บทที่ 1 : ลืมตาตื่น (1/2)
บทที่ 1 : ลืมตาตื่น (1/2)
โอ้ยย….ปวดหัวจัง ปวดเหมือนหัวจะแตกระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆอยู่แล้ว
ซูเม่ยที่เพิ่งจะรู้สึกตัวกำลังมึนๆงงๆกับสถานการณ์ปัจจุบัน เธอรู้สึกประหลาดใจมาก ว่าทำไมตัวเองถึงยังไม่ตาย
นี่ฉันโชคดีขนาดนั้นเลยหรอ ขนาดขับรถตกหน้าผาแล้วยังรอดมาได้อีก!
แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือเมื่อเธอลืมตาขึ้นมา แล้วพบกับเด็กผู้ชายสองคนแล้วก็เด็กผู้หญิงอีกหนึ่งคนกำลังยืนรุมล้อมเธออยู่ที่หน้าเตียง เด็กผู้ชายที่โตสุดน่าจะอายุราวๆสิบสองปี ในขณะที่ผู้เด็กชายอีกคนและเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆน่าจะอายุราวๆแปดหรือเก้าขวบ
ทั้งสามคนสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่ทั้งซีดแล้วก็โทรมเสียยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้ว ส่วนเสื้อของเด็กหญิงตัวน้อยก็ดูเหมือนจะเล็กเกินไปจนทำให้ไม่พอดีตัว แถมลายดอกไม้ที่ปักอยู่บนกระโปรงนั่นก็ซีดเสียมองแทบไม่เห็นแล้ว
“พวกหนู....ช่วยชีวิตฉันไว้หรอ?” เธอเอ่ยถามกับเด็กชายผมยาวทั้งสองที่ตอนนี้มีมัดจุกทรงสูงไว้บนหัว ตอนนี้ยังมีประเพณีที่ไว้ผมยาวแล้วก็ผูกผมแบบนี้อยู่อีกหรอ
“พี่สาว!” เด็กหญิงตัวน้อยกรีดร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ “พี่สาวอย่าตายนะ พี่อย่าตายนะ ฮื่อๆ” จากนั้นเธอร้องไห้สะอึกสะอื้นจนร่างกายสั่นเทา พร้อมกับพึมพำไปด้วย
“พี่สาว?”
ซูเม่ย ผู้ซึ่งอายุเกือบๆจะสามสิบแล้ว ก็อดตื่นเต้นไปกับคำเรียกของเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าไม่ได้ เธออายุขนาดนี้แล้ว ยังจะเรียกว่าพี่สาวได้อีกหรอ เด็กน้อยคนนี้ช่างประจบประแจงเป็นเสียจริง
พอเห็นเธอร้องไห้อย่างน่าสงสาร ซู่เม่ยก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปกอดเด็กน้อยเอาไว้ พลางลูบหลังเธอเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ
เด็กหญิงตัวน้อยยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นและกอดรัดเธอแน่นกว่าเดิม ราวกับว่ากลัวเธอจะสลายหายไป
“ฟางชิงรีบปล่อยพี่สาวเร็วเข้า เดี๋ยวพี่สาวก็หายใจไม่ออกกันพอดี”
เด็กชายที่โตสุดรีบแยกเด็กสาวที่ชื่อฟางชิงออกจากเธออย่างรวดเร็ว ในน้ำเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจอย่างเห็นได้ชัด
เสี่ยวฟางชิงที่กำลังจะถูกจับแยกออกจากเธอเริ่มรู้สึกไม่พอใจ เด็กน้อยส่งเสียงบ่นกระเหง้ากะหงอดเหมือนกับลูกแมวออกมาเบาๆ แต่ท้ายที่สุดเธอก็ยอมเชื่อฟังก่อนจะถอยออกไปยืนอยู่ข้างๆเตียงแทน ซูเม่ยรับรู้ได้ถึงความรักและความคิดถึงที่เอ่อล้นออกมาจากแววตาของพวกเด็กๆ
ซูเม่ยค่อยๆสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเด็กชายที่อายุมากสุด ‘พี่คนโตน่าจะคุยรู้เรื่องสุด’ เธอสรุปเรื่องนี้เองในใจ
“ที่นี่ที่ไหน? แล้วเธอล่ะชื่ออะไรหรอ?”
ทันใดนั้นเด็กชายที่โตสุดก็เบิกตาโพลงอย่างตกใจ เขาจ้องมองซูเม่ยอย่างตกตะลึงทั่วทั้งใบหน้าของเขาเองก็เหมือนกับแปะคำว่า ‘เกิดอะไรขึ้น!!’ เต็มไปหมด
รอยยิ้มบนใบหน้าของซู่เม่ยค่อยๆหายไป ก่อนเธอจะเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป
“พี่สาว!!!” ก่อนที่เธอจะถามต่อ เธอก็ต้องตกใจจนสะดุ้งโหยง เพราะเสียงตะโกนและเสียงร้องไห้ของเด็กสาวตัวน้อย
“พี่สาว พี่จำพวกเราไม่ได้หรอ หรือพี่ไม่ต้องการพวกเราแล้ว....” เด็กสาวตัวน้อยกระโจนเข้าหาซูเม่ยอีกครั้งด้วยความเร็วแสง พร้อมกับร้องไห้โฮอย่างน่าสงสาร
“อย่าร้องไห้สิ ไม่ต้องร้อง พี่สาวไม่มีทางทิ้งพวกเราแน่ๆ” เด็กชายตัวน้อยอีกคนเอ่ยขึ้น เขาพยายามสูดน้ำมูกกลับเข้าไปในจมูก เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองก็ร้องไห้อย่างหนัก แต่เขาก็พยายามกัดริมฝีปากเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาแล้วก็จ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาน่าสงสาร พร้อมกันนั้นมือของเขาก็ดึงเสื้อของเด็กน้อยฟางชิงไว้แน่น
รูปร่างหน้าตาของพวกเขาช่างน่ารักจิ้มลิ้ม แล้วพอมาร้องไห้แบบนี้ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่ ซูเม่ยแทบจะทนดูต่อไม่ได้ เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังทำผิดร้ายแรงที่เป็นต้นเหตุให้พวกเขาร้องไห้กันหนักขนาดนี้
“พี่สาว” เด็กชายที่โตสุดเพิ่งจะหลุดออกมาจากภวังค์ เขาดึงเด็กน้อยสองคนออกให้พ้นทาง จากนั้นเขาก็จ้องมาที่เธออย่างสื่อความหมายและพูดเชิงปลอบใจกับเธอว่า “พี่สาวไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ถ้าพวกตระกูลหยางอยากจะถอนหมั้นก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ! ตั้งแต่ท่านพ่อท่านแม่ตายพวกเขาก็ดีแต่รังแกพวกเรา ถ้าในอนาคตพี่แต่งเข้าบ้านหลังนั้นจริงๆ ชีวิตของพี่ก็คงจะเจอแต่เรื่องทุกทรมานใจเป็นแน่พี่สาวพี่ไม่ต้องกลัวนะข้าสัญญาว่าเมื่อข้าโตขึ้นข้าจะเป็นคนดูแลพี่กับน้องๆเอง พี่ไม่ต้องเสียใจไป....”