บทที่ 2 : ลืมตาตื่น (2/2)
บทที่ 2 : ลืมตาตื่น (2/2)
ซูเม่ย: "...……." นั่งนิ่งตะลึงงันฟังสิ่งที่เด็กชายกำลังพูด เธอไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าเด็กน้อยพูดถึงอะไรกัน นี่เธอเริ่มสงสัยแล้วนะว่า เธอหรือเขากันแน่ที่เป็นบ้า!
จนกระทั่งเมื่อเธอได้ก้มหน้าลงแล้วมองมือของตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ ‘ เฮ้ย ทำไมมือฉันมันเล็กอย่างนี้ล่ะ!’ ตอนนี้ในสมองของเธอพลันว่างเปล่าไปหมด
“มีกระจกไหม?” ซูเม่ยเอ่ยถามทันที
“กระจก?” เด็กชายที่โตสุดทวนคำถามด้วยท่าทีงุนงง
“ถ้างั้นขออ่างน้ำให้ฉันหน่อย” ซูเม่ยพูดอย่างรวดเร็ว
“ข้าไปเอง!” เด็กชายตัวน้อยอีกคนตะโกนขานรับ เขาผลักฟางชิงเบาๆให้พ้นทาง ก่อนจะรีบวิ่งออกไปนอกบ้าน
จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เดินเซซ้ายเซขวา อุ้มอ่างน้ำใบใหญ่เข้ามา เมื่อพี่คนโตเห็นดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยถืออย่างรวดเร็ว
ซู่เม่ยลุกขึ้นรับอ่างจากเด็กน้อยทั้งสอง ก่อนจะค่อยๆอุ้มอ่างน้ำนั้นไปวางลงบนโต๊ะไม้เก่าๆตัวหนึ่ง ในเงาของน้ำสะท้อนภาพเด็กสาวหน้าตาซีดเซียว ดวงตากลมโต ริมฝีปากสีแดงสด ใบหน้ารูปไข่นั้นดูรับกันได้ดีกับคิ้วโก่งเหมือนคันศร แม้จะดูโทรมไปบ้างแต่ก็ยังพอเห็นเค้าโครงของความน่ารัก
เจ้าของใบหน้านี้ไม่ใช่เธออย่างแน่นอน เพราะตอนนี้เธออายุเกือบๆจะสามสิบแล้ว ทั้งใบหน้าที่อ่อนเยาว์ และแขนขาเล็กๆนี่อีก เห็นได้ชัดเลยว่านี่มันเป็นร่างของเด็กสาวอายุเพียงสิบสี่ปีหรือสิบห้าปี ที่ขาดสารอาหารอย่างรุนแรง ชัดๆ
เมื่อรวมกับคำว่า ‘พี่สาว’ ที่เด็กๆพวกนี้เรียกอีกล่ะ ไม่จริงหรอก เธอต้องฝันไปแน่ๆ ซูเม่ยเริ่มตัวสั่นเทาจนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น ‘อย่าบอกนะว่า เธอทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเด็กคนนี้’
“พี่สาว!” เด็กผู้ชายที่โตสุดรีบเข้ามาประคองเพื่อไม่ให้เธอล้มลง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “พี่เป็นอะไรไหม? อยากจะนั่งพักสักครู่หรือเปล่า?”
“ฉัน-” ซูเม่ยอ้าปากเหมือนอยากจะพูด แต่เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไร
เธอปล่อยให้เด็กชายประคอง เธอให้นั่งลงบนเตียง ก่อนจะมองไปรอบๆบริเวณที่พวกเขาเรียกว่าบ้านแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ เธอต้องทำใจยอมรับความจริงให้ได้สินะ
“พี่สบายดี” ซูเม่ยฝืนยิ้ม ก่อนจะตอบกลับไป “พี่ไม่ตายหรอก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ...”
“ตราบใดที่พี่สาวสบายดี ข้าเชื่อฟังพี่ทุกอย่าง!” เด็กชายที่อายุเยอะสุดพยักหน้าอย่างแรง เขาดูตื่นเต้นเล็กน้อยมุมปากของเขายิ้มเล็กน้อยเผยให้เห็นฟันสีขาวของเขา
ซูเม่ยตาโต ‘ว้าว พอยิ้มแบบนี้แล้วเขาน่ารักจัง’
“พี่สาว! พี่สาว!” ฟางชิงตัวน้อยวิ่งมากอดเธออีกครั้งพร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญ “พี่ห้ามตายนะ ถ้าพี่ตายข้าจะเสียใจมาก ข้าไม่ให้พี่ตาย…”
ซูเม่ยอดที่จะยิ้มแล้วก็ดึงเธอเข้ามากอดไม่ได้
ตอนนี้เธอเริ่มจะลำดับเรื่องราวได้บ้างแล้ว เธอมีน้องชายและน้องสาวอายุยังน้อย พวกเขารักและยึดติดกับพี่สาวคนโตมาก เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เธอจะตะล่อมถามข้อมูลเจ้าของร่างเดิมจากพวกเขา โดยที่พวกเข้าไม่สงสัยว่าเธอไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ อีกอย่างพวกเขาเองก็อายุยังน้อยคงไม่ได้มีความคิดซับซ้อนอะไร
อย่างไรก็ตาม.......
บนตัวของเธอไม่ได้มีร่องรอยบาดเจ็บ แขนขาก็ดูปกติดี หัวก็ไม่ได้แตก แต่ทำไมพวกเด็กๆถึงร้องไห้ฟูมฟายกลัวว่าเธอจะตายนักล่ะ?
“มันเกิดอะไรขึ้นหรอ?” ซู่เม่ยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ผู้หญิงอ้วนจากบ้านฮัว มายืนตะโกนด่าพี่สาวอยู่หน้าบ้าน จากนั้นพี่ทนไม่ได้ก็เลยเดินออกไปหานาง แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆพี่ก็ล้มลงไปกับพื้น พอพวกเราไปถึงพี่ก็หยุดหายใจไปแล้ว” ฟางชิงน้อยรีบพูดอย่างรวดเร็ว
“บ้านฮัว?” ซู่เม่ยถามแบบงงๆ
“ฟางชิง!” เด็กชายตัวโตกระซิบเรียกน้องสาวเบาๆและสับสนกับท่าทางแปลกๆของซู่เม่ย “พี่สาวจำบ้านฮัวไม่ได้หรอ?”
ซูเม่ยทำเป็นนวดขมับตัวเองแล้วก็พูดด้วยเสียงเศร้าๆว่า “พี่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร พอฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกหลงๆลืมๆ ความทรงจำมันดูเลือนรางไปหมด...”
เด็กชายพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แม้จะสงสัยนิดหน่อย แต่เขาก็เล่าออกมาเองโดยที่ซู่เม่ยไม่ต้องเอ่ยถาม “เมื่อกลางปีที่แล้ว ท่านพ่อท่านแม่ของเราตายอย่างกะทันหันเพราะเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่บนภูเขา พวกตระกูลหยางก็เลยอยากที่จะถอนหมั้น แต่พี่-”
เด็กชายมองดูซูเม่ยด้วยท่าทางที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ซูเม่ยเข้าใจอย่างแจ่มชัดแล้วว่าเจ้าของร่างเดิมคงจะดึงดันไม่ยอมถอนหมั้นแต่โดยดีเป็นแน่
แต่เรื่องนี้จะโทษเธอก็ไม่ได้ ถ้าจะผิดก็คงผิดที่บ้านของเธอยากจน พ่อแม่ก็มาตายจาก แถมยังทิ้งน้องๆที่ยังเล็กอีกสามคนไว้เป็นภาระให้เธอต้องดูแลเลี้ยงดูตามลำพังอีก มันก็ไม่ได้แปลกอะไรที่ทางฝั่งโน้นเองจะอยากถอนหมั้นก็ใครมันจะมาเต็มใจดูแลพวกเธอทั้งครอบครัวกันล่ะ
เธอพยักหน้าแล้วก็ยิ้ม “แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีก?”
เมื่อเด็กชายเห็นว่าเธอมีท่าทีสงบไม่ได้ฟูมฟาย เขาถึงได้วางใจแล้วก็เล่าต่อ “ถึงตอนนี้พวกตระกูลหยางจะยังถอนหมั้นยังไม่สำเร็จ แต่พวกเขาก็ได้มองหาว่าที่สะใภ้คนใหม่เอาไว้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงบอกให้บ้านฮัวหาวิธีอะไรก็ได้ให้พี่สาวยอมถอนหมั้น นั่นก็เลยเป็นเหตุให้นางหลิวกับลูกสะใภ้คนโตของนางมายืนตะโกนด่าพี่เสียๆหายๆอยู่หน้าบ้าน พี่ตกใจกับคำด่าทอพวกนั้นจนยืนนิ่ง จากนั้นจู่ๆพี่ก็ล้มลงไป แต่โชคยังดีที่พี่แค่เป็นลม ไม่อย่างนั้นข้าได้ไปสู้ตายกับพวกนางแล้ว....”
ซูเม่ยถอนหายใจอย่างแรง ‘ฉันไม่ได้เป็นอะไร แต่พี่สาวแท้ๆของนายนะสิไม่ได้แค่โกรธจนเป็นลม แต่หล่อนน่ะม่องเท่งจนได้ไปเข้าเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว’
เด็กสาวคนนี้ช่างขวัญอ่อนเสียจริง โดนด่าแค่นี้ก็โกรธจนตายไปซะล่ะ
ก่อนครู่ต่อมาซูเม่ยจะได้ยินเสียงตะโกนแหลมเล็กแสบแก้วหูดังมาจากประตูหน้าบ้าน แรกๆซูเม่ยยังจับใจความไม่ค่อยได้นัก ดังนั้นเธอจึงพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ