บทที่ 214 เดินเข้ามาในกับดัก
“ใต้เท้าเจียง เหรียญตราทั้งหมดอยู่นี่แล้วเจ้าค่ะ ทั้งหมดนับได้หกพันสามร้อยยี่สิบหกเหรียญ!”
หญิงสาวจากหอดาราสุ่ยเยว่รวบรวมเหรียญทั้งหมดและบรรจุใส่ในกระสอบได้สองกระสอบ เจียงอี้ไม่รอช้าและเก็บพวกมันลงไปในไข่มุกวิญญาณเพลิงในทันที
เมื่อบวกกับเหรียญตราที่เขามีอยู่ ตอนนี้ก็น่าจะมีอยู่ราวๆเจ็ดถึงแปดพันเหรียญแล้ว ด้วยจำนวนเท่านี้ เขาก็ควรที่จะถูกจัดไว้ในอันดับสูงสุดของสงครามราชอาณาจักร
“ได้เวลาแล้ว… หยุนเฟย เจ้าช่วยข้าหาที่อยู่ของเซี่ยเถียนและจ่างซุนอู๋จี้หน่อย ตราบเท่าที่กำจัดพวกมันและกลุ่มอื่นๆได้ ตำแหน่งอันดับหนึ่งก็คงจะกลายเป็นของพวกเราอย่างแน่นอน”
เจียงอี้สะบัดมือและนำกลุ่มของเขาออกจากป่าอาถรรพ์ เมื่อมีหยุนเฟยอยู่ข้างกาย การออกจากป่าอาถรรพ์ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
หลังจากที่ออกมาแล้ว เจียงอี้ก็ขอให้ทุกคนเดินนำไปก่อน จากนั้นเขาก็หยิบสุราชั้นดีขวดหนึ่งออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงและเทลงบนพื้น ขณะเดียวกันเขาก็นำเครื่องรางสัตว์วิญญาณขึ้นมาและฝังลงไปในดินด้านหน้าของป่าอาถรรพ์
“ไปกันเถอะ!”
จ้านอู๋ซวงเดินเข้ามาและตบไปที่ไหล่ของเจียงอี้ราวกับต้องการที่จะปลอบใจ
“สัตว์วิญญาณสิ้นชีพเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในช่วงสงคราม หมาป่าจันทราสีเงินเป็นสัตว์อสูรที่หาได้ยากนัก… มันช่างน่าเสียดายจริงๆ”
“เห้อ!”
เจียงอี้ถอนหายใจก่อนที่จะกลับไปรวมตัวกับคนที่เหลือ
ในสายตาของจ้านอู๋ซวง หมาป่าจันทราสีเงินอาจจะเป็นเพียงแค่สัตว์วิญญาณตัวหนึ่ง แต่สำหรับเจียงอี้แล้ว มันเปรียบเสมือนคู่หู ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา การที่เขาสามารถหลบหนีจากภยันตรายได้ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพราะมันทั้งสิ้น
การที่ต้องสูญเสียคู่หูที่ดีเช่นนี้ไป เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวด
……
หลังจากที่ภาพฉายของสุ่ยโย่วหลานปรากฏขึ้น มันก็ได้สร้างความโกลาหลไปทั่วทั้งที่ราบหินผลึก แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถได้ยินเสียงของนาง จึงทำให้ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
จ่างซุนอู๋จี้และเซี่ยเถียนเป็นคนกลุ่มน้อยที่ค่อนข้างจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ การปรากฏตัวของสุ่ยโย่วหลานก็หมายถึงสุ่ยเชียนโหรวกำลังตกอยู่ในอันตราย
พวกเขาทั้งสองคนรู้อยู่แล้วว่าหยุนเฮ่อและสุ่ยเชียนโหรวกำลังไปล้อมสังหารเจียงอี้ ดังนั้นไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนว่าเจียงอี้คงจะตายไปแล้วอย่างแน่นอน
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงภาพฉาย แต่คนผู้นั้นก็ยังเป็นถึงนักสู้อันดับหนึ่ง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่อะไรที่เด็กหนุ่มอย่างเขาจะสามารถต้านทานได้
จ่างซุนอู๋จี้รอให้ภาพฉายของสุ่ยโย่วหลานหายไปก่อนที่จะส่งแร้งวิญญาณออกไปตรวจสอบ เพื่อทำให้แน่ใจว่าเจียงอี้นั้นตายไปแล้วจริงๆ มิฉะนั้นหัวใจของเขาก็ไม่อาจที่จะสงบลงได้
“รายงาน!”
หนึ่งวันต่อมา แร้งวิญญาณกลับมาแจ้งข่าวซึ่งสร้างความตกใจให้กับจ่างซุนอู๋จี้อยู่ไม่น้อย
“ประมุขน้อย ตามข้อมูลที่แร้งวิญญาณให้มา ตอนนี้เจียงอี้อยู่กับคนของหอดาราสุ่ยเยว่และนักสู้จากอาณาจักรเทียนเซวี่ยน แต่จำนวนของพวกเขากลับเหลือน้อยจนน่าตกใจอีกทั้งยังไม่มีวี่แววขององค์ชายหยุนเฮ่อด้วยขอรับ”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
จ่างซุนอู๋จี้และเซี่ยเถียนมองหน้ากันด้วยความสับสน แร้งวิญญาณมีสติปัญญาที่ไม่ธรรมดา แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเทียบได้กับมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่ใช่ทุกเหตุการณ์ที่มันจะสามารถตัดสินได้
แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น กองทัพของหยุนเฮ่อมีนักสู้อยู่นับพัน แต่ทำไมตอนนี้ถึงเหลือเพียงไม่กี่คน?
“ไปตรวจสอบอีกครั้ง!”
แม้ว่าจะใคร่ครวญเป็นอย่างดี แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็คิดไม่ออก ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวด้วยความประมาทและทำได้เพียงส่งแร้งวิญญาณออกไปตรวจสอบอีกครั้ง
แร้งวิญญาณกลับมาหลังจากที่ผ่านไปครึ่งวันและสถานการณ์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนกับก่อนหน้านี้ จำนวนคนที่เหลืออยู่ของฝั่งนั้นมีเพียงแค่หลักสิบเท่านั้น แต่ที่เห็นได้ชัดก็คือ เจียงอี้ถูกมัดไว้ด้วยเชือก
ส่วนสุ่ยเชียนโหรวนั้นนอนอยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาวผู้หนึ่งจากหอดาราสุ่ยเยว่และดูเหมือนว่ายังมีอีกสองคนที่ถูกควบคุมตัว แต่เป็นเพราะแร้งวิญญาณไม่เคยเห็นทั้งสองคนมาก่อนจึงทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนได้
“อู๋จี้ หรือว่าพวกเราควรที่จะไปดู?”
เซี่ยเถียนกำลังรู้สึกกระวนกระวายและร้อนใจเพราะหยุนเฮ่อ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการที่จะเสียโอกาสนี้ไป
“ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนพะยะค่ะ!”
จ่างซุนอู๋จี้กล่าวก่อนที่จะเสนอความคิดของตนออกมา “เอาแบบนี้ดีไหมองค์ชาย ปล่อยให้แร้งวิญญาณคอยสอดแนมในระยะสามร้อยกิโลเมตรรอบเจียงอี้ และต้องคอยดูด้วยว่ามีกองทัพของหยุนเฮ่อแอบซุ่มอยู่รอบๆหรือไม่”
แม้ว่าจะร้อนใจ แต่เซี่ยเถียนก็ต้องพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อเห็นว่ามันเป็นแผนการที่ดีที่สุดในตอนนี้ หากว่าพวกเขาเผลอตกไปอยู่ในกับดักของหยุนเฮ่อ เช่นนั้นคงจะไม่ดีแน่
พวกเขาทั้งสองไม่ได้ให้ความสนใจต่อสภาพการณ์ของเจียงอี้อีกต่อไป เพราะไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหนสุดท้ายก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือของสุ่ยโย่วหลานอยู่ดี… แต่พวกเขาก็อดที่จะตกใจไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายยังคงมีชีวิตอยู่
ไม่นานนัก รายงานฉบับล่าสุดก็ถูกส่งกลับมา เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่าไม่มีกองกำลังใดๆดักซุ่มอยู่รอบข้าง ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าขบวนของสุ่ยเชียนโหรวมีสมาชิกอยู่แค่หลักสิบเท่านั้นและพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางใต้
“ไปกันเถอะ!”
จ่างซุนอู๋จี้ไม่เคยสงสัยในความสามารถในการสอดแนมของแร้งวิญญาณ กลุ่มของหญิงสาวจากหอดาราสุ่ยเยว่กำลังเคลื่อนขบวนอยู่ท่ามกลางถิ่นทุรกันดารซึ่งสภาพแวดล้อมแถวนั้นมีเพียงต้นไม้ต้นเล็กๆเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น
มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนนับพันใช้ซ่อนตัว
ดังนั้นจ่างซุนอู๋จี้จึงออกคำสั่งให้มุ่งหน้าไปหาเจียงอี้ในทันที เขาและเซี่ยเถียนมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่นับร้อยและในหมู่พวกเขายังมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวอยู่ถึงเจ็ดสิบคน
พวกเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหวาดกลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับคนของหอดาราสุ่ยเยว่ นอกจากนี้พวกเขายังมีมังกรน้ำแข็งซึ่งสามารถใช้หลบหนีได้ตลอดเวลา
แต่ก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ไปเพื่อที่จะทำสงคราม จ่างซุนอู๋จี้เพียงแค่ต้องการคว้าโอกาสในการสังหารเจียงอี้ ส่วนเซี่ยเถียนก็ต้องการที่จะใกล้ชิดกับสุ่ยเชียนโหรว
……
สองวันต่อมา…
ณ ที่ใดที่หนึ่งในเขตทุรกันดาร มีกองกำลังหนึ่งกำลังเคลื่อนขบวนด้วยความเร็วสูง ภายในกลุ่มคนเหล่านั้นสามารถมองเห็นเจียงอี้ หยุนเฟยและจ้านอู๋ซวงซึ่งกำลังถูกมัดไว้
แต่ร่างของหยุนเฟยกลับเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนขณะที่นางกำลังใช้ญาณในการตรวจสอบสภาพแวดล้อมในรัศมีห้าสิบกิโลเมตรรอบป่า
“พวกของจ่างซุนอู๋จี้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังมุ่งหน้ามา ในอีกครึ่งวันเราคงจะพบกับพวกมัน”
“อืม”
เจียงอี้พยักหน้าตอบ เขาแสร้งว่าตัวเองถูกจับมัดไว้เพื่อที่จะล่อให้จ่างซุนอู๋จี้เข้ามาใกล้ เขารู้ดีกว่าหลังจากที่ภาพฉายของสุ่ยโย่วหลานปรากฏขึ้น จิ้งจอกน้อยแห่งตระกูลจ่างซุนผู้นี้จะต้องส่งแร้งวิญญาณออกมาตรวจสอบอย่างแน่นอน
กองกำลังของหอดาราสุ่ยเยว่ประกอบไปด้วยนักสู้สตรีกว่าสี่สิบคน กู่เท่อและคนที่เหลือก็มีมากถึงยี่สิบคน… ในขณะเดียวกันจ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยก็มีผู้ใต้บังคับบัญชาอีกกว่าแปดสิบคน
ด้วยกองกำลังขนาดนี้คงเพียงพอที่จะจัดการกับจ่างซุนอู๋จี้และเซี่ยเถียนได้อย่างไม่ยากเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าอิสตรีของหอดาราสุ่ยเยว่ที่ดุร้ายเป็นพิเศษ หากเจียงอี้ไม่ใช้ประโยชน์จากกองกำลังทั้งหมด เขาก็คงจะโง่เต็มที
“หยุนเฟย ทำการตรวจสอบต่อไปและคอยสัญญาณก่อนที่จะให้คนของเจ้ากับจ้านอู๋ซวงมาสมทบ”
หลังจากที่กล่าวจบ เจียงอี้ก็เอนตัวพิงกับต้นไม้เพื่อพักผ่อน จ้านอู๋ซวงและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่เหลือเองก็เริ่มพักเอาแรงเพื่อรอให้จ่างซุนอู๋จี้และคนของมันปรากฏตัว
“โฮกกกก!”
ครึ่งวันต่อมา เสียงคำรามของมังกรก็ดังกึกก้องมาจากทางทิศตะวันออก จากนั้นไม่นานร่างของมังกรน้ำแข็งก็เผยให้เห็นตรงเส้นขอบฟ้า
เจียงอี้ จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยแสร้งเป็นลม ในขณะนั้นกู่เท่อและหัวหน้าของเหล่านักสู้สตรีแห่งหอดาราสุ่ยเยว่, สุ่ยจงฮวา ก็ลุกขึ้นยืนตามคำสั่งของเจียงอี้และแสดงสีหน้าเคร่งเครียดราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ฟึ่บ!
นักสู้ของทางฝั่งหอดาราสุ่ยเยว่และอาณาจักรเทียนเซวี่ยนเริ่มกระจายตัวและแสร้งทำเหมือนกับกำลังเตรียมรับมือกองทัพของศัตรู
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ไม่นานนัก กลุ่มคนจำนวนหนึ่งก็วิ่งมาทางทิศตะวันออกด้วยความเร็วสูง มีเพียงจ่างซุนอู๋จี้และเซี่ยเถียนที่ยืนอยู่บนหลังมังกรน้ำแข็งซึ่งอยู่ไกลออกไป
“แม่นางเชียนโหรว นี่พวกข้าเอง! อย่าโจมตีนะ!”
สุ่ยเชียนโหรวยังคงหลับลึกและไม่รู้สึกตัว สุ่ยจงฮวาจึงกลายเป็นตัวแทนและเดินไปข้างหน้าก่อนที่จะตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
“พวกเจ้าเป็นใคร? ถอยกลับไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่สุภาพ!”
ในตอนที่จ่างซุนอู๋จี้และเซี่ยเถียนมองไปยัง เจียงอี้ หยุนเฟยและจ้านอู๋ซวงที่กำลัง ‘หมดสติ’ ใบหน้าของพวกเขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มและสลัดความสงสัยทั้งหมดทิ้งไป
จ่างซุนอู๋จี้หันไปมองเซี่ยเถียนและผายมือให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อเป็นสัญญาณให้เขากล่าวขึ้นมาก่อน
“ข้าคือองค์ชายสามแห่งอาณาจักรเสินหวู่ มีนามว่าเซี่ยเถียน และยังเป็นสหายกับแม่นางเชียนโหรว ว่าแต่ทางฝั่งของพวกเจ้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เชียนโหรวบาดเจ็บหรือ? ใครกันที่กล้าทำร้ายนาง?!”
“โอ้ ฝ่าบาทนี่เอง คุณหนูเคยพูดถึงท่านให้ข้าได้ยินอยู่บ้าง!”
ใบหน้าของสุ่ยจงฮวาผ่อนคลายลง จากนั้นนางก็ส่งสัญญาณให้คนของหอดาราสุ่ยเยว่กลับสู่ความสงบ ก่อนที่จะเอ่ยอธิบาย
“คุณหนูของข้าหมดสติไปหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ ข้าไม่สามารถอธิบายรายละเอียดปีกย่อยได้ โปรดกลับไปก่อนเถิด ข้าจะรายงานคุณหนูเองเมื่อนางได้สติกลับมา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยเถียนและจ่างซุนอู๋จี้ก็ลอบมองหน้ากันพร้อมกับความเย็นยะเยือกที่แฝงอยู่ในดวงตา
มันจะเป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะยอมปล่อยโอกาสดีๆเช่นนี้ไป?
“ไม่เป็นไร เราจะรอให้เชียนโหรวตื่นขึ้นมา… จริงสิ พวกคนบาปทั้งสามนี่เป็นใครกัน? พวกมันคือผู้ที่กล้าลงมือกับคุณหนูของพวกเจ้า?”
“ทำไมถึงไม่สังหารพวกมันเสียล่ะ? หากว่าพวกเจ้ากลัวปัญหาที่จะตามมา เช่นนั้นจะให้องค์ชายผู้นี้ลงมือให้ก็ได้นะ!”
“เหอะๆ ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใคร แต่ถ้ากล้าที่จะแตะต้องแม่นางเชียนโหรว ต่อให้เป็นทวยเทพพวกมันก็จะต้องตาย!”