออกมาอย่างสดชื่นและเผยฟันเรียงสวยของเธอ “นายลังเลแล้ว นั่นก็หมายความว่า นายยังมีโอกาสที่จะเลือกสถาบันการสงครามอยู่ 1% ใช่ไหมล่ะ? ฉันจำได้ว่า เมื่อกี้มีคนบอกฉันมาว่า ถึงแม้จะมีโอกาสแค่ 1% เขาก็จะใส่พลังลงไป 100%และคว้ามาด้วยความพยายามทั้งหมดของเขา เมื่อเขาได้ใส่ทุกอย่างลงไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป แต่ถ้าเขาไม่ใส่จนเต็มร้อย มันก็ไม่ต่างจากการยอมแพ้ และมันไม่ใช้แบบที่เขาเป็น!”

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม คำพูดเหล่านี้คือความรู้สึกและความคิดของฉัน!”

“มันไม่เป็นไร ถ้านายจะไม่รับปากฉัน ฉันจะคอยเกาะติดนายเหมือนกับลูกอมไปตลอดทั้งเดือน สถาบันการสงครามก็จะมอบข้อเสนอพิเศษสุดให้ เพื่อให้นายได้รู้ถึงความจริงใจของเรา!”

“นอกจากว่า ฉันจะเห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่านายกรอกตัวอักษร เข้าเรียนในคณะการสร้างอาร์ติเฟ็กซ์ของมหาวิทยาลัยเชินห่าย ในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง ฉันก็จะ ชอบนาย และดื้อรั้นอยู่อย่างนี้ไปจนถึงที่สุด ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ฉันจะไม่ยอมแพ้แน่นอน!”

“ทำไมล่ะ?”

หลี่เย้าไม่เข้าใจ เขาไม่ใช่คนหลงตัวเอง เขาจึงมองไม่ออกเลยว่า เขาพิเศษตรงไหนที่ถึงขนาดทำให้ติงหลิงตางต้องสนใจขนาดนี้ จนเธอไม่ยอมปล่อยมือจากเขา!

ติงหลิงตางลุกขึ้นยืนอยู่บนปีกเพลิงและกางแขนของเธอออก เธอก้าวขาออกไปยืนด้านหน้าสุดของยานรบสการ์เลตเฟรม และยืนด้วยเท้าทั้งสองข้างของเธอ

ภายใต้แสงตะวันสีแดงที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า ภาพของเธอดูราวกับเทพธิดาองค์หนึ่ง

เธอหลับตาลงและอาบไล้ไปด้วยแสงอาทิตย์ เธอเงียบไปนาน นานจนหลี่เย้าคิดว่า เธอคนจะไม่ตอบคำถามนี้แล้ว จากนั้น เธอก็ค่อยๆเปิดปาก “ก็เพราะฉันเห็นตัวเองในตัวนายยังไงล่ะ”

“พี่หมายความว่ายังไงเหรอ?” หลี่เย้ารู้สึกสับสน

แต่ครั้งนี้ ติงหลิงตางทำเพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆเท่านั้น เธอไม่ยอมตอบคำถาม ไม่ว่าหลี่เย้าจะถามยังไงก็ตาม

เธอยืนเงียบอยู่อย่างนั้น และเหม่อมองภาพสายลมและก้อมเมฆที่งดงาม ดวงตาของเธอพล่ามัว เรากับว่า เธอกำลังจมอยู่ในความทรงจำที่ไกลแสนไกล

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด