78 สายลมพัดผ่านและก้อนเมฆแผ่กระจาย
78 สายลมพัดผ่านและก้อนเมฆแผ่กระจาย
บนท้องฟ้า
วิธีการขับยานบินของติงหลิงตางก็ไม่ต่างไปจากลักษณะนิสัยของเธอเอง มันเกรี้ยวกราด, วางอำนาจ และดุร้ายอย่างถึงที่สุด
เธอใช้งานอักขระขับเคลื่อนของยานบินจนถึงขีดสุด ที่ 0.1วินาที ยานรบสการ์เลตเฟรมแหวกอากาศไปอย่างรวดเร็ว จนถึงจุดที่เร็วกว่าเสียงไปแล้ว มันพุ่งตัวผ่านหมู่เมฆไปอย่างอิสรเสรี
แต่ผู้หญิงคนนี้กลับยังไม่พอใจ เธอขับยานรบสการ์เลตเฟรมผ่านหมู่เมหไปซ้ายทีขวาที ด้วยความเร็วสูง มันดูคล้ายกับว่า หลี่เย้ากำลังอยู่ในท้องมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยคลื่นลมและพายุ ราวกับเขากำลังถูกแรงพายุกระชากตัวไปมา กระแสน้ำผลักเขาไปไกลหลายร้อยเมตร จากนั้น ก็ร่วงหล่นลงไปในส่วนลึกของท้องมหาสมุทร
หลี่เย้าถูกบังคับให้ต้องกอดเอวติงหลิงตางให้แน่น ใบหน้าของเขาขาวรากับกระดาษ หากเขาไม่เคยมีประสบการณ์การแข่งรถแข่งในช่วงชีวิตก่อน เขาก็อาจจะอาเจียนออกมานานแล้ว
ติงหลิงตางขับอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าอยู่สามนาที ก่อนที่เธอจะหยุด เธอหันตัวไปมองด้านหลังและยกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เธอหัวเราะและพูดออกมาว่า “ไม่เลว...ในสิบคนที่ขึ้นขี่ยานบินกับฉัน มีเก้าคนที่สลบไปทันที”
“มะ-มะ-มีคนนั่งยานบินกับพี่บ่อยไหม?” หลี่เย้าสูดหายใจเข้าลึกเพื่อฟื้นคืนสภาพ และถามออกไปอย่างสงสัย
ติงหลิงตางยักไหล่
“ตอนแรก ก็มีอยู่หลายคน แต่หลายปีมานี้ก็ไม่ค่อยมีแล้วล่ะ ทุกครั้งที่ฉันตั้งใจดีที่จะขับไปส่งพวกเขา ทุกคนก็จะเลี่ยงฉันอย่างกับเห็นผี น่าเบื่อที่สุดเลยล่ะ ช่างมันเถอะ อย่าไปพูดเรื่องพวกนี้เลย มาเร็วเข้า! ฉันจะโชว์บางอย่างที่น่าสนใจให้นายดู!”
เธอกดอักขระที่แผงควบคุมและประตูคนขับก็เปิดออก “ชี่ๆๆๆๆ” ลมเย็นหนาหนักพัดตรงเข้ามาภายในห้องคนขับ
หลี่เย้ารู้สึกงุนงง จากนั้น เขาก็มองหลอดช่องที่เปิดอยู่ออกไปด้านนอก รอบๆตัวเขาคือท้องทะเลก้อนเมฆ
พวกเขาอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าหลายพันเมตร ผู้หญิงคนนี้กำลังคิดบ้าอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?
ติงหลิงตางหัวเราะออกมาเบาๆ และลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอ จากนั้น เธอก็กางแขนออก เธอเดินออกไปจากห้องคนขับ
ที่ด้านข้างของยานรบสการ์เลตเฟรมมีปีกเพลิงเล็กๆติดอยู่ ตัวปีกมีรูปทรงเพรียวลมและเล็กแคบ แทนที่จะเรียกว่าปีก ควรจะเรียกว่ากันชนเสียมากกว่า
ในเวลานี้ ติงหลิงตางได้เดินออกไปยืนที่ปีกด้านซ้าย เธอหรี่ตามองหลี่เย้าด้วยสายตาที่ท้าทาย
จิตใจของหลี่เย้าเร่าร้อนขึ้น ความบ้าคลั่งพุ่งทะลวงออกมาจากส่วนลึกในเส้นเลือดของเขา ความกล้าที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ทำให้เขากล้าที่จะออกไปจากห้องคนขับ แล้วปีนป่ายออกไปยืนที่ปีกด้านขวาของตัวยาน
“ไหนพี่บอกว่าจะเลี้ยงข้าวผมไม่ใช่เหรอ?”
อย่างน้อย หลี่เย้าก็ไม่หลบเลี่ยงสายตาของติงหลิงตาง เขาใช้ท่าทางที่เฉียบคมกว่าโต้กลับ
ติงหลิงตางอาบไล้ไปด้วยแสงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน เธอพูดคำพูดที่เต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้งว่า“รอบๆนี้สวยมากเลยใช่ไหมล่ะ? มองดูท้องฟ้า มองดูโลกใบนี้สิ นายไม่รู้สึกเหรอว่า ความกังวลทั้งหมดในจิตใจของนายได้หลุดลอยออกไปจนหมด ความอยากอาหารของนายจะเพิ่มขึ้นในทันที และนายก็จะกินไก่ย่างได้ถึง 10 ตัวได้ในทีเดียว?”
หลี่เย้าอึ้งไป เขาย้ายสายตาไปที่หมู่เมฆและรู้สึกประทับใจกับภาพวิวมุมสูงในพันเมตร
ก้อนเมฆที่ซ้อนทับกันแต่ละชั้น ราวกับคลื่นที่รุนแรงกว้างใหญ่และโลกที่ไร้ขอบเขต ล่อหลอมกลายเป็นรูปร่างของสรวงสวรรค์ แสงอาทิตย์สีแดงเลือดส่องสะท้อนก้อนเมฆแต่ละชั้น กลายเป็นแสงสีแดงเข้มไล้ขึ้นไปจนถึงสีส้มพีช
หลี่เย้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า โลกใบนี้จะมีสีแดงที่มีเฉดสีแตกต่างกันได้นับร้อยนับพัน แสงสีแดงทุกเฉดเกิดขึ้นจากแกนกลางของดวงอาทิตย์ที่ทำให้คนมองต้องใจสั่นไหว
เมื่อสายลมพัดโชยมา ก้อนเมฆสีแดงหลายเฉดสีก็สลายกลายเป็นเส้นแสงสีทอง หมู่เมหสีแดงที่แตกกระจาย ดูราวกับหมู่ปลาที่แหวกว่ายอยู่ในท้องทะเลสีท้อง ผลุบๆโผล่ๆอย่างอิสรเสรี
สายลมพัดเข้าใส่หมู่ก้อนเมฆอยู่บ่อยครั้ง เมื่อมองลงไปด้านล่าง หลี่เย้าก็สามารถมองเห็นเมืองฝูเกอทั้งเมืองตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
เมืองที่ราวกับเต๋าตัวยักษ์นอนนิ่งพร้อมกับแขนขาที่แยกออก ยังไม่ต้องพูดถึงยานบินและคนเดินเท้า เพราะแม้แต่ตึกสูงระฟ้า ก็กลายเป็นเพียงแค่ของเล่นชิ้นเล็กๆเท่านั้น
มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับได้ละทางโลก และอยู่ระหว่างคลื่นยักษ์กับโลกใบใหญ่
รอบด้านของพวกเขาเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง สายลมพัดตีกระหน่ำเข้าสู่โสตประสาท แต่ในเวลาเดียวกัน ทุกอย่างก็เงียบกริบ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของโลกด้านล่าง ทั้งหมดที่พวกเขาได้ยิน มีเพียงเสียงเต้นของหัวใจ “ตุบตุบ ตุบตุบ”
เมื่อมองขึ้นไปเหนือศีรษะของพวกเขา ก็จะเป็นท้องฟ้าที่เป็นเหมือนกับถ้วยโปร่งแสง ท้องฟ้าสีฟ้าค่อยหายไปและแทนที่ด้วยม่านหมอกสีดำ ดวงดาวบนท้องฟ้าดูราวกับหยาดฝนที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
หัวใจของหลี่เย้าสั่นไหว เขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมติงหลิงตางถึงได้พาเขามาที่นี่
ภาพสีสันของโลกที่แปรเปลี่ยนไป ได้พัดเอาความกังวลใจทั้งหลายแหล่หายไปด้วย
ถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นคนพิการ แต่เมื่อได้มาเห็นภาพตรงหน้า มันก็ทำให้เขาฟื้นคืนจิตวิญญาณของนักสู้และความมั่นใจของตัวเอง!
ภายใต้ดวงตะวันที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า ใบหน้าของหลี่เย้าแดงเรื่อและเผยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ
“เป็นร้านอาหารที่ดีมาก แล้วตอนนี้ ไก่ย่างอยู่ที่ไหนล่ะ?”
ติงหลิงตางดึงเอากระเป๋าทหารออกมาจากด้านหลังตัวยาน แล้วใช้ขายาวๆของเธอปิดประตูห้องคนขับลง เธอวางกระเป๋าเป้ทหารที่ดูซอมซ่อลงบนหลังคาของตัวยานที่มีมูลค่าหลายสิบล้านเหรียญ
เธอหยิบเอาห่ออาหารออกมาทีละอันๆราวกับเสกเวทมนต์ กลิ่นหอมหวนของไก่ย่าง, หมูตุ๋นที่สับเอาไว้แล้ว, และไส้กรอกที่เชื่อมต่อๆกันเป็นทางยาว ยังมีเครื่องดื่มเสริมกำลังและผสมสารอาหารสูงอยู่ด้วย
จมูกของหลี่เย้าสั่นเบาๆและเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาพูดออกมาด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความกระตือรือร้นว่า “มันเป็นอาหารและเครื่องดื่มในตลาดมืดทั้งหมดเลยใช่ไหม?”
ติงหลิงตางยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันสีขาวเรียงสวยทั้งสองแถว เขาหัวเราะและพูดออกมาว่า “นายเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากอาการโคม่าที่ยาวนาน ตามปกติแล้ว นายควรจะโจ๊กและอาหารอ่อนๆ ของมันๆแบบนี้จะเป็นอะไรไหม?”
แน่นอนว่าต้องไม่เป็นอะไร
เสียงฟ้าร้องคำรามดังออกมาจากท้องของหลี่เย้า โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลี่เย้าใช้มือของเขาคว้าหมับไปที่ไก่ย่าง กัดซ้ายที ขวาที กัดบนกัดล่าง เขากินไก่ย่างที่มีน้ำหนักอยู่ที่ 1.5-2 กิโลกรัมหมดภายในสี่คำรวด “แคร๊ก แคร๊ก” เสียงเนื้อที่กำลังอยู่บดดังออกมาจากปากของเขา แก้มทั้งสองข้างของเขาป่องออกมา แต่ไม่นานมันก็กลับไปเป็นแบบเดิม
“นี่คือความหมายของการได้มีชีวิตอีกครั้ง!”
เมื่อไก่ย่างลงไปนอนอยู่ในท้องของเขาแล้ว ใบหน้าของหลี่เย้าก็เริ่มดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาเล็กน้อย เขาเลียน้ำมันที่ติดอยู่ตามริมฝีปากจนสะอาด ด้วยหวังว่าจะได้กินเพิ่มอีก เขายื่นมือออกไปอีกครั้ง เพื่อคว้าเอาไก่ย่างตัวที่สองมากิน
ครั้งนี้ เป็นทีของติงหลิงตางที่ต้องเป็นฝ่ายอึ้ง เธอคิดภาพไม่ออกเลยว่า หลี่เย้าที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการโคม่า จะกินอาหารได้ดุเดือดขนาดนี้ เธอตกตะลึงอยู่นาน ก่อนที่เธอจะส่งเสียงหึออกมาเบาๆ แล้วคว้าเอาไก่ย่างมาไว้ในมือ โดยไม่สนใจเรื่องมารยาทแม้แต่น้อย มือแต่ละข้างของเธอถือไก่เอาไว้ข้างละครึ่งตัว เธอเหลือบมองหลี่เย้าที่กัดกินอาหารจนพูนปาก
เหนือพื้นดินหลายพันเมตร พร้อมกับหมู่เมฆม้วนเป็นคลื่น บนยานบินหรูที่มีราคาสูงเกือบ 100 ล้านเหรียญ คนทั้งสองไม่มีการแลกเปลี่ยนคำพูดใดๆกัน พวกเขากำลังแข่งกันกินอย่างตะกละตะกลาม
พวกเขาทั้งสองไม่มีการรักษามารยาทใดๆ พวกเขาเป็นเหมือนกับสัตว์ร้ายที่หิวโหยไม่มีอะไรลงถึงท้องมานาน 10 วันกับ 10 คืน สัตว์ร้ายได้พุ่งตัวเข้าไปในกองภูเขาและท้องทะเลที่เต็มไปด้วยเนื้อ กัดกินอาหารจนเต็มกระพุ้งแก้มและเผยให้เห็นฟันอันคมกริบ พวกเขากินเหมือนกับตั้กแตน ที่กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ทั้งสองกินอาหารที่อัดแน่นจนเต็มประเป๋าเป้ทหารหมดภายในครึ่งชั่วโมง แม้แต่เครื่องดื่มก็ไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว หลังจากที่คำนวณดูแล้ว พวกเขาทั้งสองกินในปริมาณเท่าๆกันเลย
ติงหลิงตางคว้าจับก้นประเป๋าเป้ทหาร และเขย่าแรงๆสองสามครั้ง ก่อนที่ไส้กรอกชิ้นสุดท้ายจะหล่นลงมา เธอแบ่งไส้กรอกออกเป็นสองส่วน แล้วแบ่งกันกินกับหลี่เย้า พวกเขามองหน้ากัน และพบว่า หน้าของแต่ละคนต่างก็เลอะเทอะไม่ต่างกัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
“พี่ไม่เคยจากไปไหนเลย ทำไมเหรอ?” ในที่สุด หลี่เย้าก็ถามคิดถามที่ติดค้างอยู่ภายในใจของเขาออกมา
ติงหลิงตางจูบแต่ละนิ้วของเธออย่างไม่สนใจเรื่องมารยาท เธอยังคงติดใจในรสชาติของอาหารที่กินเข้าไปอยู่ มันใช้เวลาอยู่นาน ก่อนที่เธอจะเรอออกมาและพูดว่า “พอผ่านไปได้สามอาทิตย์ ฉันก็เกือบจะไปแล้วเหมือนกัน แต่วันนี้ก่อนที่ฉันจะจากไป ฉันก็เห็นแผนภาพคลื่นสมองของนายเข้า...ซึ่งเป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางจิต ได้ใช้เทคนิคลับดึงเอารูปแบบประสาทส่วนลึกของนายออกมา ในตอนที่นายยังอยู่ในอาการโคม่า”
ติงหลิงตางยกแขนของเธอขึ้นมา แล้วหน้าจอโฮโลแกรมก็โผล่ออกมาจากไมโครโพรเซสเซอร์สีแดง
เมื่อมองดูในครั้งแรก มันดูคล้ายกับมีสีสันของสายรุ้งปรากฏออกมา สีสันมากมายรวมเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นภูเขาสูงเสียดฟ้าและเหวลึก บางจุดยังมีลาวาระเบิดออกมาเป็นสีสันละลานตา
“แล้วนี่ก็เป็นแผนภาพคลื่นสมองของคนไข้อีกคนที่อยู่ในอาการโคม่า มันเป็นคลื่นสมองของคนที่อยู่ในอาการโคม่าควรจะมี” ติงหลิงตางเปิดหน้าจออีกอันหนึ่งขึ้นมา
มันเป็นแผนภาพที่มีความมืดกว่า มันดูคล้ายกับว่า ภายในโลกใบนี้มีเพียงแค่สีดำและสีขาวเท่านั้น และมันทำให้โลกทั้งใบมืดหม่น มันไม่มีภูเขาสูงหรือหุบเหว มันมีแค่เพียงทะเลทรายที่แห้งแล้งไร้สิ่งมีชีวิต
“แผนภาพทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่” หลี่เย้าพูด
ติงหลิงตางพยักหน้า
“หมอบอกกับฉันว่า มันเป็นเพราะนายเพิ่งเข้าสู่อาการโคม่าได้ไม่นาน ดังนั้น โลกในระบบประสาทของนายจึงยังคงทำงานดีอยู่ พอวันเวลาผ่านไป โลกภายในระบบประสาทของนายก็จะค่อยๆกลายเป็นทะเลทราย...แต่ฉันกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ภาพการเคลื่อนไหวภายในโลกระบบประสาทของนายกลับรุนแรงกว่าคนปกติถึงร้อยเท่า และที่มากไปกว่านั้น ฉันยังรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเกี่ยวกับภาพแบบนี้อยู่ด้วย ดังนั้น...”
เธอพิมพ์ลงไปบนแป้นพิมพ์ที่ฉายออกมาจากคริสตัลโพรเซสเซอร์ แล้วจึงมีภาพที่สามของแผนภาพคลื่นสมองปรากฏออกมา
แผนภาพนี้คล้ายกับอันแรก มันมีสีสันของสายรุ้ง ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและแสงสีที่ส่องประกายไปทั่ว
“ดูสิ ระหว่างแผนภาพอันนี้กับแผนภาพอันแรก มีตรงไหนที่ต่างกันบ้างไหม?” ในตอนที่ถามออกไป ติงหลิงตางก็จ้องหน้าหลี่เย้าไปด้วย
หลี่เย้าลองเปรียบเทียบแผนภาพทั้งสองจะละเอียด
มีรายละเอียดหลายๆอย่างที่แตกต่างกันระหว่างสองแผนภาพนี้ แต่สีสัน ความเข้มข้นของทั้งสอง กลับแสดงพลังของความกล้าหาญ จนทำให้จิตวิญญาณของผู้มองลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ
“แผนภาพทั้งสองอันนี้ เป็นคลื่นสมองของผมใช่ไหม?”
ติงหลิงตางส่ายหน้าและไขคำตอบให้กับหลี่เย้า “ไม่ใช่ มันเป็นแผนภาพที่ฉันเอามาจากกองทัพ มันคือคลื่นสมองของทหารที่มีประสบการณ์สู้รบสูง และเป็นคลื่นสมองที่รวมตัวกันจากการที่ทหารเหล่านั้นตกอยู่ในสนามรบที่อันตราย พวกเขาติดพันอยู่ในการสู้รบ ต่อสู้นองเลือดกับสัตว์อสูร!”
หลี่เย้าอึ้งไป เขาพยายามตรวจดูคลื่นสมองทั้งสอง เพื่อหาความแตกต่าง แต่เขาก็หาความแตกต่างจากภาพทั้งสองได้ไม่มากนัก
เขาไม่คิดเลยว่า เมื่อเขาดูดกลืนความทรงจำของโอเย่หมิงอยู่นั้น คลื่นสมองของเขาจะสร้างภาพแบบนี้ออกมา และมันก็เป็นภาพเดียวกันกับทหารที่อยู่ในสงครามนองเลือด
หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะคลื่นสมองที่บ้าคลั่งของเขา จึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้รากวิญญาณของเขาฉีกขาดและทำให้อัตราการตื่นของเขาลดฮวบลงไป
ติงหลิงตางพูดออกมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “พอฉันได้เห็นคลื่นสมองของนาย ฉันก็รู้ได้ทันที ถึงแม้ว่านายจะตกอยู่ในอาการโคม่า นายก็ยังคงต่อสู้อยู่ภายในจิตใจของนาย! ดังนั้น ฉันก็เลยเปลี่ยนแผนและตัดสินใจรอนายต่อไปอีกหนึ่งเดือน แล้วนายก็ฟื้นขึ้นมา แลเวจะเอายังไง? นายคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะ? นายจะยังสอบเข้ามหาลัยปีนี้อยู่ไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ!”
หลี่เย้าตอบกลับในทันที เขากำมือจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา เป็นภาพที่คล้ายกับมังกรจำศีลที่หลับใหลอยู่ภายในร่างกายของเขา!