บทที่ 4 : ลูกสาวคนโตของบ้านเหลียนเปลี่ยนไป (2/2)
บทที่ 4 : ลูกสาวคนโตของบ้านเหลียนเปลี่ยนไป (2/2)
. “ฟางโจวเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง!การรังแกเด็กกำพร้าที่ไม่มีทางสู้เช่นนี้ เป็นเรื่องชั่วร้ายที่ไม่สามารถให้อภัยได้!และถ้าข่าวแบบนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงหมู่บ้านต้าฟางของพวกเราคงถูกทำลายจนหมดสิ้น! เพราะฉะนั้นหากพวกเขากล้ามาสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้าอีก พวกเรานี่แหละจะออกหน้าช่วยเจ้าเอง!”
หญิงวัยกลางคนสวมชุดสีแดงตุ่นๆพูดออกมาเหมือนกับเป็นตัวแทนของชาวบ้านที่อยู่รอบๆส่วนพวกชาวบ้านเองก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับคำพูดของนาง ก่อนนางก็จะพูดต่อว่า “เอาล่ะตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปทำงานเถอะ!”
“ข้าขอขอบคุณป้าจางมาก”เหลียนเซ่อโค้งคำนับหญิงวัยกลางคนอย่างสุภาพ
“ไอ๊หยาเด็กคนนี้ทำไมต้องเกรงอกเกรงใจขนาดนี้” ป้าจางรีบห้ามไม่ให้เขาโค้งคำนับต่อพลางถอนหายใจ “เอาล่ะ พวกเจ้าก็กลับเข้าบ้านไปพักผ่อนกันเถอะ ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็มาหาป้าที่บ้านได้ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ป้าจางช่วยเหลือพวกเราพี่น้องมากมายจริงๆในอนาคตพวกเราจะตอบแทนท่านแล้วก็ลุงหลี่อย่างแน่นอน” เหลียนเซ่อกล่าวขอบคุณอย่างอีกครั้ง
“โธ่เอ้ย เด็กโง่คนนี้นิ ตอนพ่อแม่ของพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่พวกเขาเองก็เคยช่วยข้าไว้ตั้งหลายครั้ง อีกอย่างเรามันก็คนหมู่บ้านเดียวกัน อย่าพูดเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลกันเลย มีอะไรช่วยได้ก็ช่วยๆกันไป”
ระหว่างที่พูดป้าจางก็มองซูเม่ยไปด้วย หรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือมองเหลียนฟางโจวป้าจางเดินเข้ามาหาเธอก่อนจะบีบมือเบาๆเพื่อให้กำลังใจ“เด็กดี เจ้าไม่ต้องเสียใจไปนะ ถึงยังไงชีวิตก็ต้องเดินต่อไป! เจ้าเป็นพี่สาวคนโต เด็กน้อยพวกนั้นต้องการเจ้า ดังนั้นเข้มแข็งเอาไว้นะ”
หัวใจของเหลียนฟางโจวอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย เธอพยักหน้าและยิ้มอย่างอ่อนโยน " ขอบคุณป้าจางมากท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะนับจากนี้ข้าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกพวกเราพี่น้องได้อีก!"
ป้าจางยังจำวีรกรรมของเธอเมื่อกี้ได้ "เป็นเรื่องดีที่ในที่สุดเจ้าก็คิดได้!" แต่ป้าจางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและถามต่อ "แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากจะถอนหมั้นจริงๆ?"
เหลียนฟางโจวยิ้มและเอ่ยตอบ “ท่านป้านี่มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ แต่ในเมื่อพวกเขามาก่อกวนไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ แล้วทำไมข้าต้องทนด้วย! ก็แค่ถอนหมั้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
แท้จริงแล้วในใจของเธอนั้นกลับยินดีปรีดาเป็นอย่างมาก ที่ไม่ต้องไปปวดสมองหาวิธีถอนหมั้นเองทีหลัง ก็ในเมื่อโอกาสมันวิ่งมาถึงหน้าบ้านขนาดนี้ เธอไม่คว้าไว้ก็โง่เต็มทนแล้ว!!
“ดี!!” ป้าจางยกนิ้วให้เหลียนฟางโจวอย่างชื่นชม “เห็นเจ้าคิดได้แบบนี้ พ่อแม่พวกเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ก็คงจะหมดห่วงแล้ว”
เมื่อพูดถึงพ่อแม่ที่เสียไปพี่น้องบ้านเหลียนก็เริ่มทำหน้าเศร้าสร้อย
“อย่าเศร้าไปเลย มันเป็นสัจธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดามีใครบ้างไม่ตาย พวกเรามันคนจนสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องขยันแล้วก็อดทนจะได้ไม่อดตาย เอาล่ะ เดี๋ยวป้าคงต้องกลับบ้านไปทำกับข้าวแล้ว อาฮวนมีคัดพวกเมล็ดถั่วแล้วก็เมล็ดฟักเขียวเอาไว้เยอะเลย ถ้ามีเวลาก็แวะเข้าไปแบ่งเอามาปลูกกันล่ะ”
เหลียนฟางโจวและเหลียนซีรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณป้าจางเป็นอย่างมาก และเมื่อป้าจางกลับไป ชาวบ้านคนอื่นๆก็ทยอยกลับไปด้วยเช่นกัน
บ้านของพวกเขามีสามห้อง คือ ห้องโถงหลักห้องนอนสองห้อง แล้วก็มีห้องใต้หลังคาเล็กๆเอาไว้เก็บของ ส่วนครัวจะอยู่ตรงมุมด้านนอกแถวๆชายคาบ้าน
ตัวบ้านน่าจะฉาบด้วยโคลนแล้วก็มุงหลังคาด้วยกระเบื้อง แต่อาจจะเป็นเพราะว่าบ้านหลังนี้สร้างมาหลายปีแล้วกระเบื้องมุงหลังคาเองก็น่าจะเริ่มเสื่อมสภาพ เลยทำให้มากกว่าครึ่งของบ้านถูกแทนที่ไปด้วยการมุงเปลือกไม้เนื้อหนาแทนกระเบื้องที่ผุพัง
ในขณะที่การตกแต่งภายในนอกเหนือจากเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าๆไม่กี่ชิ้นแล้วก็ชุดน้ำชาที่ขาดหายไปแล้วบางชิ้นก็แทบไม่มีอะไรอีกแล้ว
ดูเหมือนว่าเหลียนฟางโจวคนก่อนจะไม่ค่อยชอบทำงานบ้านสักเท่าไหร่ เหลียนเซ่อเองก็ยังเด็ก ส่วนเหลียนซีและเหลียนฟางชิงนั้นยิ่งแล้วใหญ่พวกเขายังเด็กเกินกว่าที่จะจัดการบ้านช่องได้ เลยทำให้ภายในบ้านดูรกระเกะระกะไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย
“พี่สาวพี่นั่งพักอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่งก่อนนะเดี๋ยวข้าจะรีบไปหุงข้าว จากนั้นก็จะไปเข้าไปเก็บผักในสวน ส่วนอาซีเจ้าคอยดูไฟไว้ แล้วก็ฟางชิงเจ้าไปดูสิว่าแม่ไก่สองตัวของเรากลับเข้าเล้ารึยัง ถ้ามาแล้วก็โปรยข้าวเปลือกให้มันด้วย เสร็จแล้วก็ปิดเล้าให้เรียบร้อย ระวังด้วยล่ะอย่าโปรยข้าวให้พวกมันเยอะเกินไป”
เหลียนเซ่อสั่งการน้องๆอย่างชำนาญเหมือนกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้
เหลียนฟางโจวลูบหัวตัวเองปรอยๆอย่างงงๆ ‘เธอเป็นพี่สาวคนโตไม่ใช่หรอ? หน้าที่จัดการงานในบ้านควรเป็นของเธอไม่ใช่หรอ?’
“แล้วข้าล่ะ?” เหลียนฟางโจวอดไม่ได้ที่จะถามออกไป